แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คุณแม่ควรรู้ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คุณแม่ควรรู้ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

7 วันมหัศจรรย์จากอกแม่


ถึงหนูจะสับสน ปนสงสัยอยู่บ้าง ว่าสิ่งใหม่ๆ รอบตัว...คือที่ไหน อะไรกันนี่ แต่พอตั้งตัวได้ทัน ก็ทําให้หนูพบใครบางคน รวมทั้งความมหัศจรรย์บางอย่างก็เกิดขึ้นกับหนู...

วันแรก
หนูจดจํา เก็บรายละเอียดได้ว่า แม่จ้องมองหนูอยู่นาน ก่อนบอกรักครั้งแรกกับหนู แล้วก็ค่อยๆ หอมแก้มเบาๆ ประคองโอบกอดหนูไว้อย่างอบอุ่น ทําให้หนูรู้สึกผูกพัน ปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้แม่ และเป็นครั้งแรกที่หนูได้รู้จักรสชาติอาหารคือ น้ำนมจากอกแม่ ที่แน่ๆ หนูรู้ว่า น้ำนมที่หลั่งออกมาครั้งแรกๆ ของแม่ (ลักษณะข้นๆ สีเหลือง) เป็นน้ำนมเหลือง ที่เรียกว่าโคลอสตรัม ภูมิต้านทานเริ่มต้นจากแม่ ที่ถ่ายทอดมาสู่ตัวหนู ช่วยป้องกันไม่ให้หนูเจ็บป่วย ท้องเสีย ท้องเดิน หรือปวดท้องบ่อยๆ จ้ะ เป็นภูมิคุ้มกันให้สุขภาพของหนูแข็งแรงตั้งแต่แรกคลอด-6 เดือนแรก

วันที่ 2
วันนี้น้ำนมแม่ไหลน้อย หนูดูดไม่ค่อยพอ ไม่รู้เป็นเพราะความกังวลใจ ของแม่หรือเปล่า หากเป็นความเครียด ความกังวลใจ ที่อยากจะให้หนูได้กินนมแม่ตั้งแต่แรกคลอด หนูขอบอกว่า อย่ารีบหมดหวังให้หนูดูดนมขวดแทนนะ เพราะหนูมีเคล็ดไม่ลับ กับการกระตุ้นน้ำนมแม่มาฝาก
* ให้หนูดูดบ่อยๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง
* ให้หนูเรียนรู้ การดูดนมแม่อย่างถูกวิธี (โดยที่ปากของหนูอมมาถึงลานนมของแม่)
หนูเชื่อว่า นอกจากเคล็ดลับที่บอกแล้ว การดูแลสุขภาพ ทําจิตใจให้สบาย ไม่เครียดจนเกินไป แค่นี้แม่ก็มีน้ำนมให้หนูอย่างเพียงพอหนูแน่ๆ จ้ะ

วันที่ 3
ลืมบอกกับแม่อีกอย่างว่า แม่อย่าหลงเชื่อใครนะ ว่าช่วงที่นมแม่มีน้อย ต้องให้หนูกินน้ำร่วมกับนมแม่ หรือนมขวด เพื่อให้หนูอิ่มท้อง ความจริงแล้วแม่จ๋า...
* น้ำที่หนูกินจะไปชะล้างสารฆ่าเชื้อในนมแม่ ที่เป็นภูมิต้านทานชั้นดีที่ช่วยให้หนูแข็งแรง ไม่เป็นโรคออกไปด้วย
* ส่วนนมขวดที่มาทดแทน อาจทําให้หนูติดใจรสชาติ ติดใจจุกนมยางแล้วไม่ยอมกินนมแม่ต่อไปก็ได้
เอาเป็นว่า ขอให้แม่อดทน ดูแลสุขภาพกายและจิตใจ เพื่อให้หนูได้รับน้ำนมแม่ สารอาหารมีคุณค่ากับตัวหนูจริงๆ นะจ๊ะ
วันที่ 4
พอแม่ไม่เครียด อารมณ์ปลอดโปร่ง ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี มีน้ำนมให้หนูได้ดูดจนอิ่มท้อง หนูก็นอนหลับสบายมีความสุข เป็นเด็กอารมณ์ดี ที่สําคัญ ยังกินจุ กินปุ๊บก็ออกปั๊บ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะเพราะกระเพาะของหนูจุได้ไม่เยอะ อย่าเพิ่งตกใจคิดว่า หนูท้องเสีย จู๊ดๆ เพราะนมแม่ล่ะ แต่ต้องคอยระวังเรื่องความสะอาดให้หนูมากกว่า

วันที่ 5
ทําไมวันนี้น้ำนมแม่รสชาติแปลกๆ ไม่เหมือนเคย สงสัยจะเป็นเพราะอาหารที่แม่กินเข้าไปแน่ๆ เพราะไม่ว่า แม่กินอะไร สารอาหารนั้นๆ ย่อมแปรเปลี่ยนเป็นน้ำนม ส่งผ่านมาถึงตัวหนู รสชาติอาหารก็อาจจะมีหลงๆ มาบ้าง ทําให้หนูรับรู้รสชาติอาหารแบบนั้นเหมือนแม่ แต่แม่ต้องระวังหน่อยนะ เรื่องอาหารการกิน ถ้าแม่กินอาหารดีๆ มีประโยชน์ หนูก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้ากินอาหารประเภทหมักๆ ดองๆ ใส่สารเคมี มีคาเฟอีน มีโทษส่งผลมาถึงตัวหนู แบบนี้ไม่เอาเด็ดขาดนะจ๊ะ

วันที่ 6
วันนี้แม่ไม่ค่อยสบาย ต้องให้คุณยายมาเป็นผู้ช่วย คอยดูแลหนูแทนในบางช่วง แต่ไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องความเป็นอยู่ หรืออาหาร

การกินของหนูหรอกจ้ะ เพราะถึงแม่ไม่สบายก็ให้นมหนูได้ เพียงแค่แม่เตรียมน้ำนมปั๊มเอาไว้ให้พร้อมคอยป้อน แค่นี้หนูก็อิ่มท้องเหมือนกัน แม่จะได้มีเวลาพักผ่อน ดูแลตัวเองเต็มที่ กลับมาดูแลหนูเหมือนเดิม แต่ถ้าแม่เป็นหวัดเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังให้นมหนูได้อยู่เพียงแต่ระวังเรื่องการไอการจาม อย่าให้โดนหนูก็พอนะ

วันที่ 7
แม่จ๋า...ตั้งแต่วันแรก จนถึงวันนี้ นับรวมแล้ว ก็ครบ 1 อาทิตย์พอดี ที่หนูกับแม่ได้ใกล้ชิดผูกพันฉันแม่ลูก ทําให้หนูเรียนรู้ เข้าใจดีว่า แม่รักหนูมากกว่าใคร รู้ว่าของดีมีคุณค่าเหมาะสมต่อหนูกว่าอื่นใด ทําให้หนูพบความมหัศจรรย์จากน้ำนมแม่ อาหารกาย อาหารใจ ที่ดีต่อหนูที่สุดจากแม่ แม่จ๋า...หนูอยากกินนมแม่จากอกอย่างนี้
ให้ได้นานที่สุดเลยล่ะจ้ะ ◆

ตรวจสุขภาพลูกจาก ’อึ’


อึ เป็นตัวบ่งบอกเรื่องสุขภาพได้ทางหนึ่ง โดยเฉพาะอึของลูก คุณต้องคอยสังเกตให้ดี เพราะอึของลูกในแต่ละวัน ก็มีความแตกต่างกันไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่ลูกหม่ำ ส่วนอึจะมีลักษณะแบบไหน บอกอะไรคุณแม่ได้บ้างนั้น ต้องติดตาม

อึ...แรกเกิด
ลูกจะถ่ายออกมาภายใน 12-24 ชั่วโมง (ไม่เกิน 48 ชั่วโมง) มีลักษณะเหนียว สีเขียวปนเทาหรือดํา อึครั้งแรกของเด็กจะถ่ายแมคโครเนียมออกมา ซึ่งเรียกว่า ‘ขี้เทา’ เกิดจากขณะที่อยู่ในครรภ์ ทารกกลืนน้ำคร่ำหรือน้ำดีเข้าไป แสดงให้เห็นว่า ระบบขับถ่ายของลูกทํางานเป็นปกติ และหลังจากถ่ายเอาสิ่งตกค้างออกมาหมด สีอึของลูกก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลอมเขียว ก่อนจะกลายเป็นสีเหลืองเมื่อเริ่มกินนมแม่

อึ...เด็กดูดนมแม่
แตกต่างจากอึทั่วๆ ไป เนื่องจากนมแม่มีน้ำตาลโอลิโก-แซคคาไรด์ ช่วยให้ขับถ่ายได้ง่าย และยังส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียชนิดดีในลําไส้ (bifidobacterium) คอยป้องกันอาการท้องร่วงจากการติดเชื้อ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ
ดังนั้น อึของเด็กที่กินนมแม่จะมีลักษณะนิ่มเหลว สีเหลืองทองและมีกลิ่นเปรี้ยว (ไม่มากนัก) ช่วงสัปดาห์แรกๆ ถ้าลูกอึบ่อย อึทุกครั้งหลังกินนม ก็ไม่ต้องตกใจค่ะ เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ร่างกายลูกก็จะเริ่มปรับตารางการขับถ่ายของตัวเองได้ จนกระทั่งถ่ายในเวลาที่ใกล้เคียงกันทุกวัน

อึ...เด็กกินนมผสม
อึจะมีลักษณะเป็นสีเขียมขี้ม้า มีลักษณะเป็นรูปร่างเป็นก้อน มากกว่าอึของเด็กที่กินนมแม่ เพราะเกิดจากการเติมธาตุเหล็ก ลงในนมผสม ลักษณะอึไม่เหมือนอย่างนมแม่ ลูกน้อยที่กินนมผสม อาจถ่ายเพียงวันละครั้ง หรือวันเว้นวันก็เป็นได้ คุณแม่ไม่ต้องกังวลใจ ให้ถือเป็นปกติ หากอึไม่แข็งเป็นเม็ดเหมือนลูกกระสุน

อึแบบไหนไม่ปกติ

อึเหลว เป็นน้ำ
หากลูกถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งหรือถ่ายเป็นน้ำบ่อยๆ ภายใน 1 วัน บ่งบอกว่าลูกมีอาการท้องร่วง ต้องรีบพาไปพบแพทย์ โดยด่วน
ส่วนใหญ่เด็กที่กินนมแม่มีความเสี่ยงต่อการท้องร่วงน้อยกว่าเด็กที่กินนมผสม เพราะนมแม่มีแบคทีเรียที่ช่วยป้องกันโรคท้องร่วงได้

อึแข็ง เป็นเม็ดเล็กๆ
เป็นอาการท้องผูกค่ะ คืออึน้อยกว่า 2-3 ครั้งใน 1 สัปดาห์ แม้แต่ถ่ายทุกวันแต่ถ้าอึแข็งเป็นก้อน หรือเวลาถ่ายมักเบ่งจนหน้าแดง ร้องไห้งอแง ก็เพราะลูกอึดอัด จากการถ่ายที่ค่อนข้างลําบาก
ถ้าลูกท้องผูกแบบเรื้อรัง คือถ่ายแบบกะปริดกะปรอย ถ่ายไม่หมดในแต่ละครั้ง บางครั้งรู้สึกอึดอัดในท้องและปวดท้อง ควรรีบพบคุณหมอ เพราะถ้าทิ้งไว้นานมีแต่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกอึเป็นสี
• หากเป็นสีเขียว สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการกินนมผสม ซึ่งมีธาตุเหล็กผสมอยู่นั่นเอง คงไม่ต้องกังวลอะไรนัก แต่เมื่อถึงเวลาให้อาหารเสริมแล้ว คุณควรได้เพิ่มอาหารประเภทที่มีเส้นใย เพื่อช่วยให้ลูกขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
• อึเป็นสีขาวซีด อาจเกิดภาวะท่อน้ำดีอุดตัน แต่ก็ต้องดูว่ามีอาการตัวและตาเหลืองร่วมด้วยหรือไม่

อึมีมูกเลือดปน
หากพบว่า อึลูกมีมูกเลือดปนออกมาด้วยนั้น อาจเกิดจากการฉีกขาดบริเวณโดยรอบของรูทวาร อาการแบบนี้ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ หรือเกิดจากการแพ้โปรตีนในนมวัว มีเลือดออกจากลําไส้ หากเห็นว่าอึของลูกมีลักษณะนี้ อย่านิ่ง นอนใจรีบพบคุณหมอดีกว่าค่ะ

อึเป็นสีเลือด
ต้องดูว่า ลูกของคุณหม่ำอะไรบ้าง เพราะหากลูกกินแครอท อึก็อาจมีสีแดงปนออกได้ แต่หากลูกมีอาการปวดท้อง รุนแรง ในลักษณะที่ลูกบิดตัวไปมา มีอาการอาเจียนมาก
จนกระทั่งอาเจียนเป็นน้ำดีสีเหลืองออกมา แบบนี้อันตราย ต้องรีบพาไปพบคุณหมอด่วน เพราะเป็นอาการของลําไส้กลืนกันค่ะ

colskys@hotmail.com

การดูแลคุณแม่ลูกอ่อน

นับแต่วินาทีแรกที่สมาชิกใหม่ของครอบครัวออกมาสู่โลกภายนอกคุณแม่ลูกอ่อนก็ได้เริ่มบทบาทของการเป็นแม่อีกขั้นหนึ่งแล้ว แต่อย่าห่วงลูกจนละเลยตัวเองเพราะสุขภาพของคุณแม่ก็สำคัญไม่แพ้สุขภาพลูก การคลอดมีผลต่อผู้เป็นแม่หลายอย่าง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจด้านร่างกายเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อกลับไปสู่สภาวะเดิมก่อนตั้งครรภ์ส่วน

ด้านจิตใจก็นับว่าเป็นเรื่องท้าทายความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของชีวิต หากเข้าใจและใส่ใจดูแลจะช่วยลดปัญหาต่างๆ และสามารถต้อนรับสมาชิกใหม่ได้เต็มที่เพื่อชีวิตครอบครัวที่มีความสุข

เมื่อไรประจำเดือนจะมา

ส่วนใหญ่จะเริ่มมีประจำเดือนในระยะ 7 เดือนหลังคลอดแต่บางคน 2 เดือนครึ่ง ก็เริ่มมีแล้วผู้ที่ให้นมลูก
ประจำเดือนจะมาช้ากว่าผู้ที่ไม่ได้ให้นมลูกหรือผู้ที่ลูกหย่านมเร็ว

มดลูก

การเปลี่ยนแปลง: หลังคลอดใหม่ๆ กล้ามเนื้อมดลูกจะยังไม่หดตัวลงทันทีและยังมีเศษของเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งหนาตัวระหว่างตั้งครรภ์ รวมทั้งเลือดด้วย แต่จะค่อยๆ ลดลงซึ่งจะกินเวลาประมาณ 10-12 วันจึงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติหรือที่เรียกกันว่ามดลูกเข้าอู่และหลังคลอดประมาณ 6 สัปดาห์ก็จะมีขนาดปกติเท่ากับช่วงที่ไม่ตั้งครรภ์

การดูแล: อย่าเพิ่งยกของหนักในช่วงเดือนแรก เริ่มบริหารร่างกายเบาๆ ได้ตั้งแต่ 2-3 วันแรกหลังคลอดเพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องกระบังลม และผนังช่องคลอดแข็งแรงจะได้พยุงมดลูกกลับเข้าที่ได้เร็วขึ้น

ช่องคลอดและฝีเย็บ

การเปลี่ยนแปลง: ตอนคลอดช่องคลอดจะขยายเพื่อให้ลูกน้อยคลอดออกมาได้โดยมีการฉีกขาดบ้างเล็กน้อยสูติแพทย์มักจะตัดฝีเย็บเพื่อป้องกันการฉีกขาดมาก เมื่อลูกออกมาแล้วจะเย็บซ่อมแซมให้ เรียบร้อยด้วยไหมสีดำหรือ สีขาว จากนั้น 5-6 วันจึงตัดไหมให้เว้นแต่จะใช้ไหมละลาย

การดูแล: แผลในช่องคลอดอาจจะบวมเล็กน้อยทำให้นั่งลำบาก หมอจะให้ยาแก้ปวด อาการจะทุเลาใน 3-4 วัน

จริงหรือไม่ หลังคลอดใหม่ๆ ห้ามลุกขึ้นยืนเดินมาก

เพราะจะทำให้มดลูกเคลื่อนต่ำแก่ตัวไปจะปวดศีรษะปวดหลังเป็นภูมิปัญญาไทยที่ฉลาดให้คุณแม่หลังคลอดได้ดูแลสุขภาพตัวเอง เนื่องจากสมัยก่อนหมอตำแยไม่ได้เย็บช่องคลอดที่ฉีกขาดเพราะการคลอด จึงให้คุณแม่ต้องอยู่ไฟประมาณ 10 วันโดยให้นอนบนกระดานแผ่นเดียวจะได้หนีบขาสองข้างไว้เพื่อให้แผลติดกันได้พร้อมผิงไฟให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นแต่ปัจจุบันแพทย์ตัดและเย็บแผลช่องคลอดให้เรียบร้อยแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องนอนนิ่งๆ นานๆ เพราะจะทำให้น้ำคาวปลาไหลไม่สะดวกทำให้มีโอกาสติดเชื้ออักเสบในโพรงมดลูก

ระบบขับถ่าย

การเปลี่ยนแปลง: คุณแม่ที่เพิ่งคลอดมักจะไม่อยากเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่กล้าเบ่งอุจจาระ ไม่อยากปัสสาวะเพราะกลัวเจ็บแผลหลายคนจึงท้องผูกและเป็นริดสีดวงทวาร การกลั้นปัสสาวะไว้นานๆ ทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และมดลูกลอยตัวสูงไม่หดตัว อันเป็นสาเหตุของการตกเลือดหลังคลอดได้มาก

การดูแล: พยายามกินอาหารที่มีกากนิ่มเช่น ข้าวกล้อง ส้ม กล้วย มะละกอและ ดื่มน้ำมากๆ ถ้าให้นมลูกไม่ควรกินยาระบายหากเป็นริดสีดวงควรปรึกษาแพทย์ แพทย์จะให้ยาลดการบวมอักเสบโดยให้ยาทา หรือยาเหน็บเวลานั่งให้นมลูกควรหาเบาะรองนั่งนุ่มๆ หรือจะใช้ห่วงยางเล่นน้ำเป่าลมให้เต็มแล้วรองนั่งในขณะให้นมลูกจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้

น้ำหนักตัวและรูปร่าง

การเปลี่ยนแปลง: หลังคลอดวันแรกน้ำหนักตัวคุณแม่จะลดลงประมาณ 6 กก. แต่รูปร่างนั้นยังคงดูตุ้ยนุ้ยเหมือนยังตั้งครรภ์อยู่ ผนังหน้าท้องยังหย่อนยานความเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลหายไป ผิวหนังบริเวณหน้าท้องมีรอยเหี่ยวย่น
และลายน้ำหนักจะลดลงเรื่อยๆ จนถึง6 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาที่แพทย์นัดให้ไปตรวจร่างกาย ในตอนนั้นคุณแม่ควรมีน้ำหนักเท่าตอนก่อนตั้งครรภ์หรืออาจเกินได้2-3 กิโลกรัม

การดูแล: ควรควบคุมอาหารให้เหมาะสม เลือกกินแต่อาหารที่มีคุณค่าและหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงรูปร่างและผิวพรรณก็จะกลับคืนมาดีได้ดังเดิมแต่ไม่ควรยกของหนักหรือทำงานหนักๆ ในช่วงเดือนแรก
หลังคลอดการทาครีมบำรุงผิวช่วยแก้ปัญหาท้องลายได้บ้าง

ปัสสาวะไม่ออก ทำอย่างไร

ช่วง 1-2 วันแรกคุณแม่มักจะมีปัญหาการถ่ายปัสสาวะ เพราะเวลาคลอดท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะถูกศีรษะเด็กกดอยู่ ทำให้บวม อย่างไรก็ดีควรพยายามถ่ายออกมาให้ได้เพื่อไม่ให้ปัสสาวะค้างอยู่มาก จะทำให้มดลูกลอยตัวสูงไม่หดตัวพลอยให้เกิดอาการตกเลือดหลังคลอดได้การดื่มน้ำมากๆ อาจช่วยได้

ตกเลือดหรือน้ำคาวปลา

การเปลี่ยนแปลง: จะมีเนื้อเยื่อและเลือดขับออกมาหลังคลอดในระยะแรกมีสีแดงสดจำนวนค่อนข้างมาก แล้วจะลดปริมาณลงเรื่อยๆ สีจะจางลงจนเป็นสีน้ำล้างเนื้อ เรียกว่าน้ำคาวปลาและกลายเป็นมูกเหลืองๆในที่สุดซึ่งจะกินเวลา 2-3 อาทิตย์ บางคนอาจนานถึงเดือนได้

การดูแล: 2-3 วันแรกควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ รักษาความสะอาด ตามปกติแพทย์อาจฉีดยาให้มดลูกหดตัวทำให้เสียเลือดน้อยลง ถ้าหลังคลอดมากกว่า 24 ชั่วโมง ไปจนถึง 6 สัปดาห์ ยังมีเลือดออกพร้อมกับมีไข้ น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น และมีอาการปวดท้องน้อยควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะอาจมีการอักเสบหรือตกเลือดมากผิดปกติ

ออกจากห้องคลอดแล้ว รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ ตัวรุมๆ และหนาว

ช่วง 1 ชั่วโมงหลังคลอด คุณแม่อาจมีอาการดังกล่าวได้ เป็นเรื่องธรรมดาเพราะมีการเปลี่ยนแปลงของระบบไหลเวียนโลหิตระหว่างคลอด แต่หากในวันต่อมายังมีอาการเช่นนั้นอยู่อาจเกิดปัญหาแทรกซ้อน เช่น เป็นหวัด
ทางเดินปัสสาวะอักเสบ มดลูกอักเสบ หรือแผลที่เย็บไว้อักเสบให้ปรึกษาคุณหมอค่ะ

อารมณ์แปรปรวน

การเปลี่ยนแปลง: คลอดลูกเสร็จแล้วแทนที่จะโล่งอก กลับรู้สึกอยากร้องไห้หงุดหงิดนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร เหล่านี้เป็นอาการซึมเศร้าเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งพบได้บ่อยตั้งแต่วันที่ 3 หลังคลอดไปจนถึง 2 สัปดาห์แรก อาจจะเกิดจากความเหนื่อยความวิตกกังวลและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ลดลงอย่างมากและรวดเร็ว

การดูแล: ควรทำใจให้สบาย พยายามลดความเครียดอย่ากังวลอาการเหล่านั้นจะหายได้เองควรแบ่งภาระต่างๆ
ให้คนรอบข้างช่วยบ้างจะได้มีเวลาทำกิจกรรมส่วนตัวและพักผ่อนได้เต็มที่ การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อน หรือญาติสนิทที่มีประสบการณ์การคลอดบุตรมาแล้วอาจช่วยให้คุณผ่อนคลายได้


การบริหารร่างกาย

การบริหารร่างกายหลังคลอด

ช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องที่ถูกยืดออกมาหลายเดือนระหว่างตั้งครรภ์และกล้ามเนื้อรอบผนังช่องคลอดซึ่งถูกยืดออกมาตอนคลอดหดตัวกลับสู่สภาพปกติมากที่สุด จะป้องกันไม่ให้ช่องคลอดหย่อน กระบังลมเคลื่อนช่วยลดไขมันที่สะสมตามโคนขาสะโพกและหน้าท้อง และแก้ปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่รวมทั้งอาการปวดหลังได้

ข้อควรปฏิบัติ

1. บริหารร่างกายเป็นประจำ ช่วงเช้า 15 นาที ช่วงเย็น 15นาที อย่างน้อย 3 เดือน
2. ผู้ที่คลอดเองตามธรรมชาติ บริหารร่างกายได้เลยหลังคลอด 2-3 วัน
3. ผู้ที่ผ่าตัดคลอดควรรอให้ครบเดือนก่อน
4. ขมิบช่องคลอดหรือทวารหนัก (เหมือนกำลังถ่ายปัสสาวะเสร็จ) บ่อยๆ เป็นการบริหารช่องคลอดที่ทำได้ใน
ทุกอิริยาบถโดยเฉพาะช่วงสัปดาห์แรก
5. ขณะฝึกให้ผ่อนลมหายใจยาวๆ

ข้อควรระวัง

1. บริหารร่างกายด้วยท่านั่งนานๆ ท่ายืน ท่ากระโดดในช่วง 6 สัปดาห์หลังคลอด
2. ยกของหนัก
3. หักโหม เร่งรัดเกินไป
4. ใช้ท่ายากเกิน จะทำให้เจ็บกล้ามเนื้อและไม่อยากทำอีก
5. กลัวว่าแผลฝีเย็บจะปริแตก

ตัวอย่างท่าบริหารง่ายๆ

1. นอนยกก้น

ประโยชน์: บริหารกล้ามเนื้อขา ต้นขา หน้าท้อง สะโพกและช่วยให้กล้ามเนื้อช่องคลอดบริเวณฝีเย็บหดตัวดีขึ้น
วิธีปฏิบัติ: นอนหงาย แขนแนบลำตัว ชันเข่าทั้งสองเป็นมุมฉากชิดกัน เท้าวางราบและห่างก้นพอสมควร ยกสะโพกขึ้นโดยใช้ไหล่ยัน พยายามหนีบกล้ามเนื้อสะโพก

2. แตะเข่า

ประโยชน์: บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง หลัง และเชิงกราน
วิธีปฏิบัติ: นอนหงาย ชันเข่าขวาขึ้น เอื้อมมือซ้ายไปแตะเข่าขวา โดยยกไหล่ และศีรษะขึ้นด้วย ค้างสักครู่จึงกลับสู่ท่าเริ่มแล้วสลับข้างทำ ทำ 5 ครั้ง วันละ 2 รอบ ค่อยๆ เพิ่มจนถึงรอบละ 20 ครั้ง

เมื่อเจ้าตัวเล็กป่วยไข้

เด็กตัวน้อยออกมาเผชิญกับโลกภายนอกต้องปรับตัวมากมายหลายอย่าง ทั้งการกิน การนอน การเรียนรู้
และพัฒนาต่างๆ นานา แล้วยังต้องต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บอีก ความที่เด็กยังบอกเล่าเกี่ยวกับตัวเองด้วยการสื่อภาษาคำพูดไม่ได้ คุณแม่จึงต้องคอยสังเกตอากัปกิริยาและการแสดงออกซึ่งบางครั้งก็สื่อไม่ตรงกันยิ่งทำให้คุณแม่กังวลเข้าไปใหญ่ บางครั้งคิดไปเลยเถิดทั้งที่เป็นอาการปกติ

ความจริงเด็กเล็กยังไม่เจ็บไข้อะไรมาก เพราะธรรมชาติดูแลให้ลูกได้รับการถ่ายทอดภูมิคุ้มกันจากแม่ตั้งแต่อยู่ในท้องจนกระทั่งคลอดออกมาก็ยังติดตัวอยู่ โดยเฉพาะถ้าลูกกินนมแม่ด้วยแล้วปัญหาหลายอย่างจะหมดไป
เช่น ท้องเสีย ท้องผูก เพราะการให้นมขวดหากไม่ระวังเรื่องความสะอาดก็ทำให้ท้องเสียถ้านมเข้มข้นไปจะทำให้ท้องผูก

ตัวร้อน
ถ้าลูกตัวอุ่นๆ อาจจะหายเองได้แค่วันสองวันก็กลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิมโดยไม่ต้องกินยาลดไข้แต่ถ้าไข้
เริ่มสูงขึ้นเด็กจะหงุดหงิด ขาดน้ำ และกระสับกระส่าย โยเย มีน้อยรายที่ถึงขั้นชัก โดยทั่วไปเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือนจะไม่เกิดอาการชักจากตัวร้อน

วิธีดูแลลูกเวลาตัวร้อน
อย่าใส่เสื้อผ้าหนา หรือห่อหุ้มตัวเด็กมากเกินไป ความร้อนจากตัวจะระบายออกได้ยาก ให้ดื่มน้ำเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และเป็นการระบายความร้อนออกทางไต เช็ดตัวเพื่อลดไข้ด้วยน้ำอุ่น หรือน้ำประปา ถ้าไข้ยังไม่ลด
ให้ยาลดไข้สำหรับเด็กตามคำแนะนำของแพทย์

ถ้าให้ยาลดไข้ไปแล้วควรรอ 1 ชั่วโมงจึงค่อยเช็ดตัว เพราะถ้าเช็ดตัวเด็กจะมีอาการสั่น และไข้จะกลับสูงมากขึ้นเมื่อหยุดเช็ดตัว ถ้าเด็กหลับอย่าปลุกขึ้นมาวัดไข้ หรือให้ยา การนอนพักสำคัญกว่า

เป็นหวัด
มีอาการไอ และน้ำมูกไหล เด็กเล็กอาจจะไอหรือเป็นหวัดเฉลี่ยปีละประมาณ 6 ครั้ง ควรให้กินน้ำ
และนอนพักมากๆ ถ้าตัวร้อน เจ็บคอ หรือปวดหัวให้กินยาลดไข้สำหรับเด็ก เด็กที่ไอและน้ำมูกไหลบ่อยมาก
อาจจะเป็นโรคภูมิแพ้

ท้องผูก
เด็กอาจจะไม่ต้องถ่ายทุกวัน แต่ถ้าอุจจาระแข็งและแห้งเจ็บเวลาถ่าย และถ่ายยากแสดงว่าลูกท้องผูก ควรให้กินน้ำมากๆ ถ้าลูกเริ่มรับประทานอาหารเสริมแล้วให้จัดอาหารที่มีกากใยเพียงพอ เพิ่มปริมาณน้ำส้มคั้น หรือน้ำลูกพรุนให้ลูกทีละ 2 ช้อนชาทุกวัน อย่าให้ยาระบายเองควรปรึกษาแพทย์ก่อน

ถ่ายเหลว
การถ่ายเหลวหรือท้องเสียอาจเกิดจากการติดเชื้อการแพ้อาหารบางชนิด (เช่นอาหารเสริม) ร่างกายไม่สามารถ
ดูดซึมน้ำตาลจากอาหารหรือแม้กระทั่งมีความเครียด ถ้าลูกกินนมแม่ให้ระวังอาหารที่คุณแม่ทานอาหารรสจัดใส่พริกไทยหัวหอม และมะเขือเทศมากไปจะทำให้เด็กท้องเสีย ถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน มีอาการท้องร่วงติดต่อกันนานเกินครึ่งวัน ควรพาไปพบแพทย์

อาหารไม่ย่อย
เด็กเล็กบางคนมีปัญหาเรื่องการย่อย อาจเป็นเพราะระบบย่อยอาหารยังปรับตัวไม่ได้ ทำให้ท้องอืด แน่นท้อง
แหวะนมบ่อย ถ่ายเหลวลองอุ้มลูกนั่งตรงลูบหลังเบาๆ ให้เรอหรือผายลมออกมาเด็กจะเรอหรือแหวะเมือกนมออกมาด้วย ถ้าเด็กดูปวดท้องมากให้นอนพัก ดื่มแต่น้ำ (หยุดให้อาหาร) หากเป็นนานเกิน 4 ชั่วโมงควรพบแพทย์

อาเจียน
เด็กอาจจะเรอหรือแหวะนมออกมาถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าอาเจียนออกมาไม่มากนักแต่ตลอดทั้งวัน อาจเกิดจากการบีบเกร็งของหลอดอาหารส่วนล่าง ให้ลูกนั่งเก้าอี้เข็นสำหรับเด็กอ่อนหลังกินนมและ ไม่ควรไล่ลมแรงเกินไป
ถ้าอาเจียนออกมาเป็นน้ำสีเขียว อาเจียนพุ่ง หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่นท้องเสียมีไข้และแสดงความเจ็บปวดควรพาไปพบแพทย์

ปื้นขาวในปาก
ปื้นขาวตามกระพุ้งแก้มและลิ้นเกาะติดแน่นอยู่เกิดจากเชื้อรา เพราะหัวนมไม่สะอาดแพทย์จะให้ยาหยดใส่ปาก หรือยาป้ายปาก หลังดูดนมแล้วคุณแม่ควรให้ดูดน้ำต้มสุกช่วยชำระล้างคราบนมป้องกันเชื้อรา มาเกาะเจริญเติบโตและให้ดูแลความสะอาดของหัวนมด้วย

ตาแฉะ
เด็กแรกเกิดอาจจะมีขี้ตาขาวๆ ดูเหมือนตาแฉะเกิดจากปฏิกิริยาต่อสารที่ใช้หยอดตา ตอนแรกเกิดเพื่อป้องกันโรคหนองในและเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ตาเด็ก แต่ถ้าตาบวม ขี้ตาสีเหลือง ตาขาวเริ่มอักเสบแดง แสดงว่าติดเชื้อและอักเสบ ต้องรีบพาไปพบแพทย์

ร้องโคลิก
เด็กบางคนร้องไห้หนักเป็นเวลาโดยไม่ทราบสาเหตุและปลอบเท่าไรก็ไม่หยุด บางคนร้องจ้าแขนขาเกร็งหรืองอเข้าหาลำตัว อาการเช่นนี้เรียกว่า โคลิก ซึ่งไม่ใช่อาการเจ็บป่วยหรือเสียดท้องเนื่องจากระบบย่อยอาหารยังทำงานไม่ดีปกติอาการนี้จะหายไปเมื่อทารกอายุขึ้น 3 เดือนแต่บางคนเป็นถึง 6 เดือน

คุณแม่ช่วยลูกได้โดยเอาลูกอุ้มซบบ่าพาเดินเล่นอ้อมกอดที่กระชับและเสียงปลอบโยนของคุณแม่จะผ่อนคลายให้ลูกได้บ้าง ถ้าอาการเกิดหลังจากให้อาหารเสริมควรหยุดอาหารเสริมก่อนเพราะลูกอาจแพ้อาหารนั้น

วิธีนี้อาจช่วยเด็กร้องโคลิกได้
เด็กที่ร้องโคลิกอาจช่วยได้ด้วยการนอนคว่ำ คุณแม่อาจจะลองให้ลูกนอนคว่ำทับกระเป๋าน้ำอุ่น แล้วคุณแม่เอามือลูบหลังเบาๆ อย่าลืมตรวจกระเป๋าน้ำอุ่นก่อนว่าไม่ร้อนจัด ใช้ผ้าขนหนูพันรอบ กันไม่ให้ผิวเด็กโดนความร้อนจัดปิดจุกกระเป๋าให้แน่นด้วย

ผื่นที่แก้ม
ผิวเด็กอ่อนใสเป็นผื่นที่แก้มง่ายมากถ้าลักษณะเป็นตุ่มขาวเล็กๆ ไม่มีรอยแดงรอบๆ สีคล้ายไข่มุกขนาดจิ๋ว
เมื่ออายุมากขึ้นผื่นนี้จะหายไปเองไม่ต้องทำอะไรใช้ยาก็ไม่ได้ผลแต่ถ้ามีลักษณะแดงและแห้งมักจะเป็นในหน้าหนาวไม่ควรให้อาบน้ำร้อนผิวจะยิ่งแห้งแตก

ถ้าเป็นหน้าร้อน ผดผื่นจะลามไปตามไหล่ หน้าอก ใบหน้าและลำตัว คุณแม่ควรอาบน้ำให้บ่อยๆ โดยเฉพาะเด็กอ้วนมีเหงื่อท่วมตัวตลอดเวลาให้อาบน้ำแล้วปะแป้งใช้ดินสอพอง แก้ผดผื่นได้ดีหรือใช้แป้งเด็กที่ไม่ฟุ้งกระจายเพราะจะทำให้เป็นฝุ่นผงเข้าในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดภูมิแพ้ได้ จึงแนะนำให้ใช้แป้งที่มีเนื้อหนัก
และช่วยลดอาการผดผื่นโดยตรงแล้วใส่เสื้อผ้าป่านบางๆ หรือไม่ต้องใส่ก็ได้ ถ้าคันมากใช้คาลาไมน์ขององค์การเภสัชกรรมทาแก้คัน

นอกจากนี้บางคนยังแพ้นมวัวเป็น "ขี้กลากน้ำนม" ผื่นแดงเยิ้มทั้งสองแก้ม บางครั้งมีน้ำเหลืองด้วยเป็นเรื้อรังไม่หายสักทีแพทย์จะให้ยาแก้แพ้ถ้าอักเสบจะให้ยาแก้อักเสบด้วย หรือ เปลี่ยนนมเป็นชนิด HA สักระยะก่อนซึ่งอาการนี้พบมากในครอบครัวที่มีประวัติภูมิแพ้ต่อไปจะหายเองได้

ตาเข
เวลามองของที่อยู่ใกล้ตาเด็กอ่อนโดยเฉพาะในช่วงเดือนแรกอาจมีตาดำเขเข้าข้างในหรือออกข้างนอกได้เพราะกล้ามเนื้อตายังทำงานไม่ดีคุณแม่ไม่ต้องกังวลเมื่ออายุมากขึ้นตาสองข้างจะมองตรงเป็นปกติเองได้แต่ถ้าลูกตาเขตลอดเวลาหรือเป็นส่วนใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์แม้ว่าเด็กจะอายุเพียง 1 เดือน ถ้าปล่อยทิ้งไว้จนโตจะมีผลเสีย เด็กจะมองเห็นของเป็น 2 สิ่งทำให้สับสนมาก สมองจะสั่งการให้ลืมภาพจากตาข้างหนึ่ง เพื่อให้เห็นภาพเดียว
นานเข้าตาข้างนั้นจะเกรับภาพได้ แต่สมองไม่รับเลยกลายเป็นตาบอดทั้งที่ไม่ได้บอดจริง

จักษุแพทย์อาจจะแก้ไขโดยปิดตาข้างที่ดีก่อนปล่อยให้ข้างที่ไม่ค่อยยอมทำงานได้ทำงานหรือให้เด็กใส่แว่นตาปิดมุมตาด้านใน ถ้าตาเขเข้าใน เพื่อบังคับให้ตาดึงตาดำกลับมามองตรงๆ แพทย์จะพยายามแก้ไขหลายวิธีก่อนจะตัดสินใจผ่าตัด คุณแม่ช่วยฝึกกล้ามเนื้อตาของลูกให้ทำงานดีขึ้นได้ด้วยการกระตุ้นตาข้างที่ไม่ปกติให้ทำงานมากขึ้น เช่น เอามือปิดตาข้างที่ใช้งานได้ดีแล้วเขย่าของเล่นหรือทำให้เกิดเสียงด้านที่ต้องการให้มอง

นอกจากนี้ไม่ควรแขวนของเล่นบนเตียงตรงกลางจมูกเด็กจะจ้องของเล่นจนตาเข ควรแขวนเลยไปข้างหน้าระยะไกลพอจะที่เด็กเอื้อมถึง

ยาลดไข้ที่หมอให้มาเขียนไว้ว่ารับประทานทุก 6 ชั่วโมง

แต่ลูกกินแล้วไข้ยังไม่ลดเสียที จะให้ซ้ำก่อนเวลาได้หรือไม่
ยาจะออกฤทธิ์หลังรับประทานไปครึ่งชั่วโมงถ้าไข้สูงมากอาจให้ทุก 4 ชั่วโมงได้และหลังจากให้ยาแล้ว 1 ชั่วโมงไข้ยังไม่ลดให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นเมื่อไข้ลดแล้วไม่จำเป็นต้องให้อีก เพราะเด็กอาจจะได้รับยาเกินขนาด ถ้าเป็นยาพวกแอสไพรินอาการของการได้รับยาเกินและเป็นพิษคือ กระสับกระส่าย อาเจียน ซึม หายใจเร็ว หายใจขัดไข้กลับสูง จนถึงชักหมดสติ ส่วนยาประเภทพาราเซตามอลจะเกิดช้ากว่า มีอาการคลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออกมาก ตัวเหลือง ตับวายหมดสติ และชัก ถ้ามีอาการเหล่านี้ต้องรีบพาไปพบแพทย์

เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลูก

ถึงแม้เด็กเล็กจะยังมีภูมิคุ้มกันที่ได้จากแม่ แต่ก็ยังต้องได้รับวัคซีนหลายอย่างเพื่อป้องกันโรคร้ายแรง เช่น คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก หัด หัดเยอรมัน คางทูม ซึ่งกุมารแพทย์ที่ดูแลเด็กแรกคลอดจะย้ำเตือนคุณแม่เสมอให้พาลูกมารับวัคซีนตามกำหนด

กำหนดการให้วัคซีน


อายุ วัคซีน
แรกเกิด บีซีจี (ป้องกันวัณโรค) ตับอักเสบ บี ครั้งที่ 1
2 เดือน ไวรัสตับอักเสบครั้งที่ 2, โปลิโอ คอตีบ ไอกรน และ บาดทะยัก ครั้งที่ 1, ไข้สมองฮิบ ครั้งที่ 1
4 เดือน โปลิโอ คอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก ครั้งที่ 2, ไข้สมองฮิบ
ครั้งที่ 2
6 เดือน โปลิโอ คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก และตับอักเสบ ครั้งที่ 3
1 ปี หัด หัดเยอรมัน คางทูม ครั้งที่ 1, ไข้สมองฮิบ ครั้งที่ 3
1 ปี 1 เดือน ไข้สมองอักเสบ ครั้งที่ 1
1 ปี 1/2 เดือน ไข้สมองอักเสบ ครั้งที่ 2
1 ปี 2 เดือน ตับอักเสบ เอ ครั้งที่ 1
1 ปี 3 เดือน ตับอักเสบ เอ ครั้งที่ 2
1 ปี 6 เดือน โปลิโอ คอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก ครั้งที่ 4
1 ปี 8 เดือน ตับอักเสบ เอ ครั้งที่ 3
2 ปี 1 เดือน ไข้สมองอักเสบ ครั้งที่ 3
4 ปี หัด หัดเยอรมัน และคางทูม ครั้งที่ 2
5 ปี โปลิโอ คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ครั้งที่ 5

หมายเหตุ วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบ เอ และวัคซีนป้องกันไขสมองฮิบ ไม่บังคับให้ฉีดทุกคน
หลังการฉีดวัคซีนลูกอาจจะมีไข้ไม่สบาย ฉะนั้น ถ้าลูกตัวร้อนไม่สบายเป็นหวัดยังไม่ควรพารับวัคซีน และวัคซีนป้องกันโรคคอตีบไอกรน บาดทะยัก มักทำให้บริเวณที่ฉีดเป็นไตแข็ง ลูกจะปวด และร้องกวนมากกว่าปกติ แพทย์จะให้ยามารับประทานอาการปวด และเป็นไข้จะดีขึ้นภายใน 2 วัน บริเวณที่เป็นไตแข็ง ก็ค่อยๆ ดีขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องประคบ

คุณพ่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการลูกน้อยได้

ทารกในครรภ์มีวงจรการหลับและการตื่น 4 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 เป็นระยะที่นอนหลับสนิท
ระยะที่ 2 กึ่งหลับกึ่งตื่น
ระยะที่ 3 ทารกเริ่มรู้สึกตัว
ระยะสุดท้าย ทารกตื่นเต็มที่ซึ่งพ่อแม่สามารถกระตุ้นด้วยการสัมผัสลูกผ่านการลูบไล้หน้าท้องแม่ได้

ลูกตอบรับสัมผัส ของคุณพ่อคุณแม่ได้

ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยด้วยเทคโนโลยีอัลตราซาวด์พบว่าทารกในครรภ์จะนอนหลับและตื่นขึ้นทุกๆ 20-40 นาที กุมารแพทย์ผู้สนใจศึกษาการเรียนรู้ของทารกในครรภ์ได้ทำการวิจัยต่อเนื่องมากกว่า 6 ปี พบว่าทารกในครรภ์รู้จักเสียงของแม่และรับรู้สัมผัสต่างๆ ที่แม่มีต่อลูกได้ไม่ว่าจะลูบคลำหน้าท้อง แตะเบาๆ หรือนวด ซึ่งสังเกตได้จากการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์

ในช่วงตั้งครรภ์ตั้งแต่ 13-27 สัปดาห์นั้น คุณแม่สามารถนวดหน้าท้องตัวเองเบาๆ เริ่มจากด้านล่างขึ้นไปที่สะดือ โดยให้พูดกับลูกทุกครั้งว่าแม่กำลังทำอะไรอยู่ เช่น "แม่กำลังลูบตัวหนูอยู่นะจ๊ะ" นอกจากจะทำให้
คุณแม่รู้จักส่วนต่างๆ ว่าศรีษะเท้า นิ้วเท้าของลูกอยู่ตรงไหนแล้วยังช่วยให้ระบบประสาทของลูกเกิดการพัฒนา
และยังเป็นการพัฒนากล้ามเนื้อเซลล์สมองเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวด้วย

บางครั้งขณะนวดเบาๆ คุณแม่จะรู้สึกว่าลูกน้อยในครรภ์ดิ้นตอบรับ นั่นแสดงว่า ทารกกำลังเกิดการเรียนรู้ต่อสิ่งเร้าแต่มีข้อควรระวังคือ เมื่อใดที่คุณแม่ลูบไล้หน้าท้อง แล้วมดลูกเกิดหดรัดตัวให้หยุดทันทีแล้วไปพบ
แพทย์ที่ฝากครรภ์ไว้โดยเร็ว

Dr. F. Rene Vande Carr ได้วิจัยโดยให้แม่ตั้งครรภ์กว่า 3,000 คน สื่อสารกับทารกในครรภ์ด้วยการสัมผัส พูดคุย เปิดดนตรีให้ฟัง พบว่ากิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันแนบแน่น ลูกน้อยสงบ มีความสุข
อีกทั้งยังสามารถเดินและพูดได้เร็วกว่าเด็กที่ไม่ได้รับการกระตุ้นอีกด้วย

การทำความสะอาดให้ลูกน้อย

อาบน้ำให้ลูก

คุณแม่มือใหม่มักจะรู้สึกลำบากใจเวลาจะอาบน้ำให้ลูกน้อยตัวกระจ้อยกลัวลูกลื่นหลุดมือบ้าง กลัวพลาดทำน้ำสบู่เข้าตา เข้าจมูกบ้าง ลองศึกษาวิธีการต่อไปนี้จะเห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องยากเลย ทำใจให้สบายและสนุก
ไปพร้อมกับลูก เด็กส่วนใหญ่ชอบเล่นน้ำอยู่แล้ว

เช็ดตัว

ถ้าลูกยังเล็กนักและคุณแม่ก็ไม่เคยอุ้มเด็กอาบน้ำมาก่อนช่วง 2-3 วันแรกจนถึงวัยที่สะดือลูกแห้งแล้ว คุณแม่เพียงเช็ดตัวให้ลูกก็ใช้ได้แล้ว เริ่มจากวางลูกบนตักคุณแม่หรือบนโต๊ะ (ชิดฝาด้านหนึ่งกันลูกตก) ควรมีผ้ายางสักผืน
รองตัวลูกใช้น้ำอุ่น เช็ดหน้า ศีรษะส่วนลำตัวก็ใช้ฟองน้ำชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ ให้ทั่วตัวโดยเฉพาะทวารหนัก ง่ามเนื้อสะโพกบริเวณข้อพับ ซอกรักแร้ ซอกคอและ ขาหนีบล้างให้สะอาดด้วยสบู่อ่อนๆ แล้วเอาฟองน้ำชุบน้ำชุ่มๆ
เช็ดสบู่ออก 2-3 ครั้งระหว่างเช็ดตัวหรืออาบน้ำให้ลูกให้พูดคุยสนุกสนาน กับลูกหรือร้องเพลงให้ลูกเพลินๆ คุณแม่ก็จะได้คลายกังวล

ถ้าหน้าหนาวอย่าเพิ่งรีบถอดเสื้อผ้าให้เช็ดหน้าลูกให้เสร็จก่อนจึงถอดเสื้อ เพื่อทำความสะอาดร่างกายส่วนบน
สวมเสื้อให้เรียบร้อยก่อนค่อยถอดผ้าอ้อมออกทำความสะอาดส่วนล่างเสร็จแล้วให้รีบใส่ผ้าอ้อมสะอาด ส่วนสะดือให้ใช้ไม้พันสำลีชุบยาทาสะดือ (โรงพยาบาลให้มา) เช็ดรอบๆ สะดือ เมื่อสายสะดือหลุดแล้วใช้น้ำต้มสุกเช็ดแทนและเช็ดให้แห้งอีกครั้ง

ข้อควรระวัง
1. สำลีที่ใช้เช็ดควรเปลี่ยนก้อนใหม่บ่อยๆ
2. การเช็ดก้นให้เช็ดจากหน้าไปหลัง
3. ใช้น้ำอุ่นเช็ดแล้วตามด้วยสำลีแห้งเช็ดซอกต่างๆ ให้แห้ง
ถ้าเช็ดไม่แห้งบริเวณเหล่านั้นอาจเกิดแผลและอักเสบ
4. ไม่ควรใช้อะไรล้วงเข้าไปในรูหู ใช้สำลีซับแต่ภายนอกก็พอ

หนูจะลงอ่าง

เตรียมข้าวของ: อ่างอาบน้ำ ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ และผ้าขนหนูเล็กสำหรับเช็ดตัว แชมพูอ่อนโยนสำหรับทารก
สบู่หรือครีมอาบน้ำสำหรับทารก เหยือกน้ำ สำลีก้อน น้ำมันมะกอก ครีมทาผิวอ่อนละมุน

ขั้นตอนการอาบน้ำ
1. เตรียมตัว: วางอุปกรณ์ให้พร้อมใช้ไว้ใกล้มือ พับครึ่งผ้าเช็ดตัวปูอ่างสำหรับรองตัวและหลังไม่ให้ผิวลูกเสียดสีกับอ่าง และช่วยกันลื่นด้วยเทน้ำอุ่นลงอ่างอุณหภูมิประมาณ 36 - 38 องศา
2. อุ้มลูกลงอ่าง: ช้อนไหล่และคอลูกด้วยวงแขนข้างที่ถนัดโดยใช้ง่ามนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือช้อนผ่านใต้รักแร้
กุมหัวไหล่ลูกเอาไว้ส่วนท่อนแขนล่าง และข้อมือรองรับอยู่ใต้คอลูกพอดี มืออีกข้างช่วยประคองก้นอุ้มลูก
วางลงอ่างแล้วจึงเอามือออกจากก้นได้
3. เช็ดหน้า: หยิบก้อนสำลีชุบน้ำอุ่นหมาดๆ เช็ดดวงตาจากหัวตาไปหางตาทั้งสองข้างเปลี่ยนสำลีหรือใช้ผ้าขนหนูเช็ดบริเวณจมูกปากและบริเวณโดยรอบโดยเปลี่ยนสำลีหรือมุมผ้าขนหนูทุกครั้ง

สะดือของลูกจะแห้งเมื่อใด และควรดูแลอย่างไร

ตอนคลอดแพทย์จะตัดสายสะดือเหลือขนาดไม่เกิน 1 นิ้วส่วนมากจะค่อยๆ เหี่ยวลงและหลุดในเวลา 1 อาทิตย์
แต่บางคนอาจจะนานถึง 3 อาทิตย์ คุณแม่ไม่ควรเอาผ้าปิดรัดสะดือหรือโรยแป้ง เพราะทำให้แห้งช้า หากมีปัสสาวะไปขังเฉอะแฉะ ทำให้ติดเชื้อ ดั้งนั้น เวลานุ่งผ้าอ้อมให้นุ่งต่ำกว่าสะดือเล็กน้อย

4 ลำตัว: วักน้ำล้างคอ หน้าอก ลำตัวส่วนบน และหลัง
5 แขนขา: ใช้ปลายผ้าขนหนูปาดเนื้อสบู่เล็กน้อยถูตามขา และเท้า อย่างเบามือล้างน้ำให้สะอาด
6 ศีรษะ: เลื่อนตัวลูกเอนนอนเพื่อสระผมโดยมือข้างหนึ่งยังประคองอยู่ เช่นเดิมค่อยๆ เทน้ำลงบนศีรษะลูก
เทแชมพูเล็กน้อยเท่านั้น ถูศีรษะให้เป็นฟอง ถ้าลูกมีขี้หัวหรือสะเก็ดหนังศีรษะให้ใช้น้ำมันมะกอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นทานวดเบาๆ ให้น้ำมันซึมผ่านหนังศีรษะทิ้งไว้ 15 นาที ใช้หวีแปรงขนนุ่มๆ หวีขี้หัวออก ล้างตามด้วยน้ำ
7 อุ้มขึ้น: ใช้แขนสองข้างอุ้มช้อนตัวลูกขึ้นจากอ่างวางบนผ้าเช็ดตัว แล้วห่อหุ้มตัวลูกให้อบอุ่น พร้อมกับซับตัวให้แห้ง

ก้นลูกเป็นผื่นแดงเพราะผ้าอ้อมกัด จะทำอย่างไรดี

ถ้าก้นลูกเริ่มเเดงคล้ายจะเกิดผดควรทาครีมป้องกันไว้ก่อน ถ้าเป็นแผลผ้าอ้อมกัดให้เปลี่ยนผ้าอ้อมทันทีที่แผลสกปรกและใช้ครีมทำความสะอาดผิวเท่านั้น ห้ามใช้ครีมอื่นทาไว้เพราะอากาศจะเข้าไปในผิวหนังของทารก
ไม่ได้เพียงใส่ผ้าอ้อมสะอาดไว้เท่านั้นก็พอ หากจะใช้แป้งเด็กต้องเลือกชนิดที่ไม่ฟุ้งกระจาย ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังเด็ก และช่วยดูดซับความชุ่มชื้นเพราะถ้าผิวหนังของเด็กไม่แห้งดีการใส่แป้ง อาจทำให้เกิดการอักเสบเป็นแผลได้

colskys@hotmail.com