วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รัชทายาทที่รอคอย



มหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร แห่งประเทศไทย
พระชนมายุ: ๕๖ ปี

พระราชโอรสองค์เดียวในกษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดช (ทรัพย์สินสุทธิ: ๑,๐๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) มกุฎราชกุมารและองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ ทรงขาดเสน่ห์และไม่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกับพระราชบิดา ซึ่งได้รับความเคารพยกย่องจากประชาชนอย่างใหญ่หลวง จึงเกิดคำถามต่างๆ เกี่ยวกับอนาคตที่สำคัญของระบอบกษัตริย์ในประเทศไทย

หมายเหตุ: คำนวณจาก ๑ ดอลลาร์ = ๓๕ บาท

colskys@hotmail.com

ทำไมถึงไม่รักในหลวง

นับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา คำว่า ‘รักในหลวง’ โถมกระหน่ำเข้ามาปะทะสายตาข้าพเจ้าอยู่ตลอดเวลา ในทุกด้าน ทั้งสายรัดข้อมือ เสื้อยึด สติกเกอร์รถยนต์ โปสเตอร์ ในธงและป้ายผ้า จากวิทยุ โทรทัศน์ และอินเตอร์เนต รวมทั้งบิลบอร์ดไปจนถึงหน้าโรงงาน เกือบทุกสะพานลอย ตลอดจนสี่แยกไฟแดง รัฐบาลใช้งบประมาณจากภาษีจำนวนมากเพื่อโหมประชาสัมพันธ์คำนี้จนมันมาละเลงเละตุ้มเป๊ะบนใบหน้าของเรา

คนที่ต่างประเทศถามข้าพเจ้า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่รักในหลวง?” ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่แสดงอาการรับไม่ได้และโกรธกริ้วต่อการกระทำของรัฐบาลที่ละลายเงินภาษีไปกับการพยายามคุมความคิดของคนไม่ให้มีความคิดเห็น ที่แตกต่างในเรื่องนี้ ต่างก็ต้องเผชิญกับการถูกคุกคาม ข่มขู่ จับกุมและถูกทรมาน

ชื่อของบทความครั้งนี้จึงตั้งขึ้นมาเพื่อเตือนความจำคนในประเทศไทย และจากทั่วโลกว่า มันไม่มีกฎหมาย และไม่มีทางที่จะมีกฎหมายใดสามารถระบุว่าประชาชนจะต้องรักในหลวง ประชาชนทุกคนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะพูดได้อย่างเปิดเผยว่าเรารักหรือไม่รักในหลวง การกระทำใดๆ อันเป็นการริดดรอน หรือคุกคามซึ่งสิทธิ เสรีภาพ ชีวิตและทรัพย์สิน ของบุคคลที่พูดว่าไม่รักในหลวง ถือว่าเป็นอาชญากรรม


ทำไมคนไทยจึงออกใบสั่งให้ทหารใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและทหารของสมเด็จพระบรมราชินีนาถสังหารคนไทย? ทำไมทหารรักษาพระองค์จึงเข้ามายุ่งเกี่ยวและปิดกั้นไม่ให้คนไทยใช้สิทธิิอัน ชอบธรรม เพื่อที่จะบอกเล่าถึงความคับข้องใจของพวกเขาบนท้องถนนกลางเมืองหลวง – เมืองของเทพและเทวดา – ที่เรียกว่า ‘กรุงเทพมหานคร’?

รากเหง่าแห่งความบ้าคลั่งที่ครอบงำประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 แล้วก็ตาม มันคืออะไร และมันอยู่ตรงไหนกัน?

สำหรับคนไทยที่มีจิตสำนึกแห่งเหตุผล และสำหรับผู้ที่ไม่ใช่คนไทย การออกใบสั่งของคนไทยเพื่อให้ไทยฆ่าไทย เป็นอีกหนึ่งในหลักฐานอันน่าตระหนกของประสิทธิผลแห่งการโหมโฆษณา ‘เรารักในหลวง’ ที่มีมาต่อเนื่องตลอด 64 ปี

หลังจากทหารใช้กองกำลังปราบปรามคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายน (2553) และตามมาด้วยสงครามบนท้องถนน สื่อกระแสหลักเช่นสถานีโทรทัศน์ของไทย เลือกที่จะนำเสนอภาพและเสียงของคนกรุงที่ร้องไห้คร่ำครวญอาลัยห้างร้านที่ถูกเผา โดยมินำพาที่จะถ่ายทอดภาพชีวิตที่ถูกพรากและทิ้งร่างไว้กลางท้องถนนรวมกัน ถึง 88 ศพ

ไร้ซึ่งถอยแถลงแห่งคำว่าเสียใจจากนายกรัฐมตรี รัฐบาล และแนวร่วมของรัฐบาล เป็นที่ประจักษ์แจ้งต่อประชาคมโลกว่า รัฐบาลไทยให้คุณค่ากับสิ่งปลูกสร้างมากกว่าชีวิตของปุถุชนคนไทย ความรุนแรงที่กระทำโดยรัฐเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ได้สังหารประชาชนไป 88 ชีวิต คือการเปิดโปงให้เห็นถึงการแบ่งชนชั้นในสังคมไทยอย่างน่าสะพรึงกลัว

มีคนไทยถึงสามล้านสี่แสนคนที่ใช้เฟสบุ๊ค โดยส่วนใหญ่เป็นผู้คนที่มีการศึกษา แม้ว่ารัฐบาลจะปิดกั้นการเข้าถึงเวบไซด์ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์นับพันนับหมื่นแห่ง แต่เฟสบุ๊คไม่ถูกปิดกั้น และถูกใช้เป็นเวทีจัดตั้งแนวร่วมของแต่ละฝ่าย ยกตัวอย่างคำกล่าวอ้างอันคลาสสิกแห่งค่าย ‘ปกป้องสถาบัน’

“เรารู้ดีว่าเราเป็น ใคร เรายึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ เราไม่ต้องพิงพิงใครเหมือนประเทศอื่นในเอเชีย (อาจหมายถึงไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของใคร – ผู้เขียน) เพราะว่าเรามีในหลวง เราภูมิใจที่มีในหลวงที่ซื่อสัตย์ ในหลวงใช้พระราชทรัพย์ของพระองค์เพื่อพสกนิกรของพระองค์ ทรงเป็นแบบอย่างของผู้ที่ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และ เป็นอาทิ ฉันเลือกที่จะเคารพในหลวงมากกว่าเคารพนักการเมืองที่ละโมภ ฉันควรจะถามคุณว่าทำไมจึงเข้ามาวุ่นวายในหัวข้อที่เกี่ยวกับประเทศไทย ซึ่งนำเสนอโดยคนไทย???”

นับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยได้รับการยกย่องจากองค์กรจัดลำดับ ที่มีชื่อเสียงของโลก Forbes ว่าทรงเป็นราชวงค์ที่มั่งคั่งที่สุดในโลกด้วยพระราชทรัพย์ทั้งสิ้นกว่าสามหมื่นห้าพันล้านดอลลาร์ หรือหนึ่งล้านหนึ่งแสนสองหมื่นล้านล้านบาท( 1,120,000,000,000 บาท)

นักแสดงชายที่ได้รับรางวัลนาฏราช ได้กล่าวกับผู้ร่วมงานและผู้ชมที่อยู่ทางบ้านในคืนวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 ค่ำคืนที่ทหารทำการปราบปรามประชาชน นักแสดงผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทยท่านนี้กล่าวว่า

“ถ้าเกลียดพ่อไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ ผมรักในหลวงครับ และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้ รักในหลวงเหมือนกัน พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน ..”

คำกล่าวที่จับขั้วหัวใจของผู้ชมในงานและที่ชมอยู่ทางบ้าน ส่งผลทันทีต่อความรู้สึกร่วมของสาธารณะชน มีการโจมตีทางอินเตอร์เนตต่อดาราผู้หนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเดินออกจากงานในขณะที่สุนทรพจน์นี้ถูกเปล่งออกมา และในงานนี้อีกเช่นกัน บุตรสาวที่โชคร้ายของเขาถูกจับภาพว่าไม่ร่วมขับขานบทเพลงพระราชนิพนธ์ในขณะที่อยู่บนเวที เธอจึงถูกโจมตีไปด้วย เพียงชั่วข้ามคืนดาราผู้พ่อและดาราผู้ลูกถูกกระหน่ำโจมตีอย่างหนัก จนนำมาซึ่งการถูกยกเลิกสัญญาหลายรายการ ภายใต้ความกดดันจากสังคม ทั้งสองคนพ่อลูกได้แถลงข่าวยืนยันหนักแน่นว่าจงรักภักดีต่อสถาบัน

สุนทรพจน์นี้ถูกนำขึ้นไปอ้างต่อโดยทันทีในเวบไซด์ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ทั้งนี้ ศอฉ. คือหน่วยงานที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาและได้รับอนุญาตออกใบสั่งให้ใช้กระสุนจริงกับประชาชน

เมื่อเร็วๆ นี้ นักเรียนวัน 18 ปี ถูกปฏิเสธจากสองมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อเสียง เพีียงเพราะว่าเธอเข้าร่วมในการประท้วงของคนเสื้อแดง และวิจารณ์สถาบันพระมากษัตริย์ ได้มีการประกาศทางอินเตอร์เนตว่าจะล่าตัวเธอมากราบรูปในหลวงให้จงได้ เพื่อให้เธอรอดพ้นจากอันตรายที่คุกคาม มีผู้บริจาคทุนให้เธอไปเรียนต่อที่เมืองนอก

เมื่อนักเรียนที่สามารถสอบผ่านเข้าเรียนมหาวิทยาลัยถูกปิดกั้นโอกาส ถูกตามล่า และทำให้ตกเป็นเหยื่ออันโอชะของสังคม เพียงเพราะเธอกล้าที่จะวิจารณ์ในหลวง มันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะสังคมจะต้องลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้กันอย่างจริงจังมากขึ้น

ทั้งหลายทั้งปวงที่ยกมากล่าวถึงนี้เป็นเพียงตัวอย่างอันเล็กน้อย เพื่อที่จะฉายให้เห็นภาพแห่งความบ้าคลั่งอันสุดโต่ง ที่กำลังกลืนกินปกติสุขของปวงชนชาวไทยในต้นศตวรรษที่ 21

มนุษย์ทุกคนมีขีดจำกัด และข้าพเจ้าเขียนบทความนี้เพื่อเปิดเผยให้สังคมได้รับทราบว่า ทำไมมันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะรักในหลวง

เกิดมาเพื่อรักในหลวงและราชินี

ภาพถ่ายของในหลวงและราชินีในวัยหนุ่มสาวที่ดูสง่างาม ท่ามกลางฟ้้าชายและฟ้าหญิง คงอยู่คู่ฝาบ้านด้านหนึ่งของครอบครัวเรามาตลอดหลายสิบปี ไม่ว่าเราจะรื้อและปลูกบ้านใหม่กี่ครั้งก็ตาม ภาพเหล่านั้นจะถูกนำกลับไปแขวนไว้ในจุดที่สูงที่สุดของฝาบ้านอีกครั้ง และคงอยู่คู่บ้านเรามาโดยตลอด ครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิด ภาพเหล่านั้นก็ยังคงอยู่แขวนอยู่ที่ฝาบ้านอันว่างและทรุดโทรมด้านนั้น ภาพซีดจางลงไปมาก พร้อมกับร่องรอยแห่งรอยเปื้อนจากน้ำฝนที่ไหลซึมเข้าไปในภาพ

เมื่อลืมตาขึ้นมาดูโลกไม่นานข้าพเจ้าก็เห็นภาพในหลวง และเมื่อเริ่มพูดได้เพียงไม่กี่คำ ข้าพเจ้าก็ได้รับการอบรมสั่งสอนว่าเราต้องรักในหลวงและราชินี เพราะว่าทั้งสองพระองค์คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

พวกเราได้รับการกล่อมเกลาให้เชื่อว่าทั้งสองพระองค์คือพระมหากษัตริย์และมหาราชินีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในสมัยนั้นสถานีโทรทัศน์ทุกช่องต่างอัดแน่นไปด้วยรายการเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริ และงานในเสด็จพระราชกุศล เพื่อตอกย้ำให้พสกนิกรเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ยามนั้นไม่มีใครในครอบครัวเราได้มีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวง แต่พวกเราก็รักในหลวง เพราะว่าทุกคนบอกว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่ดี

ในวัยเด็ก พวกเราต้องเดินย้ำน้ำย่ำโคลนไปดูทีวีของเพื่อนบ้าน เมื่อเรามีทีวีเอง ทั้งแม่และยายต่างก็ถือเป็นกิจวัตรประจำวันที่จะต้องดูข่าวในพระราชสำนักตอนสองทุ่ม การดูข่าวในพระราชสำนักทุกวันเป็นดังเช่นหลักปฏิบัติแห่งการเป็นผสกนิกรที่แท้จริง เมื่อรัฐบาลประกาศเชิญชวนให้ร่วมจุดเทียนถวายพระพร แม่กับยายก็จะทำตามโดยไม่มีคำถามแม้แต่น้อย และทั้งสองท่านก็รักในหลวงรูปงามและราชินีผู้ศิริโฉม รวมทั้งฟ้าชายและฟ้าหญิงพระองค์น้อยอย่างแท้จริง และไม่เคยหยุดที่จะเอ่ยชื่นชมในความสง่างามของทุกพระองค์ แต่สำหรับพวกเราเด็กๆ เราแทบจะอดทนรอไม่ไหวที่จะให้รายการพระราชกรณียกิจผ่านไปเร็วๆ เพราะใจของพวกเราจดจ่ออยู่กับละครที่ถูกเลื่อนเวลาออกไป

หมู่บ้านของเราเป็นหมู่บ้านชาวนาที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่เหนียวแน่น โดยมีบ้านเรือนประมาณ 200 หลังคาเรือน ในช่วงระหว่างปี 2500 – 2520 มันเป็นหมู่บ้านที่มีชีวิตชีวามาก ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านเป็นญาติพี่น้องของเรา เกือบทุกคนในหมู่บ้านจะเข้าร่วมงานของแต่ละบ้าน ตั้งแต่งานฉลองการเกิดจนถึงงานณาปนกิจศพ

เป็นเวลาร่วมครึ่งปีในฤดูน้ำท่วม ที่หมู่บ้านใต้ถุนสูงของเราจะตั้งอยู่บนน้ำ บ้านของพวกเราจึงมีทางเดินไม้ทอดต่อจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่ง จากบ้านเราไปยังบ้านป้า บ้านป้าต่อไปย้งบ้านน้า สำหรับพวกเราเด็กๆ มันสะดวกและก็สนุกด้วย ที่จะเดินไปบ้านโน้นบ้านนี้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินขึ้นเดินลงบันได เราเดินเข้าครัวของบ้านน้า บ้านป้า เพื่อดูว่ามีอะไรกินได้บ้าง หรือไม่ก็ชวนกันทำอาหารกินร่วมกัน ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าหมี่น้ำ ข้าวสวย น้ำพริก ผักสดและก็พวกปลาต่างๆ เพราะว่าบ้านของพวกเราจะตั้งอยู่ในน้ำร่วมครึ่งปี จึงมีบ้านไม่กี่หลังที่สามารถเลี้ยงไก่ได้ แต่ละครอบครัวมักจะซื้อทุกอย่างด้วยการจดเชื่อกันไว้ก่อน และข้าพเจ้าก็จำไม่ได้แล้วว่าเคยได้ทานไข่ไก่ทั้งฟองเพียงคนเดียวก่อนเข้า เรียนในระดับมัธยมศึกษาหรือไม่

การที่เราอยู่ในเขตน้ำท่วม เราเรียกว่า ‘หน้าน้ำ’ เราจึงทำนา ‘หน้านา’ ได้เพียงปีละครั้ง การสัญจรไปมาจึงต้องพึงพาทางน้ำเป็นส่วนใหญ่ หมู่บ้านของเราจัดงานเทศกาลทั้งงานวัดงานบ้านเกือบตลอดทั้งปี ในช่วงเทศกาลงานวัดหรืองานบ้าน ชาวบ้านจะใช้เวลาหลายวันช่วยกันเตรียมและจัดทำอาหารคาวหวานไว้เลี้ยงพระ เลี้ยงแขก และให้หอบหิ้วกันเอากลับไปฝากคนที่อยู่ทางบ้านอีกด้วย ทั้งคนหนุ่มคนสาว หรือคนไม่หนุ่ม คนไม่สาว จะเล่นดนตรีและร้องเพลงกันอย่างครึกครื้นตลอดงาน แต่ปัจจุบันเทศกาลงานรื่นเริงหลายอย่างได้หายไป สำหรับเทศกาลที่ยังคงดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน ความเรียบง่าย วัฒนธรรมประเพณี และความลุ่มลึกทางจิตวิญญาณได้ขาดหายไปเยอะทีเดียว ชาวบ้านต่างก็จัดงานด้วยการจ้างผู้รับเหมาจัดเลี้ยงที่บริการทั้งอาหารและวงดนตรีที่มีสาวๆ นุ่งบิกินีมาเต้นโชว์ตลอดงาน

ในช่วงต้นทศวรรษ 2520 การพัฒนาต่างๆ เริ่มเข้ามาถึงหมู่บ้าน ถนนลูกรังถูกตัดเชื่อมไปสู่ตัวอำเภอ ตามมาด้วยไฟฟ้าและฝุ่น คลองชลประทานและประตูกั้นน้ำเข้ามาพร้อมๆ กัน เพื่อช่วยป้องกันน้ำท่วมและส่งน้ำให้ชาวบ้านสามารถทำนาปรังและปลูกข้าวได้มากกว่าปีละหนึ่งครั้ง ปัจจุบันพี่ชาย น้องชาย และพี่สาวของข้าพเจ้าสามารถปลูกข้าวได้ปีละสองครั้ง บางปีก็สามครั้ง

ปลายทศวรรษ 2530 ถนนลูกรังฝุ่นคลุ้งได้แปรเปลี่ยนเป็นถนนลาดยาง ฝุ่นที่เคยพัดปลิวเข้าบ้านเราเบาบางลงไปมาก แต่ก็จนกระทั่งช่วงกลางทศวรรษที่ 2530 นี่เองที่หมู่ของบ้านได้จัดทำระบบน้ำประปาหมู่บ้าน และเมื่อสายโทรศัพท์เดินทางมาถึงบางบ้านในช่วงปลายทศวรรษ 2540 เกือบทุกคนในหมู่บ้านก็มีโทรศัทพ์มือถือใช้กันแล้ว

นี่คือหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากกรุงเทพเพียง 100 กิโลเมตร สำหรับหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากกรุงเทพหลายร้อย กิโลเมตรเช่นที่อีสาน การพัฒนาต่างๆ เหล่านี้เดินทางมาถึงหมู่บ้านของพวกเขาล่าช้ากว่าหมู่บ้านของข้าพเจ้าอีก

เมื่อขายข้าวได้ ชาวบ้านจะมีเงินกันขึ้นมาบ้าง พ่อค้าแม่ค้าเร่จะทะยอยเดินท้างเข้ามายังหมู่บ้านของเราอย่างไม่ขาดสาย พ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้จะเดินเร่ขายของจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง แบกหิ้วของพะรุงพะรัง มีทั้งมุ้ง หม้อ กะทะ ผ้าห่ม และรวมทั้งรูปภาพของพระพระบรมวงศานุวงศ์

ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงเมื่อครั้งที่ยายซื้อรูปภาพของในหลวงและราชินีที่ใส่กรอบทองสวยหรู แล้วนำรูปไปแขวนไว้บนฝาบ้าน สูงกว่าสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าจำได้ดีถึงความน้อยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของแม่ที่ไม่สามารถซื้อรูปเหล่านั้นได้ นี่คือความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อบ้านเกิด และความรักที่มีต่อในหลวงและราชินี เนินนานก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะรู้จักถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “รัก”

ความรักในพระพระบรมวงศานุวงศ์ของพวกเราเป็นความรักที่ปราศจากซึ่งคำถาม ความรักที่ดูน้อยนิดในต้นทุนแห่งความรักอันยิ่งใหญ่มหาศาลที่ในหลวงและราชินีของประเทศไทยทรงโชคดียิ่งนักที่ได้รับความรักเช่นนี้จากผสกนิกรชาวไทย จนอาจจะเคยชินกันมันและก็ทรงเกษมพระสำราญจากความรักนี้ ราวกับว่ามันเป็นโองการสวรรค์

นอกเหนือจากช่วงเวลาแห่งความสนุนสนานของวัยเด็กที่มีพื้นที่โล่งกว้างให้วิ่งและผืนน้ำอันกว้างใหญ่ให้ว่ายเล่นไปมา แต่การมีลูกถึง 9 คน ในช่วงต้นทศวรรษ 2500 พ่อกับแม่ต้องต่อสู้กันอย่างหนักเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอดให้ได้จากราคาข้าวที่ตกต่ำ

พ่อกับแม่จึงตัดสินใจเดินทางขึ้นเหนือไปแผ่วถางป่าในเขตเชิงเขาที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 100 กิโลเมตร ที่นี่ ครอบครัวเราทำงานอย่างหนักเพื่อแผ่วถางป่าจนกระทั่งมีที่ดินประมาณ​ 50 ไร่ และลงมือเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเกือบทุกชนิดตามแต่รัฐบาลจะส่งเสริม แต่ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวอับโชค ไม่ว่าเราจะปลูกอะไรตามคำแนะนำของรัฐบาล มันสำปะหลัง ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ดอกทานตะวัน ฝ้าย และอ้อย ฯลฯ แต่พอเราเก็บเกี่ยวเสร็จ ราคาผลิตผลก็มักจะตกต่ำจนเราไม่เหลือกำไร

เมื่อเดินและวิ่งได้คล่องแคล่ว ข้าพเจ้าก็เข้าไปช่วยครอบครัวในไร่ในนาแล้ว ถ้าพวกเราอยู่ในยุคสมัยนี้ พวกเราพี่น้องคงถูกจัดเข้ากลุ่มแรงงานเด็กเป็นแน่แท้ พออายุ 9 ขวบข้าพเจ้าก็รับหน้าที่เป็นแม่ครัว และพนักงานทำความสะอาดของบ้านเป็นที่เรียบร้อย

เช่นเดียวกับครอบครัวชาวนายากจนทั้งหลาย ราคาของเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงและยาฆ่าหญ้า รวมทั้งอุปกรณ์ทางการเกษตรและค่าใช้จ่ายในครอบครัว หมายความว่าพวกเราไม่เคยมีเงินสดติดมือ และครอบครัวของเราก็ไม่เคยปลอดหนี้ พวกเราอาศัยอยู่ในวัฎจักรแห่งหนี้สิ้นที่ไม่มีวันจบสิ้น มีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นทุกปี เราจึงต้องพึ่งพิงอาหารเท่าที่จะหาได้จากป่าและลำน้ำ นอกเหนือจากนี้ถ้าจำเป็นจะต้องซื้อเราก็จำเป็นต้องซื้อด้วยการจดเชื่อไว้กับพ่อค้าหรือแม่ค้า พอมีเงินก็จ่ายคืนกันทีหนึ่ง นับตั้งแต่แนวคิดเรื่องปฏิวัติเขียวได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศไทย หนี้เพื่อการเกษตรของเกษตรกรไทยไม่เคยหยุดเจริญเติบโต ในปัจจุบันนี้ หนี้สินของครอบครัวเกษตรกรจะอยู่ที่ประมาณ 245,000 บาทต่อครอบครัว

ด้วยเป็นเด็กที่เจ็บออดๆ แอดๆ อยู่ตลอดเวลา บ่อยทีเดียวที่แม่และครอบครัวต้องวิ่งวุ่นพาข้าพเจ้าเข้าโรงหมอคนโน้น หาหมอคนนี้ จริงๆ แล้วคนที่พวกเราเรียกว่าหมอในสมัยนั้นไม่ใช่หมอที่มีใบประกาศนียบัตรแพทยศาสตร์ แต่คือแพทย์ทหารและพยายาล แต่พวกเราเรียกพวกเขาว่าหมอ และแล้วในที่สุดพี่สาวสองคนก็เป็นผู้ที่พาพ่อแม่และข้าพเจ้าไปตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช ที่กรุงเทพฯ ที่พี่ทั้งสองทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดและช่วยงานทั่วไป คิดว่าคงราวๆ ปี พ.ศ. 2520 เมื่อข้าพเจ้าอายุ 11 ขวบ นั่นนับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้าได้รับการตรวจจากแพทย์ที่แท้จริง แพทย์ตรวจพบว่าข้าพเจ้าเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เรียกว่าธาลัสซีเมีย โรคที่คนไทยจำนวนมากเป็นกัน ครอบครัวของเราไม่เคยได้ยินเรื่องโรคนี้มาก่อน และก็ยิ่งไม่ต้องคาดหวังว่าคนอื่นในหมู่บ้านรวมทั้ง ‘หมอ’ ของหมู่บ้านจะรู้เกี่ยวกับโรคนี้ เมื่อมาถึงจุดนี้ของชีวิต ข้าพเจ้าก็ได้แต่มานั่งประหลาดใจว่าตัวเองรอดชีวิตจากการรักษาตามมีตามเกิดของแพทย์ทหารมาถึงบัดนี้ได้อย่างไร

ในยุคสมัยนั้นยังไม่มีการให้บริการด้านการรักษาพยาบาลฟรีต่อประชาชน ถ้ามีคนในครอบครัวคนจนเจ็บป่วยร้ายแรง ค่ารักษาพยายามในคลินิกและโรงพยาบาลมักจะหมายถึงการต้องขายที่ไร่ที่นาเพื่อนำเงินมาจ่ายค่ารักษา หลายครอบครัวต้องล้มละลายด้วยค่ารักษาพยาบาลราคาแพงลิบเช่นนี้ และก็ยังมีหลายครอบครัวที่ต้องล้มละลายได้เพราะค่ารักษาพยาบาลเหล่านี้ในปัจจุบัน เพราะว่าไม่มีครอบครัวไหนที่ยอมเสี่ยงชีวิตของผู้เป็นที่รักในมือของระบบการรักษาพยาบาลที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ฟรี ตายทุกโรค’ ไม่ใช่ ‘ฟรี รักษาทุกโรค’ ที่รัฐบาลพากันประชาสัมพันธ์

ในยามที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กนั้น ครอบครัวคนไทย ไม่ว่าจะรวยหรือจน ต้องพึ่งเส้นสายและเข้าหาข้าราชการ หรือนักการเมือง โดยเฉพาะสำหรับคนจนการมีเส้นมีสายเป็นเรื่องจำเป็นมาก เพียงแค่มีสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวคนทำงานในหน่วยงานของรัฐ นั่นก็หมายถึงหลักประกันค่ารักษาพยาบาลของพ่อและแม่

พี่สาวทั้งสองคนของข้าพเจ้าที่พาเข้าพเจ้าไปตรวจรักษาโรคที่โรงพยาบาลนั้นเป็นนางฟ้าที่แท้จริง พี่ทั้งสองทำงานที่โรงพยาบาลตามเข้มนาฬิกาโดยไม่มีเวลาพักผ่อน ตั้งแต่ที่พี่ๆ มีอายุประมาณยี่สิบปี เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับข้าพเจ้าและน้องสาวและเพื่อเป็นหลักประกันด้านสุขภาพให้กับพ่อกับแม่

บ่อยๆ ที่เดียวที่พวกเราบ่นเกี่ยวกับแม่ว่าเป็นคนไม่มีระเบียบที่สุดในโลก และก็เป็นจริงเช่นนั้นเสียด้วยซิ แม่ไม่รู้จักการทำความสะอาด ซักผ้าไม่เป็น และทำอาหารไม่ค่อยเก่งอีกด้วย แต่แม่เป็นคนที่ทำงานเป็นหลายด้านมาก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการเย็บปักถักร้อย งานจักสาน ทอเสื่อ ทอแห และอุปกรณ์หาปลา แม่ยังเก่งเรื่องการเพาะปลูก สำหรับงานในไร่ในนา และการหาปลากลางแม่้ำ แม่ดูเก่งกว่าพ่อ แต่พ่อนี้ตรงข้ามกับแม่ในเรื่องงานบ้านงานเรือนและพ่อยังทำอาหารอร่อยกว่าแม่

แม่ใจดี และชอบช่วยเหลือผู้อื่น แม้ว่าเราจะไม่ใช่คนมั่งมีแต่แม่ก็ยังอาทรกับคนที่ยังจนกว่าเรา และถ้ามีหมาแมวหลงมาที่บ้านแม่ก็จะให้อาหารพวกมัน นอกเหนือจากการติดหมากอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว แม่ยังเป็นคนที่คุยกับคนแปลกหน้าโดยไม่รู้สึกแปลกแยก พอนั่งลงบนรถเมล์เท่านั้นล่ะ แม่ก็จะเริ่มทักทายพูดคุยกับคนรอบข้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นการคุยด้วยความภาคภูมิใจถึงความเก่งกาจของลูกๆ และก็พูดไปหัวเราะไปถึงสามีขี้เมาของแม่ กระนั้นก็ตาม เมื่อลูกของแม่โดยเฉพาะข้าพเจ้าและน้องสาว ลูกคนที่เก้าของแม่ ป่วยไข้ขึ้นมา แม่จะอยู่ข้างๆ ที่นอนที่เรานอนรักษาตัวตลอดเวลา แม่ไม่เคยทิ้งข้าพเจ้าให้เผชิญกับความเจ็บป่วยตามลำพังยามต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่คลีนิก ซึ่งบางครั้งต้องเราต้องนอนค้างคืนที่นั่นด้วย

ในขณะที่คนในยุคปัจจุบันเริ่มเย็นชาและเฉยเมยต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองย้อนไปในอดีต ข้าพเจ้า ประจักษ์ถึงความเป็นผู้หญิงที่งดงามของแม่ ในความเป็นคนเปิดเผย มีพลังงานงานบวกที่พร้อมจะปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ผู้อื่นอยู่เสมอ สำหรับข้าพเจ้าแล้ว แม่ของข้าพเจ้าคือแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อรัฐบาลโหมประชาสัมพันธ์และยกย่องราชินีให้เป็น ‘แม่ของแผ่นดิน’ ในช่วงก่อนการสังหารหมู่นักศึกษาอย่างเหี้ยมโหดในปี 2519 ข้าพเจ้าไม่สามารถจะคิดถึงพระองค์ในฐานะแม่ของข้าพเจ้าได้ สมเด็จพระบรมราชีนีนาถคือราชินี แต่แม่คือผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขีวิตของข้าพเจ้า

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าไม่ชื่นชมในความสวยสง่าของอาภรณ์และเครื่องประดับที่ทรงสวมใส่ สื่อพากันโหมประชาสัมพันธ์ว่าพระองค์คือราชีนีที่งดงามที่สุดในโลก และในเมื่อเราก็ไม่เคยเห็นราชินีพระองค์อี่น พวกเราก็เชื่อว่าพระองค์คือราชินีที่มีพระสิริโฉมงดงามที่สุดในโลก

แน่นอนว่าคงไม่ใช่มีแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่คิดว่าแม่ของตัวเองคือแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

ระวัง คอมมิวนิสต์จะกินตับและเผาเราทั้งเป็น

ในช่วงที่อยู่ชั้นประถมหนึ่งและประถมสอง พวกเราเรียนพร้อมกันสี่คนเลยทีเดียว ทั้งพี่สาว พี่ชาย ข้าพเจ้าและน้องชาย เราสี่พี่น้องจะเดินเท้าเปล่าไปกลับโรงเรียนวันละสี่กิโลเมตร โรงเรียนวัดที่ตั้งอยู่กลางหมู่บ้านป่า พวกเราเดินเท้าเปล่าไปโน่นไปนี่ ไปในทุกที่ ในยุคสมัยนั้นการเดินเท้าเปล่าไม่่่ใช่เรื่องแปลกประหลาดประการใด คนไทยส่วนใหญ่ก็เดินด้วยเท้าเปล่ากันทั้งนั้น และก็จะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติของประชากรส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ว่าได้

ปี 2519 ครอบครัวเราตัดสินใจขายที่ไร่และย้ายกลับมายังบ้านนา ยามนั้นข้าพเจ้าอยู่ชั้นประถมสาม ที่โรงเรียนใหม่นี้ ข้าพเจ้าต้องเรียนร้องเพลงพระราชนิพนธ์ พวกเราต่างก็รู้สึกภาคภูมิใจที่มีในหลวงที่ทรงพระปรีชาสามารถในการพระราชนิิพนธ์ทำนองเพลงอันไพเราะเพราะพริ้ง

ในการแข่งขันกิจกรรมนักเรียนประถม ในปี 2520 หรือ 2521 ข้าพเจ้าก็จำได้ไม่แน่ชัด แต่จำได้ว่าพวกเรานักเรียนต้องฝึกร้องและแสดงรีวิวประกอบเพลงอยู่หลายสัปดาห์ และเมื่อวันแข่งขันมาถึง ข้าพเจ้าและน้องชายต่างก็ถูกจับแต่งตัวด้วยชุดม่อฮ่อมและผ้าถุงแบบไทยๆ และพวกเราต้องเดินพร้อมรำกลองยาวบนไปบนถนนลูกรังตลอดสองกิโลเมตร เพื่อไปยังโรงเรียนที่เป็นสถานที่จัดประกวด ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนที่ใหญ่กว่าหมู่บ้านของเรา

มันก็ผ่านมานานมากแล้ว แต่ความรู้สึกในวันนั้นยังคงวับวาวอยู่ในความทรงจำ ครอบครัวเราตื่นเต้นไปด้วย แต่ทั้งบ้านไม่มีเงินเลย และก็ไม่มีน้ำมันพืชอีกด้วย พี่สาวทั้งหลายของข้าพเจ้าต้องลุกขึ้นมาทำครัวแต่เช้ามืด ปลอกมะพร้าว ขูดและคั้นน้ำ แล้วเอาไปเคี่ยวในเตาฟืนจนมันกลายเป็นน้ำมันเพื่อเอามาผัดข้าวผัดไข่ให้เราทั้งสองเอาติดตัวไปทานเป็นอาหารกลางวัน ข้าวผัดหอมฉุยถูกห่ออย่างดีด้วยใบบัว แต่พวกเรากลับรู้สึกอายที่เราไม่มีกล่องข้าวสวยๆ ในยุคนี้ข้าวผัดห่อในใบบัวคงดูเป็นเรื่องที่โก้เก๋และเท่ห์ไม่หยอก แต่ในยามนั้นสำหรับเด็กๆ เช่นเรา มันทำให้เรารู้สึกอับอายเพื่อนๆ มากทีเดียว

เราภาคภูมิใจที่ได้ร่วมแสดงในกิจกรรมนักเรียนและก็สนุกไปกับการแสดงรีวิวประกอบเพลง ‘เราสู้’ พวกเราไม่เข้าใจเนื้อหาของเพลงดีนัก ก็เพิ่งจะเมื่อไม่นานมานี้เองที่ข้าพเจ้าได้ทราบว่าเพลงเราสู้ได้ได้รับการนิพนธ์ขึ้นเพื่อปลุกปลอบใจให้ทหารและตำรวจตระเวณชายแดนมีความฮึกเหิมและต่อสู้กับฆ่าศึกจนแม้แต่ตัวตายก็ไม่เสียดายชีวิต ในยามนั้นศัตรูของชาติคือใครก็ตามที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘คอมมิวนิสต์’

เท่าที่จำได้ นับตั้งแต่อายุเจ็ดหรือแปดขวบข้าพเจ้าก็ถูกพร่ำสอนให้ ‘ระวังคอมมิวนิสต์’ เพราะว่า “มันเป็นปิศาจร้ายที่จะกินตับแกและเผาพวกเราทั้งเป็น” และยังมีอีก “ถ้าเองเกเรล่ะก็คอมมิวนิสต์จะมาลักตัวไปนะ” ข้าพเจ้าจำได้ดีถึงความกลัว ‘คอมมิวนิสต์’ ความกลัวที่ครอบงำข้าพเจ้าแม้กระทั่งในความฝัน

เมื่อเติบใหญ่และได้เรียนรู้ว่ามีหลายประเทศที่มีพรรคการเมืองภายใต้ชื่อพรรคคอมมิวนิสต์กันอย่างเปิดเผย ข้าพเจ้าก็ได้แต่มานั่งคิดว่า โอ! ทำไมรัฐบาลถึงได้ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจผิดไปได้ขนาดนั้น?

ในห้องเรียนในระดับมัธยมศึกษา อาจารย์วิชาสังคมศึกษาสอนพวกเราว่า รัฐบุรุษปรีดี พนมยงค์ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยของประเทศไทย เป็นคอมมิวนิสต์ และเรื่องราวชีวิตของท่านก็นำมาพูดถึงเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น

และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่หลายปีต่อมา ข้าพเจ้าถึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับปรีดี ว่าท่านรัฐบรุษปรีดีไม่ใช่คอมมิวนิสต์ แต่จริงๆ แล้วคือผู้นำแนวคิดเรื่องระบบรัฐสวัสดิการและการสร้างหลักประกันทางสังคมให้กับประชาชนทั้งประเทศเป็นคนแรก และรัฐธรรมนูญฉบับของท่านปรีดีในปี 2489 เป็นรัฐธรรมนูญที่ถือว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดที่ประเทศไทยเคยมีมา และต่อมาอีกไม่นานข้าพเจ้าตระหนักว่า นับตั้งแต่ขบวนการฝ่ายกษัตริย์นิยม ได้ปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลปรีดีได้สำเร็จในปี 2490 พัฒนาการด้านประชาธิปไตยของประเทศไทยถ้าไม่ก้าวถอยหลัง ก็แทบจะเรียกได้ว่าย่ำอยู่กับที่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เลข 7 นำโชค

พี่ๆ น้องๆ ของข้าพเจ้าเป็นคนเรียนเก่งได้ที่หนึ่งกันเกือบทุกคน แต่ครอบครัวของเราก็จนเกินกว่าจะส่งลูกทั้งเก้าคนเข้าเรียนในโรงเรียนระดับมัธยมได้ ยิ่งกว่านั้น ลูกๆ ที่ยังเล็กก็ไม่สามารถถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังโดยไม่มีคนดูแลยามที่พวกผู้ใหญ่หรือคนที่ทำงานได้ต้องออกไปอยู่กลางไร่กลางนา ภาระในการดูแลน้องจึงตกอยู่กับพี่ที่อายุมากกว่า

โชคเลยมาตกที่ข้าพเจ้า ลูกคนที่เจ็ดของครอบครัวที่ถูกขีดเส้นชะตาไว้แล้วว่าจะเป็นผู้หญิงคนแรกใน ครอบครัวและจากหมู่บ้าน ที่จะได้ใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่ในยามนั้นข้าพเจ้าหาทราบได้ไม่

เมื่อสอบภาคการเรียนปีสุดท้ายของชั้นมัธยมปลายเสร็จสิ้น ข้าพเจ้าก็เข้าสอบชิงทุนพระราชทานระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของเขตการศึกษา และได้รับรางวัล ทั้งโรงเรียนและครอบครัวของข้าพเจ้าตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ ชื่อของข้าพเจ้าถูกเขียนเติมในบอร์ดรายชื่อนักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดประจำปี มันเป็นเรื่องที่เกินความคาดฝัน เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กฉลาด เป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ทั้งเปิ่น ทั้งเชย ทั้งเรียบง่าย และไม่มีอะไรโดดเด่น มันเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าพเจ้าจะชนะการสอบชิงทุนพระราชทานนี้?

พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็สามารถสอบผ่านเข้าเรียนที่มหาลัยศิลปากรอันโด่งดัง หลังจากหนึ่งหรือสองเดือนในภาคการศึกษาแรก ข้าพเจ้าต้องเดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อไปร่วมในพิธีรับประกาศนียบัตรและรับรางวัลพระราชทาน อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งจากโรงเรียน และแม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในพิธีมอบรางวัลครั้งนี้ที่จัดขึ้นที่ศาลาดุสิตดาลัย พระตำหนักสวนจิตรลดารโหฐาร โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีจะเป็นผู้ประทานรางวัล แม่และอาจารย์ต่างก็ตื่นเต้นกันมาก

อาจารย์ แม่และพี่สาวเดินทางมากรุงเทพฯ และพวกเราต้องไปที่กระทรวงศึกษาธิการเพื่อฝึกซ้อมธรรมเนียม ปฏิบัติการเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ถึงหนึ่งวัน

พิธีพระราชทานใบประกาศนียบัตรผ่านไปอย่างงดงาม โรงเรียนนำใบประกาศนียบัตรกลับไปติดที่ผนังห้องของผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งเป็นใบประกาศนียบัตรเพียงใบเดียวในรางวัลประเภทนี้ที่นักเรียนของโรงเรียนเราเคยได้รับ ข้าพเจ้าได้กล่องห่อผ้าดิ้นทองอันสวยงามที่มีเงิน 2,000 บาทบรรจุอยู่ในกล่อง และแม่ได้ภาพในขณะที่ข้าพเจ้าย่อตัวถอนสายบัว พร้อมกับยื่นมือไปรับรางวัลจากพระเทพ รูปถ่ายถูกใส่กรอบและแขวนไว้บนฝาบ้าน แม่มักเชิญชวนเพื่อนบ้านและแขกที่มาเยี่ยมให้ดูรูปนั้นด้วยความภาคภูมิใจในตัวลูกสาว สำหรับกล่องสีทองใบนั้นยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ในตู้เก็บของที่บ้าน

ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมารับรางวัลอาจจะพอๆ กับเงินรางวัลที่ข้าพเจ้าได้รับ แต่คุณค่าของรางวัลต่อโรงเรียนและครอบครัวของเรานั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าเงินมากมายนัก และเงิน 2,000 บาท(จากกระทรวงศึกษาธิการ) ก็ช่วยค่าเล่าเรียนของข้าพเจ้าที่มหาวิทยาลัยได้กว่าสองเดือน

มหาวิทยาลัย

หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่นานข้าพเจ้าก็ได้ตระหนักถึงจำนวนงบประมาณจากภาษีอากรที่ถูกนำมาใช้สนับสนุนการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย และได้รับทราบว่ามีลูกหลานคนจนเช่นเดียวกับข้าพเจ้าเพียงประมาณ 5% เท่านั้นที่สามารถสอบผ่านและได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเช่นนี้

ที่ภาควิชาสังคมศาสตร์และการพัฒนา คณะอักษรศาสตร์ นี้เองที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าอะไรคือความเป็นธรรมในสังคม และเมื่อเรียนไปได้ไม่นานข้าพเจ้าก็ตระหนักว่าจำเป็นที่เราจะต้องมีคนที่ทำงานเพื่อคนจน และเพื่อเกษตรกรที่ยากจน ที่สถานศึกษาแห่งนี้ที่ข้าพเจ้าได้ให้สัญญากับหัวใจว่าในชีวิตนี้ข้าพเจ้าจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อลดช่องว่่างระหว่างคนจนและคนรวยให้จงได้

ข้าพเจ้าชอบเข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสา และในทุกช่วงโอกาสที่ทำได้ข้าพเจ้าจะเดินทางไปหมู่บ้านต่างๆ ไปทุกภูมิภาคของไทย พร้อมกับเพื่อนหรืออาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าเดินทางเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านการเกษตรเพื่อการพึ่งตัวเอง พร้อมกับวิตกกังวลถึงวิถีชีวิตแห่งการพึ่งตัวเองที่ทำให้เป็นไปได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ และเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาความยากจนในประเทศ

ศิลปากรสอนข้าพเจ้าว่า ถ้าจะนำความยุติธรรม ศานติสุข และการพัฒนามาสู่สังคม ชนชั้นที่ได้เปรียบในสังคมจะต้องหยุดแสวงประโยชน์จากความได้เปรียบของตัวเอง และต้องลดทอนการใช้ชีวิตที่ฟู่ฟ่าหรูหราลงมาบ้าง

ณ มหาลัยแห่งนี้ ข้าพเจ้าประจักษ์แจ้งกับตัวเองว่าจะต้องทำงานเพื่อคนที่ถูกกดขี่ขูดรีดและคนที่ถูกผลักให้อยู่ชายขอบของสังคม ทำงานเพื่อนำความยุติธรรมและความเท่าเทียมมาสู่สังคม และที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่ข้าพเจ้าได้รู้เรียนรู้และสัมผัสถึงคำว่า เสรีภาพและประชาธิปไตย และความปรารถนาที่จะทำงานเพื่อคนที่ถูกเอาเปรียบของข้าพเจ้าได้ก่อร่างขึ้นที่นี่

ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณทุกสิ่ง ขอบคุณทุกความรู้ที่ได้้จากศิลปากร เมื่อได้รับทราบเรื่องที่มหาวิทยาลัยของข้าพเจ้านี้ปฏิเสธที่จะรับนักเรียนหญิงอายุ 18 ปีเข้าเรียน มหาวิทยาลัยที่ได้สอนข้าพเจ้าไห้รู้เท่าทันถึงการแบ่งแยกทางชนชั้นในสังคม ข้าพเจ้าช๊อคกับข่าวนี้เป็นอย่างมาก คณะอักษรศาสตร์ที่รักของข้าพเจ้า ปฏิเสธรับนักเรียนหญิงที่ฉลาดเฉลียว เพียงเพราะเธอกล้าที่จะใช้เสรีภาพแห่งการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น เหตุการณ์ครั้งนี้โหมกระหน่ำตีมโนสำนึกของข้าพเจ้า และเป็นดังเสียงปลุกเรียกให้ข้าพเจ้าตื่นมาเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายอีกครั้งหนึ่ง

รางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าคือการศึกษา ข้าพเจ้าขอบคุณครอบครัวจากก้นบึ้งแห่งหัวใจ ที่ตัดสินใจส่งข้าพเจ้าเรียนหนังสือ ขอบคุณและไม่สามารถจะเอ่ยคำว่าขอบคุณได้มากพอกับความเสียสละของพ่อ แม่ พี่ชาย น้องชายและพี่สาวที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กันอย่างจำกัดจำขี่เพื่อให้ข้าพเจ้าและน้องสาวคนเล็กได้เรียนมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้วจากครอบครัว

เครื่องแบบ

เพียงย่างก้าวเข้ามหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าระบบการรับน้อง (โซตัส)เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ระบบโซตัส อาวุโส (Seniority) ระเบียบ (Order) ประเพณี (Tradition) สามัคคี (Unity) และน้ำใจ (Spirit) เริ่มกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของสถาบันการศึกษาชั้นสูงในประเทศไทย ที่บ่อยครั้งมันกระทำอย่างน่ารังเกียจและป่าเถื่อน มันถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความอับอายให้นักศึกษาและทำให้นักศึกษายอมจำนนต่อการบงการและยอมรับความไม่เท่าเทียมระหว่างมนุษย์ในสังคม

ข้าพเจ้าไม่ชอบสวมชุดนักศึกษาและก็จะใส่เฉพาะในชั้นเรียนที่ถูกบังคับให้ใส่เท่านั้น ข้าพเจ้ารับไม่ได้ที่ว่าแม้ว่านักศึกษาจะอายุเกิน 18 ปีแล้ว และมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แต่ผู้บริหารที่ออกกฎระเบียบของมหาวิทยาลัยทั้งหลาย ยังคิดยังเชื่อกันอยู่ว่า พวกเราไม่รู้จักการเลือกเสื้อผ้าด้วยตัวเอง และพวกผู้ใหญ่พากันทำตัวเป็นผู้หยั่งรู้ และกำหนดว่าพวกเราควรจะต้องสวมใส่เสื้อผ้าอะไร

มหาวิทยาลัยจำนวนมาก (เกือบจะทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทย) ต่างพากันกำหนดกฎระเบียบเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่นักศึกษาควรหรือไม่ควรสวมใส่ และหลายมหาวิทยาลัยก็มีการบังคับให้นักศึกษาต้องสวมขุดนักศึกษา ซึ่งมันยิ่งสร้างความแบ่งแยกและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบชนชั้นในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น มีประเทศไหนบ้างในโลกนี้ที่ออกกฎระเบียบให้นักศึกษามหาวิทยาลัยต้องสวมใส่ชุดนักศึกษา? ประเทศส่วนใหญ่แม้แต่นักเรียนในระดับประถมศึกษาก็ไม่ต้องถูกบังคับให้ใส่ชุดนักเรียน ก็คงมีแต่ประเทศหน้าไหว้หลังหลอกเช่นประเทศไทยนี้เท่านั้นล่ะมัง ที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยแกล้งทำตัวเป็นผู้ที่รู้ดียิ่งกว่าตัวนักศึกษาเองอีกว่าพวกเขาควรจะสวมใส่เสื้อผ้าอะไรถึงจะดูดี ดูเหมาะสม

การออกกฎระเบียบบังคับให้นักศึกษาต้องสวมใส่ชุดนักศึกษาเคร่งครัดมากขึ้นเรื่อยๆ และเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับกลไกของรัฐในการควบคุมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการคิด เสรีภาพแห่งจิตวิญญาณที่จะวิเคราะห์และสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ

นักศึกษาและเยาวชนที่จะเป็นอนาคตของชาติ ไม่ได้รับอนุญาตให้มีความคิดได้อย่างอิสระแม้แต่เรื่องเสื้อผ้าที่ควรจะสวมใส่

มันจึงไม่น่าแปลกใจที่ชนชั้นที่ได้รับปริญญาบัตรคือกลุ่มคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันและจนกลายเป็นคนป่าเถือน เป็นกลุ่มคนที่ได้เปรียบในสังคมที่ไม่สามารถโต้เถียงกับคนอื่นได้อย่างมีเหตุมีผล และแยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิด และไม่น่าประหลาดใจที่พวกเขาพากันยืนอยู่เบื้องหลังทหารที่ต่อสู้กับประชาชนเช่นเดียวกับตัวเอง และยุยงให้นายกรัฐมนตรีของพวกเขาใช้กระสุนจริงยิงใส่ฝูงชนที่เป็นคนที่มาจากชนชั้นล่างในสังคม คนจนที่บังอาจย่ำเท้าเข้ามายังศูนย์กลางการค้าอันทรงคุณเกียรติของพวกเขา

มีคนบอกกับข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าไม่รักประเทศชาติ ไม่มีความศรัทธาต่อทุกสถาบัน และไม่สมควรจะเรียกตัวเองว่าคนไทย ฯลฯ

ชนชั้นผู้มีการศึกษาในประเทศไทยกำลังทำผิดอย่างมหันต์ที่โยงประเด็นการต่อสู้ของคนจนเพื่อประชาธิปไตย และเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมกับความเป็นคน ‘ไม่รักในหลวง’ และ ‘เป็นขบวนการล้มเจ้า’ นี่เป็นความผิดพลาดอย่างแท้จริง เป็นโศกนาฎกรรมและอันตรายอย่างยิ่ง ทั้งนี้มันเป็นผลพวงมาจากระบบการศึกษาที่ไม่ได้ส่งเสริมเรื่องการทำความเข้าใจถึงความเป็นเหตุเป็นผลแห่งการดำรงชีวิตและอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม ของมวลมนุษยชาติ

เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่ข้าพเจ้าสวมใส่ตลอดสี่ปีในมหาลัย เป็นเสื้อผ้าที่พี่สาวทั้งสองยกให้หรือซื้อให้ ผมก็ให้เพื่อนที่เรียนตัดผมเป็นงานอดิเรกเป็นคนตัดให้ ถ้าจำไม่ผิดข้าพเจ้าเดินเข้าไปดูหนังในโรงหนังแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ตลอดสี่ปีในชีวิตมหาวิทยาลัย เงินค่าใช้จ่ายที่ได้จากพี่สาวมีเพียงพอให้ข้าพเจ้าใช้ไปกับข้าวแกงวันละสามมื้อ และค่ารถกลับบ้าน ซึ่งมันก็เป็นเงินถึง 40% ของเงินเดือนที่พี่ได้รับทีเดียว ไหนพี่ยังจะต้องส่งเงินให้กับทางบ้านอีกประมาณ 40% ของเงินเดือนพี่สาวจึงต้องทำงานรับจ้างทำงานนอกเวลางาน เพื่อให้มีรายได้เพิ่มสำหรับค่าใช้จ่ายและค่ากินอยู่ของตัวพี่สาว พี่สาวคนนี้เป็นคนเรียนเก่งมาก แต่ด้วยความที่พี่เกิดมาก่อนข้าพเจ้า พี่จึงไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย

มันก็จนมาถึงข้าพเจ้า ลูกคนที่เจ็ด ในยามที่พี่ชายและพี่สาวต่างทำงานหาเงินได้แล้ว จึงได้กลายเป็นลูกคนแรกที่ได้รับโอกาสนี้ ข้าพเจ้าคงอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตกับความโชคดีนี้

บ่อยทีเดียวที่คิดว่าตัวเองคงไม่สามารถเรียนจนจบและต้องลาออกกลางคัน ยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์วันนั้นได้ดี วันที่ทั้งพี่ชายที่บ้านและข้าพเจ้าเดินทางมาขอเงินจากพี่สาวพร้อมกัน พี่สาวถึงกับร่ำไห้ว่า “พี่จะไปเอาเงินมาจากไหนมาให้พวกเอง” เราทั้งสามพากันร่ำไห้

ข้าพเจ้าต้องหารายได้เสริมทุกช่วงปิดเทอม ทั้งรับจ้างถักหมอนหรือกระเป๋า ขายก๋วยจั๊บและน้ำแข็งใส และรับจ้างอาจารย์เก็บข้อมูลในหมู่บ้าน และก็สมัครขอรับทุนจากมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสาม ได้ทุนครั้งละ 2-3,000 บาท ด้วยประการนี้้ข้าพเจ้าจึงสามารถเรียนมหาลัยจนจบในปี 2531 ใครเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนของข้าพเจ้ากันล่ะหรือ? ครอบครัวที่น่าสงสารของข้าพเจ้าและเงินภาษีจากประชาชน

ชีวิตนักกิจกรรมเพื่อสังคม

จากนักศึกษาที่จริงจังกับชีวิตและไม่มีประสบการณ์เซ็กส์ งานแรกทีี่ข้าพเจ้าทำเป็นงานที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง งานผู้ช่วยนักศึกษาปริญญาเอกเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่เกาะสมุย

เกาะสมุยเป็นเกาะที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับสามของประเทศไทย เป็นเกาะที่เลื่องลือไปทั่วโลกในหมู่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากเยอรมัน สวิสเซอแลนด์ และกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ว่าเป็นสรวงสวรรค์แห่งเซ็กส์ ไม่ใช่เฉพาะในยุคนั้น แต่จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

ในปี 2531 เกาะสมุยอยู่ในช่วงวิกฤติของการเปลี่ยนผ่าน กลุ่มโรงแรมใหญ่ๆ จากกรุงเทพฯ เริ่มเข้ามากว้านซื้อที่ดินริมทะเลเพื่อสร้างรีสอร์ทและโรงแรมหรู เกษตรกรและชาวประมงที่เป็นคนท้องถ่ินไม่สามารถหากินได้ในเกาะที่ตัวเองเกิดมา จำต้องอพยพโยกย้ายไปหาที่ดินบนเขาในแผ่นดินใหญ่ และก็เริ่มสร้างครอบครัวใหม่ด้วยการปลูกกาแฟ

ยามนั้นเกาะสมุยมีรีสอร์ทและบังกาโลประมาณ 250 แห่ง และงานที่เราทั้งคู่ต้องทำคือการตระเวณไปทั่วเกาะเพื่อพูดคุยกับเจ้าของกิจการ พนักงาน และชาวบ้านในพื้นที่(ที่ถูกทำให้กลายเป็นผู้อาศัยมากขึ้นเรื่อยๆ)

ดาเป็นเพื่อนคนแรกที่เกาะสมุย ผู้หญิงที่มาจากจังหวัดเดียวกับข้าพเจ้าที่เดินทางมาขายพรมจารีย์ของเธอใน ราคา 10,000 บาท เมื่อข้าพเจ้าถามว่าเพราะเหตุใด เธอตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ความจนและก็ภาระที่บ้าน” ความยากจนที่ข้าพเจ้ารู้จักเป็นอย่างดี

จันทำงานเป็นแม่ครัวให้กับฝรั่ง ผู้หญิงวัยกลางคนที่รู้จักกับเจ้าของบาร์หลายแห่ง เช่นเดียวกับผู้หญิงจำนวนมากที่เกาะสมุย จันก็แสวงหาชาวต่างชาติที่จะมาพาเธอบินหนีไปจากชีวิตที่ขมขื่น จันเป็นผู้หญิงที่สวยและใจดีที่สุดคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้พบเจอในชีวิต ข้าพเจ้าคงไม่สามารถลืมความโอบอ้อมอารีย์ของเธอและความช่วยเหลือให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากพวกนักท่องเที่ยวที่ไร้มารยาท เวลาพวกเราถูกตราหน้าโดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเหล่านี้ว่า “ผู้หญิงไทยน่ะเหรอ มีเงินก็ซื้อได้หมดทุกคน” “ไม่จริง” ข้าพเจ้าจะโต้กลับทันที

นุ้ย เจ้าของบังกาโล เป็นผู้หญิงดี ที่ดำรงชีวิตที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรีและความซื่อตรง ร้านอาหารของนุ้ยอยู่ห่างจากจุดพลุกพล่านของหาดละไมไปทางเหนือ เป็นสถานที่พวกเราชอบไปสุมหัวอยู่กัน ศูนย์กลางเขตบาร์เบียร์ของหาดละไมอยู่ห่างจากบังกาโลของนุ้ยเพียงแค่สิบนาที แต่ก็มีเพียงครั้งเดียวที่ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จในการลากจูงนุ้ยให้เดินมาเที่ยวเขตบาร์เบียร์ในยามค่ำคืน

ข้าพเจ้าจะเดินคุยกับสาวชาวบาร์ไปทั่ว จากบาร์หนึ่งไปอีกบาร์หนึ่ง บางครั้งก็ช่วยพวกเธอแปลจดหมาย หรือเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษของข้าพเจ้าในตอนนั้นก็ใช่ว่าจะดีนัก แต่ก็ยังดีกว่าพวกเธอ ถ้าจันกับดาไม่พบคนถูกใจ พวกเราก็จะสุมหัวอยู่ด้วยกัน บางวันก็สองคน บางวันก็สามคน บางคืนข้าพเจ้าก็ไปอยู่เป็นเพื่อนพวกเธอจนถึงตีสามตีสี่ ข้าพเจ้าไม่เคยลืมภาพที่เราสามคนนอนคุยเล่นกันที่ชายหาดละไม หลังเสียงอึกทึกครึกโครมของค่ำคืนได้เงียบหายไป พวกเรานอนฟังเสียงคลื่นและพูดคุยกันตามประสาถึงเรื่องชีวิตและความฝันของแต่ละคน พร้อมกับรอชมความงามยามพระอาทิตย์ค่อยๆ ขยับโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า

ด้วยต้องการมีประสบการณ์ทำงานในบาร์ จันจึงช่วยฝากข้าพเจ้าให้้เข้าไปทำงานเป็นพนักงานเสริฟในบาร์แห่งหนึ่งที่ีคราคร่ำไปด้วยลูกค้าต่างชาติ เพราะเป็นบาร์ที่มีีเวทีชกมวย หลังจากทำงานได้สองวันข้าพเจ้าก็ไม่ไปที่บาร์นั้นอีกเลย เพราะทนเห็นสภาพของผู้หญิงอายุมากที่ไม่สามารถหาลูกค้าได้ต้องยอมขึ้นชกมวยหญิงแลกกับค่าจ้างเพียง 100 บาท ผู้หญิงสองคนสู้กันราวกับเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางไหนเพื่อเงิน 100 บาท นี่มันชีวิตบัดซบชัดๆ?

ในช่่วงต้นทศวรรษ 2530 องค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านนี้ระบุว่ามีคนงานขายบริการทางเพศว่าหนึ่งล้าน คนในประเทศไทย ครอบครัวของหญิงสาวเหล่านี้ใช้เงินที่พวกเธอส่งไปให้หมดไปกับการสร้างบ้านหลังโต และ/หรือสมทบทุนสร้างศาลาวัดหลังงาม ตราบใดที่ลูกสาวยังส่งเงินไปให้ พวกเธอก็เป็นที่ต้อนรับกลับบ้าน แต่ถ้าเมื่อไรพวกเธอหาเงินส่งไปให้ไม่ได้หรือหาฝรั่งที่จะส่งเงินไปเลี้ยงครอบครัวเธอไม่ได้แล้วล่ะก้อ การถูกตราหน้าว่าเป็นหญิงเลวก็จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะทนแบกรับได้ ข้าพเจ้าได้ประจักษ์ด้วยตนเองว่าผู้หญิงจำนวนไม่น้อยต้องใช้ยาและเครื่องดื่มให้มึนเมาก่อนที่จะสามารถก้าวขึ้นเวทีไปยืนเกาะเสาเต้นอะโก้โก้ยั่วยวนนักท่องเที่ยว ผู้หญิงที่นั่นบางคนจะมีรอยกรีดที่ข้อมือซ้อนกันเป็นปื้นยาว รอยกรีดแต่ละรอยคือรอยจารึกแห่งความผิดหวังและความรังเกียจตัวเองที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ที่ข้าพเจ้าช่วยเก็บข้อมูลได้รับปริญญาเอกตามที่หวัง และไม่ทราบว่าด้วยประการใดข้าพเจ้ารอดพ้นจากแปดเดือนที่เกาะสมุยโดยที่พรมจรรย์ไม่ฉีกขาด

ในปัจจุบันประเทศไทยมีรายได้จากอุตสาหกรรมขายบริการทางเพศปีละกว่า 200,000 ล้านบาท และมีคนทำงานบริการทางเพศกว่า 2.5 ล้านคน นี่มันประเทศอะไรกันนี่ ที่ดำรงเศรษฐกิจของประเทศบนจิตวิญญาณและร่างกายของผู้หญิงและการท่องเที่ยวทางเพศ?

หลังจากสองเดือนในการเดินทางไปสัมผัสกับความหมายที่แท้จริงแห่งคำว่าเสรีภาพที่ออสเตรเลีย โดยทุนจากนักศึกษามหาวิทยาลัยซิดนีย์ ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจเดินทางไปทำงานกับศูนย์แรงงานเอเชียที่ฮ่องกง ซึ่งเป็นองค์กรแรงงานในเอเชีย งานที่ต้องทำคือการให้คำแนะนำและช่วยเหลือแรงงานไทยที่ฮ่องกง ส่วนใหญ่ทำงานเป็นแม่บ้าน บางครั้งต้องไปรับตัวพวกเธอจากบ้านนายจ้างมหาโหดแล้วพาไปแจ้งความ ยื่นเรื่องเรียกร้องค่าเสียหายกับสำนักงานคุ้มครองแรงงานที่ฮ่องกง และถ้าพวกเธอได้นายจ้างใหม่ก็พาไปยื่นเอกสารเพื่อทำใบอนุญาตทำงานกับกองตรวจคนเข้าเมือง บางวันข้าพเจ้าต้องอยู่ที่โรงพักถึงสี่ทุ่มห้าทุ่มเพื่อช่วยพวกเธอในการให้ปากคำกับตำรวจ

มันเป็นงานที่หนักมาก แต่ก็เป็นอีกงานหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าได้พบเจอผู้หญิงที่งดงาม ผู้หญิงที่ทำงานหนักแทบจะไม่เคยได้พักผ่อน ผู้หญิงที่เสียสละชีวิตและความสุขส่วนตัวเพื่อทำงานเป็นแม่บ้านที่ฮ่องกงมานานหลายปีเพื่อหารายได้ส่งกลับไปตอบสนองความต้องการของครอบครัวที่เมืองไทย ความต้องการที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งค่าเรียนหรือค่ามอเตอไซด์ของน้องชาย ค่ารักษาพ่อ หรือแม้กระทั่งค่าเรียนของหลานๆ ผู้หญิงหลายคนที่นี่ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะสร้างครอบครัวของตัวเอง และในช่วงชีวิตวัยกลางคนเช่นนี้ พวกเธอก็ได้แต่หวังว่าเมื่อกลับบ้านแล้วน้องชายและครอบครัวจะดูแลพวกเธอเป็นการตอบแทนบ้าง

มันแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงปีกว่าๆ หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าได้ทำงานและพบเจอกับผู้หญิงไทยหลายพันคนที่ได้เสียสละชีวิตและความสุขส่วนตัว ผู้หญิ่งที่ยอมแบกรับภาระอันหนักอึ้งในการสร้างหลักประกันทางสังคม และการอยู่ดีมีสุขของครอบครัวของพวกเธอ หลักประกันทางสังคมที่ถูกตีตราว่า ‘คอมมิวนิสต์’ โดยราชอณาจักรไทยนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 2490

สันธะนา

เรื่องราวของสันธะนา หญิงสาววัยสามสิบปีจากภาคอีสานของประเทศไทย เป็นเรื่องที่สมควรหยิบยกมากล่าวถึง เธอถูกทหารยิงเสียชีวิตราวกับสัตว์ป่า และแฟนของเธอบาดเจ็บสาหัส เมื่อทั้งคู่ขับรถมอเตอร์ไซค์ผ่านในเขตกระชับพื้นที่ของทหารในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เพื่อกลับที่พักที่อยู่ในซอยหมอเหล็ง

จากข่าว สันธะนาได้เดินทางไปทำงานที่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่ไต้หวันเป็นเวลา 3 ปี แล้วไปทำงานประเภทเดียวกันที่ญี่ปุ่นอีก 3 ปี ซึ่งทำให้เธอได้เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นพอที่จะกลับมาทำงานเป็นไกด์ในบริษัททัวร์ญี่ปุ่น ก่อนจะลาออกมาทำงานเป็นผู้จัดการบริษัทส่งออกและนำเข้า เธอเป็นผู้หญิงที่สู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จ แต่ก็มาถูกพรากชีวิตไปในช่วงวัยที่กำลังรุ่งโรจน์ ครอบครัวของเธอได้สูญเสียกำลังหลักที่หาเลี้ยงครอบครัว พวกเขาได้รับเงินพระราชทานความช่วยเหลือ 50,000 บาท จากสำนักพระราชวัง และก็อีกเช่นเคย ครอบครัวนี้ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องก้มหน้ายอมรับการการสูญเสียครั้งนี้ว่ามันเรื่องของเวรของกรรม

เรื่องราวชีวิตของสันธะนา เป็นเรื่องราวที่พวกเราอาจจะได้ยินจนชินหูและพบเห็นจนชินตา ข้าพเจ้ารู้สึกโกรธแค้นยิ่งนักเมื่อรัฐบาลพยายามตีตรา 88 ศพที่พวกเขาสังหารบนท้องถนนกรุงเทพฯ เมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่่ผ่านมาว่า เป็นกองกำลังติดอาวุธ และเป็นผู้ก่อการร้ายของ ‘ขบวนการล้มเจ้า’

ตลอดชีวิตยี่สิบปีของการทำงานเพื่อสังคม ข้าพเจ้าได้พบผู้หญิงเช่นเดียวกับสันธะนา นับหมื่นนับแสนคน ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ในหลายสิบประเทศทั่วโลก ผู้หญิงที่งดงาม ผู้หญิงที่แบกรับภาระดูแลทุกชีวิตในครอบครัว และแบกรับภาระทางเศรษฐกิจของประเทศอันหน้กอึ้งไว้บนบ่าทั้งสองข้างของพวกเธอ

หลังจากการลุกขึ้นสู้และการถูกปราบปรามมาหลายครั้งในประเทศไทย เหตุการณ์การลุกขึ้นสู้และถูกปราบปรามในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม ทำให้พวกเราได้เห็นโฉมหน้าอีกครั้งหนึ่งของความโหดเหี้ยมของผู้มีอำนาจในสังคมไทยที่สามารถสังฆ่าประชาชนคนไทยจนมีผู้เสียชีวิตกว่า 88 คน ประจักษ์พยานที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงว่าพวกเราปล่อยให้การแบ่งแยกชนชั้นในสังคมไทย เติบโตมาจนถึงขั้นนี้โดยไม่มีการตรวจสอบและยับยั้งได้อย่างไรกัน

ความคับแค้น

ข้าพเจ้าเข้าร่วมประท้วงในเหตุการณ์พฤษภาเลือดในปี 2535 เสียงกึกก้องของขวดน้ำพลาสติกนับหมื่นนับแสนใบที่ีตีกระทบพื้นถนนราชดำเนินยังคงดังก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของข้าพเจ้า เสียงกึกก้องกัมปนาทที่แม้แต่สรวงสวรรค์ยังต้องรู้สึกเย็นยะเยือกด้วยสำเนียกถึงความมุ่งมั่นของคลื่นมหาชนที่ต้องการขับไล่เผด็จการทหารให้ออกไปจาการเมืองไทย

หลังจากมีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 48 คนโดยทหารจากกองกำลังรักษาพระนคร การลุกขึ้นสู้ครั้งนี้ได้ยุติลงโดยการที่ในหลวงเข้ามาเป็นผู้นำเจรจาใกล่เกลี่ยระหว่างผู้นำคณะปฏิวัติและผู้นำการประท้วง ซึ่งผลจากการเจรจาครั้งนี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับการแซ่ซร้องสรรเสริญในพระเกียรติคุณเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ทั้งผู้เกี่ยวข้องทุกคนในคณะปฏิวัติและผู้ประท้วงต่างได้รับนิรโทษกรรม นี่เป็นธรรมเนียบปฏิบัติในประเทศไทย ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง คือการถวายฎีกาและการขอพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลังจากมีการสังเวยชีวิตสักสามสิบหรือสี่สิบศพ พระราชดำรัสของในหลวงคือความยุติธรรม และก็ต้องยุติแค่นั้นไม่สามารถพูดเรื่องความยุติธรรมอื่นใดได้อีก นายพลที่สั่งการให้ทหารสังหารประชาชน 48 คน ได้รับพระราชทานอภัยโทษและยังคงใช้ชีวิตอย่างหรูหราในสังคมชั้นสูง เช่นเดียวกับทรราชคนอื่นๆ ทั้งในอดีตและหลังจากนั้น ไม่เคยมีใครถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อดำเนินคดี

ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกคับข้องใจมากขึ้นเรื่อยๆ มันต่อเนื่องมายาวนานเกินพอแล้วที่ในทุกครั้งที่ประชาชนคนไทยลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม พวกเขาได้อะไรเป็นการตอบแทน? ชนชั้นกรรมาชีพ 48 คนถูกสังหาร และนายกรัฐมนตรีพระราชทาน (ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่ถึงสองครั้ง) นายกพระราชทานที่เป็นผู้บริหารบริษัทเครื่องนุ่งห่มยักษ์ใหญ่ของไทยที่มีประวัติศาสตร์การต่อต้านสหภาพแรงงานอย่างหนัก เหล่าชนชั้นสูง นักวิชาการฝ่ายขวา และองค์กรพัฒนาเอกชนหัวอนุรักษ์นิยมต่างก็แสดงความชื่นชมยินดีกับนายกพระราชทาน ปี 2535 จึงเป็นปีที่การคอรัปชั่นทางการเมืองอย่างแยบคายได้พัฒนากลายเป็นสถาบันการเมืองที่ฉ้อฉล

การปราบปราบประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและประชาธิปไตย หรือผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ไม่เคยจางหายไปจากสังคมไทย หลังจากยี่สิบปีของการทุ่มทำงานอย่างหนักเพื่อลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นกลับเป็นช่องว่างที่ถอยห่างออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ

โกลาหลและพินาศ

และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่คนกรุงเทพได้เห็นรถถังขับเคลื่อนเข้าสู่กลางกรุง โดยทหารในแห่งกองทัพไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อปล้นประชาธิปไตยอันน้อยนิดที่ประชาชนคนไทยต่อสู้ให้ได้มา

การทำรัฐประหารครั้งนี้กระทำในช่วงที่นายกรัฐมนตรีทักษิณอยู่ที่นิวยอร์ค ซึ่งเขาก็ยังไม่ได้กลับบ้านเกิดจนถึงปัจจุบัน เราไม่อาจทราบได้ว่านายกทักษิณมีความใส่ใจอย่างแท้จริงที่จะสนับสนุนให้เกิดระบบประชาธิปไตยโดยประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงหรือไม่?

ทันที่ที่ข่าวทหารเคลื่อนพลเข้ายึดกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้ส่งแถลงการณ์ประณามการทำรัฐประหาร และได้ร่วมในการประท้วงรัฐประหารหลายครั้ง ข้าพเจ้าไม่ได้ประท้วงรัฐประหารเพราะทักษิณ แต่เพราะว่าข้าพเจ้าตระหนักได้ดีว่าการรัฐประหารคือการตบหน้าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของพวกเรา และก็มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตั้งแต่ปี 2549 พัฒนาการด้านประชาธิปไตยของไทยเป็นศูนย์ และประเทศไทยต้องเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยุติ (See: http://timeupthailand.blogspot.com/2010/05/blog-post.html)

ถ้ายังมีสิ่งที่ถือเป็นด้านบวกอยู่บ้างของสี่ปีแห่งความโกลาหลและวุ่นวายทางการเมือง มันคือการทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ถึงระบบสองมาตรฐานในสังคมไทยที่ไม่มีทางที่จะถูกกดทับให้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้มีอำนาจได้อีกต่อไป

แม้ว่าจะมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉุกเฉินและการเซ็นเซอร์อย่างมโหฬารของรัฐบาล กระแสการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์และการเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมืองของในหลวง ราชินี และสำนักพระราชวัง ทั้งจากคนจนเมืองและคนจนชนบทได้ดังมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันเป็นไปตามครรลองแห่งพัฒนาการทางสังคม ซึ่งจำต้องมีการถกเถียงระหว่างกัน เพื่อที่ประชาชนจะได้พัฒนาเติบโตสู่การเป็นประชากรที่มีสามัญสำนึกด้านการเมืองอย่างแท้จริง และแม้ว่ารัฐบาลจะได้บล๊อคเวบไซด์หลายหมื่นเวบ แต่เวบเหล่านั้นก็สามารถหาทางเปิดใหม่อีกจนได้เพียงไม่กี่วัน

ภายใต้กฎหมายที่เขียนด้วยเลือดเช่นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา) ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” ขณะนี้มีหลายคนถูกตัดสินจำคุก 6 ปี 10 ปี หรือ 18 ปี เพราะการแสดงความคิดเห็นทั้งทางอินเตอร์เนตและการพูดในที่สาธารณะ

ด้วยกฎหมายมาตรานี้ ผู้จัดการเวบไซด์ประชาไทออนไลน์ (www.prachatai3.info) ถูกจับกุมและได้รับอนุญาตให้ประกันตัว พร้อมกับข้อกล่าวหากว่า 50 คดี ได้มีการจัดทำเวบไซด์เพื่อติดตามผู้ต้องหาคดีการเมือง http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com/

ประชาชนหลายล้านคน เริ่มสงสัยว่าความรักที่พวกเขาได้มอบให้กับในหลวง มันคุ้มค่ากันหรือไม่กับแผลเป็น และข้อกล่าวหาต่างๆ ที่พวกเขาได้รับเป็นการตอบแทน แม้ว่าจะมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ของขบวนการที่ทำให้ผู้ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกลายเป็นผู้ก่อการร้ายที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ และมีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตกเป็นเหยื่อของวาทะกรรม ‘รักในหลวง’ และ ‘ปกป้องสถาบัน’ แม้จะมีบทลงโทษร้ายแรง แต่กระนั้นก็ตาม มันก็ไม่สามารถหยุดยั้งกระแสการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ที่แผ่ขยายมากขึ้นเรื่อยๆ ให้เงียบสงบลงได้

บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยควรเป็นเช่นไร?

แทนที่จะฟังเสียงของประชาชน รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและของวังหลวง กลับพยายามปิดปากเสียงของประชาชนที่ลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์

เมื่อข้าพเจ้ามองย้อนกลับไปดูประเทศไทยในฐานะคนไทยที่เดินทางประชุมและดูงานในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่นำมาสู่การล้มสลายของราชวงค์เนปาล ข้าพเจ้าไม่อาจคิดเป็นอื่นใดได้ นอกจากรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ท่ีราชวงค์ของไทยไม่ศึกษาเกี่ยวกับความเสื่อม และพัฒนาการของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ยังดำรงอยู่ได้ในสังคมศิวิไลซ์

ยังจำได้ถึงวันหนึ่งที่เพื่อนชาวนรเวย์ได้พาข้าพเจ้าไปทานอาหารที่ร้านอาหารเล็กๆ อันเงียบสงบที่ชานกรุง ออสโลว์ เมืองหลวงของนรเวย์ เราเห็นผู้หญิงท่านหนึ่งเพิ่งทานเสร็จ เดินออกจากร้านอาหาร และเธอก็ขับรถออกไปตามลำพัง หลังจากเธอออกไปแล้วเพื่อนบอกข้าพเจ้าว่า “เธอเป็นฟ้าหญิง” พระองค์ขับรถด้วยตัวเอง และไม่มีขบวนรถตามเสด็จแต่อย่างใด อีกวันหนึ่งแกนนำนักศึกษาได้พาข้าพเจ้าเดินชมเมืองออสโลว์ เราเดินเข้าไปยังสวนอันงดงาม ทั้งสองคนบอกกับข้าพเจ้าว่า นี่เป็นสวนของวังหลวง และองค์พระมหากษัตริย์และสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ทรงพำนักอยู่ที่พระราชวังแห่ง นี้ โอ! ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนักที่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงค์ทรงให้ประชาชนเข้ามาพักผ่อนในสวนหลวง โดยที่เราไม่เห็นทหารแม้แต่คนเดียวในสวนแห่งนี้

ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เจ้าภาพได้พาข้าพเจ้าเดินชมเมืองหลังจากจบการประชุม เราไปหยุดยืนอยู่ที่ประตูหน้าพระราชวังพอดีกับช่วงที่ฟ้าชายทรงขับรถออกจากประตูวัง ไม่มีการปิดกั้นถนน และมีรถตามเสด็จพระองค์เพียงคันเดียวเท่านั้น

ในประเทศไทยขบวนเสด็จของพระบรมวงศานุวงศ์ในกรุงเทพฯ หรือในทุกสถานที่โดยเฉพาะเมืองเชียงใหม่ จะมีการเคลียร์ถนนและสะพานลอยก่อนขบวนเสด็จจะมาถึงอย่างน้อยสิบนาที หรือสามสิบนาที ก่อนที่ขบวนรถของพระบรมวงศานุวงศ์จะขับผ่านด้วยความเร็วเกินพิกัดที่กฎหมายกำหนด กฎหมายถูกผ่อนผันให้กับพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ เคยนั่งนับรถขบวนเสด็จโดยเฉพาะขบวนของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ เรานับได้ถึง 30 คัน เป็นรถยนต์ราคาแพงลิบ สีเดียวกันทั้งขบวน

เรื่องราวของบู้เก้ถูกนำมาเล่าขานเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2552 เรื่องของเด็กหญิงอายุ 6 ขวบที่เสียชีวิตเพราะรถยนต์ที่พาเธอไปโรงพยาบาลติดขบวนเสด็จกว่าหนึ่งชั่วโมง เพราะว่าสมาชิกของพระบรมวงศานุวงศ์จะทรงเสด็จไปสปา พ่อของเด็กน้อยได้แจ้งให้ทหารที่ปิดถนนให้รายงานให้ทรงทราบ ทหารกลับมาบอกว่าคำขอร้องถูกปฏิเสธ เขาจึงขับรถอ้อมไปอีกทางเพื่อจะพบว่าถนนก็ถูกปิดเพื่อขบวนเสด็จอีกเช่นกัน ด้วยความอัดอั้นตันใจพ่อของบู้เก้ได้เขียนเล่าเรื่องราวมายังเวบไซด์แห่งหนึ่ง พวกเราที่ได้อ่านเรื่องราวของเด็กน้อยต่างก็ภาวนาให้เธอปลอดภัย แต่ดังที่พ่อของเธอได้เขียนไว้ว่า “ลูกผมตายเพื่อให้นักร้องไปสปา”

ในวันที่ 13 ตุลาคม 2551 หญิงสาวผู้หนึ่งที่ร่วมประท้วงกับขบวนการเสื้อเหลืองได้เสียชีวิตในระหว่างที่มีการปะทะกับตำรวจที่ทำหน้าที่ปกป้องรัฐสภา เธอได้รับพระราชทานเพลิงศพ ทั้งนี้สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์เสด็จมาในงานด้วยพระองค์เอง ติดตามด้วยเหล่าองคมนตรี ผู้นำเหล่าทัพ อภิสิทธิ์และแกนนำพรรคประชาธิปัตย์

เดือนเมษายน 2553 พ.อ.(พิเศษ)ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. ค่ายจักรพงษ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี นายทหารที่คุมกำลังในการปราบปรามคนเสื้อแดงเสียชีวิตในวันที่มีการปราบปราบ เสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เขาได้รับพระราชทานเพลิงศพอย่างสมเกียรติ โดยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานน้ำอาบศพด้วยพระองค์เอง ภรรยาของพันเอกพิเศษร่มเกล้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการพลเรือน ครอบครัวชาวบ้านที่เสียชีวิตจากการกระชับพื้นที่ 88 ครอบครัวได้รับพระทานเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวังครอบครัวละ 50,000 บาท

ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนกันหรือ จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

มันจำเป็นจะต้องมีองค์กรอิสระจากนานาชาติ เข้ามาตรวจสอบการปราบปราบประชาชนครั้งที่ผ่านมาของรัฐบาลไทย และการตรวจสอบก็ไม่สมควรจะหยุดแค่รัฐบาลอภิสิทธิ์เท่านั้น แม้กระทั่งบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อการปราบปราบประชาชน และความไม่สงบทางการเมืองของประเทศไทย ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาก็จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบด้วยเช่นกัน

ด้วย ‘ความรัก’ อันมหาศาลที่ปวงชนชาวไทยได้มอบให้กับสถาบันดังที่มีการกล่าวอ้างกัน ทำไมสถาบันพระมหากษัตริย์จึงยังทรงมีพฤติกรรมที่ประหนึ่งว่าหวาดระแวงประชาชน แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคสมัยแห่งศตวรรษที่ 21 เช่นนี้?

ทำไมสำนักพระราชวังไม่ปล่อยให้พสกนิกรสามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผยเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์? หรือว่าสำนักพระราชวังจมอยู่ในวังวนของข่าวลืออันหนาหู จนไม่กล้าที่จะเปิดพื้นที่ให้สาธารณชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น?

ความกลัวลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ได้ผลักให้พระบรมวงศานุวงศ์ของไทยเลือกที่จะผูกสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับเหล่านายพลที่ฉ้อฉล เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพระเหตุใดประเทศไทยจึงร่วมเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาในสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ก็เป็นเรื่องที่รับรู้กันอย่างแพร่หลาย

เพราะเหตุใดพระบรมวงศานุวงศ์จึงเป็นเพื่อนกับทรราชเช่นจอมพลถนอม และยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือไม่ให้เขาถูกดำเนินคดีและเตรียมฝูกให้เขาล้มโดยไม่เจ็บตัวมากนัก พร้อมทั้งพระราชทานเพลิงศพเมื่อเสียชีวิต ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

แต่ทำไมพระบรมวงศานุวงศ์ไม่สนับสนุนรัฐบุรุษปรีดี พนมยงค์ บิดาแห่งประชาธิปไตยของไทย ทำไมในปี 2490 จึงสนับสนุนนายพลที่ปฏิวัติรัฐบาลปรีดี ทำไม่ไม่ทรงพระราชทานอภัยโทษให้ท่านปรีดี และทำไมไม่อนุญาตให้ท่านได้กลับเมืองไทยในยามที่ท่านอยู่ในวัยชราภาพ ทั้งไม่มีงานพระราชทานเพลิงศพ เพื่อปลอบขวัญกำลังใจให้ครอบครัวของท่านรัฐบุรุษ เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่อาจเข้าใจได้

ถ้าแผนเค้าโครงเศรษฐกิจของท่านปรีดีได้มีการนำมาใช้จริงๆ นับตั้งแต่ปี 2476 และไม่ถูกโค่นลงด้วยข้อกล่าวหา ‘เป็นคอมมิวนิสต’ ประชาชนชาวไทยก็อาจจะไม่ต้องอยู่กับ 78 ปีแห่งปรากฎการการไล่ล่าและปราบปรามประชาชนอย่างโหดร้ายราวกับว่าเราอยู่ในสมัยศักดินาในยุคกลางของยุโรป ยุคแห่งการปะทะระหว่างผู้ถูกกดขี่และประชาชนที่อัดแน่นไปด้วยความคับแค้นที่มีต่อความหรูหราฟู่ฟ่าและความเคร่งครัดแห่งพิธีรีตองของสถาบันพระมหากษัตริย์(สำหรับยุคสมัยกลางของยุโรป กรุณาอ่านเพิ่มเติมท่ีท้ายบทความนี้)

เค้าโครงเศรษฐกิจของท่านปรีดี มุ่งสร้างหลักประกันความสุขแห่งราษฎร โดยมุ่งเน้นการพัฒนาความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจด้วยระบบสหกรณ์ สวัสดิการสังคม การลงทุนโดยรัฐ และส่งเสริมระบบรัฐวิสาหกิจ ระบบเศรษกิจเพื่อสังคม การแลกเปลี่ยนทางการค้า ส่งเสริมให้ประชากรทุกคนเข้าถึงการศึกษา และให้เกษตรกรได้ใช้กำลังแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งการจัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม มีมากจ่ายมาก และยังระบุถึงระบบเงินเดือนประชากรทั้งประเทศอีกด้วย

ถ้าแผนพัฒนาของท่านปรีดีได้มีการนำมาปฏิบัติใช้จริง ประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศนำร่องด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้วก็ได้ในตอนนี้ เราอาจจะกล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทางเพศที่นำรายได้ปีละสองแสนล้านบาทมาหล่อเลี้ยงรัฐบาลในปัจจุบันอาจจะถูกแทนที่ด้วยระบบเกษตรกรรมที่เข้มแข็ง และประชาชนทั้งประเทศอาจจะมีระบบประกันสุขภาพที่มีประสิทธิภาพแล้วก็ได้ใน ช่วง 78 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนั่นหมายความว่าประเทศไทยอาจจะไม่อยู่ในวังวนของการล้มละลายทางความเชื่อถือต่อกระบวนการตุลาการเช่นในปัจจุบัน ปวงชนชาวไทยในทุกวันนี้ก็อาจจะกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริงๆ

เมื่อไม่นานมานี้เวบชุมชนคนเหมือนกันได้มีการอ้างถึงจดหมายสองฉบับที่เขียนโดยพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ฉบับแรกทรงเขียนถึงจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการปฏิวัติโค่นรัฐบาลปรีดีได้สำเร็จในปี 2490 และฉบับที่สองทรงเขียนถึงจอมพลถนอมหลังจากที่จอมพลถนอมทำการปฏิวัติตัวเองเพื่ออยู่ในอำนาจต่อในปี 2514

รัฐประหารปี 2490 ได้ชื่อว่าเป็นการทำรัฐประหารที่ได้ทำลายรัฐธรรมนูญที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดของประเทศไทย

รัฐประหาร ปี 2490 ได้ถวายพระราชอำนาจคืนให้องค์พระมหากษัตริย์หลายด้าน ร่วมทั้งถวายคืนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และเพระเหตุใดนับตั้งแต่ปี 2490 เป็นต้นมา ประเทศไทยจึงยังคงอยู่ในอุ้มมืออุ้งตืนของทหารที่อ้างตัวว่าเป็น ‘ข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ และข้ออ้างที่ว่า ‘จำต้องทำรัฐประหารเพื่อปกป้องราชบัลลังก์’?

ในการเปลี่ยนผ่านจากระบบเผด็จการมาสู่ระบบประชาธิปไตยในช่วงปลายทศวรรษ 2510 ของประเทศสเปน (หลังจากประเทศถูกปกครองภายใต้นายพลฟรังโกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 จนกระทั่งนายพลฟรังโกเสียชีวิตในปี 2518) เป็นไปด้วยบรรยากาศแห่งการแก่งแย่งชิงอำนาจระหว่างกองทัพต่างๆ จนเมื่อความขัดแย้งรุนแรงถึงที่สุด ทหารกลุ่มหนึ่งได้ทำการรัฐประหารในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2524 แต่การทำรัฐประหารก็ถูกขัดขวางจากกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ที่สวมใส่ชุดผู้บัญชาการทหารสูงสุด และทรงมีกระแสพระราชดำรัสผ่านทางรายการโทรทัศน์ เรียกร้องให้สาธารณชนออกมาปกป้องรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาอย่างชอบธรรม หัวหน้าคณะรัฐประหารถูกตัดสินจำคุก 30 ปี และการกระทำของพระมหากษัตริย์ของสเปนครั้งนี้ได้นำไปสู่การสร้างความเข็มแข็งให้ทั้งกับระบอบประชาธิปไตยของสเปนและการนับถือในสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก และก็ไม่เกิดรัฐประหารขึ้นอีกเลยในสเปนหลังจากนั้น

ในทางกลับกัน นับตั้งแต่ปี 2490 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยได้ลงพระปรมาภิไธยให้กับ คณะรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จในการปล้นประชาธิปไตยของประเทศไทยถึง 7 คณะด้วยกัน

ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมาพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยควรจะยืนหยัดเคียงข้างพสกนิกรของพระองค์ เพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย และทำให้ทหารที่พร้อมจะทำการรัฐประหารและปราบปรามประชาชนได้ตลอดเวลาไม่สามารถขยับตัวและลุกขึ้นมาทำการรัฐประหารได้อีกตลอดกาล

การปราบปรามประชาชนของกองกำลังทหารรักษาพระองค์ในเดือนเมษายน 2553 ได้ผลักประเทศไทยให้ล้มลุกคลุกคลานไปบนท้องถนนที่ลื่นแฉะพร้อมกับสถานภาพอันไร้เกียรติยศแห่งการเป็น ‘ประเทศที่ล้มเหลว’ เวลาที่คนไทยจะได้เปิดเวทีสาธารณะเพื่อพูดคุยกันถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันของพระราชวัง และกองกำลังทหารรักษาพระองค์จำนวนมหึมาที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพระบรมวงศานุวงศ์ ได้ถูกปล่อยให้ผ่านมานานเกินไปแล้ว

และทั้งอำนาจอันบริบูรณ์และเอกสิทธิ์พิเศษมากมายอันมีราคาแพงลิบลิ่วที่มอบให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเอกสิทธิ์ที่ถูกใช้อย่างสวนกระแสพระราชดำรัส ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ที่ตรัสแนวนโยบายนี้ด้วยพระองค์เอง

ด้วยการเปิดพื้นที่ให้สาธารณชนได้วิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างอิสระเท่านั้นที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ จะยังคงสามารถที่จะฟื้นความศรัทธาและยังคงเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดการเข่นฆ่า ประชาชนในประเทศเกิดขึ้นอีกในอนาคต และนำความยุติธรรมกลับคืนสู่ประเทศไทย โดยไม่ต้องพึ่งพิงทหารหรือกองกำลังติดอาวุธ ที่ไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อยต่อประเทศไทยในศตวรรษที่ 21

พระราชวังจะต้องเปิดพื้นที่ให้พสกนิกรชาวไทยเปิดเผยความรู้สึกที่พวกเขามีต่อสถาบัน พระมหากษัตริย์ได้อย่างอิสระ และพระราชวังจะต้องสั่งให้มีการยุติกระบวนการสร้างกระแส ‘เรารักในหลวง’ และ ‘ปกป้องสถาบัน’ โดยทันที

นับตั้งแต่วันที่ข้าพเจ้าได้ก่อกำเนิด พระบรมวงศานุวงศ์ได้รับความรักจากข้าพเจ้า แต่อย่างช้าๆ ความรักนี้นี้ได้ค่อยๆ เลือนหายไป ถ้าพระราชวังทำให้ข้าพเจ้าต้องเลือกระหว่าง รักพระบรมวงศานุวงศ์กับรักประชาชนคนไทย ข้าพเจ้าคงต้องเลือกประการหลัง ไม่มีสิ่งใดหรือคนใดสามารถมาทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนใจในความรักที่มีต่อพี่น้องชาวไทยได้

เมื่อกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ มีหลายประเด็นที่สาธารณชนจำต้องถกเถียงกันด้วยเหตุผลได้โดยปราศจากซึ่งความกลัวว่าจะถูกจับโยนเข้าคุก โดยเฉพาะประเด็นดังต่อไปนี้

ทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 60 ปี ด้วยพระราชทรัพย์รวมกันทั้งสิ้นกว่าหนึ่งล้านหนึ่งแสนสองหมื่นล้านล้านบาท ในปี 2551 องค์กรจัดลำดับ Forbes ได้ประกาศพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าทรงเป็นกษัตริย์ที่มั่งคั่งมากที่สุดในโลกเหนือกษัตริย์ทั้งปวง สาธารณชนไทยควรจะได้รับอนุญาติให้สามารถร่วมชื่นชมพระราชทรัพย์ของสถาบันพระมหากษัตริย์และขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องมองย้อนมาศึกษาเปรียบเทียบระยะห่างที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ของช่องว่างระหว่าคนรวยและคนจนในสังคมไทย
ไม่มีทางที่การแต่งงานระหว่างความคิดของฝ่ายกษัตริย์นิยมที่เรียกว่า ‘ความเป็นไทย’ กับผลประโยชน์ที่เกิดจากอุตสาหกรรมเทคโนโลโยีขั้นสูงจะอยู่กันได้อย่างยั่งยืนโดยปราศจากซึ่งระบบตุลาการที่เป็นอิสระ
ฝ่ายกษัตริย์นิยมเริ่มมีจำนวนน้องลงเรื่อยๆ และไม่สามารถพึ่งพึงทหารชั้นผู้น้อยและตำรวจได้อีกต่อไป เพราะพวกทหารและตำรวจชั้นผู้น้อยต่างก็มีพ่อ มีแม่ มีลุง ป้า น้า อา อยู่ในกลุ่มของคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบที่เริ่มตระหนักถึงจิตสำนึกร่วมแห่งความเป็นชนชั้นกรรมาชีพ ทั้งในเมืองและในชนบทมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายกษัตริย์นิยมจึงต้องหันไปพึ่งพิงและพยายามควบคุมอำนาจตุลาการไว้ให้ได้ โดยเฉพาะผู้พิพากษาสูงสุดทั้งหลาย โดยใส่ความคิดเรื่องใครคือ ‘คนดี’ และ ‘คนไม่ดี’ และ ‘จิตวิญญาณประชาชาติ’ ไว้ในแนวปฏิบัติของศาลด้วย
ถ้าจะทำให้ระบบ ‘กฎหมายเป็นกฎหมาย’ กลับคืนมาสู่ประเทศไทย เพื่อที่ประเทศไทยและคนไทยจะได้พบกับถนนสายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง และสามารถนำพาประเทศและสันติภาพมาสู่ทั้งภูมิภาค จำต้องมีข้อกฎหมายที่ระบุชัดเจนว่าห้ามสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาก่าวก่ายการตัดสินใจของศาลไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด

ระบบตุลาการที่บิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดจากการให้ท้ายของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่ไม่ได้ร่างมาตามครรลองแห่งรัฐธรรมนูญ และเขียนขึ้นมาภายใต้กฎของคณะรัฐประหาร
มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาที่ครอบคลุมถึงการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะต้องเอาออกไป เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติ


การเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองอย่างทรงศักยภาพของคณะองคมนตรีมาโดยตลอด จะต้องมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

ปวงชนชาวไทยไม่ต้องการหน่วยทหารรักษาพระองค์ร่วม 60 กองพัน ที่มีทหารรักษาพระองค์กว่า 30,000 นายเพื่อมาพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ยืนยันว่าเป็นที่รักยิ่งของพสกนิกรชาวไทย
นายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมการปกครองกล่าวว่า จากการที่กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินโครงการอาสาสมัครปกป้องสถาบัน ขณะนี้พบว่าประชาชนสนใจสมัครเป็นสมาชิกอาสาสมัครปกป้องสถาบันทั่วประเทศ จำนวนมาก โดยเริ่มต้นให้มีอำเภอละไม่น้อยกว่า 1,000 คน ขณะนี้เกิน 1,000 คนแล้ว และจะขยายไปจนถึง 1 แสนคน

เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2553 กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินโครงการ ‘อาสาสมัครปกป้องสถาบัน’ โดยจะระดมเยาวชนจากทุกอำเภอทั่วประเทศ อำเภอละ 1,000 คน ทั้งนี้ระบุว่า ประชาชนทุกคนต่างมีศูนย์รวมจิตใจคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อุดมการณ์ของอาสาสมัครปกป้องสถาบันคือ “ที่จะปกป้องสถาบันด้วยชีวิต การรักษาความสามัคคี รักษาความสมานฉันท์ รักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง และน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ” ทั่วประเทศ

ในวันที่ 8 มิถุนายน อธิบดีกรมการปกครองได้กล่าวเปิดงานที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้กับอาสาสมัครกลุ่มแรกที่มีทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านและข้าราชการท้องถิ่นจำนวน 2,000 คน และได้มีการมอบบัตรอาสาสมัครปกป้องสถาบัน (อสป.จชต.) ให้แก่ตัวแทนอาสาสมัครปกป้องสถาบันจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน ๓๓ อำเภอ และการกล่าวถวายราชสดุดี ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงว่าขณะนี้การสังหารแกนนำคนเสื้อแดงระดับท้องถิ่นได้เริ่มขึ้นแล้ว

มันเป็นความป่วยไข้ที่ยากจะเยียวยา ที่ในทุกครั้งของการรวมตัวของชาวบ้านและคนงานเพื่อนำเสนอทางออกต่อปัญหาของพวกเขา ต่อข้าราชการที่รับผิดชอบ ปากของพวกเขาจะถูกปิดด้วยคำพูดของข้าราชการทั้งหลายว่า “ข้าพเจ้าเป็นข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เราทำงานเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” คำพูดเหล่านี้จากปากข้าราชการถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดหัวชาวบ้านไม่ให้สามารถพัฒนาและเติบโต ข้าราชการกินเงินเดือนภาษีของประชาชน ควรจะทำหน้าที่บริการประชาชน ไม่ใช่เป็นข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีข้ารับใช้มากจนเพียงพอแล้ว
การใช้คำพูดเหล่านี้ของข้าราชการทั้งในระดับท้องถิ่นและในระดับชาติคือการป้องกันไม่ให้เกิดการอภิปราย ถกเถียงกันอย่างแท้จริงและจริงจังในการแก้ปัญหาเร่งด่วนของชาติ และคำพูดเหล่านี้ควรจะถูกออกคำสั่งห้ามใช้อีกต่อไป

องค์กรพัฒนาชุมชนและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติมักจะบ่นให้ฟังว่าถ้าจะทำโครงการอนุรักษ์หรือโครงการพัฒนาถ้าไม่มีป้าย ‘โครงการเฉลิมพระเกียรติ’ หรือภายใต้การอุปภัมภ์ของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง โอกาสจะได้รับความร่วมมือจากข้าราชการนั้นยากมาก ไม่ต้องพูดถึงการเข้าถึงเงินทุนพัฒนาของรัฐ การทำงานพัฒนาที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของสถาบันใด ไม่ว่าจะเพื่อการพัฒนาชุมชนหรือเพื่อการพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จะถูกมองข้ามหรือไม่ได้รัความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือพยายามผลักให้กิจกรรมนั้นๆ ของชาวบ้านเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม หรือไม่ว่าชาวบ้านจะได้จัดการโครงการกันดีแค่ไหนก็ตาม

สำนักงานที่ดูแลกิจการในพระบรมวงศานุวงศ์ได้พัฒนากลไกที่ละเอียดอ่อนและประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่งในการรับเงินบริจาคเงิน ‘โดยเสต็จพระราชกุศล’ ทั้งจากบรรษัทห้างร้านต่างๆ และจากสาธารณชน การบริจาคเงินทุกชนิดให้กับพระบรมวงศานุวงศ์และการใช้เงินเหล่านั้นควรจะต้องทำให้เกิดความโปร่งใสและให้สาธารณชนตรวจสอบที่มาที่ไปของการใช้เงินบริจาคเหล่านั้นได้
ขนบธรรมเนียมของพระราชสำนักที่ละเมิดศักดิ์ศรีแห่งปัจเจกบุคคลและศักดิ์ศรีแห่งสังคมจำเป็นจะต้อง มีการทบทวนเพื่อแก้ไขปรับปรุง และอาจจะต้องยกเลิกขนบธรรมเนียมส่วนใหญ่ที่ล้าสมัยออกไป อาทิ การที่พระบรมวงศานุวงศ์คาดหวังว่าเงินภาษีจากประชาชนควรจะถูกนำมาใช้ปิดกั้นถนนเพื่อให้ขบวนรถยนต์พระที่นั่งสุดหรูหลายสิบคันขับผ่านไปไหนมาไหนโดยไม่ติดขัด หรือว่าก่อนที่ผู้ชมจะได้ดูหนัง ‘Sex and the City2’ จะต้องยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนหนังฉาย หรือไม่ก็จะต้องยอมถูกกระทีบก่อน และเงินนับล้านบาทที่จะต้องใช้สร้างพระตำหนักชั่วคราวในช่วงที่ทรงเสด็จ เยี่ยมเยียนราษฎร หรือแม้แต่การจะเข้าพบในหลวงและราชินีจะต้องมอบคลานใต้เบื้องพระยุคลบาท และเปล่งภาษาแห่งยุคบุราณกาล ‘ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม’
ในโลกยุคสมัยนี้ ไม่มีใครเป็นฝุ่นใต้ธุลีพระบาทของใคร แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงละทิ้งซึ่งยศฐาบรรดาศักดิ์และพระราชวังเพื่อใช้ชีวิตสามัญชนที่เท่าเทียมกับมนุษย์ผู้อื่น

ทั้งหลายทั้งปวงที่เขียนมานี้คือเหตุผลที่ว่าทำไม่มันจึงยากมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับข้าพเจ้าที่จะ ‘รักในหลวง’

กระแส ‘ปกป้องสถาบัน’ อันเชี่ยวกรากในปัจจุบัน ด้วยข้ออ้างความชอบธรรมในการจัดตั้งว่า ‘ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’ จะนำเราเข้าสู้สงครามกลางเมืองไม่ใช่สันติภาพ จะต้องรออีกนานแค่ไหนที่สถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันที่แวดล้อมทั้งหลาย จะตระหนักว่าจะต้องทำใจยอมรับและสนับสนุนข้อเรียกร้องของปวงชนชาวไทย เพ่ือให้ประชาชนทุกคนในสังคมได้อยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม ได้รับความเป็นธรรมภายใต้ระบบประชาธิปไตย และจัดระบบการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม พร้อมทั้งเคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานแห่งการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและสิทธิใน การเจรจาต่อรองร่วม

จรรยา ยิ้มประเสริฐ
24 มิถุนายน 2553





อธิบายเพิ่มเติม “ยุคสมัยกลาง”

คำนี้เป็นคำที่เป็นอีกคำหนึ่งที่ใช้บรรยายถึง “ยุคกลาง”

ยุคกลางมักจะเป็นการอางถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ยุโรปนับตั้งแต่คริสตวรรษที่ 5 – 15 กล่าวอย่างรวบรัดคืออยู่ช่วงปลายยุคโบราณกับภาคแรกของการรวมตัวเป็นชาติ

ยุคกลางของยุโรปถ้าเปรียบเทียบกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็คงจะอยู่ในช่วงที่ราชวงค์มองโกลถอนกำลังออกจากภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะออกจากพม่าและเขมร สู่ช่วงการเริ่มแนวคิดการรวมตัวเป็นชนชาติไท ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ายุุคกลางของภูมิภาคนี้อาจจะอยู่ในช่วงปลายคริสตวรรษที่ 13 จนถึงคริสตวรรษที่ 18

ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกหรือตะวันตก ยุคกลางเป็นยุคของการแข่งขันและสู้รบระหว่างกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ซึ่งในช่วงนั้นคือการแย่งชิงกำลังแรงงาน ผู้นำที่หลักแหลมได้ตระหนักในไม่ช้าว่าอำนาจที่ยิ่งใหญ่จะต้องมาพร้อมกับศักยภาพในการควบคุมกำลังแรงงานจำนวนมหาศาล (รวมทั้งการสะสมกำลังทหาร) ให้ได้ ซึ่งจะต้องสร้างให้เกิดศูนย์รวมของความรู้สึกร่วมแห่งความเป็นสถาบัน หมายถึงการต้องจัดโครงสร้างลำดับชั้นการปกครอง ‘ไพร่-นาย’ ในสังคม (หรือที่เรียกว่าไพร่-อำมาตย์้)

นี่จึงเกิดยุคทองแห่งกรุงศรีอยุธยาในคริสตวรรษที่ 14

ทั้งตะวันตกและตะวันออก มีความสอดคล้องกันของยุคกลางในเรื่องการทำสงครามตีเมืองขึ้นกันไปมา อย่างไม่รู้จักหยุดรู้จักหย่อน จนไปถึงการเริ่มปักหมุดแห่งการสร้างความเป็นชาติ นั่นก็หมายความว่าชาวบ้านที่ไม่ต้องการตายในสนามรบภายใต้ธงรบของกษัตริย์พระองค์นี้หรือกษัตริย์พระองค์นั้น จำต้องหลีกหนีเข้าป่า และผู้ที่ขยายอำนาจได้กว้างใหญ่ไพศาลก็จะได้รับสมญานามว่า ‘มหาราชหรือมหาจักรพรรดิ์’

ในคริสตวรรษที่ 13 นี้ในยุคโรป นักเทววิทยาชื่อว่าเซนต์โทมัส อควีนาส ได้พยายามที่จะชี้ให้เห็นว่าความมั่งคั่งตามวิถีธรรมชาติไม่ใช่ว่าไม่มีคำว่า ‘จุดอิ่มตัว’ เพราะว่าเมื่อพัฒนาการมาถึงจุดหนึ่งแล้วธรรมชาติก็จะรู้สึกยินดีกับสิ่งที่มีและก็ไม่ต้องการอะไรอีก แต่การกระหายในความมั่งคั่งที่ไม่เป็นไปตามวิถีธรรมชาติจะทำให้ผู้คนตกเป็นทาสแห่งแรงปรารถนา และมีความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

จากตรรกะแห่งการรู้จักประมาณตนนี้ มันไม่ยากจนเกินกว่าจะทำความเข้าใจว่่า การดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อจะได้ครอบครอง และความปราถนาซึ่งตัวเลขของผลกำไรอย่างไม่รู้จักพอ ไม่สามารถนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้ มีแต่จะนำไปสู่ความยากแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ และในไม่ช้าไม่นาน อำนาจนั้นก็จะต้องถูกโค่น

และอะไรคือความพอเพียง? การตายของไพร่ 88 ศพ พอเพียงที่จะให้ชาวไพร่ยอมจำนน?

อควีนาสบอกว่ามันไม่มีวิถีธรรมชาติที่จะทำให้มนุษย์รู้จักกับคำว่า ‘กำไรพอเพียง’ นี่คือสาส์นของเขาเมื่อ 700 ปีที่ผ่านมา ที่ฝากมาให้พวกเราได้ตระหนักถึงคำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน ยังมีปรัชญาคำสอนอันชาญฉลาดมากมายที่นักคิดนักปรัชญาในอดีตได้ฝากไว้ให้พวกเราคนรุ่นหลัง แต่กระนั้นก็ตามความกระหายที่จะครอบครองความมั่งคั่งอย่างไม่รู้จักอิ่ม ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสแห่งแรงปรารถนาอย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม้กระทั่งคนในกรุงเทพมหานคร

เรามีเพียงประวัติศาสตร์เท่านั้นที่จะสอนเรา

เรามีโรงละครในแต่ละชุมชนที่จะช่วยสะท้อนให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่มันก็ทำไม่ได้เพราะว่าชาวบ้านปราศจากซึ่งเสรีภาพในการรวมตัวและไร้ซึ่งเสรีภาพที่จะพูดความรู้สึกที่แท้จริง

องค์ความรู้จากประวัติศาสตร์จำเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้สำหรับประเทศไทย ทำไม? เพราะว่ามันจะช่วยให้สามัญสำนึกของเราแหลมคม เพื่อที่เราจะได้ตระหนักได้ทันท่วงทีต่อสถานการณ์ที่กำลังผลักพวกเราให้เดิน ถอยหลังในยามที่พวกเรารู้กันดีว่าจำเป็นจะต้องเดินไปข้างหน้า มิฉะนั้นก็ต้องยอมถูกจองจำไว้กับอดีตไปจน

colskys@hotmail.com

ราชินี และพันธมิตร

ผู้อ่านของโพลิติคอลพรีซันเนอร์อินไทยแลนด์ (พีพีที) อาจจะทราบแล้วก็ได้ว่า ในวันที่พันธมิตรออกมาประท้วง ราชินีทรงแสดงออกมาหลายครั้งว่าได้ให้การสนับสนุนพันธมิตร

ตัวอย่าง จากข่าวในเดอะเนชั่นหลังจากการประท้วงเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๑ มีการใช้แก๊สน้ำตา แรงระเบิดจากแก๊สน้ำตาเป็นสาเหตุให้มีการบาดเจ็บและการตายเกิดขึ้น ข่าวรายงานว่า “สมเด็จพระราชินีทรงเป็นกังวลในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่ามีประชาชนได้รับบาดเจ็บหลายคน….” พระองค์ทรงประทานเงินค่ารักษาจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้โรงพยาบาลวชิระ ซึ่งผู้ประท้วงพันธมิตรเข้ารับการรักษาที่นั่นจำนวนหลายคน” และ “สำนักพระราชวังได้แจ้งไปทางโรงพยาบาลว่า จะเป็นผู้ชำระค่ารักษาของฝ่ายพันธมิตรทั้งหมด” หลังจากนั้น ราชินีและเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ ทรงมีพระราชเสาวนีย์แสดงให้เห็นว่า ทรงเกี่ยวข้องทางการเมืองอย่างแน่ชัดอย่างไม่น่าเชื่อ จากข่าวเอเชียไทม์ที่ว่า “ทรงเสด็จในงานพิธีพระราชทานเพลิงศพของผู้ประท้วงพันธมิตร ซึ่งเสียชีวิตในวันเกิดเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม สื่อไทยรายงานว่า ราชินีทรงมีรับสั่งกับบิดามารดาของผู้เสียชีวิตว่า ลูกสาวต้องเสียชีวิต เพื่อ “ปกป้อง” “สถาบันกษัตริย์”

ขณะนี้ประชาไท (๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒: “ศิลปินเกิดใหม่”) ได้ลงข่าวเพิ่มเติมว่า ศิลปินพันธมิตรได้เข้าเฝ้าฯราชินี “เป็นศิลปินซึ่งสูญเสียมือขวาจากการปะทะ..เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม..ทรงได้ประทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าเพื่อถวายพระสาทิสลักษณ์ขององค์ราชินี และ ทรงตรัสชื่นชมว่า “เก่งมาก”

ผู้อ่านอาจจะคิดว่านี่เป็นเพียงการแสดงความมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างปกติ แต่พระองค์ทรงแสดงการสนับสนุนที่มีต่อเสื้อเหลืองอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ทรงแสดงออกต่อหน้าพสกนิกรจำนวนมากในวันที่เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งเป็นวันหยุดของประเทศ สถานีโทรทัศน์ทุกช่องต่างถ่ายทอดสดทั้งพระสุรเสียงและตัวพระองค์เองเต็มไปหมด ในปีนี้ราชินีทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับพระพลานามัยของกษัตริย์ และการรักษาภาพพจน์ของราชวงศ์ว่า เป็นแต่ผู้ให้และมีความกรุณาปราณี ราชินีทรงขอให้มีการสมานฉันท์ในชาติ เป็นการร้องขอซึ่งทั้งตัวพระองค์ และกษัตริย์ได้ทรงกระทำอยู่เป็นนิจ

ความหมายทางการเมืองที่สำคัญในการให้ศิลปินเข้าเฝ้า ตามที่สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรได้นำมาอ้าง (ประชาไท ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒: “สนธิอัดเทพเทือกว่าเนรคุณและใกล้ชิดกับทักษิณ”)

จากใจ

ประเทศสเปน มีกษัตริย์ครับ และที่กอดกับนักพุตบอลน่ะ กษัตริย์ คือเป็นกษัตริยื สมัยใหม่ ที่รักษาดุลยภาพ และภราดรภาพ ครับ ไม่ถือองค์ กษตริย์พระองค์นี้ ตอนเกิดรัฐประหาร พระองค์ทรงนำประชาชน ต่อต้านทหารที่รัฐประหาร ผิดกับบ้านเราที่ กะสัตว์กลับเป็นผู้บงการ ซะเอง แต่เห็นด้วยกับคุณดอนคิง นะ ถ้าฟุตบอลไทยชนะ นักฟุตบอลต้องเข้าหมอบกราบตีน กะสัตว์ ถ้าอ้างว่าเป็นธรรมเนียม สเปนเค้าก็ต้องคุกเข่า แต่เลิกแล้ว เพราะแสดงออก ถึงความไร้มนุษยธรรม และไม่เจริญ ตอนที่หมอบกราบนั้น อาจมีหมาน้อยน่ารักมาคุยด้วย ถ้าเข้าเฝ้าชายโอ หมาจะนั่งที่เก้าอี้ และใส่ชุดข้าราชการ กระดานบ่า ซี แปด ซี เก้า ทุกตัว … เฮ้อ น่าขันมั้ยประเทศไทย

ข้อความต่อต้านเจ้า


เดาว่านี่เป็นข้อความต่อต้านกษัตริย์ล่าสุด ประทับด้วยหมึกแดงบนธนบัตรจะเข้าข้อหาหมิ่นฯ กระดานข่าวต่างกลั้นหัวเราะไม่อยู่จนน้ำลายแตกฟองกับข้อความในธนบัตรนั้น
2Bangkok.com อ้างว่า ข้อความบนธนบัตรร้อยบาทนี้ ได้ประทับด้วยข้อความซึ่งอ่านทำนองว่า พระเจ้าตากสินกลับมาเกิดใหม่เป็นทักษิณ ชินวัตร

ธนาคารกรุงไทยออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ธนบัตรดังกล่าวยังคงใช้ได้ตามกฎหมาย แต่กระนั้นก็ตาม ได้มีการกล่าวกันว่า ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้แนะนำให้ลูกค้าที่มีความรู้สึก “กระอักกระอ่วน” กับข้อความ “ต่อต้านเจ้า” ให้นำมาเปลี่ยนเป็นธนบัตรใหม่ได้ทั่วทุกสาขาในประเทศ

พีพีที ต้องพยายามกัดลิ้นตัวเองไว้ เนื่องจากสงสัยว่าทำไมข้อความนี้ถึงได้เป็นการต่อต้านเจ้า ราชวงศ์นี้ได้มาจากพระเจ้าตากสิน และพวกเขายังคงติดตามตัวทักษิณ ดูไม่น่าเป็นการต่อต้านเจ้าเลยนะ…

colskys@hotmail.com

จะเกิดอะไรขี้น เมื่อสิ้นรัชกาล

ประเทศไทยกำลังวิตกเกี่ยวกับเรื่องการสืบทอดสันตติวงศ์ – แต่ไม่มีใครกล้าพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ รายงานโดย: แอนดรูว์ บันคอม และปีเตอร์ โพแพม

พระองค์ทรงมีพระราชจริยวัตรอันงดงามยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน เสด็จพระราชสมภพที่รัฐแมสสาชูเซสท์ เมื่อพระชนมายุ ๒๑ พรรษาทรงเกือบสิ้นพระชนม์เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถยนต์พระที่นั่งเฟี๊ยตโทโปลิโน ชนท้ายกับรถบรรทุกที่กำลังจอดอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ทรงมีอัจฉริยภาพสูงส่งในด้านดนตรีแจ๊ส แซกโซโฟน เทียบเท่าอัจฉริยบุคคลของอเมริกาหรือของยุโรป แต่พระปรีชาสามารถทั้งหมดของพระองค์ กลับถูกบดบังด้วยการขี้นครองราชย์อย่างไม่คาดคิด

พระองค์คือกษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดช ทรงเป็นปางอวตารของพระวิษณุและพระอวตารภาคอื่นๆ มีพระชนมายุ ๘๑ พรรษา ขณะนี้กำลังทรงเข้าประทับรักษาพระวรกายในโรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพ โดยมีพสกนิกรชาวไทยเฝ้าติดตามข่าวพระอาการ และถวายพระพรแด่พระองค์ พระองค์ทรงได้รับการถวายการรักษาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์แล้ว ประชาชนจำนวนนับพันได้เข้าแถวเพื่อรอร่วมลงชื่อถวายพระพรให้พระองค์ทรงหายประชวร ทั่วทั้งประเทศไทยได้พร้อมใจกันจัดงานเทิดพระเกียรติ และร่วมสวดมนต์ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

แถลงการณ์ของสำนักพระราชวังล่าสุดเกี่ยวกับพระอาการของกษัตริย์สร้างความยินดีให้กับประชาชน แถลงการณ์มีใจความว่า พระองค์ทรงมีพระปรอท และพระปัปผาสะ (ปอด) อักเสบ แต่ทรงตอบสนองต่อพระโอสถดีขึ้น แต่การที่ทรงประทับรักษาพระองค์ในโรงพยาบาลยิ่งนานวันเข้า ยิ่งสร้างความวิตกกังวลไม่ใช่เพียงเรื่องพระสุขภาพของกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดของโลก แต่เป็นเรื่องอนาคตของประเทศซึ่งพระองค์ได้ทรงปกครองมาตั้งแต่ปี ๒๔๘๙

กษัตริย์เป็นที่เคารพของหลายๆคนในประเทศไทย บางคนยังถือว่าพระองค์ทรงเปรียบประดุจดังสมมุติเทพ และผู้บรรยายข่าวบางคนกล่าวว่า พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งประเทศ ซึ่งบางครั้งขาดความสามัคคีกันในสังคม

เดือนที่แล้วนี่เอง พระองค์ทรงแสดงความห่วงใยต่ออนาคตของประเทศไทย ทรงมีกระแสพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “เรารู้สึกว่า บ้านเมืองเรากำลังล่มจม เพราะต่างคนต่างทำ” และ “ถ้าทุกคนที่มีความรู้ ความตั้งใจ มาร่วมมือกัน…จะสามารถสร้างให้บ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างแท้จริง” พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระองค์ทรงอาศัยพระปรีชาญาณของพระองค์แก้ไขวิกฤติการณ์มาแล้วหลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตำแหน่งและมูลค่าทรัพย์สินอันมหาศาลของพระองค์ ซึ่งประมาณว่าเป็นจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ – ๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท แต่บทบาททางการเมืองของพระองค์ทรงถูกครอบงำโดยบุคคลต่างๆในกองทัพที่มีความมักใหญ่ใฝ่สูง

ปัญหาก็คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมารองค์รัชทายาท ซึ่งทรงแต่งงานถึงสามครั้ง จะสามารถเจริญรอยตามพระยุคลบาทอย่างเรียบง่ายของพระราชบิดาที่กำลังทรงพระประชวรได้หรือไม่ การประทับรักษาพระองค์เป็นเวลานานสร้างความรู้สึกหวั่นวิตกต่อความยุ่งยากที่คาดว่าจะตามมาหลังสิ้นรัชกาล

กฎหมายหมิ่นฯที่รุนแรงได้ถูกนำมาใช้เสมอเพื่อใช้ปิดปากนักวิจารณ์ทั้งหลาย – บางครั้งต้องโทษจำคุกนานถึง ๑๕ ปี – บุคคลเหล่านั้นต่างหวาดกลัวที่จะถกเถียงต่อเรื่องนี้ในที่สาธารณะ นักวิเคราะห์ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม ประจำสำนักงานในกรุงเทพ กล่าวว่า “ห้ามพูดเรื่องปัญหาการสืบสันตติวงศ์ สื่อไทยจะไม่กล้าพูดถึง” “เรื่องการสืบสันตติวงศ์ยิ่งเพิ่มความรู้สึกว่า กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมากขึ้น”

การเมืองของประเทศไทยกำลังประสบกับความยุ่งยาก เริ่มต้นเมื่อปี ๒๕๔๙ เรื่องส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปที่บุคคลผู้หนึ่งซึ่งครั้งหนึ่งในระยะเวลาสั้นๆเคยเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ มหาเศรษฐีด้านโทรคมนาคม และอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร

คุณทักษิณได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ๒๕๔๔ ห้าปีหลังจากนั้น ความหวาดกลัวว่าทักษิณจะมีอำนาจและมีความทะเยอทะยานมากขึ้น การประท้วงจากการรวมกลุ่มพันธมิตรหัวโบราณอย่างข้าราชการทหาร พวกคลั่งเจ้า และผู้หาประโยชน์จากการทำธุรกิจได้เริ่มขยายตัวออกไป นำไปสู่การทำรัฐประหาร ส่งผลให้ทักษิณต้องบินออกนอกประเทศและกำลังอยู่ในระหว่างการลี้ภัย เมื่อมีการเลือกตั้งอีกครั้งในเดือนธันวาคม ๒๕๕๐ พรรคที่สนับสนุนทักษิณได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง แต่ทั้งนายกที่ได้รับเลือกตั้งและนายกคนถัดไป ซึ่งนิยมทักษิณต่างถูกบังคับให้ต้องออกจากตำแหน่ง – นำไปสู่การปะทะกันระหว่างฝ่ายสนับสนุนทักษิณคนเสื้อแดง และฝ่ายคลั่งเจ้าหัวโบราณเสื้อเหลือง ซึ่งได้สร้างความเข้าใจผิดๆให้กับคนอื่น โดยการเรียกตัวเองว่า พันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย

นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สำเร็จการศึกษาจากอีตัน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคมที่แล้ว เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สามในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่อภิสิทธิ์เป็นที่เคารพของบุคคลหลายฝ่าย ความพยายามที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้หยุดชะงักจากการประท้วงที่รุนแรง และความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาลของเขา ผู้เชี่ยวชาญต่างกล่าวว่า ดูเหมือนว่าการแยกขั้วจะถึงขั้นวิกฤติจนยากที่จะหาทางออกได้ง่ายๆ และเป็นการทำลายความมั่นใจต่อนักลงทุนและต่อนักท่องเที่ยว

แม้ว่าคุณทักษิณจะลี้ภัยเพื่อเลี่ยงคำตัดสินของศาล แต่ทั้งตัวเขาและฝ่ายสนับสนุนเสื้อแดง ยังคงไม่ได้หายไปไหน

สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่กษัตริย์ทรงพระประชวรประทับรักษาพระวรกาย เสื้อแดงจำนวน ๒๐,๐๐๐ คนได้ชุมนุมประท้วงในใจกลางกรุงเทพในวันครบรอบสามปีของการทำรัฐประหาร ซึ่งบังคับขับไล่ทักษิณผู้ได้รับความนิยมให้ออกจากตำแหน่ง – ทักษิณได้ปราศรัยต่อฝูงชนที่โห่ร้องยินดีผ่านวิดีโอลิ้งค์

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระสุขภาพที่อ่อนแอของกษัตริย์ ได้นำพาประเทศไทยเข้าสู่ความวุ่นวาย

เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๐ กษัตริย์ทรงพระประชวรด้วยผิวพระสมองขาดเลือดเพียงเล็กน้อย และเมื่อปีที่แล้ว กษัตริย์ทรงไม่สามารถให้พระราชดำรัสเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติทุกปี ต่อมาเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรพระราชธิดาทรงตรัสว่า กษัตริย์ทรงอ่อนเพลีย มีอาการเจ็บพระศอ และช่องพระศออักเสบ พสกนิกรต่างเข้าแถวเพื่อร่วมลงชื่อถวายพระพรที่โรงพยาบาล และผู้บรรยายข่าวต่างสรรเสริญพระสถานะของกษัตริย์ต่อสังคมไทย

ถึงแม้จะมีการยืนยันปฏิเสธเท่าใดก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อว่า กษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง หลายคนเชื่อว่าองคมนตรีได้เข้ามาเกี่ยวข้องในการทำรัฐประหารต่อต้านทักษิณในปี ๒๕๔๙ และเมื่อปีที่แล้วราชินีสิริกิติ์ทรงได้รับการวิจารณ์เมื่อพระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินงานศพของผู้รณรงค์ต่อต้านทักษิณ ที่เสียชีวิตในระหว่างการปะทะกับตำรวจ ในสายตาของนักวิจารณ์เหล่านี้ การสิ้นรัชกาลจะเป็นการขจัดอุปสรรคต่อการกลับคืนสู่ประเทศไทยของทักษิณ

ใจ อึ๊งภากรณ์ นักวิชาการซึ่งต้องหลบหนีไปประเทศอังกฤษหลังจากต้องคดีหมิ่นฯ กล่าวว่า “ทุกคนรอให้ถึงวันนั้น เพราะพวกเขาคิดว่าประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคใหม่” “เสื้อแดงต่างคิดว่า พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศไทย และเมื่อถึงวันนั้น จะเกิดภาวะสุญญากาศ” แต่เขากล่าวต่อว่า “ผมคิดว่า กษัตริย์ทรงไม่ได้เข้มแข็งในทางการเมือง”

ไม่ว่าใครจะเชื่อว่ากษัตริย์ทรงดำรงไว้ซึ่งระบบรัฐธรรมนูญ หรือพระองค์ทรงขัดขวางการเปลี่ยนแปลงตามระบอบประชาธิปไตยก็ตาม แต่หลายคนคิดว่าเมื่อถึงวันนั้น เมื่อไรก็ตามที่มาถึง ย่อมจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมจึงได้เกิดความวิตกกังวลในราชอาณาจักรเช่นนี้

colskys@hotmail.com

ทำไมต้องจงรักภักดี?

ในระบบประชาธิปไตยการมีประมุขไม่ว่าจะเป็นกษัตรย์หรือประธานาธิบดี ไม่ได้แปลว่าพลเมืองจะต้องจงรักภักดีต่อประมุขแต่อย่างใด ตรงกันข้ามประมุขจะต้องจงรักภักดีต่อประชาชนผู้เป็นพลเมือง เพราะในระบบประชาธิปไตยประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินและมีอำนาจอธิปไตยสูงสุด ในกรณีที่ประเทศมีระบบประธานาธิบดีประมุขจะต้องได้รับการเลือกมาจากประชาชน ประชาชนจึงเป็นเจ้านายแท้ของประธานาธิบดี ในกรณีที่คนส่วนใหญ่อยากมีประมุขเป็นกษัตรย์ กษัตริย์จะต้องเข้าใจว่าเขาต้องรับใช้ประชาชนและเขาจะต้องสะท้อนความคิดของประชาชนส่วนใหญ่และของประชาชนที่เป็นส่วนน้อยอีกด้วย จึงจะเป็น “จุดรวมศูนย์ของชาติ” ได้ ในกรณีกษัตริย์ยุโรป ถ้าประชาชนเลือกพรรคสังคมนิยมมาเป็นรัฐบาล กษัตริย์จะต้องสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลนั้น

ถ้ากษัตริย์ผู้เป็นประมุขเพียงแต่เข้าข้างคนส่วนน้อยที่มีอำนาจนอกกรอบรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ต้องถือว่ากษัตริย์ละเมิดอธิปไตยแท้ของพลเมือง และไม่เคารพประชาธิปไตย

รัฐธรรมนูญต่างๆของประเทศไทยหลัง 2475 กำหนดไว้ว่ากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่กษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้นกษัตริย์ต้องถือว่าเป็นผู้รับใช้ประชาชน ถ้าไม่เช่นนั้นก็ต้องถือว่าเรามีระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ทำไมเล่า…ชนชั้นปกครองไทยถึงชอบสร้างภาพว่ากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดและบังคับให้เราต้องจงรักภักดีต่อเขา?

การสร้างภาพว่าเราต้องจงรักภักดีต่อกษัตริย์ โดยไม่มีการอธิบายเหตุผลว่าทำไมในระบบประชาธิปไตยที่ถือว่าพลเมืองมีอำนาจสูงสุด เราจะต้องไปจงรักภักดีต่อคนๆหนึ่งที่บังเอิญเกิดมาในตระกูลหนึ่ง เป็นการพยายามล้างสมองประชาชนอย่างไร้ปัญญา และด้วยเหตุที่มีการสร้างกระแสความเกรงกลัว คนไทยจำนวนมากจึงไม่กล้าตั้งคำถามอย่างเปิดเผยกับข้อเสนอว่า”เราต้องจงรักภักดี” ไม่กล้าตั้งคำถามกับข้อเสนอว่าสถาบันกษัตริย์มี “ความศักดิ์สิทธิ์” และไม่กล้าตั้งคำถามกับการยัดเยียดความคิดว่าสถาบันกษัตริย์อยู่เคียงข้างสังคมไทยมาตั้งแต่โลกเกิดและได้ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข

ทั้งวิภาษวิธีมาร์คซิสต์และศาสนาพุทธ เสนอว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นเวลาชนชั้นปกครองพูดว่าสถาบันกษัตริย์อยู่เคียงข้างสังคมไทยมาอย่างยาวนาน มันเป็นคำพูดที่ไร้วิทยาศาสตร์ เป็นคำพูดเท็จเพื่อให้พลเมืองเป็นไพร่…แต่เป็นไพร่ของใคร? คำตอบคือเป็นไพร่ของทหาร อภิสิทธิชน ประชาธิปัตย์และคนอื่นที่เกาะกินรวบอำนาจและขูดรีดประชาชน ในเครือข่าย “คนรักเจ้า”

ข้อเสนอว่าสถาบันกษัตริย์ไทยทำให้เราอยู่เย็นเป็นสุข เป็นข้อเสนอที่เหลวไหลเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่นำไปสู่การปฏิวัติ 2475 ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการทหารที่ครองเมืองมานานพร้อมกับการโกงกินมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์นองเลือด 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภา 35 หรือวิกฤติการเมืองปัจจุบัน และไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนคนรวยที่เห็นได้ชัดในสังคมไทย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ชี้ให้เห็นว่าสถาบันกษัตริย์ไม่มีประสิทธิภาพในการสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขกับพลเมืองแต่อย่างใด คือเป็นอุปสรรคและกาฝากสังคมด้วย เพราะกษัตริย์ไม่ยอมปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่ยอมห้ามคนที่เอาเปรียบประชาชน และเครือข่ายพระราชวังใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อประโยชน์ส่วนตน ทั้งๆที่งบประมาณส่วนนี้ควรจะนำมาสร้างรัฐสวัสดิการ

เครือข่ายเจ้าพร้อมที่จะให้ประชาชนหมอบคลานกราบตีน และใช้ราชาศัพย์พิเศษอันแสดงความเป็นเทวดาเหนือคนอื่น นี่คือพฤติกรรมของผู้ที่ไม่รู้จักบุญคุณของประชาชนและไม่รู้จักการเคารพพลเมืองทั้งปวงในรูปแบบประชาธิปไตย

ดังนั้นผมขอฟันธงว่า ในระบบประชาธิปไตยแท้ พลเมืองจะต้องจงรักภักดีและเคารพศักดิ์ศรีของเพื่อนพลเมืองด้วยกัน เราจะต้องไม่จงรักภัคดีต่อคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ นายพล นายกรัฐมนตรี หรือ ประธานาธิบดี และไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์นอกจาก “สิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย และความเสมอภาค” นักการเมืองหรือนักวิชาการคนไหนที่พูดว่าเราต้องจงรักภักดีต่อกษัตริย์ในยุคนี้ต้องถือว่าไม่เข้าใจประชาธิปไตยอันแท้จริง

colskys@hotmail.com

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความคาดหวังของลูกน้อย

ในฐานะแม่มือใหม่ เรามักคาดหวังว่าจะเลี้ยงลูกตามวิธีที่เราเรียนรู้กันมา ซึ่งก็มีอยู่หลากหลายรูปแบบ แต่ “ความคาดหวัง” ของทารกไม่ใช่อะไรที่ได้มาจากการเรียนรู้ มันเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณที่ยังคงเหมือนเดิมไม่แตกต่างอะไรไปจากเมื่อพัน ๆ ปีที่แล้ว ทารกไม่ได้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างที่เราเข้าใจ ทารกมีทักษะชั้นสูงติดตัวมาเพียงพอสำหรับโลกที่เขา “คาดว่า” จะเจอเมื่อถือกำเนิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นเมื่อเราไปเปลี่ยนแปลงอะไรในโลกใบนั้น ก็คือการที่เราไปทำให้ชีวิตของทารกยากลำบากมากขึ้นนั่นเอง นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณกับลูกจะต้องกลับไปใช้ชีวิตในถ้ำอะไรแบบนั้น เพียงแต่ถ้าคุณรู้ว่าลูกของคุณ “คาดหวัง” อะไรในช่วงเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วล่ะก็ มันก็จะช่วยอะไร ๆ ได้เยอะทีเดียว

ช่วงคลอด ลูกคาดหวังว่าร่างกายของเขาจะไม่ต้องประสบปัญหาจากยาอะไรก็แล้วแต่ที่ได้รับเข้าไป ยาที่ออกฤทธิ์กับคุณแค่สองสามชั่วโมงอาจจะสร้างปัญหาให้ลูกได้เป็นวัน ๆ ทำให้เขาไม่สามารถดูดนมได้ดีหรือบ่อยเท่าที่ควร ถ้าคุณต้องตัดสินใจในเรื่องการใช้ยาระหว่างคลอด ระลึกไว้เสมอว่าการตัดสินใจของคุณอาจส่งผลกระทบตรงนี้ด้วย

ทันทีหลังคลอด ลูกคาดหวังว่าจะได้อยู่กับคุณ หลังจากเขาใช้เวลาซักพักข้าง ๆ คุณเพื่อให้ชินกับการหายใจ การมองเห็น และการได้ยินซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขาแล้ว อันดับถัดไปลูกจะเริ่มนึกถึงอาหารมื้อแรก และจะสามารถคลานในท่าเดียวกับทหารเวลาฝึกภาคสนามขึ้นไปถึงอกคุณ ไซร้หาหัวนม และเริ่มดูดนมนาน ๆ ได้เองโดยไม่ต้องให้ใครช่วย แต่ถ้ามีใครมาแยกลูกไปจากคุณเพื่อทำความสะอาดหรือชั่งน้ำหนักก่อนที่จะมีโอกาสได้ดูดนมแม่ หรือลูกยังได้รับผลกระทบจากยาที่แม่ได้รับระหว่างการคลอด เขาก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ และปฏิกริยาตอบสนองของคุณต่อลูกก็จะแตกต่างออกไป โดยมากแล้วการให้นมแม่มักไม่มีปัญหา ไม่ว่ารูปแบบการคลอดจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่จะง่ายและดีที่สุดถ้าแม่และลูกได้อยู่ด้วยกันตลอดจนกว่าลูกจะได้ดูดนมครั้งแรก

หลังดูดนมแม่ครั้งแรก ลูกคาดว่าเขาจะได้นอนนาน ๆ ข้าง ๆ คุณหรือไม่ก็ในอ้อมแขนของคุณ เพราะเขาคุ้นเคยกับเสียงหัวใจและเสียงลมหายใจของแม่ และได้รับไออุ่นจากร่างกายของแม่มาตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมา การให้ลูกได้อยู่กับแม่จึงช่วยให้ทารกมีอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจที่สม่ำเสมอขึ้นได้ ลูกอาจจะอยากนอนนานกว่าที่เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลจะอยากให้นอน เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องการให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีไม่มีอะไรผิดพลาดก่อนที่คุณจะกลับบ้าน คุณอาจจะต้องฝืนธรรมชาติซักนิดเพื่อกระตุ้นให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ ในช่วงแรก แต่ไม่นานนักลูกก็จะสามารถตื่น ดูดนม และเลิกดูดเมื่อพอใจแล้วได้เอง เหมือน ๆ กับลูกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น ๆ

ที่บ้าน ลูกคาดหวังว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณ ลูกอ่อนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดมีวิธีปกป้องตัวเองจากภัยอันตราย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว การพรางตัว หรือการอยู่รวมกันเป็นฝูงจำนวนมาก ๆ ลูกมนุษย์ใช้วิธีการอยู่ใกล้ชิดกับแม่ ทารกจะรู้สึกปลอดภัยและสงบมากที่สุดเมื่อได้อยู่ข้าง ๆ แม่ ซึ่งเป็นที่ที่สัตว์ร้ายจะทำอันตรายเขาก็ไม่ได้ มดจะไต่ขึ้นมาบนตัวของเขาก็ไม่ได้ ลูกคาดหวังว่าเขาจะเป็นผู้กำหนดจังหวะการดูดนมของเขาเอง ลูกอาจจะดูดนมบ่อยเกินกว่าที่คุณคาดไว้ ดูดนมข้างหนึ่งจนเสร็จแล้วค่อยเริ่มดูดอีกข้าง หรือบางทีอาจจะไม่ต้องการดูดนมทั้งสองข้างในแต่ละมื้อ ลูกคาดหวังว่าคุณจะตอบสนองต่อเสียงของเขาอย่างรวดเร็ว และคาดหวังว่าจะไม่จำเป็นต้องร้องไห้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาต้องการ ลูกคาดหวังว่าจะได้อยู่ใกล้ ๆ คุณทั้งกลางวันและกลางคืน และอาจจะนอนหลับได้ดีกว่าถ้าคุณนอนอยู่ข้าง ๆ ลูกของคุณคาดหวังว่าจะได้อยู่ในอ้อมแขนของคุณ และคุณจะรับฟังสิ่งที่เขาสื่อสาร ไม่ใช่เชื่อตามนาฬิกาหรือหนังสือคู่มือการเลี้ยงลูก ถ้าคุณตอบสนองความต้องการของเขาได้ สิ่งที่คุณจะได้รับก็คือเด็กทารกอารมณ์ดีคนหนึ่ง และนั่นก็หมายถึงความสุขของทั้งแม่และลูกนั่นเอง

หลังคลอด

1.ให้ลูกดูดนมตามต้องการ



ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะดูดบ่อยแค่ไหน หรือนานแค่ไหนในแต่ละครั้ง เด็กแต่ละคนมีอุปนิสัยและความต้องการต่างกัน ให้ลูกเป็นผู้กำหนดเองว่ามีความต้องการแค่ไหน อย่างไร เด็กบางคนดูดเร็ว อิ่มเร็ว นอนนาน บางคนดูดแล้วหลับ ดูดบ่อย ทุกช.ม. หรือบางครั้งห่างกันแค่ครึ่ง ช.ม. ก็เป็นได้ บางคนถ่ายบ่อยทุกครั้งที่ดูดนม ถ่ายวันละ 7-8 ครั้ง บางคนถ่ายวันละ 2-3 ครั้ง หรือบางคนสองสามวันถ่ายครั้งหนึ่งก็มี



ช่วงหนึ่งหรือสองเดือนแรก จะเป็นช่วงที่ทารกปรับตัว การกิน การนอน การถ่าย อาจจะไม่เหมือนกันสักวัน แต่พออายุมากขึ้น จะเริ่มเข้าที่และเป็นเวลามากขึ้น แต่ถึงกระนั้นในบางครั้ง บางวันความถี่-ห่างในการดูดนมก็อาจเปลี่ยนแปลงได้



คุณแม่ไม่ควรนำความรู้ที่เคยอ่านในตำราว่าลูกต้องกินวันละกี่ครั้ง ครั้งละกี่ออนซ์ นอนวันละกี่ช.ม. ถ่ายวันละกี่ครั้ง มาเป็นเรื่องกังวลเมื่อ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เด็ดขาด เพราะการพยายามจะฝึกให้ลูกทำอะไรเป็นเวลาแบบนั้น นอกจากไม่มีประโยชน์ แล้วยังสร้างความเครียดให้กับคุณแม่ ซึ่งจะส่งผลให้การผลิตน้ำนมน้อยลงอีกด้วย



อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นในเด็กที่ชอบนอนมากๆ นอนนานๆ ไม่ค่อยตื่นมากินนม ถ้าเป็นลักษณะนี้ ควรปลุกลูกขึ้นมากินนมบ่อยขึ้น



2. ทานอาหารให้ครบ และหลีกเลี่ยงการอดอาหารเพื่อการลดน้ำหนัก



คุณแม่ที่ให้นมลูก ควรทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เหมือนกับตอนที่ตั้งครรภ์ และควรดื่มน้ำหรืออาหารประเภทน้ำมากๆ เพราะน้ำเป็นสิ่งจำเป็นในการผลิตน้ำนม คุณแม่สามารถรู้ได้ว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอหรือไม่ โดยสังเกตจากสีของปัสสาวะว่าเป็นอย่างไร ถ้าเป็นสีเหลืองอ่อนจนเกือบใส แสดงว่าเพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้ม แสดงว่าทานน้ำน้อยไป



คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเองเพียงอย่างเดียว โดยไม่ใช้นมผสม จะลดน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องอดอาหาร เพราะการให้นมลูก ร่างกายจะใช้พลังงานมากกว่าปกติอยู่แล้ว



อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนแรก คุณแม่ไม่ควรทานอาหารรสจัด และพยายามสังเกตอาหารที่ตนเองทานว่าส่งผลอย่างไรกับลูก เพราะอาหารบางชนิดอาจทำให้ลูกไม่สบายท้อง หรือถ่ายผิดปกติไปจากที่เคยเป็น ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ควรหลีกเลี่ยง จนกว่าลูกจะอายุมากขึ้น ค่อยเริ่มใหม่ทีละน้อย เมื่อเด็กอายุมากขึ้น ระบบย่อยก็จะทำงานได้ดีขึ้น คุณแม่ก็สามารถทานอาหารได้หลากหลายตามต้องการมากขึ้น แต่ก็ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภทชา กาแฟ หรือแอลกอฮอล์



พักผ่อนมากๆ และหาผู้ช่วยในการทำงานบ้าน
ช่วงสองสามอาทิตย์แรก การดูแลบ้าน ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสามี หรือหาผู้ช่วยมาทำแทน สิ่งที่คุณแม่ควรจะทำ คือ การทำความคุ้นเคยกับลูก และฝึกฝนการให้นมลูกอย่างถูกต้อง ทุกครั้งที่ลูกหลับ คุณแม่ก็ต้องพักผ่อนไปพร้อมกันด้วย เพราะถ้าคุณแม่มีการพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้ไม่เต็มที่



ไม่ควรพูดคุยหรือใส่ใจกับคนที่ไม่เห็นด้วยกับ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะคำพูดบางอย่างจากความไม่รู้ของคนเหล่านั้น จะทำให้คุณแม่ท้อถอย และหมดกำลังใจได้ง่ายๆ



หากมีปัญหาในการให้นมแม่
ถ้าคุณแม่มีปัญหาใน การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ควรรีบปรึกษาพยาบาล แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทันที ยิ่งคุณแก้ปัญหาในการให้นมลูก ได้เร็วเท่าไหร่ เท่ากับว่าเป็นการดีกับลูกคุณมากขึ้นเท่านั้น คุณแม่หลายรายพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น บางครั้งเพียงแต่แก้ ไขด้วยการปรับท่าให้นมลูกหรือท่าการดูดนมของลูกให้ถูกต้องเท่านั้น ก็ประสบความสำเร็จในการให้นมลูกเป็นอย่างดี



ติดต่อ คลีนิคนมแม่



4. เตรียมตัวเพื่อกลับไปทำงาน



ถ้าต้องกลับไปทำงานประจำ หรือมีความจำเป็นที่ต้องแยกจากลูกในบางเวลา คุณแม่ต้องเตรียมตัวสะสมน้ำนมเพื่อเป็น stock ไว้ตอนที่ต้องกลับไปทำงาน หรือแยกจากลูก การทำ stock น้ำนมนั้น จะใช้วิธีบีบด้วยมือ หรือใช้เครื่องปั๊มก็ได้ ยิ่งเริ่มต้นสะสมน้ำนมให้ลูกได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น อ่านเพิ่มเติม "มาทำ stock น้ำนมกันเถอะ"

สิ่งที่ต้องทำเมื่ออยู่ ร.พ

1. เลือกคลอดแบบธรรมชาติ (ถ้าเป็นไปได้)



การคลอดแบบธรรมชาติ ทำให้คุณแม่ฟื้นตัวเร็ว น้ำนมมาได้เร็วกว่าการผ่าคลอด อีกทั้งลูกจะไม่ได้รับผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการผ่าคลอด แต่ถ้าจำเป็นต้องผ่าคลอด แจ้งให้คุณหมอทราบว่าเราต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ปรึกษาคุณหมอว่าจะการลดความเจ็บปวดจากการผ่าตัดด้วยวิธีใด ที่มีผลข้างเคียงต่อทารกน้อยที่สุด



ถึงกระนั้น คุณแม่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่ได้ถ้าต้องผ่าคลอด ผลของการผ่าคลอด แค่ทำให้น้ำนมมาช้ากว่าปกติเพียง 1-2 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่ลูกน้อยของเรายังไม่ต้องการอาหารมากมายนัก



2. ให้ลูกดูดนมเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้



ทารกจะตื่นตัวและตอบสนองต่อแรงกระตุ้นในการดูดอย่างเต็มที่ภายในชั่วโมงแรกหลังคลอด การดูดนมทันทีของทารกจะช่วยให้มดลูกบีบตัว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมน Oxytocin (ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน) ทำให้แม่รู้สึกผูกพันกับลูกน้อย



การดูดนมครั้งแรกของทารก ถือเป็นการเรียนรู้และทำความรู้จักกับอกแม่ เด็กบางคนอาจจะแค่ดมหรือเลีย เด็กบางคนก็ดูดเป็นในทันที คุณแม่ไม่ต้องกังวลและไม่ต้องพยายามบีบบังคับให้ลูกดูดให้ได้อย่างถูกต้อง ในครั้งแรกที่เจอกัน แค่การกอดและสัมผัสกันก็ทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นแล้ว ลูกน้อยจะสามารถดูดนมได้เองภายในไม่ช้า



3. ให้ลูกดูดบ่อยๆ และดูดให้ถูกวิธี



การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะประสบความสำเร็จได้ง่าย ถ้าลูกสามารถดูดนมเป็นเร็ว และดูดบ่อยๆ การดูดที่ถูกวิธี ทารกจะได้รับน้ำนมเต็มที่ แม่ไม่รู้สึกเจ็บ และช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมให้เร็วขึ้น ถ้าลูกดูดนาน หรือแม่รู้สึกเจ็บ หัวนมแตก อักเสบ แสดงว่าลูกดูดนมไม่ถูกต้อง ให้ปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทันที



ก่อนออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน ควรจะแน่ใจแล้วว่าคุณสามารถให้ลูกดูดนมได้อย่างถูกต้องและไม่เจ็บแล้ว ถ้าไม่แน่ใจ ให้พยาบาลฝึกให้จนกว่าจะมั่นใจก่อนออกจากโรงพยาบาล หากมีปัญหาใดๆเกี่ยวกับการให้นมแม่ สามารถขอคำปรึกษาได้จาก คลีนิคนมแม่





วิธีการให้ลูกดูดนมที่ถูกต้อง







พยายามให้ลูกอ้าปากกว้างๆ ใช้หัวนมแตะที่จมูก หรือริมฝีปากลูก เพื่อกระตุ้นให้ลูกอ้าปาก เมื่อลูกอ้าปาก ประคองศีรษะลูกเข้ามาที่หน้าอก ให้คางและริมฝีปากล่างของลูกสัมผัสเต้านมก่อน ควรตรวจดูว่าลูกอมลานหัวนมได้ลึกดีพอ อย่าลืมว่าต้องอุ้มลูกเข้ามาหาอกแม่ ไม่ใช่ก้มตัวแม่ไปหาปากลูก








การดูดที่ถูกต้อง ลูกจะต้องดูดแล้วใช้เหงือกกดทับบนลานหัวนม (คือบริเวณวงสีคล้ำรอบหัวนม เป็นส่วนที่ลูกจะอมเข้าไปด้วยเมื่อ ดูดนมไม่ใช่งับเฉพาะหัวนม) ซึ่งเป็นที่เก็บน้ำนมอยู่ กล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกร และ ลิ้นของลูกจะทำหน้าที่ประสานกันเพื่อดูดนม คุณแม่จะสังเกต เห็นขมับและหูของลูกขยับเป็นจังหวะตามการดูด แสดงว่า กล้ามเนื้อขากรรไกรกำลังทำงาน



ถ้าลูกงับเฉพาะหัวนม ลูกจะได้นมแม่น้อย เพราะไหลไม่สะดวก ตามธรรมชาติ น้ำนมจะสร้างจากต่อม ซึ่งกระจายอยู่ทั่วเต้านม มีท่อน้ำนมต่อมารวมกันบริเวณที่เป็นวงสีคล้ำๆ รอบหัวนม เรียกว่า ลานหัวนม (Arerola) ถ้าลูกงับ ส่วนนี้จะทำให้ท่อน้ำนมทำงานดีขึ้น



ถ้าลูกดูดได้อย่างถูกต้อง คุณแม่จะไม่รู้สึกเจ็บ (อาจจะรู้สึกจี๊ดๆ ซึ่งเป็นกลไกน้ำนมพุ่ง แต่ไม่เจ็บ) ถ้ารู้สึกเจ็บ ให้หยุดแล้วเริ่มต้นใหม่ โดยใช้นิ้วก้อยสอดเข้าไปตรงมุมปากลูกเพื่อให้ลูกอ้าปาก ถอนปากลูกออกมา แล้วลองใหม่ อย่าปล่อยให้ลูกดูดทั้งๆ ที่เจ็บ เพราะจะทำให้หัวนมแตก และอักเสบได้










ท่านั่งและอุ้มแนบอก











ท่านั่งและอุ้มแบบแนบอก สลับแขน ท่านั่งแบบอุ้มด้านข้างแนบอก












ท่านอนตะแคง



4. หลีกเลี่ยงการให้นมผสมจากขวด



เพื่อป้องกันการสับสนจากการดูดนมแม่ และดูดจากขวด ถ้าทารกยังไม่รู้จักวิธีดูดนมจากเต้าที่ถูกต้อง การให้ดูดจากขวดในช่วงแรก (ก่อน 1 เดือน) อาจทำให้ทารกปฏิเสธการดูดจากเต้าได้



โดยปกติช่วงสองสามวันแรก น้ำนมแม่จะมีปริมาณน้อย แต่เป็นหัวน้ำนมที่มีคุณค่ามาก (Colostrum) การให้นมผสมจะทำให้การดูดกระตุ้นลดลง ทำให้นมยิ่งมาช้า แต่ถ้าจำเป็นต้องให้นมผสม ให้ใช้วิธีป้อนด้วยแก้วหรือช้อน เมื่อน้ำนมมาแล้ว ให้หยุดนมผสม และพยายามให้ลูกดูดบ่อยๆ



การผลิตน้ำนมเป็นเรื่องของอุปสงค์และอุปทานซึ่งปรับตามความต้องการของลูกโดยแท้จริง ถ้าให้ลูกดูดตามต้องการ น้ำนมก็จะผลิตได้มากตามต้องการ ถ้าไม่ให้ดูด น้ำนมก็จะลดลงและหยุดผลิตไปเอง



*** สำหรับคุณแม่ที่ผ่าท้องคลอด จะต้องงดน้ำและอาหาร 24 ช.ม. หลังผ่า น้ำนมจะมาช้ากว่าคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ เมื่อหมออนุญาตให้เริ่มทานน้ำและอาหารได้ ควรทานอาหารที่เป็นน้ำมากๆ เช่น โอวัลตินหรือไมโลชงร้อนๆ น้ำเต้าหู้ น้ำขิง แกงจืด ฯลฯ และต้องดื่มน้ำอุ่นมากๆบ่อยๆ (ทุกช.ม.) จะช่วยให้น้ำนมมาเร็วขึ้น



5. ระวัง ! นมผสมที่แจกฟรี



นมผสมที่แจกฟรีก่อนกลับบ้านนั้น เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้ผลอย่างยิ่ง ในการทำให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่สำเร็จ จนต้องหันไปใช้นมผสม



ถ้าคุณแม่มีสุขภาพดี ทานอาหารอย่างพอเพียง และได้รับคำแนะนำอย่างถูกต้อง มั่นใจได้เลยว่าคุณแม่จะต้องมีน้ำนมพอให้ลูกกิน ถ้าคุณไม่แน่ใจ และคิดว่านมไม่พอ สิ่งที่คุณต้องการ ไม่ใช่นมผสม แต่เป็น ความช่วยเหลือและคำแนะนำที่ถูกต้อง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่ คลีนิคนมแม่ ทุกแห่ง



****สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับนมผสม****





โรงพยาบาลส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะร.พ.เอกชน) จะมีเครื่องปั๊มนมอย่างดี (Hospital Grade) ให้ใช้ฟรี ซึ่งพยาบาลส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่ามันช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมแทนลูกได้ จึงไม่นำมาให้คุณแม่ใช้



โดยปกติสัญชาตญาณในการดูดของทารกจะแรงที่สุดภายใน 1 ช.ม. แรกหลังคลอด ซึ่งจะช่วยกระตุ้นฮอร์โมนในการสร้างน้ำนมได้ดีที่สุด ทำให้คุณแม่ที่ผ่าคลอดพลาดโอกาสในช.ม.แรกนี้ไป นอกจากนี้ช่วงสองสามวันแรกหลังคลอด ทารกจะนอนหลับเสียเป็นส่วนใหญ่ การใช้เครื่องปั๊มนมช่วยกระตุ้นแทน (ทุก 2 ชม. ถ้าเป็นไปได้) ในระหว่างที่อยู่ ร.พ. จะทำให้น้ำนมมาเร็วและมากขึ้น ก่อนออกจากร.พ.



การใช้เครื่องปั๊มนมหลังจากคลอดใหม่ๆ อาจทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บมากๆ ให้ปรับแรงดูดให้เบาที่สุด ปั๊มครั้งละ 10-15 นาที แม้ครั้งแรกๆ จะยังไม่มีน้ำนมออกก็ไม่ต้องกังวล ให้ลูกดูดร่วมกับการปั๊มกระตุ้นบ่อยๆ น้ำนมจะมาในที่สุด จำไว้เสมอว่าธรรมชาติสร้างให้คนเลี้ยงลูกด้วยนม เพราะฉะนั้น แม่ทุกคนต้องมีน้ำนมให้ลูกของตนแน่นอน

ก่อนคลอด

เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าจะเลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ขอให้ตั้งใจอย่างแน่วแน่และมั่นคง ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่า



“คุณกำลังจะให้ของขวัญที่พิเศษสุดแก่ลูกน้อย ซึ่งมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะมอบให้ได้

หากคุณพลาดโอกาสนี้ไป คุณอาจจะรู้สึกเสียใจทุกครั้ง เมื่อหวนคิดถึงมัน”




สิ่งที่คุณควรจะรู้ก่อนเริ่มต้นก็คือ





ธรรมชาติสร้างมาให้ แม่ทุกคน มีน้ำนมให้ลูกกินเป็นอาหาร


การมีน้ำนมเพียงพอสำหรับลูกโดยไม่ต้องใช้นมผสมนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ธรรมชาติสร้างมา

ไม่ใช่ “โชคดีที่มีน้ำนม” อย่างที่หลายๆ คน เคยพูดให้คุณได้ยิน








การจะเลี้ยงลูกด้วย นมแม่ เป็นทักษะที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ เหมือนการเรียนการทำอาหาร



ต้องอาศัยความอดทนและการฝึกฝน



ในระหว่างที่คุณและลูกกำลังเรียนรู้อยู่นั้น

คุณอาจมีความรู้สึกยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยบ้างในบางครั้ง แต่ทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ

ในบางสถานการณ์ อาจต้องใช้เวลามากกว่าปกติ อย่างการคลอดก่อนกำหนด หรือผ่าตัดคลอด หรือทารกมีอาการผิดปกติ ถ้ามีปัญหาใดๆ อย่ารีรอที่จะขอความช่วยเหลือ



จงจำไว้ว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นั้นจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ไม่ใช่ยากขึ้น

นี่เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพทั้งของคุณและลูกน้อย ประหยัดเงินทั้งค่านมและค่ารักษาพยาบาล



และเหนือสิ่งอื่นใด

เป็นการสร้างสัมพันธภาพซึ่งยาวนานตลอดชีวิตของคุณและลูกน้อย



ในระหว่างตั้งครรภ์ สิ่งที่คุณควรจะเตรียมตัวก็ คือ




1. หาความรู้ให้มากที่สุดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วย นมแม่





เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ ว่าที่คุณแม่และว่าที่คุณพ่อเกือบทุกคนเตรียมตัวและหาความรู้อย่างเต็มที่กับการเตรียมตัวสำหรับการคลอด ซึ่งเป็นกระบวนการที่กินเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็จบ ในขณะที่การเลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ซึ่งยาวนานหลายเดือนหรือเป็นปี กลับมีการเตรียมตัวและหาข้อมูลกันน้อยมาก





น่าเสียดายที่หน่วยงานของรัฐไม่ให้การสนับสนุนและส่งเสริม การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ให้มากกว่านี้ ทำให้เรามีแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมากๆ เมื่อเทียบกับต่างประเทศ แต่กระนั้นก็ยังมีแหล่งข้อมูลดีๆ ที่เป็นที่พึ่งได้อย่าง

กลุ่มนมแม่, ศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย,คลีนิคนมแม่



หนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยิ่งมีน้อยมาก และหาไม่ค่อยได้ตามร้านหนังสือทั่วไป จากการสำรวจล่าสุด มีดังนี้

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดย Amy Spangler
เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดย สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย,
นมแม่ ทุนสมองของลูกรัก
เคล็ดลับแม่มือใหม่ Series นมแม่ โดย มีนะ สพสมัย
พัฒนาสมองด้วยนมแม่วิถีแห่งธรรมชาติ โดย พ.ญ.ศิริพัฒนา ศิริธนารัตนกุล



2.หาคนคอยสนับสนุนและช่วยเหลือ





บุคคลสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ประสบความสำเร็จก็คือ สามี รองลงมาก็คือ คุณยาย คุณย่า และคนในครอบครัว พยายามทำความเข้าใจกับคนในครอบครัวให้ชัดเจนถึงความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ บอกให้ทุกคนทราบถึงข้อมูลต่างๆ ที่คุณได้ศึกษามาเป็นอย่างดีถึงประโยชน์ของนมแม่ เพราะคุณต้องการกำลังใจอย่างมากสำหรับการนี้ ความขัดแย้งทางความคิดในบางครอบครัวอาจเป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่





3.เลือกกุมารแพทย์ที่สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่





โดยทั่วไป โรงพยาบาลของรัฐจะมีนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อยู่แล้ว โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองว่า เป็น

โรงพยาบาล สายสัมพันธ์แม่-ลูก จะมีแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกและ UNICEF




สำหรับโรงพยาบาลเอกชน คุณอาจสอบถามได้จากเพื่อนฝูงหรือ พยาบาลว่ากุมารแพทย์ท่านใดสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ถ้าไม่แน่ใจลองสังเกตจาก

สิ่งเหล่านี้





4. การตรวจ และเตรียมเต้านม





ตรวจดูขนาดและรูปร่างของเต้านมและหัวนม เพื่อค้นหาความผิดปกติ เช่น มีก้อนเนื้องอกหรือถุงน้ำซึ่งอาจจะต้องให้การรักษาหัวนมสั้น แบนบุ๋ม โดยทั่วไปหัวนมจะยาวประมาณ 0.5–1ซม.ถ้าสั้นกว่านี้ลูกอาจจะดูดนมลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผิวหนังที่ลานหัวนมตึงแข็งจับดึงหยุ่นไม่ได้ โคนหัวนมหนาใหญ่ด้วย จะยิ่งดูดลำบาก แต่ถ้าลานหัวนมยืดหยุ่นดีแม้หัวนมสั้น จะสามารถดูดได้ไม่ยาก





ความผิดปกติที่เกิดขึ้นควรปรึกษาแพทย์ที่ฝากครรภ์หรือหน่วยฝากครรภ์ของโรงพยาบาล เพื่อจะได้แก้ไข เสียแต่เนิ่นๆ เพื่อจะช่วย ให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีความราบรื่นมากขึ้น ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ช่วยแก้ไขปัญหาหัวนมบอดวางจำหน่ายหลายยี่ห้อ ตามห้างสรรพสินค้า เช่น ปั๊มหัวนมบอด, นิปเปล็ด, ปทุมแก้ว หรือฝาครอบบริหารหัวนม




***ขนาดของเต้านมไม่สัมพันธ์กับการสร้างน้ำนม คุณแม่บางท่านอาจกังวลใจว่าเต้านมมีขนาดเล็กทั้งนี้เป็นเพราะ ปริมาณไขมันในเต้านมมีน้อย แต่ส่วนที่สร้างน้ำนม คือ ต่อมและท่อน้ำนมซึ่งคุณแม่ทุกคนจะมีปริมาณเท่ากัน ฉะนั้นขนาดของเต้านมไม่มีผลต่อความสามารถในการสร้างน้ำนมให้ลูก***