วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กัดดาฟี

กัดดาฟี


ผู้นำลิเบีย วีรบุรุษอาหรับ



กัดดาฟี เกิดเมื่อ ค.ศ. 1942 เขาเกิดในกระโจมในทะเลทรายใกล้เมืองเซอร์ตี มีชื่อเต็มๆว่า มูอัมมาร์ กัดดาฟี พ่อเป็นชาวอาหรับ เบดูอิน ซึ่งพเนจรเร่รอนไปในทะเลทราย เป็นชนเผ่าเบอร์เบอร์ อาชียเลี้ยงสัตว์ขาย ตระกูลของเขานับตั้งแต่ปู่ล้วนเคยต่อสู้กับทหารอิตาเลียน ที่เข้ามายึดครองลิเบียอย่างกล้าหาญ ถือได้ว่าเขาสืบสายเลือดชาตินิยมอาหรับมาเลยทีเดียว ในวัยเยาว์กัดดาฟี เรียนหนังสือได้ดีมาก และเมื่ออายุได้ 14 ปี ใน ค.ศ. 1956 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในโลกอาหรับ ก็ได้ก่อให้เกิดความสำนึกทางการเมืองแก่กัดดาฟีอย่างแรงกล้า เนื่องจากในปีนั้น นัสเซอร์ ผู้นำแห่งอียิปต์ได้โอนคลองสุเอชเป็นของรัฐ ยังผลให้อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอล ยกทัพบุกอียิปต์



กัดดาฟี ได้จัดตั้งกลุ่มนักเรียนขึ้น เพื่อสนับสนุนนัสเซอร์ ผู้เป็นวีรบุรุษของเขา

กัดดาฟี่ เคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งเดินขบวนและสไตร๊ค์จนถูกไล่ออกจากโรงเรียน ต้องจ้างคูรมาสอนที่บ้านจึงเรียนจบ เมื่ออายุได้ 19 ปี ก็เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยที่แบงกาซี ตามแบบนัสเซอร์ เมื่อเป็นนักเรียนนายร้อยกัดดาฟี่ ก็ค่อยๆปลูกฝังความคิดในเรื่องชาตินิยมอาหรับแก่เพื่อนๆชั้นเดียวกัน ทำนองเดียวกับที่นัสเซอร์ จัดตั้งขบวนการนายทหารเสรีในวัยหนุ่ม เพื่อปฎิวัติโค่นราชบัลลังก์ฟารุค นั่นเอง

เมื่อจบจากโรงเรียนนายร้อยแล้ว กัดดาฟี่ได้เป็นนายทหารในกองทัพบก และทำงานใต้ดินติดต่อกับเพื่อนๆนายทหารของตน บรรดานายทหารที่ร่วมวางแผนปฎิวัติ กับกัดดาฟี่ล้วนใช้ชีวิตมัธยัสถ์อดออม เคร่งศาสนาเยี่ยงมุสลิมที่ดี ซึ่งกัดดาฟี่ได้ประพฤปฎิบัติตนเป็นแบบอย่างมาตลอด ด้วยเหตุนี้คณะนายทหารกลุ่มกัดดาฟี่ จึงเป็นนายทหารที่หาได้ยากในลิเบีย เพราะไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน และไม่ใช้ชีวิตเหลวแหลกในเรื่องผู้หญิง



กัดดาฟี่ อายุได้ 24 ปี เขาถูกส่งไปศึกษาต่อวิชาสื่อสารที่ประเทศอังกฤษ 6 เดือน ต่อมาใน ปี ค.ศ. 1969 ก็ได้เป็นร้อยเอก ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนายทหารคนสนิทผู้บัญชาการกองพลน้อยทหารสื่อสาร และในปีเดียวกันนั้นเอง กัดดาฟี่กับคณะนายทหารของของ จึงได้ตกลงใจกันที่จะยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลระบบกษัตริย์ของลิเบีย ซึ่งลิเบียในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น กลายเป็นแหล่งดึงดูดมหาอำนาจตะวันตก เพราะได้มีการค้นพบบ่อน้ำมัน ในปี ค.ศ. 1959 ชนชั้นปกครองร่ำรวยล้นฟ้า บริษัทต่างปีะเทศเข้ามาขอสัมทานน้ำมัน ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลิเบียถัดจากกษัตริย์ไอดริส ได้แก่ตระกูลเชลฮี ซึ่งกุมอำนาจสูงสุดทางการเมือง และจากความมั่งคั่งของชนชั้นปกครอง และความอดอยากยากจนของพลเมือง กัดดาฟีและคณะนายทหารของเขาจึงไม่อาจจะอดทนรอได้ต่อไป

วันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ. 1969 ขณะนั้นกษัตริย์ไอดริสเสด็จออกไปนอกประเทศ และในคืนนั้นเอง นายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพบกได้เชิญนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากินเลี้ยงกันเป็นการใหญ่ พอตกค่ำกัดดาฟี่ก็เคลื่อนกำลังเข้าจู่โจมจับกุมตัวนายทหาร และนายตำรวจเหล่านนั้นได้ทั้งหมด จากนั้นนายทหารชั้นนายร้อยทั้งหลายก็แยกย้านกันเข้ายึดเมืองตริโปลี และ เบงกาซี โดยใช้รถถัง และรถเกาะเข้ายึกสถานีวิทยุ ที่ทำการไปรษณีย์ และสถานที่สำคัยๆต่างๆ ตลอดจนค่ายทหารที่อาเซียและพระราชวังด้วย

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กองทัพบก และตำรวจแห่งชาติก็อยู่ภายใต้การบังคับการของกัดดาฟี่ เพื่อสะดวกแก่การบังคับบัญชาเขาได้เลื่อนยศตนเองเป็นนายพันเอก และดำรงค์ตำแหน่งประมุขสูงสดุของสาธารณรัฐลิเบีย และผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานสภาปฎิวัติ ซึ่งสถานี้มีอำนาจปกครองประเทศ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 12 คน ได้แก่นายทหารที่ร่วมคบคิดกันมากับกัดดาฟี่นั่นเอง

หลังจากยึดอำนาจจากรัฐบาลได้แล้ว กัดดาฟีได้แก้ปัญหาเรื่องเอกราชก่อน โดยการไม่ยินยอมให้สหรัฐฯและอังกฤษตั้งฐานทัพในลิเบียอีกต่อไป มหาอำนาจทั้งสองจึงต้องถอนกำลังออกทั้งหมด แล้วจึงขึ้นค่าภาคหลวงน้ำมันขึ้นมาอีก 120 เปอร์เซนต์ และภายหลังได้โอนมาเป็นของรัฐ ยังผลให้ลิเบียเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่งในตะวันออกกลางสมัยนั้น



จากนั้นกัดดาฟี่ได้ใช้เงินที่ได้จากน้ำมันพัฒนาโครงการเศรษฐกิจ และก่อสร้างบ้านเรือนที่ทันสมัย ตั้งแต่ ทศวรรษที่ 1980 ปรากฎว่ารายได้เฉลี่ยของชาวลิเบียส฿งถึง 7000 เหรียญต่อปี

กัดดาฟี่ยึดรถยนต์เมอซีเดซ ที่เจ้านายและนักการเมืองในอดีตใช้กันอย่างหรูหรา ได้ถึง 600 คัน ส่วนตนเองใช้รถจี๊ปแลนด์โรเวอร์ และยังได้ลดเงินเดือนรัฐมนตรีลงครึ่งหนึ่ง ลดค่าเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัยของคนจนลง 1 ใน 3

หลักการปฎิวัติของกัดดาฟี่นั้น มีอยู่ในหนังสือที่เขาเขียนเอง ที่เรียกกันว่า Green Book ซึ่งเป็นการนำเอาหลักการต่าง ในพระคัมภีร์กุรอ่านมาปรับใช้ในโลกที่สมัยใหม่ เขาถือว่าลัทธิทุนนิยมล้าสมัยไปหมดแล้ว ส่วนลัทธิมาร์กซก็คือสังคมยูโตเปีย ที่ปกครองด้วยระบบราชการ

จากความจะเป็นอันเนื่องมาจากมหาอำนาจตะวันตก ล้วนเป็นปริปักษ์ต่อลิเบีย กัดดาฟี จึงต้องซื้ออาวุธจากโซเวียตเป็นจำนวนมาก ทั้งรถถัง เครื่องบิน ปืนใหญ่ และยุทโธปกรณ์อย่างอื่นอีก

จึงไม่แปลกเลยที่ ในสายตาของชาวลิเบีย และชาวอาหรับมากมาย กัดดาฟี่ คือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอาหรับ ผู้สืบทอดอุดมการณ์ชาตินิยมอาหรับจากนัสเซอร์ ทั้งที่ในสายตาของรัฐบาลอเมริกา เขสคือปีศาจร้ายที่ต้องต้องทำลายให้สิ้น เพราะอยู่เบื้องหลังพวกก่อการร้ายชาวอาหรับจำนวนมาก

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เมนูพิเศษ สำหรับหนูน้อยวัย 6_8 เดือน

เมนูพิเศษ สำหรับหนูน้อยวัย 6_8 เดือน


(0) (0) (220)





เรื่อง "อาหารการกิน" เป็นสิ่งที่คุณแม่ที่มีลูกวัยแรกเกิดจนถึง 1 ปี คงจะกังวลและใส่ใจกันอยู่ไม่น้อย ว่าจะให้ลูกรับประทานอาหารประเภทไหนถึงจะเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของลูก นอกจากนมแม่ที่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรก คุณประโยชน์ที่ได้จากน้ำนมของแม่มีคุณประโยชน์มากมาย ทั้งการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก และมีสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะโปรตีนที่ย่อยง่าย ทำให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที อีกทั้งยังได้เชื่อมสายสัมพันธ์จากอกแม่สู่ลูก ส่งผลให้เด็กมีสุขภาพจิตที่ดี



แต่อย่างไรก็ตาม เด็กทารกยังต้องการสารอาหารประเภทอื่นๆ ด้วย เพื่อการเจริญเติบโตของร่างกาย และพัฒนาการทางด้านสมอง ซึ่งจะมีผลต่อระดับสติปัญญาในอนาคต วันนี้มีเมนูพิเศษและมีประโยชน์กับลูกน้อย จากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มาแนะนำให้คุณแม่ได้เตรียมอาหารมื้ออร่อยให้ลูกกันคะ



สำหรับเด็กทารกที่อยู่ในช่วงอายุ 6-8 เดือน ระยะนี้ทารกจะแสดงความสนใจกับสิ่งที่อยู่รอบตัว โดยพยายามสัมผัสและทำกิจกรรมกับวัตถุ เช่น เคาะ เขย่า หรือเอาเข้าปาก การไขว่คว้าสิ่งของเป็นไปในลักษณะที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ก่อน คือ จะคว้าเมื่อเห็นหรือพบสิ่งที่สะดุดตาโดยบังเอิญ ระยะนี้ทารกยังไม่สามารถเชื่อมระหว่างอดีต ปัจจุบันและอนาคตได้ดีเท่าใดนัก ซึ่งเห็นได้จากการที่ทารกยังไม่สามารถติดตามมองหาวัตถุที่หายไป แต่จะเริ่มมองตามสิ่งของที่ตกหรือหล่นจากมือไปได้ ทั้งนี้พัฒนาการด้านสติปัญญาจะส่งผลเกี่ยวข้องกับสังคม สามารถจำหน้าบุคคลใกล้ชิด และแสดงอาการแปลกหน้าเมื่อเจอกับคนที่ไม่คุ้นเคย



ดังนั้น การเลือกอาหารที่จำเป็นสำหรับทารกวัยนี้ นอกจากนมแม่แล้วทารกควรได้รับโภชนาการด้านอื่นๆ ผ่านอาหารหลัก 1-2 มื้อในแต่ละวัน ซึ่งสามารถทำได้โดยวิธีการดังต่อไปนี้



ขั้นตอนแรก คือการเตรียมคาร์โบไฮเดรต โดยการนำข้าวสวย 4 ช้อนกินข้าว (1 ช้อนโต๊ะหรือ 3 ช้อนชา) ต้มกับแกงจืดหรือน้ำซุปประมาณครึ่งถ้วยตวง หรือใช้ข้าวตุ๋นข้นปานกลาง 4 ช้อนกินข้าว ผสมกับน้ำแกงจืดหรือซุป 8 ช้อนกินข้าว นอกจากนี้ยังสามารถใช้ปลายข้าว 1 ช้อนกินข้าว ต้มกับน้ำแกงจืดหรือน้ำซุปประมาณ 10 เท่า ซึ่งจะเหลือปริมาณ 4 ใน 5 ส่วนเมื่อเสร็จแล้ว



ขั้นตอนต่อมา คือการเพิ่มคุณค่าทางอาหาร โดยการใส่ผักใบเขียว เหลือง หรือส้มที่อ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย กลิ่นไม่ฉุน 1-2 ช้อนกินข้าว ผสมกับอาหารที่มีโปรตีนเข้มข้น แต่อ่อนนุ่มบดง่าย เช่น ไข่แดง ตับไก่ เต้าหู้อ่อน และปลา หมุนเวียนสลับกันไป นอกจากนี้คุณแม่ควรเหยาะน้ำมันพืช ประมาณครึ่งช้อนชาในอาหารที่ปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันและเพิ่มความเข้มข้นของพลังงานที่จะได้รับ



วันนี้จึงขอแนะนำ สูตรอาหารน่าหม่ำที่คัดสรรมาเพื่อเด็กทารกวัย 6-8 เดือน ให้บรรดาคุณแม่ได้เลือกไปลองทำกันที่บ้านกับ 3 เมนูนี้คะ







เมนูข้าวบดไข่แดง-ตำลึง





***ข้าวบดไข่แดง-ตำลึง



มีส่วนประกอบ (ต่อ 1 มื้อ) ที่สำคัญ คือ

- ข้าวสวย 4 ช้อนกินข้าว

- น้ำแกงจืด 10 ช้อนกินข้าว

- ไข่แดงต้มสุก (บดละเอียด) ½ ฟอง

- ตำลึงต้มสุก (บดละเอียด) 1 ½ ช้อนกินข้าว

- น้ำมันพืช ½ ช้อนชา



อาหารจานนี้ให้พลังงานทั้งหมด 106 กิโลแคลอรี และจะได้โปรตีน 3.1 กรัม โดยความเข้มข้นของพลังงานอยู่ที่ 0.8 กิโลแคลอรี/กรัม และสัดส่วนของพลังงานที่ได้รับจาก คาร์โบไฮเดรต : ไขมัน : โปรตีน เท่ากับ 48 : 41 : 11







เมนูข้าวบดตับไก่-เต้าหู้





***ข้าวบด ตับไก่-เต้าหู้



มีส่วนประกอบ (ต่อ 1 มื้อ) ที่สำคัญ คือ

- ข้าวสวย 4 ช้อนกินข้าว

- น้ำแกงจืด 10 ช้อนกินข้าว

- ตับไก่ต้มสุก (บดละเอียด) ¼ ช้อนกินข้าว

- เต้าหู้หลอดไข่ไก่ต้มสุก 2 ช้อนกินข้าว

- ผักหวาน ต้มสุก (บดหรือหั่นละเอียด) 1 ½ ช้อนกินข้าว

- น้ำมันพืช ½ ช้อนชา



อาหารจานนี้ให้พลังงานทั้งหมด 106 กิโลแคลอรี และจะได้โปรตีน 4.0 กรัม โดยความเข้มข้นของพลังงานอยู่ที่ 0.66 กิโลแคลอรี/กรัม และสัดส่วนของพลังงานที่ได้รับจาก คาร์โบไฮเดรต : ไขมัน : โปรตีน เท่ากับ 52 : 33 : 15







เมนูข้าวบดปลาทู-ฟักทอง





***ข้าวบดปลาทู-ฟักทอง



มีส่วนประกอบ (ต่อ 1 มื้อ) ที่สำคัญ คือ

- ข้าวสวย 4 ช้อนกินข้าว

- น้ำแกงจืด 10 ช้อนกินข้าว

- เนื้อปลาทูนึ่งทอด 1 ½ ช้อนกินข้าว

- ฟักทองต้มสุก (บดหรือหั่นละเอียด) 1 ½ ช้อนกินข้าว

- น้ำมันพืช ½ ช้อนชา



อาหารจานนี้ให้พลังงานทั้งหมด 122 กิโลแคลอรี โปรตีน 5.6 กรัม โดยความเข้มข้นของพลังงานอยู่ที่ 0.84 กิโลแคลอรี/กรัม และสัดส่วนของพลังงานที่ได้รับจาก คาร์โบไฮเดรต : ไขมัน : โปรตีน เท่ากับ 47 : 35 : 18