วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

อาหารที่เป็นภัยต่อร่างกายมากที่สุด และอาจร้ายแรงถึงชีวิต


อาหารที่คุณรับประทานในชีวิตประจำวัน บางทีคุณอาจไม่คิดว่า มันมีอันตรายร้ายแรงขนาดปลิดชีพคุณได้ เพราะสามารถหาซื้อทานได้ตามท้องตลาดทั่วไป จากการรวบรวมผลการศึกษาวิจัยจาก สถาบันกุมารเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับอาหารที่เป็นภัยต่อร่างกายมากที่สุด และอาจร้ายแรงถึงชีวิต จำนวน 10 ชนิด ดังต่อไปนี้...



อันดับ 10 : "เห็ด"อาจเป็นที่น่ากังขาว่าเห็ดเป็นอันตรายถึงชีวิตได้จริงหรือไม่อาจเป็นที่น่ากังขา ว่าเห็ดเป็นอันตรายถึงชีวิตได้จริงหรือไม่ นอกจากทำให้เกิดอาการทางประสาท หรือประสาทหลอน แต่คำตอบที่ถูกต้องคือ "ใช่" เห็ดสามารถปลิดชีพได้ เช่นเห็ดระโงกหิน (Death Cap) และ เห็ดไข่เป็ด (Destroying Angel) ที่มีพิษร้ายแรง แม้จะมีข่าวอยู่บ่อยครั้งว่า เสียชีวิตเพราะทานเห็ด แต่ทุกวันนี้ยังคงมีคนนิยมเก็บเห็ดตามป่ามาปรุงอาหาร โดยไม่ทราบว่า มีพิษหรือไม่ ดังนั้นการเลี่ยงรับประทานเห็ดที่หน้าตาไม่คุ้นชิน หรือไม่รู้จักจึงปลอดภัยที่สุด



อันดับ 9 : "กาแฟ"ปัญหาด้านการนอนหลับ และปัญหาฟันเหลือง จากการดื่มกาแฟเป็นประจำสม่ำเสมอนอกเหนือจาก ความเป็นไปได้ของอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น หรือใจสั่น ปัญหาด้านการนอนหลับ และปัญหาฟันเหลือง จากการดื่มกาแฟเป็นประจำสม่ำเสมอ กาแฟยังสร้างปัญหาต่อร่างกายได้ เมื่อความร้อนเกินมาตรฐาน โดยกาแฟสามารถกร่อนผิวหนังได้เป็นอย่างดี อาจดูเหมือนเรื่องตลก ตัวอย่าเกิดขึ้นเมื่อปี 1992 ที่ร้านฟาสฟู้ดชื่อดัง McDonald เมื่อคุณยายวัย 79 ปี ดื่มกาแฟความร้อนจัดราว 170 องศา ทำให้ทวารของคุณยายถูกทำลาย จึงฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย เป็นมูลค่า 2.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับแต่นั้นเป็นต้นมา McDonald จึงมีมาตรการจำกัดอุณหภูมิของกาแฟไม่ให้สูงเกินความเหมาะสม



อันดับ 8 : "มันสำปะหลัง"พืชชนิดนี้จะส่งผลกระทบร้ายแรง หากมีวิธีและขั้นตอนการเตรียมที่ไม่ถูกต้องมันสำปะหลัง มักถูกนำมาผลิตในอาหารหลากหลายรูปแบบ แต่พืชชนิดนี้จะส่งผลกระทบร้ายแรง หากมีวิธีและขั้นตอนการเตรียมที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ในมันสำปะหลังยังมีสารไซยาไนด์แฝงอยู่ ซึ่งหากได้รับในปริมาณมากอาจส่งผลถึงชีวิตเช่นกัน อย่างไรก็ดี ขนมที่ทำจากมันสำปะหลัง และได้รับความนิยมมากในปัจจุบันคือ พุดดิ้ง กระทั่งกลุ่มมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งสหรัฐฯ ออกโรงเตือนประชาชนที่อ่อนไหวง่ายต่อยางของพืช ให้เลี่ยงไปรับประทานของทานเล่นประเภทอื่นแทน


อันดับ 7 : "ทูน่า"แทบไม่คาดคิดเมื่อปลาตัวเล็กตัวน้อยจำพวกทูน่า จะถูกประกาศเป็นอาหารสุดยอดอันตรายแทบไม่คาดคิดเมื่อปลาตัวเล็กตัวน้อยจำพวกทูน่า อาหารยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งในสังคมปัจจุบัน จะถูกประกาศเป็นอาหารสุดยอดอันตราย ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเตือนสตรีมีครรภ์ และเด็ก ให้หลีกเลี่ยง หรือรับประทานในปริมาณแต่น้อย เนื่องจากทูน่า คือปลาตัวเล็กหลากหลายสายพันธุ์ และมีปริมาณสารปรอทสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการคลอดบุตรสำหรับคุณแม่มีครรภ์ และอาจทำลายระบบประสาทสำหรับเด็กที่กำลังมีพัฒนาการ



อันดับ 6 : "รูบาร์บ"รูบาร์บช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ใบขนาดใหญ่ของมันมีพิษถึงชีวิตแม้จะมีงานวิจัยเผยว่า รูบาร์บช่วยต้านมะเร็งได้ แต่จากประวัติศาสตร์การแพทย์ระบุว่า ใบขนาดใหญ่ของรูบาร์บนั้นมีพิษถึงชีวิต แม้จะรับประทานแบบดิบหรือนำมาปรุงจนสุกก็ตาม แต่ทั้งนี้ส่วนที่สามารถนำมารับประทานได้นั้นคือบริเวณก้านของรูบาร์บ



อันดับ 5 : "ผักใบเขียว"เป็นที่น่าตกใจ เมื่ออาหารจำพวกผักใบเขียว ตกอยู่ในแบล็กลิสต์ด้วยเช่นกันเป็นที่น่าตกใจ เมื่ออาหารจำพวกผักใบเขียว ที่แลดูเป็นประโยชน์ต่อร่างกายจะตกอยู่ในแบล็กลิสต์ด้วยเช่นกัน โดยเมื่อปี 2009 ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์เพื่อประโยชน์สาธารณะ ระบุชื่อผักใบเขียวทั้งหลาย อาทิ ผักโขม ผักสลัด กะหล่ำปลี ผักชีฝรั่ง และผักคะน้า ส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งเมื่อปีที่ผานมาในสหรัฐฯ มีผู้ป่วยจากผักดังกล่าว 240 กรณี ซึ่งส่วนใหญ่รับประทานอาหารตามร้าน หรือภัตตาคาร ส่วนการติดเชื้อเชื่อว่าเกิดจากการละเลยความสะอาด ทั้งความสะอาดของมือผู้ปรุงอาหาร และความสะอาดของผักที่ล้าง โดยเชื้อโรคส่วนใหญ่ที่มากับผักชนิดดังกล่าว คือ ไวรัสไนโร ซึ่งติดมากับผักเมื่อได้รับการสัมผัสจากสัตว์ป่า หรือน้ำที่ไม่สะอาด

อันดับ 4 : "ถั่วลิสง"มักมีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานถั่วลิสง เนื่องจากเป็นโรคภูมิแพ้ถั่วสมาคมโรคภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่า มักมีผู้เสียชีวิตจากการรับประทานถั่วลิสง เนื่องจากเป็นโรคภูมิแพ้ถั่ว ซึ่งปัจุจบันมีตัวเลขผู้มีอาการแพ้ถั่วเพิ่มขึ้นจากเดิม แต่นับว่ายังไม่สูงมาก คิดเป็นเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด อย่างไรก็ตามจำนวนเด็กเสียชีวิตด้วยโรคแพ้ถั่ว เพิ่มขึ้นระหว่าง ปี 1997 -2002 ราว 2 เท่า








อันดับ 3 : "ผลแอคกี"ผลแอคกี หากไม่รู้วิธีรับประทานจะเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ อาเจียร และอาจร้ายแรงถึงแก่ชีวิตผลแอคกี (Ackee) แต่เดิมเป็นผลไม้พื้นเมืองบริเวณพื้นที่แถบแอฟริกาตะวันตก แต่กลายมาเป็นผลไม้ประจำชาติจาไมก้า ราวปี 1788 สำหรับผู้ไม่รู้วิธีรับประทานผลแอคกีที่ถูกต้อง อาจเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ อาเจียร และอาจร้ายแรงถึงแก่ชีวิต ทั้งนี้ผลแอคกีดิบมีสารพิษที่ชื่อว่า Hypoglycin แฝงอยู่ ดังนั้นหากจะนำมารับประทานต้องรอให้ผลสุกจนกลายเป็นสีแดง และผลิออกจนเห็นเม็ดในสีดำเองตามธรรมชาติเสียก่อน สำหรับการรับประทานนั้น ชาวจาไมก้ามักทานเคียงกับปลาคอต






อันดับ 2 : "ปลาปักเป้า"นับเป็นอาหารจานหรู แต่มีพิษร้ายแรง ที่ชื่อว่า สารเตโตรโดทอกซิน คร่าชีวิตนักชิมมามากเสิร์ฟโดยการแร่เป็นชิ้นบาง ๆ โดยเชฟมืออาชีพผู้เชี่ยวชาญ ปลาปักเป้านับเป็นอาหารจานหรู แต่มีพิษร้ายแรง ที่ชื่อว่า สารเตโตรโดทอกซิน (Tetrodotoxin) คร่าชีวิตนักชิมมากกว่าสารไซยาไนด์ หรือสารหนู (Cyanide)ในปลาปักเป้า 1 ตัวจะมีต่อมพิษอยู่ 1 ต่อม มีขนาดเล็กกว่าหัวเข็ม ผู้ที่สามารถเสิร์ฟอาหารจานนี้ได้ ต้องฝึกฝนและเรียนรู้นานกว่า 3 ปี เพราะพิษในปลาเพียง 1 ตัว สามารถปลิดชีพมนุษย์ได้มากถึง 30 คน ด้วยความประณีตและพิถีพิถันในทุกขั้นตอนจึงทำให้ปลาปักเป้ามีมูลค่าแพงราว 200 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 6,500 บาท) ต่อจาน แต่อย่างไรก็ตามนักกินในประเทศญี่ปุ่นยังคงนิยมสั่งปลาปักเป้ามารับประทานมากกว่า 10,000 ตันต่อปี และมีมากกว่า 40 สายพันธุ์ให้เลือกลิ้มรส




อันดับ 1 : "ฮอทดอก"อาหารชนิดนี้ส่งผลอันตรายทั้งต่อเด็กและผู้ใหญ่ เพราะเนื้อที่นำมาผลิตมักมีคุณภาพต่ำสถาบันกุมารเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา ระบุว่า อาหารชนิดนี้ส่งผลอันตรายทั้งต่อเด็กและผู้ใหญ่ เพราะ เนื้อที่นำมาผลิตมักมีคุณภาพต่ำ หรือเป็นการนำเศษเนื้อที่เหลือจากโรงฆ่าสัตว์มาบดและทำเป็นไส้กรอก จากรายงานบอกว่า 17 เปอร์เซ็นต์ของเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี มักเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจเมื่อบริโภคอาหารประเภทดังกล่าว สำหรับสาเหตุที่อยู่ในรายการอาหารที่อันตรายที่สุดเป็นเพราะ ฮอทดอกเป็นอาหารที่นิยมรับประทานในชีวิตประจำวันมากที่สุด โดยปราศจากการหลีกเลี่ยง หรือคำนึงถึงอันตรายที่แฝงอยู่.


colskys@hotmail.com


มาร์คคุยบีบีซี ประเด็นร้อน ย้ำลงเก้าอี้แน่


อภิสิทธิ์" เจอรายการฮาร์ดทอล์กของบีบีซีสัมภาษณ์เดือด ถูกถามจี้ใจดำ ไม่เคยชนะเลือกตั้ง แต่ได้เป็นเพราะ ทรท.ถูกยุบ-ปฏิวัติ "มาร์ค"สวน คมช.ไม่ได้ตั้งรัฐบาล ยันออกแน่แต่ขอแก้ปัญหาก่อน..หลังจากนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เมื่อวันที่ 27 เม.ย. กรณีปัญหาการชุมนุมและความรุนแรงภายในประเทศไทย และตอบคำถามว่า การลดความตึงเครียดและคืนความปกติสุข ท่ามกลางการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดง ต้องอาศัยเวลา ความอดทน และความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ล่าสุด รายการฮาร์ด ทอล์ก ของสำนักข่าวบีบีซีได้นั่งพูดคุยกับนายกฯอภิสิทธิ์ผ่านทางวีดีโอคอล ซึ่งออกอากาศเมื่อคืนที่ผ่านมา (28 เม.ย.) เช่นกันโดยบีบีซีเปิดฉากสาดคำถามใส่นายกฯ อภิสิทธิ์ อย่างเผ็ดร้อน เกี่ยวกับการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งอาจนำความมั่นคงทางการเมืองกลับคืนมา และการขัดแย้งสิ้นสุดลง ซึ่งนายกฯอภิสิทธิ์ ตอบกลับว่า การจัดการเลือกตั้งรวดเร็วเกินไปอาจก่อให้เกิดความรุนแรง ซึ่งไม่ช่วยแก้ปัญหาใดๆ และอาจส่งผลให้กลับไปสู่วังวนของการชุมนุมประท้วงอีกครั้ง ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ควรจะมีการเจรจากันเพื่อหาคำตอบว่าแท้ที่สุดเราต้องการอะไร ก่อนจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพื่อผลประโยชน์ของทุกคนในประเทศชาติ ไม่ใช่เพียงเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งบีบีซีถามย้ำต่ออีกว่า นายกฯอภิสิทธิ์จะไม่จัดการเลือกตั้งตามเส้นที่ขีดไว้ก่อนเดือน ธ.ค.ใช่หรือไม่ นายกฯอภิสิทธิ์ จึงโต้ว่า ไม่ได้พูดเช่นนั้น สิ่งที่เขาพูดคือ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำให้บรรลุเสียก่อน "ผมพูดว่าการเลือกตั้งควรเกิดขึ้นไม่เกิน 9 เดือน และผมพร้อมพูดคุยกับคนทุกกลุ่มในสังคม ขณะที่ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ต้องการให้ผมอยู่จนครบวาระการดำรงตำแหน่ง และมีอีกไม่น้อยที่เชื่อว่าควรจะมีระยะเวลาที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่ 15 หรือ 30 วัน ผมคิดว่าทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงที่จะแสดงความคิดเห็น"การสัมภาษณ์เริ่มดุเดือดขึ้น เมื่อบีบีซีตั้งคำถามว่า นายกฯอภิสิทธิ์ไม่เคยชนะการเลือกตั้ง แม้ได้รับคะแนนเสียงโดยสภาผู้แทนราษฎร เพราะพรรคการเมืองของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ถูกยุบ และการปฏิวัติรัฐประหาร เปิดทางให้นายกฯอภิสิทธิ์ได้ขึ้นสู่อำนาจ นายกฯอภิสิทธิ์โต้กลับว่า คณะปฏิวัติไม่ได้แต่งตั้งรัฐบาล เรามีการจัดการเลือกตั้งนอกจากนี้บีบีซียังใส่นายกฯอภิสิทธิ์ต่อไม่ยั้ง ว่า การดำรงตำแหน่งต่อไปอาจทำให้เกิดความรุนแรง และเหตุการณ์น่าสลดอีก และหากนายกฯตระหนักถึงปัญญาจริง ในที่สุดแล้วจะยอมลงจากตำแหน่งหรือไม่ นายกฯอภิสิทธิ์ตอบว่า แน่นอน เขาไม่ยอมให้ประโยชน์ส่วนตนอยู่เหนือผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่ปัญหาในขณะนี้ไม่ใช่เพียงแต่ความขัดแย้งทางการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่มีความมั่นคงของประเทศ ปัญหาการก่อการร้าย เข้ามาเกี่ยวเนื่องด้วย จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายร่วมกันแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ประชาชนชาวไทยต้องการให้ทำ และเขาก็มุ่งมั่นที่จะทำในขณะนี้.ชมการสัมภาษณ์และตอบคำถามของนายกอภิสิทธิ์ในรายการฮาร์ดทอล์กของบีบีซีได้ที่นี่
ไทยรัฐออนไลน์
โดย ไทยรัฐออนไลน์
29 เมษายน 2553, 18:53 น.




"อองซาน ซูจี" สัญลักษณ์ประชาธิปไตย กระเทาะแก่นเผด็จการทหารในเมืองไทย


ล่าสุดสำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน นางอองซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของประเทศพม่า ได้แสดงจุดยืนวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ของรัฐบาลทหารพม่า
โดยเปรียบเทียบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งประสบกับหายนะหลังจากกองทัพก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
"รัฐบาลใหม่ที่ขึ้นมามีอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเขียนโดยกองทัพนั้น จะไม่มีทางมีเสถียรภาพ ไม่ต้องดูอื่นไกล เราดูแค่ สถานการณ์ในไทยก็ได้ ทักษิณคือผู้ที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา แต่กองทัพกลับยึดอำนาจจากคนที่ชนะการเลือกตั้ง
แล้วรัฐธรรมนูญก็ถูกเขียนขึ้นมาใหม่โดยทหาร หลังจากนั้น อะไรเกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดแรกภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ของไทย รัฐบาลชุดนั้นไร้เสถียรภาพ นี่คือผลที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นโดยกองทัพ"
"อองซาน ซูจี" สัญลักษณ์ประชาธิปไตย กระเทาะแก่นเผด็จการทหารในเมืองไทย
เสียงดังกังวานอย่างมีน้ำหนักไปทั่วโลก
และตามจังหวะรีบตีปี๊บประจาน ผูกติดรัฐบาลกับภาพเผด็จการทหาร

เปิดวิวาทะ"รัฐธรรมนูญ" ไทย-พม่า บริบทประชาธิปไตยที่ต่างกัน


ฮือฮาไม่น้อยเมื่อจู่ๆ นายเนียน วิน โฆษกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) อ้างคำพูดของ นางอองซาน ซูจี ผู้นำพรรคเอ็นแอลดี ที่กล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่า "รัฐบาลที่ขึ้นมามีอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นโดยทหาร ไม่มีวันที่จะมีเสถียรภาพ โดยไม่ต้องมองไปที่ไหนไกล ให้มองประเทศไทยเป็นตัวอย่าง อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ทหารได้ยึดอำนาจจากผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งและร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ " ทำให้หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงคำพูดดังกล่าวไปต่างๆ นานานั้นนายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาด้านพม่าของกลุ่มฮิวแมน ไรต์ส วอทช์ สำนักงานฮิวแมน ไรต์ส วอชท์ ประจำประเทศไทย ให้ความเห็นถึงกรณีดังกล่าวกับ "ไทยรัฐออนไลน์" ว่า เป็นการวิเคราะห์ในบริบทรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากประชาชน มาจากกระบวนการเลือกตั้ง แน่นอนย่อมมีปัญหา ทำให้สังคมไม่มีเสถียรภาพ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับประเทศไทยซึ่งขณะนี้มีการชุมนุมทางการเมือง ทำให้เสถียรภาพรัฐบาลไทยไม่นิ่ง เป็นการมองปัญหาภายหลังจากมีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นลำดับมาทั้งนี้ หากเปรียบเทียบระหว่างรัฐธรรมนูญของไทยกับรัฐธรรมนูญของพม่า นายสุนัย มองว่า รัฐธรรมนูญไทยฉบับปี 2550 แม้ว่าผลลัพท์ที่ออกมามีปัญหา พรรคการเมือง หรือคนที่อยู่ในกระบวนการรัฐธรรมนูญเองก็ยอมรับว่ามีปัญหา แต่ก็มาจากความตั้งใจดีส่วนหนึ่ง ส่วนรัฐธรรมนูญของพม่าแม้ฉบับที่เพิ่งผ่านประชามติมานั้น เป็นรัฐธรรมนูญที่แม้แต่ความตั้งใจดีก็ไม่มีเลย มาจากทหารโดยตรง และเป็นการครองอำนาจอย่างถาวร เพราะฉะนั้นเป็นการตั้งต้นที่ไม่ดี"หากพูดถึง "ต้นไม้พิษ ลูกไม้ก็เป็นพิษด้วย" กรณีของรัฐธรรมนูญของพม่านั้นเป็นต้นไม้พิษ 100% ฉะนั้นทางพม่าก็จะมีรัฐธรรมนูญที่มีปัญหา ที่จะทำให้ประเทศก้าวหน้าไม่มีทางเป็นจริง ส่วนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนุูญของพม่า เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเสียงสนับสนุนของคนที่มาจากกระบวนการเลือกตั้ง จะสู้เสียงของคนที่มาจากการแต่งตั้ง และคนที่เป็นตรายางของคนพม่าไม่ได้ เสียงไม่พอ ส่วนรัฐธรรมนูญที่ได้รับการแก้ไขและผ่านประชามติไปแล้ว ไม่มีความเป็นที่จะได้รับการแก้ไขโดยที่ฝ่ายกองทัพพม่าไม่เห็นด้วย"นายสุนัย กล่าวว่า ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์นั้น เมืองไทยมีปัญหาในแง่ที่ว่าไทยมีโอกาสที่จะลดเงื่อนไขของความเห็นที่แตกต่าง เกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญได้ ด้วยการยอมรับกระบวนการเสนอร่างแก้ไขที่มาจากภาคประชาชน มาจากภาคการเมืองต่างๆ แต่การเมืองไทยแบ่งพวกกันอย่างรุนแรง จนกระทั่งข้อเสนอของฝ่ายหนึ่ง แต่ฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับ ประเทศไทยเองก็ต้องกลับมาทบทวนเปิดใจให้นำความเป็นประชาธิปไตยภายใต้ รัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายยอมรับ ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกันอย่างจริงจังไม่ใช่มาใช้เพื่อต่อสู้ แย่งชิงอำนาจ และมาฆ่ากันเอง"เปรียบประชาธิปไตยไทยกับพม่ายังห่างไกลกันเยอะ พม่าเป็นสังคมที่ฝ่ายกองทัพครอบงำอย่างสมบูรณ์แบบ ของคนไทยอย่างน้อยก็มีโอกาสได้เห็นความคิดเห็นที่แตกต่างกัน มันมีพลังที่ออกมาเคลื่อนไหว สื่อถึงแม้ว่าจะถูกปิดไปเยอะในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็จะมีสื่อใต้ดิน เกิดขึ้นได้ คนก็ออกมาแสดงความคิดเห็นได้ ถ้าเป็นพม่ามีการชุมนุมกันอย่างนี้ ก็จะตายกันเป็นเบือ แม้แต่พระสงฆ์ก็จะถูกยิง ของเราถือว่าวิวัฒนาการทางการเมือง สังคม ได้ก้าวไปไกล คนไทยยังโชคดีกว่าคนพม่าเยอะ ประเทศไทยก้าวพ้นจุดที่ว่ารัฐบาลกับทางฝ่ายกองทัพทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่ต้องแคร์" ที่ปรึกษาด้านพม่าของกลุ่มฮิวแมนฯ กล่าวด้าน ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์่ว่า การที่พม่าระบุเช่นนี้แสดงว่าไม่ได้เข้าใจถึงบริบทการเมืองไทย เนื่องจากบริบทการเมืองไทยกับพม่านั้น ไม่เหมือนกัน การร่างรัฐธรรมนูญของไทยปี 50 ไม่ได้มาจากฝีมือทหาร จริงอยู่ฝ่ายทหารเป็นคนมอบหมายให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ แต่คนที่ร่างนั้นส่วนใหญ่มาจากฝากฝั่งของพลเรือน และ สาระสำคัญและหลักการเป็นการนำเอารัฐธรรมนูญปี 40 มาปรับปรุงแก้ไข ดังนั้นไม่ใช่เป็นธรรมนูญทหารอย่างที่กล่าว เป็นเพียงการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ครบด้าน เป็นเพียงโวหารทางการเมืองเท่านั้น"หลักการประชาธิปไตย ไม่ได้ดูเฉพาะเรื่องที่มา ต้องดูถึงค่านิยมในการดำเนินการ ดูสาระเป็นหลักนิติธรม นิติรัฐ การใช้สิทธิเสรีภาพ อย่างทั่วถึงเท่าเทียม ดังนัั้นการที่พม่าปกครองด้วยรูปแบบทหารโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจะมาเปรียบเทียบ โดยให้ดูไทยเป็นตัวอย่างก็เป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ต้องเข้าใจบริบท จารีตการปกครองให้ลึกซึ้ง และเข้าใจปัญหา ต้นตอปัญหามันมาจากการใช้อำนาจ การบิดเบือนและแทรกแซงกระบวนการกฎหมาย ก่อนที่จะมีการปฏิวัติรัฐประหาร จนก่อให้เกิดการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 50 ที่อ้างว่ามาจากทหารเป็นต้นตอของความวุ่นวายนี้"อย่างไรก็ตาม อธิการบดีนิด้ามองว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นการทำงานของรัฐบาลไทย ในการสื่อสารออกไปยังต่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าการทำงานของฝ่ายตรงข้ามมีประสิทธิภาพในการนำเสนอมากกว่า ดังนั้นรัฐบาลต้องเดินหน้าใช้กระบวนการต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจและสร้าง เสถียรภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติให้ได้.

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

สตูว์เนื้อลูกวัว

หั่นเนื้อเป็นลูกเต๋าชิ้นพอดีๆ คำ และต้มพร้อมผัก จนเนื้อนิ่มดีประมาณ 1-1.5 ช.ม. แบ่งน้ำซุปมาครึ่งลิตร เตรียมซอสขาวโดยตั้งเนยบนเตาจนละลาย




สูตรอาหารฝรั่งเศส


ส่วนผสมหลัก :


1.Veal shank 1 กิโลกรัม
2.แครอท 80 กรัม
3.หัวหอม 80 กรัม
4.ลีค100 กรัม
5.เซเลอรี่ 1 กำ
6.กระเทียม 2 หัว
7.Garni (ชุดเครื่องสำหรับทำสตูว์) 1 ช่อ
8.กานพลู 1 กิ่ง
9.เกลือ และพริกไทยอ่อน


เครื่องเคียง :


1.เห็ดแชมปิญอง
2.หอมแดง (Parl Onion) 80 กรัม
3.เนย 20 กรัม
4.มะนาว 1 ผล,
5.เกลือ, พริกไทยและน้ำตาล

หั่นเนื้อเป็นลูกเต๋าชิ้นพอดีๆ คำ และต้มพร้อมผัก จนเนื้อนิ่มดีประมาณ 1-1.5 ช.ม. แบ่งน้ำซุปมา ½ ลิตร เตรียมซอสขาวโดยตั้งเนยบนเตาจนละลาย ผสมแป้งลงไป และคนให้เข้ากันดี เติมน้ำซุปลงไปทีละน้อย ตั้งเตาจนแป้ง ละลายสุกดี เติมวิปครีมลงไป หมั่นคนจนข้นดี ตามด้วย

เนื้อลูกวัว พักไว้ หั่นเห็ดแชมปิญองเป็นชิ้นสามเหลี่ยม ต้มในน้ำที่ใส่เกลือ เนย และน้ำมะนาวเล็กน้อยจนสุก และนิ่ม พักไว้ ต้มหอมแดงในน้ำที่ใส่เกลือ นำ้ตาลและเนย จนหอมแดงนิ่มสุก รอจนน้ำระเหยจนหมด เขย่ากระทะ ให้หอมแดงใสและแวววาว พักไว้ ก่อนเสิร์ฟ ผสมไข่แดง และวิปครีมลงในสตูว์ร้อนๆ ที่เตรียมไว้ ใส่เห็ด และปรุงรส ด้วยเกลือและพริกไทย ตกแต่งจานด้วย หอมแดง

colskys@hotmail.com

Never been bored 12 ชิ้นไม่มีเบื่อ

พบ 12 เฟอร์นิเจอร์ชิ้นสวยคลาสสิกที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันไปอย่างไม่มีเบื่อ


ทั้งวัสดุชั้นดีฝีมือเนี้ยบ และรูปโฉมสุดสำอางกับลีลาการใช้งานแสนปรนเปรอใจ




1 สบายทุกท่วงท่า


พร้อมรองรับทุกอิริยาบถ ไม่ว่านอน นั่งพิงหมอนนุ่มดูทีวี หรืออ่านหนังสือโปรดให้สบายที่สุด ก่อนจะรู้สึกง่วงจัดจนหลับสบายทั้งคืน กับเตียงสวยคลาสสิก เตียง รุ่น Lazy-night ออกแบบโดย Patricia Urquila จาก BB Italia



2 แค่วางหนังสือให้สวย


จุดประสงค์คือวางหนังสือก่อนนอน เป็นที่มาของชั้นหัวเตียงที่มีแต่เส้นสายโลหะเงาวับโปร่งตาเพียงไม่กี่เส้น และแข็งแรงพอรองรับน้ำหนักของตั้งหนังสือที่อวดลีลาสวยคลาสสิกยามเรียงซ้อนกัน ชั้นวาง รุ่น Pyllon ออกแบบโดย Nicole Aebischer จาก BB Italia




3 แสงที่ใช่



แสงสว่างสำหรับตั้งโต๊ะทำงานที่เป็นงานออกแบบยุคโมเดิร์นสุดสวยอมตะมาตั้งแต่ปี 1972 โน่น ก้านของโคมไฟให้เลื่อนปรับแสง



ให้ได้ตามองศาที่ต้องการ เพื่อแสงถูกใจได้ด้วยสัมผัสนุ่มนวล โคมไฟ รุ่น Tizzio ออกแบบโดย Richard Sapper แบรนด์ Artimide จากร้าน Seenspace งานภาพถ่ายขาว-ดำ ราคา 10,000 บาท จาก Seenspace



4 งานสบาย



โต๊ะทำงานทำจากไม้สักและขาสเตนเลสสตีล ทรวดทรงโปร่งบางสบายตาและมีน้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายสะดวก พร้อมเก้าอี้ดีไซน์สวยคมกริบเข้าชุด โต๊ะทำงาน รุ่น Translucent ราคา 26,100 บาท จาก Plato เก้าอี้ รุ่น Translucent ราคา 11,900 บาท จาก Plato กระเป๋า ราคา 2,400 บาท จาก ระพี ลีลาศิริ ถังขยะ ราคา 2,520 บาท และแจกันแก้ว ราคาใบละ 900 บาท จาก Touchable


5 เก้าอี้นอนรับหลัง
พร้อมให้พิงเอนสบายทิ้งน้ำหนักได้เต็มที่กับลอนโค้งรับหลังและยาวไปตลอดสรีระกับเดย์เบดทรงสวย ที่ทำจากไม้ดัดโค้ง กับโครงสเตนเลสสตีล
เก้าอี้นอน รุ่น Lean ราคา 33,500 บาท จาก Plato

6 สตูลอเนกประสงค์
สตูลหนังที่ใช้นั่งก็ได้หรือใช้วางข้าวของก็ได้ พร้อมช่องเจาะสำหรับหิ้วให้สะดวกด้วยน้ำหนักเบาถือสบายสตูลหนัง ราคา 8,500 บาท จาก Touchable

7 ปูได้ทั้งนอกและในบ้าน
ฟังก์ชั่นใหม่ที่ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกบ้าน พรมเสื่อสานสวยที่ทำจากวัสดุกันแดดกันน้ำ กับลีลาที่ยังดูเป็นธรรมชาติพรม รุ่น Honey Comb (Outdoor) ออกแบบโดย ระพี ลีลาศิริ จาก ระพี ลีลาศิริ กาน้ำชาเซรามิกแฮนด์เมด สอบถามราคาได้ที่ Seenspace



8 อบอุ่นในโซฟา

อบอุ่น นุ่มนวล น่าซุกอิง อาร์มแชร์พร้อมออตโตมานวางขาที่ยามจัดเข้ามุมห้องแล้ว ให้ความรู้สึกน่าสบายที่สุด กับทรวดทรงโมเดิร์นร่วมสมัย กับลายเส้นขาวน้ำเงินแสนคลาสสิก อาร์มแชร์ รุ่น Liu bergere แบรนด์ Meridiani จาก Motif

9 ประติมากรรมวางข้าง

ชิ้นไม้ที่ถูกออกแบบให้เรียงซ้อนกันของโต๊ะข้างตัวนี้ที่นอกจากการใช้งานสำหรับวางของจุกจิกแล้วยังสร้างลูกเล่นแบบงานประติมากรรม และช่วยเติมมู้ดแบบอุ่นจากสัมผัสของเนื้อไม้โอ๊กแท้ๆ โต๊ะข้าง รุ่น Falo big แบรนด์ Riva1920 จาก Motif


10 ผนังสวยมีชั้นเชิง

ชั้นวางของที่ทำให้ผนังยิ่งสวยมีลูกเล่นด้วยที่วางเก็บหนังสือและวางโชว์ชิ้นสวยสะสม มีให้เลือกใช้ทั้งสองอารมณ์จะเปิดอวดหนังสือเรียงรายให้เรื่องเยอะ หรือเลื่อนบานตู้มาปิดให้นิ่งสงบก็ได้ทั้งนั้นบนผนังผืนเดียว รุ่น Shift ออกแบบโดย Patricia Urquila แบรนด์ BB Italia

11 สวยรับแดดฝน

เดย์เบดหน้าตาสวยเนี้ยบทันสมัยพร้อมโต๊ะกลางที่ทำจากหวายสังเคราะห์สาน และพิเศษที่ตัวเบาะเป็นวัสดุสามารถวางสู้แดดฝน สามารถใช้ทนทานได้ทั้งภายในภายนอกอาคาร เดย์เบดและโต๊ะกาแฟ รุ่น Vickey ออกแบบโดย เมธชนัน สวนศิลปพงศ์ จาก Kenkoon ถาดเหล็กรูปใบไม้ ราคา 5,800 บาท และ แจกัน ราคา 900 บาท จาก Touchable ชั้นวางซีดี รุ่น Translucent ราคา 6,900 บาท จาก Plato งานภาพถ่ายขาว-ดำ ราคา 10,000 บาท จาก Seenspace

12 ไม้กับสเตนเลสสตีลและสวน

สังสรรค์ กิน ดื่ม กับชีวิตในสวน อีซี่แชร์โครงสเตนเลสสตีลขึงผ้าสะลิงสีขาวและโลว์เทเบิลทำจากไม้สักรูปแบบเรียบง่ายแนวโมเดิร์น ที่ออกแบบมาสำหรับเอ๊าต์ดอร์โดยเฉพาะด้วยวัสดุทนแดด ฝน และล้างทำความสะอาดง่าย น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก โต๊ะ ราคา 21,000 บาท และเก้าอี้ ราคา 15,000 บาท จาก Deesawat จานแก้วแฮนด์เมด ราคา 1,200 บาท จาก Touchable หมวก ราคา 2,400 บาท จาก ระพี ลีลาศิริ

colskys@hotmail.com

เลือกใช้ Wallpaper อย่างไรให้โดน

แม้จะเป็นเพียงกระดาษแผ่นบาง ทว่า วอลล์เปเปอร์ ช่วยสร้างสรรค์บรรยากาศ ให้กับบ้านได้อย่างหลากหลาย ไม่แพ้วัสดุตกแต่งผนังชนิดอื่น

แม้จะเป็นเพียงกระดาษแผ่นบาง ทว่า วอลล์เปเปอร์ ช่วยสร้างสรรค์บรรยากาศ ให้กับบ้านได้อย่างหลากหลาย ไม่แพ้วัสดุตกแต่งผนังชนิดอื่น หรือถ้าพูดกันอย่างตรงไป ตรงมาก็อาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ และในเดือนหวานๆ อย่างเดือนกุมภาพันธ์นี้ หากใคร อยากเปลี่ยนอารมณ์บ้านและกําลังมองหาวัสดุตกแต่งผนังแล้วละก็ ลองทําความรู้จัก กับวอลล์เปเปอร์ดูสักที คุณอาจหลงรัก เจ้ากระดาษแผ่นบางที่เต็มไปด้วยสีสันและลวดลายเข้าก็เป็นได้

ทําความรู้จักวอลล์เปเปอร์

แม้คําว่า Paper จะแปลว่ากระดาษ แต่เจ้าแผ่นบางๆ ที่มีลวดลายหลากหลายนี้ ไม่ได้ทําจากกระดาษเพียงอย่างเดียวเท่านั้น วัสดุที่ใช้ผลิตวอลล์เปเปอร์มีทั้งผ้า แผ่นฟอยล์ ไวนิลหรือวัสดุสังเคราะห์ เช่น โฟม ซึ่งวัสดุแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและให้อารมณ์แตกต่างกัน อย่างวอลล์เปเปอร์ไวนิลก็มีความทนทานสูง วอลล์เปเปอร์ที่ทําจากผ้าจะดูนุ่มนวล ส่วนวอลล์เปเปอร์ที่มีโฟมเป็นส่วนประกอบจะให้ความโดดเด่นในแง่ของลวดลายที่ชัดเจนสะดุดตาและช่วยในเรื่องของการ ดูดซับเสียงได้บางส่วน

สีสัน ลวดลาย และพื้นผิว

จุดเด่นของวอลล์เปเปอร์อยู่ตรงที่มีสีสัน ลวดลาย และพื้นผิวที่หลากหลาย ทําให้บ้านดูมีลูกเล่นมากขึ้นกว่าการทาสี แต่ข้อสําคัญก็คือ การเลือกใช้วอลล์เปเปอร์ให้เหมาะกับพื้นที่หรือห้องตามลักษณะการใช้งาน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมบรรยากาศให้ดียิ่งขึ้น เช่น ห้องนอนเด็กควรเลือกใช้วอลล์เปเปอร์ที่มีสีสันสดใส มีลายการ์ตูนหรือสัตว์เพื่อช่วยส่งเสริมจินตนาการของเด็ก วอลล์เปเปอร์ในห้องรับแขกก็ควรมีสีสันที่ดูอบอุ่น เช่น สีน้ำตาลอ่อน มีลวดลายไม่จัดจ้าน หากเป็นวอลล์เปเปอร์ใน ห้องนั่งเล่นอาจเลือกสีสันและลวดลายที่สดใส สบายตา เพราะต้อง ใช้งานบ่อย เช่น สีฟ้าอ่อน สีเขียวอ่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความชอบ ของเจ้าของบ้านและโทนสีโดยรวมของบ้านด้วย

ทําไมต้องวอลล์เปเปอร์




นอกจากจะสร้างบรรยากาศให้กับบ้านแล้ว การใช้เจ้ากระดาษแผ่นบางหลากสีหลายลายนี้ ยังเป็นการซ่อนความไม่เรียบร้อยของงานผนัง ไม่ว่าจะเป็นรอยร้าว (ที่ไม่เป็นอันตราย) รอยแตก ลายงา รอยขูดขีดต่างๆ ตลอดจนสายไฟที่อยู่บนผนัง นอกจากนี้วอลล์เปเปอร์ยังทําความสะอาดง่าย โดยเฉพาะวอลล์เปเปอร์ชนิดที่เป็นไวนิลซึ่งเหมาะกับพื้นที่ที่มีการใช้งานบ่อยๆ เช่น ห้องนั่งเล่น




เตรียมผนัง ก่อนติดวอลล์เปเปอร์




คําถามที่ตามมาเมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะตกแต่ง ผนังห้องด้วยวอลล์เปเปอร์ก็คือ จะต้องมีการ เตรียมผนังที่จะติดอย่างไรบ้าง ผนังปูนเก่า ผนังปูนใหม่ ไม้อัดเรียบ หรือผนังยิปซัม มีวิธีการเตรียมพื้นผิวต่างกันหรือไม่ คําตอบก็คือผนังแบบไหนก็ได้แต่จะต้องเรียบเนียน หากเป็นผนังคอนกรีต ปูนต้องไม่หลุดล่อน หากมีอาการปูนฉาบหลุดล่อนก็ควรขัดและโป๊ให้เรียบร้อยแล้วทําความสะอาดก่อนที่จะปูวอลล์เปเปอร์ สําหรับผนังเบาประเภทยิปซัมหรือแผ่นเรียบ ก็ควรโป๊บริเวณรอยต่อให้เรียบร้อย ส่วนผนังคอนกรีตที่ไม่เรียบ เป็นคลื่น สามารถใช้ วอลล์เปเปอร์ชนิดไวนิลหรือโฟมที่มีความหนากว่าปกติก็จะช่วยพรางผนังที่เป็นคลื่นได้ แต่ในระยะยาวอาจไม่เหมาะสม เพราะด้านหลังมี ช่องอากาศ ทําให้การยึดติดระหว่างวอลล์เปเปอร์ และผนังไม่ดี




การทําความสะอาดวอลล์เปเปอร์




ใช้แปรงหรือผ้าเช็ดฝุนที่บริเวณผิวหน้าของวอลล์เปเปอร์ หากมีรอยหรือคราบสกปรกให้ใช้ผ้าหรือฟองน้ำชุบน้ำยาทําความสะอาดเช็ด ที่คราบสกปรกเบาๆ พยายามหลีกเลี่ยงรอย ขีดเขียนด้วยดินสอหรือปากกาเพราะทําความสะอาดยากกว่าคราบสกปรก ที่สําคัญต้องระวัง ไม่ให้วอลล์เปเปอร์โดนน้ำเพราะอาจทําให้เกิดปัญหาหลุดล่อนได้ โดยเฉพาะบริเวณขอบหรือรอยต่อ ถ้าเกิดเปียกน้ำให้รีบใช้ผ้าแห้งเช็ดโดยเร็วที่สุด หากวอลล์เปเปอร์เริ่มหลุดล่อนให้ใช้กาวลาเท็กซ์ป้ายที่ผนังแล้วปิดแผ่นวอลล์เปเปอร์ ให้เรียบสนิทและเช็ดทําความสะอาดกาวให้เรียบร้อย




Wallpaper D.I.Y




สําหรับบางคนที่ไม่อยากสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายหรือปูบนพื้นที่ไม่มากนัก คุณสามารถซื้อวอลล์เปเปอร์ชนิดที่ต้องการมาติดเอง แต่ในการปูควรมีเครื่องมือและผู้ช่วยสักคนเพื่อหยิบจับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสะดวก อุปกรณ์ที่ควรมีไว้สําหรับปูวอลล์เปเปอร์ ได้แก่




1. วอลล์เปเปอร์ที่จะปู




2. ปักเต้าพร้อมลูกดิ่ง




3. ตลับเมตร ไม้บรรทัด




4. คัตเตอร์




5. กาวสําหรับวอลล์เปเปอร์สําเร็จรูป




ถ้าหากต้องปูบนผนังกว้างๆ ควรใช้บริการของมืออาชีพที่เชี่ยวชาญดีกว่า ทั้งนี้ราคาการปูวอลล์เปเปอร์อาจขึ้นอยู่กับปริมาณพื้นที่และหากต้องลอกวอลล์เปเปอร์เก่าออกก็อาจมีการบวกค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย



+ ลายดอกไม้ในแบบกราฟิกสีขาว-ดํา ทําให้มุมรับประทานอาหารเท่ไม่ซ้ำแบบใคร


+ พื้นที่ว่างของการปูวอลล์เปเปอร์ทําให้ห้องดูน่าสนใจและเป็นจุดดึงดูดสายตา

+ ผ่อนคลายในห้องนอนด้วยวอลล์เปเปอร์ลายดอกไม้โทนสีเรียบและอบอุ่น

colskys@hotmail.com

ตกแต่งห้องให้ดูกว้างขึ้น

ใครที่มีพื้นที่ห้องจำกัด แต่อยากจัดและตกแต่งห้องให้ดูกว้างขึ้น วันนี้เรามีเคล็ดลับมาบอก

1.ควรเลี่ยงการวางเฟอร์นิเจอร์ขวางกั้นบริเวณทางเดิน เพื่อให้ทางเดินดูต่อเนื่อง
2.การจัดวางตู้ และเฟอร์นิเจอร์ ควรจะจัดให้ชิดติดผนังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
3.การตกแต่งภายใน ควรออกแบบโดยใช้โทนสีอ่อน และวอลล์เปเปอร์ที่ดูเรียบ ๆ ไม่จำเป็นต้องรายละเอียดมากเกินไป
4.การเปิดผนังระหว่างห้องน้ำ และห้องนอนด้วยการใช้บานเฟี้ยม หรือบานกระจกขุ่น ก็จะช่วยให้ห้องน้ำดูกว้าง และโล่งขึ้น โดยเฉพาะห้องน้ำที่ไม่ได้ติดหน้าต่าง จะช่วยนำแสงธรรมชาติเข้ามาสู่ห้องน้ำได้
5.ควรใช้ม่านหรือมู่ลี่สีอ่อนๆ บริเวณกระจก เพื่อให้สามารถเปิดรับแสงธรรมชาติ และมองเห็นวิวภายนอกได้เต็มที่
6.การเลือกเฟอร์นิเจอร์ ควรให้มีสัดส่วนพอดีกับพื้นที่ ระวังอย่าให้มีขนาดใหญ่หรือสูงเกินไป จะทำให้ห้องดูอึดอัด และคับแคบ
7.ควรเลือกวัสดุและเฟอร์นิเจอร์โทนสีอ่อน เพราะให้ความรู้สึกของพื้นที่กว้างขวางกว่าสีเข้ม นอกจากนี้ยังช่วยสะท้อน แสงธรรมชาติที่เข้ามาจากทางหน้าต่างได้ในปริมาณที่มาก และลึกเข้ามายังพื้นที่ส่วนที่อยู่ห่างจากหน้าต่างได้ดีอีกด้วย
ลองนำเคล็ดลับที่แนะนำไปตกแต่งห้องกันดูได้ ห้องจะได้กว้างขึ้น.
colskys@hotmail.com

มีบุตรยาก เพราะเธอหรือฉัน

ประเด็นสำคัญในการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน ก็เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนมีบุตร ซึ่งไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายต่างก็มีโอกาสป่วยด้วยโรคบางชนิดที่ส่งผลต่อการมีบุตรยาก

เริ่มจากฝ่ายหญิง หากมีอาการป่วยด้วยโรคที่ไม่เกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ อาทิ หอบหืด หัวใจ ปอด ชนิดรุนแรง ก็ไม่เหมาะที่จะตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ส่วนกรณีที่ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์นั้น จะส่งผลกระทบต่อการมีบุตร
นายแพทย์พูลศักดิ์ ไวความดี สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ระบุถึงความผิดปกติที่มักจะเกิดกับอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิงว่า ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ รังไข่ โรคที่พบบ่อย ๆ คือ ช็อกโกแลตซีส หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ มีลักษณะเป็นถุงน้ำมีเลือดอยู่ด้านใน เป็นแล้วจะมีอาการปวดท้องในช่วงที่มีประจำเดือน แต่ถ้าลุกลามมากจะปวดท้องรุนแรงทั้งในช่วงที่มีหรือไม่มีประจำเดือน รวมทั้งขณะมีเพศสัมพันธุ์
การเกิดช็อกโกแลตซีสนั้นมักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงวัย 30 ปีขึ้นไปซึ่งยังไม่เคยตั้งครรภ์ แต่ในปัจจุบันพบว่า ผู้หญิงมีอาการป่วยเพราะมีช็อกโกแลตซีสด้วยอายุที่น้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากการใช้ชีวิตที่เร่งเรีบไม่ใส่ใจสุขภาพ และความเครียดจากการทำงาน
สำหรับการรักษามีทั้งการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องที่ต้องพักฟื้นยาว กับแบบผ่าตัดส่องกล้องที่เกิดแผลเพียง 1 เซนติเมตร ความเจ็บปวดน้อยฟื้นตัวได้เร็ว หรือถ้าไม่ผ่าตัด ก็จะมีการรักษาโดยฮอร์โมน ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฮอร์โมนเข้ากล้ามเนื้อหรือรับประทานฮอร์โมนเพื่อลดระดับฮอร์โมนเพศหญิง ส่งผลให้ช็อกโกแลตซีสฝ่อตัวลงไป โดยแนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับลักษณะของช็อกโกแลตซีสด้วย
นอกจากปัญหาที่รังไข่แล้ว ยังมีที่ ท่อนำไข่ ในส่วนนี้จะพบว่าปีกมดลูกอักเสบแล้วเกิดเป็นพังผืดหรือแผลเป็น ซึ่งถ้าอาการดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งให้ท่อนำไข่อุดตัน ไข่และสเปิร์มจึงไม่สามารถผสมกันได้ รวมทั้งปัญหาเนื้องอกที่ มดลูก ในผู้หญิงที่แต่งงานและมีบุตรช้ากว่าวัย 30 ปี
ส่วนปัญหาของฝ่ายชาย ถ้าแต่งงานหลังจากช่วงอายุ 40-45 ปี ประสิทธิภาพของการสืบพันธุ์จะลดลง อสุจิหรือสเปิร์มเสื่อมคุณภาพ ซึ่งไม่มียาชนิดใดที่จะทำให้อสุจิแข็งแรงได้ ดังนั้นหากต้องการมีทายาท แพทย์จะให้ผู้ชายเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค คือ งดดื่มแอลกอฮอร์ เลิกสูบบุหรี่ และหยุดการสำส่อน แต่ถ้ายังไม่สามารถมีบุตรได้ อาจต้องเลือก การผสมเทียม ที่มีทั้งการผสมเทียมในร่างกาย คือการฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในมดลูกให้เกิดการปฏิสนธิภายในร่างกาย หรือการผสมเทียมนอกร่างกาย บางครั้งเรียก เด็กหลอดแก้ว เพราะเป็นการนำไข่ของฝ่ายหญิงออกมาผสมกับเชื้ออสุจิในหลอดแก้วแล้วเลี้ยงไว้ราว 3-4 วัน จึงฉีดกลับไปให้เจริญเติบโตต่อในร่างกาย
ยังมีกรณีของการเป็น หมัน ที่เป็นอุปสรรคในการสร้างโซ่ทองคล้องใจ หากฝ่ายชายเป็น หมันจริง ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เนื่องจากลูกอัณฑะไม่มีการผลิตอสุจิ ถือเป็นความผิดปกติของโครโมโซมที่อาจเกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิด แต่ถ้าเป็นเพียง หมันไม่จริง อย่างนี้มีทางแก้ไข เพราะลูกอัณฑะยังมีการผลิตอสุจิ แต่ท่อน้ำเชื้ออาจเกิดการอุดตัน อย่างไรก็ตาม ชายที่เป็นหมันก็ยังมีอารมณ์ทางเพศ แต่จะสามารถมีบุตรได้หรือไม่นั้น ก็ต้องไปตรวจวิเคราะห์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
colskys@gmail.com

ข้อเท็จจริง...เรื่องของถุงยางอนามัย

คนหลายคู่ที่คิดว่า การใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ต่อกันนั้นทำให้ไม่สามารถไปถึงจุดสุดยอดได้เพราะมีเกราะกำบังมากั้นความรู้สึก

มาถึงวันนี้ เชื่อว่าแทบทุกคนคงรู้แล้วว่า การใช้ถุงยางอนามัยเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ที่มาของโรคร้ายอย่างเอดส์ รวมทั้งโรคทางเพศสัมพันธ์อีกมากมายสารพัดโรค และการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ แต่การรู้เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ทำอย่างไรจึงจะให้ทุกคนตระหนัก และเตือนตัวเองให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์นั้นต่างหากที่เป็นปัญหาที่ต้องขบคิด

มี บางคนคิดเลยเถิดไปถึงว่าเป็นการแสดงถึงความไม่บริสุทธิ์ใจ เหมือนกับเป็นการบอกว่าตนนั้น(หรือกลัวว่าอีกฝ่าย)เป็นโรค กลัวโรคติดต่อ ไม่ไว้ใจกัน การมีเพศสัมพันธ์กันระหว่างชายหญิงเป็นสัมผัสที่ให้ความรู้สึกลึกซึ้ง หากมีอุปสรรคทางอารมณ์หรือความไม่ไว้ใจกันมากั้นขวาง หนทางรักก็ไม่เต็มอิ่มอย่างไรอย่างนั้น

แต่...แล้วคนที่คิดแบบนั้นหากลองคิดในทางกลับกันว่า .... หากคุณ หรือคู่ เกิดติดเชื้อโรคที่ไม่พึงประสงค์ทั้งหลายมาจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามแต่ แล้วนำไปแพร่กระจายใส่คนที่คุณรักล่ะ...นั้นก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นความประสงค์ร้ายที่คุณจะยอมทำกับคนที่คุณรักได้ลงคอเชียวหรือ?

ลองมาดูข้อมูลเหล่านี้กันก่อนเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของถุงยางอนามัยกันมากขึ้นนะครับ ในการศึกษากับคนที่ติดเชื้อเอชไอวี พบว่า คู่สามีภรรยา ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ติดเชื้อเพียงคนเดียว หากมีการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กัน และทำเป็นประจำโดยตลอดแล้ว จะมีอัตราการติดเชื้อเอชไอวีถึงกันต่ำกว่า 1% ต่อปีด้วยซ้ำ

นอกจากเชื้อเอชไอวีแล้ว ยังมีโรคติดต่ออีกมากมายที่สามารถส่งผ่านเชื้อกันได้ทางเพศสัมพันธ์ อย่าง เริม หนองใน ซิฟิลิส แม้กระทั่งโรคไวรัสตับอักเสบบี มีรายงานว่าในประเทศที่มีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้นสูง ตัวเลขจะสวนทางต่อผู้ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่นในเมืองไทยเราถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควรกับการรณรงค์ให้คนในแวดวงขายบริการทางเพศให้หันมาใช้ถุงยางอนามัย เพิ่มจาก 14% ในปี พ.ศ.2532 มาเป็น 94% ในปี พ.ศ.2537 ทำให้ตัวเลขของผู้ที่ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ลดลงจาก 400,000 คนมาเป็น 30,000 คนต่อปีโดยประมาณ เช่นเดียวกับที่ประเทศกัมพูชาที่ตัวเลขอัตราการติดเชื้อเอชไอวีลดลงกว่า 80% เมื่อคนหันมาใช้ถุงยางอนามัยกันมากขึ้น

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียยังตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้น้อยกว่า และยังจำเป็นต้องได้รับการรณรงค์ส่งเสริมการใช้ถุงยางฯ กันมากขึ้น หลายๆ ประเทศถุงยางอนามัยเป็นสิ่งที่หาซื้อได้ยาก ราคาแพง และยังไม่เห็นประโยชน์ของถุงยางอย่างแท้จริง แม้กระทั่งในกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพขายบริการเองก็ตาม ยังมีปัญหาการผลิตถุงยางอนามัยที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ เช่นในจีนที่มีคนทำงานด้านขายบริการอยู่ประมาณ 6 ล้านคน หากจะให้ทุกคนใช้ถุงยางฯ ก็ควรจะผลิตได้นับพันล้านกว่าชิ้นต่อปีหนึ่งๆ หรือในประเทศสหภาพพม่าที่ประเมินว่าควรจะผลิตถุงยางอนามัยได้สัก 50 ล้านชิ้นต่อปี เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศใช้สำหรับการวางแผนครอบครัวหรือการป้องกันโรคติดต่อ แต่ในความเป็นจริงตัวเลขปริมาณถุงยางที่มีในตลาดของประเทศดังกล่าวยังห่างไกลความต้องการอีกมาก

นับว่าเมืองไทยยังโชคดีกว่าที่ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ แต่แม้ต่างชาติจะมองว่าไทยประสบความสำเร็จในการชักชวนให้คนใช้ถุงยางอนามัยกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์ แต่การรณรงค์ก็ยังต้องทำต่อไปอย่างต่อเนื่องแบบหยุดไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มชาวบ้านในท้องถิ่น ชาวเขา เช่น ม้ง หรือละหุ ที่ไม่ค่อยใส่ใจถึงประโยชน์การใช้ถุงยางอนามัย ทำให้การคุมกำเนิด และควบคุมการแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในคนกลุ่มดังกล่าวทำได้ยาก หรือแม้แต่ในกลุ่มครอบครัวหรือคู่รักที่มีการศึกษาตามเมืองใหญ่ๆ เองก็ตาม ยังพบว่ามีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยค่อนข้างต่ำ สาเหตุเพราะหลายคู่ยังมีทัศนคติผิดๆ เกี่ยวกับการใช้ถุงยางฯ นำไปเชื่อมโยงกับความคิดเรื่องเพศสัมพันธ์ที่ไม่สะอาด หรือไว้ใจซึ่งกันและกันมากเกินไปว่าอีกฝ่ายไม่มีสัมพันธ์กับคนอื่น

ดังนั้น...หากเราอยากปลอดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือการตั้งครรภ์ขณะที่ยังไม่พร้อม และมีความสุขในชีวิตคู่ไปอีกนานๆ แบบมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง คงต้องเริ่มเปลี่ยนทัศนคติที่ไม่ดีต่อถุงยางอนามัย แล้วมองมันในมุมใหม่ ....

ความสุขในชีวิตรักมาจากสัมผัสที่อ่อนโยนลึกซึ้งต่อกันและกันระหว่างคู่ เพียงแค่เยื่อบางๆ ของถุงยางคงไม่ได้ทำให้ความรู้สึกหดหาย แต่กลับช่วยให้คุณต่างมั่นใจในกันและกัน และมั่นใจต่อกิจกรรมที่กำลังกระทำให้กันมากขึ้น จริงไหมครับ....

คุณรู้หรือไม่?!?

มีใครเคยบอกคุณเกี่ยวกับวิธีการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกวิธีแล้วหรือไม่.ถ้ายัง อ่านตรงนี้ก่อน

1.ก่อนซื้อควรแน่ใจว่าถุงยางอนามัยที่คุณจะซื้ออยู่ในสภาพที่ดี และยังไม่หมดอายุ

2.ฉีกซองอย่างระมัดระวัง ไม่ทำให้ถุงยางฉีกขาด

3.บีบรีดตรงปลายถุงก่อนจะค่อยๆ คลายม้วนขึ้นมาห่อหุ้มอวัยวะเพศที่กำลังแข็งตัว

4.หลังจากหลั่งอสุจิแล้ว ให้จับตรงขอบถุงยางไว้ แล้วค่อยดึงอวัยวะเพศออกจากถุงขณะที่ยังแข็งตัวอยู่

5.ห้ามใช้สารหล่อลื่นชนิดที่ผสมน้ำมัน หากจำเป็นต้องใช้ ควรใช้สารหล่อลื่นชนิดที่เข้ากับน้ำ (water-based lubricants) เช่น เควายเยลลี เป็นต้น

ข้อเสนอแนะสำหรับรัฐบาล ที่จะช่วยส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยให้กับประชาชนได้อย่างไรบ้าง

6.ปรับราคาให้ต่ำ หรือลดภาษีเพื่อลดราคา

7.ทำให้คนเลือกซื้อได้ง่าย ด้วยการส่งเสริมให้มีการขายถุงยางมากขึ้น ในร้านค้า ร้านขายยา สถานบริการ ร้านอาหารประเภท ผับ บาร์ หรือแม้แต่ตู้ระบบหยอดเหรียญอัตโนมัติ

8.ทำให้คนในสังคมรู้สึกยอมรับว่าการซื้อถุงยางเป็นเรื่องที่ดี คนจะได้ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หรืออายที่จะเดินไปซื้อถุงยางอนามัย

9.จัดอบรมเกี่ยวกับประโยชน์ของถุงยางอนามัยและสอนวิธีใช้ ให้กับประชาชน เริ่มตั้งแต่ในกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา

colskys@hotmail.com

ควรหรือไม่...ใช้แป้งที่จุดซ่อนเร้น

ถ้าใช้แป้งกับจุดซ่อนเร้น ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม?

หลายคนนิยมทาแป้งโรยตัวเพราะทาแล้วรู้สึกว่าผิวเนียน เนื้อนวล แถมมีกลิ่นกลุ่นหอมละมุนอีกต่างหาก ใครๆ ก็เลยนิยมใช้แป้งกันอย่างแพร่หลาย ใช้กับทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่หน้าจนถึงฝ่าเท้า ไม่เว้นกระทั่งก้นและจุดซ่อนเร้นซึ่งผู้หญิงส่วนมากให้ความเห็นว่า ช่วยให้แห้งสบายจากความชื้นโดยเฉพาะเมื่อใช้แผ่นอนามัยรองซึมซับกันเปื้อน ใช้กันตั้งแต่เด็กแบเบาะจนแก่เฒ่า แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการใช้ชีวิตเลยก็ได้ แต่ใช้กันมากขนาดนี้ ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม?

ก่อนอื่นมาดูกันว่าแป้งโรยตัวทำมาจากอะไร?

คำว่า แป้ง ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Talc มันคือแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นหินที่มีอยู่ในธรรมชาติ ที่มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า soapstone หรือ steatite ส่วนประกอบทางเคมีก็คือ hydrate magnesium silicate แต่มันอาจมีสารอื่น เช่น คลอไรต์ (chlorite) ร่วมด้วย เรารู้จักแป้งกันดีเมื่อมันถูกนำมาใช้งานในรูปของผงฝุ่นแป้ง และเพราะคุณสมบัติของแป้งที่ดีในเรื่องของการทนไฟทนกรด ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า ช่วยการผสมผสานและดูดซึมซับความชื้นทำให้พื้นผิวที่มันเคลือบอยู่แห้ง เนียนลื่นไม่ดูดติดกันเป็นสิ่งที่ทำให้มันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกวงการทั้งในภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะทำสี ทำสารหล่อลื่น เซรามิคกันไฟ แก้ว ยาขัดล้างทำความสะอาด กระดาษ ยาง ฯลฯ จนถึงยาและเครื่องสำอาง ตั้งแต่แป้งฝุ่นทาหน้า แป้งเด็ก สบู่ ครีมทาผิว น้ำยาดับกลิ่นตัว ฯลฯ เมื่อใช้แป้งกันมากมายในชีวิตประจำวันแล้วจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้หรือไม่?

อันตรายต่อสุขภาพปอด

เวลาทาแป้งตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะลอยละล่องในอากาศ และถ้าผงฝุ่นแป้งถูกสูดเข้าทางเดินหายใจทีละเล็กทีละน้อยเป็นเวลานานๆ มันก็อาจจะสะสมอยู่ในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน เราเรียกภาวะนี้ว่า pneumoconiosis ทำให้มีปัญหากับการหายใจ และถ้าสูดเข้าครั้งละมากๆ เช่น การสำลักผงแป้งเข้าไป ก็มีรายงานหลายชิ้นบอกว่า มีเด็กทารกที่ปอดอักเสบและตายจากสาเหตุนี้ สรุปว่าแป้งอาจทำให้ปอดมีปัญหาได้ แป้งไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด เว้นแต่ว่าแป้งนั้นจะมีใยหินแอสเบสตอส (Asbestos Fibers) ผสมอยู่ด้วย แป้งที่ใช้ทั่วไปไม่มีแอสเบสตอส และแป้งที่มีแอสเบสตอสอยู่ก็มีจากแห่งเดียวในแหล่งแป้งของอเมริกา ซึ่งทำเหมืองในกิจการของการค้นคว้าวิจัยเท่านั้นไม่เอามาใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ

อันตรายต่อสุขภาพรังไข่

เพราะการใช้แป้งที่ก้นกับอวัยวะเพศมีมากจนเป็นแฟชั่นฮิตอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1970 ก็เลยมีการสงสัยว่าแป้งทำให้เกิดมะเร็งที่รังไข่ได้หรือไม่? ก็มีคนทำการค้นคว้าและย้อนถามพบว่า คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43% ที่ใช้แป้งอย่างมากมายกับอวัยวะเพศ แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28% ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2 เท่า และมีอีกมากมายกว่า 30 รายการค้นคว้าที่ได้ผลประมาณว่าเป็นแบบเดียวกันนี้ บางรายงานสรุปความเสี่ยงมากถึง 2.5 เท่า

หลังจากปี ค.ศ. 1973 ในสหรัฐอเมริกาก็ออกกฎหมายบังคับให้แป้งที่ใช้ทาตัวและเครื่องสำอางต้องปราศจากแอสเบสตอส (เพราะคิดว่าอาจเป็นเพราะแอสเบสตอสทำให้เกิดมะเร็งที่ปอดและมะเร็งที่เยื่อบุในช่องปอดและช่องท้อง) แต่ก็ยังมีรายงานในปีถัดมาเรื่อยๆ ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งที่รังไข่สูงขึ้น 33% ในพวกที่ใช้แป้งกับอวัยวะสืบพันธุ์ และมีรายงานหนึ่งที่พบว่าต่อมน้ำเหลืองที่อุ้งเชิงกรานของคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ของรังไข่แบบ papillary serous มีเจ้า talc อยู่ในนั้น

สรุปว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งที่บริเวณอวัยวะเพศและทำให้เกิดมะเร็งของรังไข่แบบเซลล์บุพื้นผิว (epithelial cancer)โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอดมดลูกและท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง และด้วยความเชื่อที่ว่า talc เป็นอินออร์แกนิค (สารอนินทรีย์) จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน ขณะนี้แป้งที่ใช้โรยตัวและเครื่องสำอางในอเมริกาไม่ได้ใช้ talc แล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวโพด (corn starch) ซี่งเป็นสารออร์แกนิค (สารอินทรีย์) สามารถย่อยสลายตัวในคนได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า ถึงตอนนึ้ยังไม่มีรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้แป้งข้าวโพดกับการเกิดมะเร็งที่รังไข่

แป้งไทยมีส่วนผสมต่างจากแป้งเมืองนอกหรือไม่?

แป้งโรยตัวและเครื่องสำอางที่เมืองไทยทำจาก talc เชื่อว่าไม่น่าจะมีใยหินหรือแอสเบสตอสปนเปื้อน แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องของมะเร็งรังไข่ดั่งรายงานทางการแพทย์ที่มีมากมาย ดังนั้นแม้แต่แป้งในอเมริกาที่เปลี่ยนไปใช้แป้งข้าวโพดแล้วก็ตาม กุมารแพทย์และสูตินรีแพทย์จึงแนะนำว่า ไม่ควรใช้แป้งหรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์ ดังนั้น...

1.เด็กๆ ที่ต้องใส่ผ้าอ้อม สาวๆ ที่ใช้ผ้าอนามัยยามมีประจำเดือน หรือหญิงวัยทองที่มักเคยชินทาแป้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อยู่เสมอนั้น ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป ใครทำอยู่ก็เลิกเสียดีกว่าค่ะ

2.การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้นก็คือ การล้างด้วยสบู่อ่อนแล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ ตามด้วยการซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอนามัยชิ้นใหม่ และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อมและผ้าอนามัยบ่อยๆ จะได้ไม่เหนอะตัว และไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์

3.ถ้ารู้สึกว่ามีอาการแสบคันบริเวณก้นหรืออวัยวะเพศ ให้สังเกตและดูแลเรื่องของความชื้น หรือการแพ้ผ้าอนามัย หรือการใช้สบู่ที่มีความเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป หรืออาจมีการติดเชื้อก็ได้ อย่านิ่งนอนใจควรไปปรึกษาแพทย์

4.เมื่อรู้สึกอยากจะใช้แป้งกับอวัยวะเพศ ก็ให้นึกว่า อย่าเสี่ยงต่อการเกิดปัญหากับรังไข่ในอนาคตจะดีกว่า

5.ถ้ารู้สึกไม่สบายและอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้นอาจใช้วาสลีนหรือยูเรียช่วยทาเคลือบผิวและเปลี่ยนแผ่นอนามัยบ่อยๆ

6.ถ้าไม่มีประจำเดือนก็ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อนเพราะพบได้บ่อยๆ ว่ามีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย

7.สำหรับการทาแป้งให้เด็กๆ คุณแม่ที่ชอบบีบแป้งใส่อุ้งมือและทาไปยังบริเวณก้นและอวัยวะเพศของเด็กทีละมากๆ ควรเลิกพฤติกรรมนี้ดีกว่าค่ะ

8.ถ้าจะใช้แป้งทาที่อื่นๆ ในร่างกายก็เทแป้งครั้งละน้อย และพยายามอย่าให้ฟุ้งในอากาศ เพราะจะปนเปื้อนเข้าปอดทั้งของคุณและเด็ก

9.ไม่ควรให้เด็กถือกระป๋องแป้งเขย่าเล่น เพราะอาจหกใส่และสำลักหายใจเอาแป้งเข้าปอดและปอดอักเสบ ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงมีโอกาสถึงตายได้ค่ะ

ดังนั้นทุกครั้งที่ทาแป้ง ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ และทาในบริเวณที่เหมาะสมนะคะ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และที่สำคัญช่วยประหยัดเงินในการซื้อแป้งเป็นโหลๆ อีกต่างหาก

colskys@hotmail.com


10อาหารอันตราย(ใกล้ตัวมากๆๆๆ)


1.แฮมเบอเกอร์
แฮมเบอร์เกอร์ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้นและ นำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วยอุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ
2.ฮอทด็อก
ฮอทด็อกทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อ ส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%
3.เฟรนช์ฟราย
เป็นอาหารที่มี ?ความเป็นพิษสูง?การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท
4.โอริโอ้ คุกกี้
ที่เด่นชัดมากก็คือ ส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ช็อก โกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเ่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น
5.พิซซ่า
พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5 ชนิด -. เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้น
-. แป้ง ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไป ใหม่
-ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน
-แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม
-มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้
6.น้ำอัดลม
สารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
7.ชิ้นไก่เนี้อนุ่มไม่มีกระดูก
ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะ
8.ไอศครีม
มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเ่ยวย่น
9.โดนัท
โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้
10.โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยว
การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท กินมันฝรั่งทอดเพียงวันละ 1 ถุง เท่ากับซดน้ำมันพืชปีละ 5 ลิตรเชียวนะ

ตรวจก่อนแต่ง ลดปัญหาชีวิตคู่

หากคุณผู้อ่านกำลังคิดที่จะแต่งงานเพราะได้เวลาอันสมควร และที่สำคัญเพราะรู้สึกว่าใจพร้อม แต่กายนั้นจะพร้อมด้วยจริงหรือ?...

สิ่งที่คุณและคู่รักไม่ควรมองข้ามก่อนใช้ชีวิตคู่ฉันท์สามี-ภรรยานั่นคือ การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเสริมความสมบูรณ์ในชีวิตรัก และมีทายาทที่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ โดยการตรวจของชายและหญิงจะคล้ายคลึงกัน เริ่มจากการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ก่อนแพทย์จะตรวจหากรุ๊ปเลือด ABO ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจคัดกรองโรคธาลัสซีเมีย ตรวจหาเชื้อภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตรวจหาเชื้อซิฟิลิส ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ตรวจหาภูมิคุ้มกันโรคไวรัสตับอักเสบบี ส่วนการตรวจหาภูมิคุ้มกันโรคหัดเยอรมันจะตรวจเฉพาะฝ่ายหญิง ทั้งนี้ นายแพทย์พูลศักดิ์ ไวความดี สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่าการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบันคู่รักมักแต่งงานตอนอายุมาก ขณะที่ความเหมาะสมนั้นควรแต่งงานและมีบุตรไม่เกินอายุ 35-40 ปี รวมทั้งการใช้ชีวิตที่เครียด อาหารการกินไม่ถูกหลักโภชนาการ ที่ก่อให้เกิดโรคร้ายโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างก็มีพื้นฐานทางร่างกายที่ไม่เหมือนกัน อาทิ เลือดต่างกรุ๊ป หรือคนละเชื้อชาติ ซึ่งอาจนำความผิดปกติให้เกิดขึ้นกับลูกได้ โดยเฉพาะการแต่งงานกับชาวต่างชาติ มักพบปัญหากรุ๊ปเลือด เนื่องจากชาวไทยส่วนใหญ่จะมีเลือดกรุ๊ปหลักเป็น A, B หรือ O ส่วนกรุ๊ปย่อย (Rhesus) กว่าร้อยละ 90 ชาวไทยจะเป็น + ขณะที่ชาวต่างชาติมักจะเป็น - ลักษณะ + และ - ของกรุ๊ปเลือดย่อยในคู่รักต่างเชื้อชาติมักจะเข้ากันไม่ได้ จึงทำให้การตั้งครรภ์ของภรรยาเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ทารกไม่แข็งแรง หรือแท้งบุตรได้ แต่ถ้าตรวจวิเคราะห์แล้วทราบปัญหาดังกล่าวตั้งแต่ยังไม่มีบุตร แพทย์จะวางแผนการแก้ไขเรื่องดังกล่าวได้ ส่วนในขณะตั้งครรภ์ แพทย์จะให้วัคซีนป้องกันเลือดต่างกรุ๊ปปนกัน โดยเฉพาะขณะคลอดที่ต้องดูแลทารกเป็นพิเศษ ส่วนอีกปัญหาที่ต้องพึงระวัง คือ โรคธาลัสซีเมีย ภาวะเลือดจางจากการถ่ายทอดพันธุกรรม(ยีน) โดยลูกมีสิทธิป่วยด้วยโรคดังกล่าวได้ หากพ่อและแม่เป็นพาหะ (ธาลัสซีเมียแฝง) รวมทั้งการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะ หรือเป็นธาลัสซีเมีย ลูกที่เกิดมาจะมีอาการซีด เหลือง กรณีที่อาการรุนแรงจะมีใบหน้าผิดปกติ ตับโต ม้ามโต พัฒนาการทางร่างกายและสมองผิดปกติ รู้ทันความเสี่ยงกันแล้ว อย่าละเลยการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน มิฉะนั้นชีวิตคู่ที่หวานหยดก็อาจเปลี่ยนเป็นขมขื่นได้

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

ผมสวยด้วยสมุนไพรในครัว

นอกจากใช้รับประทาน ยังนำมาใช้ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะได้เป็นอย่างดี
สมุนไพรใกล้ตัว ปลูกริมรั้วที่บ้าน ที่สำคัญสมุนไพรพวกนี้ไม่เสี่ยงต่ออาการแพ้ เพราะธรรมชาติล้วน ๆ ไม่มีสารเคมีมาเจือปนให้รำคาญใจ
แต่ก่อนอื่นต้องวิเคราะห์ว่า เรามีปัญหาอะไร?
ผมร่วง เชิญทางนี้
ใครที่ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ สระทีผมหลุดออกมาเป็นกระจุก ปล่อยไว้เสี่ยงหัวล้านแน่ รีบหาน้ำมันมะกอกมาทาผมให้ทั่วแล้วนวดศีรษะทำสักพักค่อยล้างออกด้วยสบู่ หรือแชมพู ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไม่เกิน 1 เดือนผมจะค่อย ๆ หยุดร่วง
รังแค กวนใจไม่หยุดหย่อน
เมืองไทยคงไม่มีวันมีหิมะตกแน่ ๆ เพราะฉะนั้นใครมีรังแค ไหนจะเสียบุคลิก ไหนจะคันแย่ แนะนำผลมะคำดีควายทุบพอแหลก ต้มในน้ำให้เดือด นำน้ำที่ได้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้หนังศีรษะสะอาด ป้องกันการเกิดรังแค แถมแก้โรคชันตุได้อีกด้วย ส่วนใครที่มีอาการคัน ให้นำว่านหางจระเข้ปลอกเปลือก เอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้นมาบดประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เวลาสระผมให้ขยี้วุ้นว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วผมทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที ล้างออกให้สะอาด ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ลดอาการคันได้ชะงัด
ยี้ มีเหามารังควาน
สูตรเดิมที่เคยรู้ใบน้อยหน่ายังใช้ได้อยู่ เด็ดมาสัก 8 ใบ โขลกให้ละเอียดผสมน้ำ ทาผมให้ทั่ว เอาผ้าคลุมทิ้งไว้สักครึ่งชม.ค่อยล้างออก สระผมตามอีกครั้ง แต่ระวัง! น้ำน้อยหน่าเข้าตา ขอเตือนว่าแสบมาก ใครไม่มีใบน้อยหน่าแนะนำให้ใช้ใบสะเดาแก่ ๆ แทนได้ วิธีการเหมือนกันเป๊ะ
นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรอีกมากที่เป็นประโยชน์กับเส้นผมและหนังศีรษะ ต่อไปก่อนซื้อแชมพู อ่านส่วนผสมก่อนว่ามีที่เราต้องการหรือยัง ?
ผมมัน : เลือกสารสกัดจากธรรมชาติ พวก แตงกวา กระเพรา เบอร์กามอท และจูนิเปอร์ ช่วยลดความมันเยิ้มของหนังศีรษะ เส้นผมหลีบแบนได้
ผมแห้ง : เลือกสารสกัดจากดอกกล้วยไม้ กระเพรา โสม ขิง ช่วยให้ผมแห้งเสียกลับมามีน้ำหนัก สปริงตัวสวยอีกครั้ง
ผมแตกปลาย : เกิดจากใช้แชมพูที่มีกรดหรือด่างมากเกินไป เลือกสารสกัดจากตะไคร้ น้ำมันมะกอก ลูกมะกรูด ลดอาการแตกปลายได้
ผมธรรมดา : นับว่าเป็นคนโชคดีสุด ๆ แต่ต้องไม่ลืมบำรุงสม่ำเสมอ ไม่งั้นสภาพผมอาจแย่ได้ เลือกที่มีสารสกัดดอกฮอลลี่ฮ็อก กระเพรา อัญชัน มะกรูด ช่วยให้ผมดกดำ เงางามยิ่งขึ้น
เห็นไหมว่า สมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย เจ๋งจริง.

วิธีหลีกเลี่ยงรังแค

ใครที่ไม่อยากให้ผมมีรังแค วันนี้เรามีวิธีหลีกเลี่ยงการเกิดของรังแคมาบอก
สระผมด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้หนังศีรษะไม่แห้งและลอกเป็นขุย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดรังแค ยังทำให้ผมดูนุ่มสลวย เงางามอีกต่างหาก

หลีกเลี่ยงแสงแดดที่จัด เพราะแสงแดดตัวการสำคัญที่ทำลายเส้นผมและหนังศีรษะ ทำให้หนังศีรษะแห้ง เส้นผมชี้ฟู ขาดน้ำหนัก และไม่เงางาม

นวดบำบัดขจัดรังแค ทุกครั้งที่สระผมควรนวดศีรษะเบา ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยผ่อนคลายความเครียดแล้ว ยังสามารถขจัดเซลล์หนังศีรษะที่ตายให้หลุดลอกได้ง่ายขึ้น

เลือกยาสระผมให้เหมาะสม ควรใช้ยาสระผมที่ช่วยขจัดรังแคอย่างสม่ำเสมอ และควรล้างแชมพูให้สะอาดทุกครั้งหลังสระผม เพื่อขจัดสารเคมีที่ตกค้างบนหนังศีรษะ

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควรรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของธาตุสังกะสี วิตามินบี ซี และอี อยู่เสมอ เพื่อใช้ในการบำรุงหนังศีรษะ

ถ้าไม่อยากมีรังแค ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้.


colskys@hotmail.com

เล็มผมหน้าม้าด้วยตัวเอง

ผมหน้าม้าของใครที่กำลังเริ่มยาว แล้วดูไม่เป็นทรง วันนี้เรามีวิธีเล็มผมหน้าม้าด้วยตัวเองมาบอก

เริ่มจากการมัดผมที่แห้งเป็นหางม้า เพื่อที่จะได้เหลือแค่ผมหน้าม้าที่จะตัด
อย่าพยายามเปลี่ยนสไตล์ของผมหน้าม้าที่มีอยู่ จุดประสงค์ คือ แค่ตัดให้เรียบร้อย
ใช้หวี หวีผมจากด้านในเพื่อไม่ให้แยงตา และขึ้นอยู่กับว่าใช้มือไหนจับกรรไกรว่าต้องตัดจากขวาไปซ้ายหรือซ้ายไปขวา
ใช้หวีช้อนผมหน้าม้า ส่วนที่เหลือจะกองอยู่บนสันจมูก อย่าดึงผมให้ตึงเกินไปเพราะตัดแล้วจะสั้นเกิน
ใช้ปลายกรรไกรขลิบปลายผม ทำทีละช่อเล็ก ๆ
เมื่อตัดเสร็จแล้ว เช็คดูว่าตรงหรือยัง
คำแนะนำ ควรใช้กรรไกรคมกริบ และถ้าถนัดขวา ต้องตัดจากขวามาซ้าย ตอนตัดผมหน้าม้าควรจะตัดตอนผมแห้งเท่านั้น
เพียงเท่านี้ก็ได้ผมหน้าม้าที่ดูสวยดังเดิม.

ผมหงอกยิ่งถอนยิ่งขึ้นจริงหรือไม่

เชื่อหรือไม่ว่าการถอนผมหงอกจะทำให้ยิ่งมีผมหงอกเพิ่มมากขึ้น วันนี้เรามีคำตอบในเรื่องนี้มาฝาก
ความเชื่อในเรื่องของการถอนผมหงอกแล้วจะยิ่งทำให้ผมหงอกขึ้นจนทั่วศีรษะ ความจริงแล้วรากผม 1 เส้น จะสร้างผมได้ 1 เส้น ต่อให้ตัดหรือถอนก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมเพิ่มขึ้นได้ เพราะเส้นผมหงอกที่ถูกถอนหนึ่งเส้นจะไม่สามารถสร้างผมหงอกขึ้นมาได้อีก ดังนั้น การที่ยิ่งถอนยิ่งหงอก จึงเป็นไม่เป็นความจริง แต่ผมหงอกที่เพิ่มขึ้น คงจะมาจากปัจจัยอื่นมากกว่า
การป้องกัน ก่อนที่จะหงอกก่อนวัย ควรดูแลผมให้ดกดำด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์จากวิตามินบี ,ไบโอติน และสังกะสี เช่น งาดำ, ข้าวกล้อง, ตับหมู, ปลาเนื้อขาว และแครอท เป็นต้น หรือถ้าหงอกมากแล้วไม่สบายใจ ควรเลือกการย้อมผมดำแทนก็ได้
อย่างนี้แล้ว หันมาดูแลไม่ให้มีผมหงอกก่อนวัยกันจะดีกว่า.

ช็อกโกแลตมูส

ต้อนรับเดือนแห่งความร้อนระอุตับร้อนด้วยสูตรช็อกโกแลตมูส อร่อยเก๋ ไม่ซ้ำใครเพื่อคนที่คุณรักและห่วงใย สูตรฝรั่งเศสจาก ปริม บูลกุล


ส่วนประกอบ :

1.ช็อกโกแลตหวานน้อย 250 กรัม
2.เนย 100 กรัม,
3.ไข่แดง 3 ใบ, ไข่ขาว 6 ใบ
4.น้ำตาลทราย 60 กรัม
5.วิปครีม 200 มิลลิลิตร
6.น้ำส้ม 125 มิลลิลิตร และผิวส้มหั่นฝอยละเอียด



วิธีทำ :
ตั้งไฟอ่อนสำหรับน้ำส้มกับผิวส้มจนนุ่ม ละลายเนยและช็อกโกแลตใน Bain Marie ตีไข่แดง และนำ้ตาล ส่วนจนละลาย พักไว้ ตีไข่ขาวและน้ำตาล ส่วน จนตั้งยอด ผสมไข่แดงและน้ำตาล ที่ตีไว้ลงในช็อกโกแลต ตามด้วยวิปครีมที่ตีแล้ว ลงไปทีละน้อยจนหมด ใส่ผิวส้มที่เตียมไว้
สุดท้ายใส่ส่วนผสมไข่ขาวทีละน้อยอย่างเบามือ จนหมด ตักใส่ภาชนะและแช่เย็น 2-3 ชั่วโมง ตกแต่งด้วยเปลือกส้ม และใบสะระแหน่





เต้าฮวยเย็นฟรุตสลัด แก้กระหาย

ช่วงนี้อากาศร้อนพาลทำให้หลายคนอารมณ์ร้อนตาม กินดี มีวิธีคลายร้อนแบบอิ่มอร่อยมาฝากแถมเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

ช่วงนี้อากาศร้อนพาลทำให้หลายคนอารมณ์ร้อนตาม กินดี มีวิธีคลายร้อนแบบอิ่มอร่อยมาฝากแถมเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย เมนูวันนี้คือ เต้าฮวยเย็นฟรุตสลัด มีสรรพคุณ แก้ร้อน ดับกระหาย และช่วยขับปัสสาวะ
เตรียมส่วนผสม
1.วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
2.นมสดชนิดจืด 1 ถ้วยตวง
3.น้ำเปล่า 1 ? ถ้วยตวง
4.น้ำตาลแร่ธรรมชาติ ? ถ้วยตวง
5.กลิ่นวานิลา 1 ช้อนชา
6.ฟรุตสลัด
7.นมข้นจืดตามต้องการ
ลงมือทำ
ผสมวุ้นผงกับน้ำเปล่าให้เข้ากัน แล้วนำไปตั้งไฟเคี่ยวให้วุ้นละลาย หมั่นคนบ่อย ๆ จนเดือด จากนั้นใส่น้ำตาลแร่ธรรมชาติลงไป คนให้น้ำตาลละลายหมด ใส่นมสดและกลิ่นวานิลาลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นเทส่วนผสมลงในถ้วยหรือภาชนะที่เตรียมไว้ ตั้งพักไว้รอจนแข็งตัว
ระหว่างรอ หันไปเตรียมฟรุตสลัดกัน
ส่วนผสม
1.น้ำตาลแร่ธรรมชาติ 1 ถ้วย
2.น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
3.ผลไม้ต่าง ๆ ที่ต้องการทำฟรุตสลัด เช่น มะละกอ, สับปะรด, องุ่น, แคนตาลูป หรือชนิดอื่นตามใจชอบอย่างละ ? ถ้วยตวง
วิธีทำ
1.หั่นมะละกอ, สับปะรด, แคนตาลูป เป็นชิ้นสี่เหลี่ยม ส่วนองุ่นให้ล้างน้ำลอกเปลือกออก
2.ผสมน้ำเปล่ากับน้ำตาลแร่ธรรมชาติ นำไปตั้งไฟเคี่ยวจนน้ำเชื่อมข้น
3.ใส่ผลไม้ที่เตรียมไว้ลงไป ควรจะเชื่อมทีละอย่าง ตักออกแล้วค่อยเชื่อมอย่างอื่นต่อ
เมื่อทำฟรุตสลัดเรียบร้อยแล้ว นำฟรุตสลัดทั้งเนื้อและน้ำใส่ลงไปในเต้าฮวย ราดด้วยนมข้นจืดตามต้องการ
เคล็ดไม่ลับก้นครัว ถ้าอยากให้เต้าฮวยนิ่ม ๆ ก็ลดปริมาณผงวุ้นลงนิดหน่อย และก่อนรับประทานควรนำเต้าฮวยฟรุตสลัดแช่ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที เพื่อความหวาน เย็น สดชื่น

สลัดเห็ดพอร์โทเบลโล (Portobello Salad)







Portobello Mushroom เห็ดพอร์โทเบลโล หรือเห็ดหอม นอกจากจะมีรสอร่อยและมีกลิ่นหอมแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ช่วยให้หลับง่าย









ส่วนผสม




1.เห็ดพอร์โทเบลโล 4 ดอก
2.น้ำมันมะกอก 3 ช้อนโต๊ะ
3.น้ำส้มสายชูไวน์แดง (Red Wine Vinegar) 1 ช้อนโต๊ะ
4.น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
5.เกลือ พริกไทย อย่างละหนึ่งหยิบปลายนิ้ว





ส่วนผสมของน้ำสลัด
1.น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
2.น้ำส้มสายชูไวน์แดง (Red Wine Vinegar) 1 ช้อนโต๊ะ
3.น้ำผึ้ง 1/2 ช้อนโต๊ะ





ส่วนผสมของผักสลัด
1ผักสลัดรวม 1 ถ้วย
2.มะเขือเทศหั่นแว่น 3 ชิ้น






วิธีทำ

1.ตัดก้านเห็ดออก คลุกเห็ดกับเกลือ พริกไทย น้ำมันมะกอก น้ำส้มสายชู และน้ำผึ้งในชามแก้ว แล้วห่อด้วยพลาสติกถนอมอาหาร จากนั้นนำเข้าเตาไมโครเวฟ กดปุ่มระบบอัตโนมัติตั้งเวลา 2 นาที กดปุ่ม Start

2.เมื่อผักสุก นำออกจากเตาไมโครเวฟ พักไว้ประมาณ 15 วินาที แกะพลาสติกออก ตักเห็ดขึ้น พักไว้บนจาน นำน้ำเห็ดมาเติมลงในส่วนผสมน้ำสลัด ตีเพิ่มเข้าไปเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับน้ำสลัด

3.จัดวางเห็ด ผักสลัด และมะเขือเทศราดด้วยน้ำสลัด พร้อมเสิร์ฟ




ขนมปังหน้าเห็ด



เห็ดแชมปิญอง หรือเห็ดกระดุม จัดเป็นเห็ดยอดนิยมที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านแบคทีเรีย ช่วยให้หายใจสะดวก และระงับอาการปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี ว่ากันว่ารับประทานเห็ดแชมปิญองวันละ 100-150 กรัม จะเป็นผลดีต่อสุขภาพและร่างกายเป็นอย่างมาก


ขนมปังหน้าเห็ด

Mushroom Bruschetta




ส่วนผสม


1.ขนมปังบาแกตต์หรือขนมปังฝรั่งเศสหั่นบางๆ 10 ชิ้น
2.น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
3.เห็ดแชมปิญองหั่นสไลซ์ 1 ถ้วย
4.กระเทียมสับ 1 ช้อนชา
5.ผักชีฝรั่งสับ 1 ช้อนชา
6.หอมแดงสับ 1 ช้อนชา
7.น้ำมันมะกอก 3 ช้อนโต๊ะ
8.ปาปริก้าป่นและเกลือสำหรับโรยหน้าขนมปัง 3 ชิ้น
9.เกลือ พริกไทย อย่างละหนึ่งหยิบปลายนิ้ว



วิธีทำ

1.เริ่มจากราดน้ำมันมะกอกลงบนแผ่นขนมปังจากนั้นโรยซ้ำด้วยเกลือและปาปริก้าป่น
2.นำขนมปังมาวางเรียงบนตะแกรงเตี้ยสำหรับย่าง แล้วนำไปย่างในเตาไมโครเวฟ ด้วยระบบย่างกดปุ่มระบบย่าง ตั้งเวลา 2 นาที เสร็จแล้วนำขนมปังออกมาพักไว้

3.นำส่วนผสมเห็ดผัดมาคลุกรวมกันในชามแก้วปิดฝาด้วยพลาสติกถนอมอาหาร นำเข้าอบในระบบไมโครเวฟ กดปุ่มระบบอัตโนมัติตั้งเวลา 1 นาที

4.เสิร์ฟร้อนๆ คู่กับขนมปังกรอบ

colskys@hotmail.com

ทิศทางการปลูกไม้ดอกหอม

การปลูกไม้ดอกหอมให้ออกดอกสวยงาม ควรคำนึกถึงทิศทางการปลูกด้วย...

การปลูกไม้ดอกหอมให้ออกดอกสวยงาม ควรคำนึกถึงทิศทางการปลูกด้วย

ถ้าจะปลูกไม้ดอกหอมให้ออกดอกในฤดูฝน ก็ควรปลูกต้นไม้นั้นทางทิศใต้ของพื้นที่ เพราะถ้าลมฝนพัดมาก็จะหอบเอากลิ่นหอมมาเข้าบ้าน เช่นโมก จำปี จำปา พุดต่างๆ จันทน์หอม ปีบ ฯลฯ

ถ้าจะให้ออกดอกในฤดูหนาว ก็เลือกปลูกไว้ ทิศเหนือ ของพื้นที่เพื่อลมหนาวพัดมาจะได้หอบเอากลิ่นหอมเข้ามาในบ้าน เช่น พญาสัตบรรณ จิกทะเล จันทร์กะพ้อ สุพรรณิการ์ พะยอม ลำดวน เลี่ยน ช่อมาลี ฯลฯ

ส่วนจะปลูกให้ออกดอกตลอดปี ควรจะปลูกไว้ทั่วบริเวณเพราะถึงแม้ลมจะมาทางไหน ก็จะสามารถหอบเอากลิ่นหอม เข้าบ้านได้ตลอดทั้งปีเช่นกัน ตัวอย่างต้นไม้ดอกหอมที่ออกทั้งปี เช่น โมก สายหยุด บุหงาส่าหรี พิกุล ชงโค ฯลฯ

เพียงเท่านี้ ก็สามารถปลูกไม้ดอกหอมให้ออกดอกสวยงามได้แล้ว.

colskys@hotmail.com

เทคนิคทำความสะอาดลึกถึงซอกฟัน

ก็แปรงฟันหลังอาหาร ยาสีฟันก็ใช้อย่างราคาแพง น้ำยาบ้วนปากก็มีบ้วนเป็นประจำ มั่นใจมากว่าสะอาดแน่ แต่ทำไมยังเกิดโรคเหงือกอักเสบ ฟันผุอยู่



การทำความสะอาดฟันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคในช่องปากไม่ว่าจะเป็น ฟันผุ โรคเหงือก จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์เกี่ยวกับอนามัยของฟัน ตั้งแต่แปรงสีฟัน มีกันหลายแบบหลายชนิด ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก อุปกรณ์เสริมในการทำความสะอาดฟันก็มีมากมาย แต่ก็มักมีคำถามที่เกิดขึ้น บ่อยๆ ว่า ก็แปรงฟันทุกมื้อหลังอาหาร ยาสีฟันก็ใช้อย่างราคาแพง น้ำยาบ้วนปากก็มีบ้วนเป็นประจำ มั่นใจมากว่าสะอาดแน่ แต่ทำไมยังเกิดโรคเหงือกอักเสบ ฟันผุได้เพราะมีเศษอาหารค้างอยู่

การเกิดโรคเหงือกอักเสบ และฟันผุได้ ก็ต้องมีคราบอาหารค้างอยู่ มีอะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคทำให้แปรงฟันได้ไม่เกลี้ยงเกลาอย่างที่คิด

คนที่มีฟันซ้อนเก เรียงตัวไม่เป็นระเบียบเหมือนเวลาเข้าแถวและมีคนล้ำเส้นออกไป เวลาแปรงฟันขนแปรงจะสัมผัสเฉพาะฟันอยู่แถวหน้าเท่านั้น ส่วนฟันที่อยู่ด้านหลังก็จะไม่ค่อยถูกขนแปรงเลย คราบอาหารที่ค้างอยู่ตามคอฟันก็มีมาก คนที่มีฟันซ้อนเก จึงเกิดโรคเหงือกอักเสบได้ง่าย วิธีแก้ ก็คือจัดฟันหรือถ้ายังไม่พร้อมเวลาแปรงก็ต้องกดขนแปรงให้แนบชิดกับตัวฟันให้มาก ถึงสามารถทำความสะอาดได้อย่างเกลี้ยงเกลา

คนที่มีฟันซ้อนเก เรียงตัวไม่เป็นระเบียบเหมือนเวลาเข้าแถวและมีคนล้ำเส้นออกไป เวลาแปรงฟันขนแปรงจะสัมผัสเฉพาะฟันอยู่แถวหน้าเท่านั้น ส่วนฟันที่อยู่ด้านหลังก็จะไม่ค่อยถูกขนแปรงเลย คราบอาหารที่ค้างอยู่ตามคอฟันก็มีมาก คนที่มีฟันซ้อนเก จึงเกิดโรคเหงือกอักเสบได้ง่าย วิธีแก้ ก็คือจัดฟันหรือถ้ายังไม่พร้อมเวลาแปรงก็ต้องกดขนแปรงให้แนบชิดกับตัวฟันให้มาก ถึงสามารถทำความสะอาดได้อย่างเกลี้ยงเกลา

คนที่มีฟันล้มเอียง ก็จะแปรงยากเช่นกัน ต้องกดขนแปรงให้แนบกับฟันจริงๆ จึงจะทำความสะอาดได้ดี

คนที่มีฟันคุดที่โผล่ขึ้นมาบางส่วนแล้วไม่ได้ผ่าเอาออก เศษอาหารจะเข้าไปติดบริเวณฟันคุดและฟันซี่ติดกัน ทำให้ฟันข้างเคียงผุและเกิดอาการเหงือกอักเสบได้ง่าย กรณีแบบนี้ถึงจะพยายามแปรงอย่างไร ก็เอาเศษอาหารออกไม่หมด เห็นมีอยู่ทางเดียวก็ คือ ผ่าเอาฟันคุดออกก่อนครับ

ฟันที่อยู่ลึกมาก ๆ มักจะแปรงไม่ค่อยถึง เพราะบางท่านพอใส่แปรงสีฟันเข้าไปใกล้บริเวณ คอ ก็จะมีอาการอ๊อก ออกมาก็เลยไม่แปรงบริเวณซี่สุดท้าย ช่องว่างระหว่างฟัน แปรงสีฟันไม่สามารถเข้าไปถึงได้ คงต้องใช้ ไหมขัดฟัน ช่วยทำความสะอาด ถึงจะกำจัดเศษอาหารที่ติดค้างได้หมด

ฟันของเราจะมีบริเวณที่ทำความสะอาดได้ง่าย เช่น ด้านบดเคี้ยว ด้านที่ขนแปรงเข้าไปสัมผัสกับผิวหน้าฟันโดยตรง แต่ก็มีบางมุม บางจุดที่แปรงได้ยาก เนื่องจากการเรียงตัวของฟันอวัยวะข้างเคียงที่ขวางอยู่ จึงต้องสำรวจตรวจดูและให้ความเอาใจใส่ในการทำความสะอาดฟันกันเป็นพิเศษ เพื่อลดคราบอาหารเพื่อเพิ่มความมั่นใจคุณอาจใช้น้ำยาบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์ช่วยด้วยอีกทางหนึ่งก็ดีทีเดียว

colskys@hotmail.com

จูบแลกน้ำลาย อันตรายกว่าที่คิด ?

หลายคนยังไม่ทราบว่าการจูบนั้นอาจจะไม่ปลอดภัย ทำให้เกิดการติดเชื้อโรคจากน้ำลายได้หลายอย่าง

ปัจจุบันวัยรุ่นไทยมีการแสดงความรักกันอย่างเปิดเผยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกอด หรือการจูบ โดยที่ จนถึงขั้นทำให้สมองเสื่อม เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง อดีตนักวิจัยสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การจูบนั้นอาจไม่ปลอดภัยทำให้เกิดการติดเชื้อโรคจากน้ำลายได้หลายอย่าง ที่พบบ่อยคือ โรคเริม ซึ่ง จะเป็นตุ่มน้ำเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่ริมฝีปาก จมูก คาง แก้ม เกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) ในอเมริกาพบว่าเมื่อ วัยรุ่นอายุครบ 20 ปี ส่วนใหญ่จะมีการ ติดเชื้อเริมที่ปากไปแล้ว และเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) เริมเป็นแล้วจะไม่หายขาด เมื่อ ผู้ติดเชื้ออ่อนแอ เช่น เป็นไข้ โดนแดดจัด หญิงก่อนมีประจำเดือน เริมจะกำเริบได้ หากแกะเกาตุ่มน้ำแล้วสัมผัสนัยน์ตา กระจกตาอาจอักเสบจนถึงขั้นตาบอด

ที่น่าสนใจ คือ ปัจจุบันเชื่อว่าการ ติดเชื้อเริมที่ริมฝีปาก (HSV-1) อาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมที่เรียกว่าอัลไซเมอร์ได้ โดยตรวจพบเชื้อไวรัสเริม (HSV-1) ในคราบสมอง (beta-amyloid plaques) ของผู้ป่วยที่เป็น โรคนี้

อาการของอัลไซเมอร์ คือ ความจำเสื่อม หลงลืม ชอบพูดซ้ำ ถามซ้ำ ปัจจุบันพบว่ามีผู้เป็นโรคนี้มากขึ้น เพื่อป้องกันโรคเริม แนะ นำว่าให้งดเว้นการจูบพร่ำเพรื่อ การมีเพศสัมพันธ์ สำส่อน งดการใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ตลอดจนแก้วน้ำร่วมกัน เพื่อความปลอดภัยควรใช้หลอดดูด ดูดน้ำจากแก้ว

ผู้หญิงที่ชอบทดลองลิปสติกตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางมีโอกาสติดเชื้อ เริมได้ ผู้ที่เข้าห้องน้ำสาธารณะก็มีโอกาส ติดเชื้อเริมที่ก้น จึงควรใช้กระดาษ ปู รองนั่ง การทักทายโดยการจูบแบบชาว ตะวันตกนั้นเพิ่มการติดเชื้อเริมอย่างมาก การทักทายโดยการไหว้แบบไทยนับว่าปลอดภัยกว่า

การจูบปากยังทำให้ติดเชื้อไวรัส อื่น ๆ คือ โรคไวรัสตับอักเสบ บี เอ และน่าจะถ่ายทอดไวรัส ซี ได้ด้วย ซึ่งล้วนเป็นโรคเรื้อรังเป็นแล้วไม่หายขาด มีโอกาสทำให้ตับอักเสบ ตับแข็ง ตับวาย และอาจกลายเป็นมะเร็งตับ

ทั้งนี้การจูบอาจถ่ายทอดโรคโมโนนิวคลิโอสิส (infectious mononu- cleosis) ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เอปสตีน บาร์ ไวรัส (Epstein Barr Virus, EBV) โรคนี้จึงมีชื่อภาษาอังกฤษว่าโรคจากการจูบ (kissing diseases) มักพบในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โรคนี้ทำให้เกิดอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต เจ็บคอ ปวดหัว เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และตับอักเสบ

สำหรับการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ซึ่งหลายคนกลัวนั้น โดยทั่วไปการจูบไม่ทำให้ติดโรคนี้ ยกเว้นแต่ว่าเป็นการจูบแบบเปียกที่ผู้ที่เราไปจูบด้วยมีแผลมีเลือดออกในช่องปากและมีเชื้อเอชไอวี และตัวเราก็มีแผลในช่องปากเองด้วย

อย่างไรก็ตาม การจูบยังทำให้ติดเชื้อไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส หูดข้าวสุก และโปลิโอ.

colskys@hotmail.com

ฟอกสีฟันดีมั้ย!!??

มันมีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า ก่อนทำต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง

มีคนรอบข้าง ถามว่า ฟันมีสีคล้ำ จะไปฟอกสีฟันดีมั้ย แล้ว
ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน X-RAY สุขภาพ จึงมาพูดคุยกับ ทันตแพทย์หญิงชนิดา ธรรมสุนทร สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข
ทันตแพทย์หญิงชนิดา อธิบายว่า การฟอกสีฟัน เพื่อทำให้ฟันขาวขึ้น มีความปลอดภัย แต่ควรทำภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ ดังนั้นคนที่ต้องการฟอกสีฟัน อันดับแรกเลย ควรไปพบทันตแพทย์ เพื่อวินิจฉัยว่า ฟันสีคล้ำมีสาเหตุจากอะไร เช่น ฟันผุ เป็นรู มีคราบสีหรือ หินปูน หรือฟันตาย ซึ่งทันต แพทย์จะแก้ไขให้ตามสาเหตุ เช่น ฟันผุ แก้ไขปัญหาด้วยการอุดฟัน หากมีคราบสีหรือหินปูน จะแก้ไขด้วยการขัดฟันหรือขูดหินปูน หากเป็นฟันตายก็ควรได้รับการรักษารากฟันก่อนการฟอกสีฟันหรือบูรณะฟันด้วยวิธีที่เหมาะสมต่อไป
หากไม่ได้มาจากสาเหตุข้างต้น และทันตแพทย์พิจารณาว่า สามารถฟอกสีฟันได้ ทันตแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับคนไข้ ซึ่งผลของการฟอกสีฟัน ความขาวของฟันจะไม่คงทนถาวร เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 ปี สีฟันจะค่อย ๆ คล้ำลงเล็กน้อย อาจต้องมาทำซ้ำเป็นระยะ
การฟอกสีฟันที่ได้รับการยอมรับว่าได้ผลและมีความปลอดภัยสูง ได้แก่ การฟอกสีฟันที่คนไข้สามารถทำด้วยตัวเองที่บ้าน โดยใช้สารฟอกสีฟันที่ความเข้มข้นต่ำ ๆ ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์
วิธีการ คือ ก่อนที่จะทำการฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะให้ข้อมูลรอบด้านแก่คนไข้ และตรวจดูให้แน่ชัดว่า ฟันทุกซี่ไม่ผุ ไม่มีอาการเสียวฟันเนื่องจากภาวะเหงือกร่น คนไข้ ได้รับการขูดหินปูนหรือขัดคราบสีที่ปกคลุม ฟันออกเรียบร้อยแล้ว ส่วนฟันที่มีอาการอุด วัสดุอุดจะต้องไม่มีการรั่วซึม
จากนั้นทันตแพทย์ก็จะพิมพ์ปากคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟันและนำมาทำถาดฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะบันทึกสีของฟัน ก่อนเริ่มให้การรักษา จะนัดคนไข้มาลองถาดฟอกสีฟัน แนะนำวิธีใส่สารฟอกสีฟัน โดยส่วนใหญ่สารที่ใช้ฟอกสีฟันได้แก่ คาร์ บาไมด์เปอร์ออกไซด์ที่มีความเข้มข้น 10% โดยคนไข้จะใส่ถาดฟอก สีฟันวันละประมาณ 4 ชั่วโมง หรือจะใส่ตลอดทั้งคืนเวลานอนก็ได้ โดยระหว่างใส่ถาดฟอกสีฟัน ห้ามรับประทาน อาหารทุกชนิด
สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฟอกสีฟัน คือ อาการเสียวฟัน การ ระคายเคืองเนื้อเยื่ออ่อน เช่น เหงือก ดังนั้นระหว่างการฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะนัดมาติดตามผลเป็นระยะ เพื่อดูผลของการฟอกสีฟันและแก้ไขอาการข้างเคียง
ภายหลังเสร็จสิ้นการฟอกสีฟัน คนไข้ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภท ชา กาแฟ ไวน์ ซึ่งอาจทำให้มีคราบสีมาติดภายนอกฟันและทำให้ฟันดูคล้ำลงได้
ทั้งนี้ไม่แนะนำให้คนไข้ฟอกสีฟัน โดยซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีขายตามเคาน์เตอร์ในท้องตลาดมาทำเอง โดยไม่ได้ปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อหาสาเหตุ เพราะ 1.ปัญหาฟันสีคล้ำที่คนไข้มี อาจไม่ได้รับการแก้ไขให้ตรงจุด และเสียเงินโดยไม่จำเป็น 2.การฟอกสีฟันเอง มีโอกาสที่สารฟอกสีฟันจะไประคายเคืองเหงือก หรือเนื้อเยื่อภายในช่องปากได้มากกว่าวิธีที่ทำภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ 3.อาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการเสียวฟัน.
colskys@hotmail.com