colskys: สุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ใช้วิธีหนามบ่งหนามทิ่มแทง

นักวิทยาศาสตร์หันมาใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง ต่อสู้กับโรคมะเร็งร้าย ด้วยการใช้เชื้อมะเร็งมาทำวัคซีนปราบมะเร็งเสียเอง ทดลองใช้กับคนไข้มะเร็งลำไส้ใหญ่และตับแล้วได้ผลชะงัด

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ ได้ทดลองใช้วัคซีนป้องกันมะเร็ง ซึ่งทำจากมะเร็งที่ผ่าตัดเอาออกจากคนไข้โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ฉีดให้กับคนไข้โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และตับจำนวน 29 ราย ปรากฏว่ามีคนไข้ที่รับการฉีดหลังจากนั้นพบว่า มีอาการสนองตอบกับวัคซีนอยู่ครึ่งหนึ่งจากจำนวนทั้งหมด คนไข้เหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่ต่อมาได้สองปีแล้ว ในขณะที่คนไข้พวกที่ดื้อต่อวัคซีน ซึ่งเหลือรอดชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่ง นอกจากนั้นพวกคนไข้ที่สนองตอบกับวัคซีน ยังไม่ปรากฏเป็นซ้ำขึ้นอีก ผิดกับกลุ่มคนไข้อีกพวกหนึ่ง ซึ่งต่างยังพากันเป็นกันอีกเกือบหมด เหลือคนที่ไม่เป็นอยู่มีเพียง 8% เท่านั้น.

สนใจ G3

ติดต่อ Colskys@hotmail.com ราคา พิเศษ ค่าส่ง ฟรี

รับของได้ทันที่ส่งถึงที่(เฉพาะกรุงเทพฯ) ต่างจังหวัด 3 วันครับ

เบอร์โทร.0869061254,0814267735 อั๋น(NUskin)

อี.โคไล กับการเกิดโรคอุจจาระร่วง

ในปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ได้ก่อให้เกิดปัญหาด้านการแพทย์และสาธารณสุขเป็นอย่างมาก เพราะทำให้การป้องกันทำได้ค่อนข้างยาก เชื้อจึงมีการแพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง ในบางโรค อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตจำนวนมากด้วย ในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อที่ก่อให้เกิดปัญหาค่อนข้างมาก ได้แก่ โรคในระบบทางเดินอาหาร เพราะควบคุมได้ยาก เนื่องจากสุขอนามัยในการรับประทานอาหารจะแตกต่างกันไป ในชนเชื้อชาติต่างๆ ดังนั้นในกลุ่มชนที่ชอบรับประทานอาหาร แบบสุก ๆ ดิบๆ จะมีการแพร่ระบาดของโรคระบบทางเดินอาหารมากที่สุด

สำหรับโรคในระบบทางเดินอาหารที่พบกันมาก ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง ซึ่งจะเกิดจากจุลินทรีย์ต่างๆ เช่น อหิวาตกโรค เกิดจากเชื้อวิบริโอ คอเลรี่ (Vibrio cholerae) ไทฟอยด์ เกิดจาก ซาลโมเนลลา ไทโฟซา (Salmonella typhosa) โรคอุจจาระร่วงที่เกิดจากเชื้อ อี.โคไล (E.coli) เป็นต้น

สำหรับโรคอุจจาระร่วงที่เกิดจาก อี.โคไล ได้ปรากฏเป็นข่าวใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากมีการแพร่ระบาดในหลายประเทศ และทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย โดยพบมากในผู้ป่วยที่เป็นเด็ก อายุน้อยกว่า 4 ปีหรือผู้สูงอายุ เพราะมีความต้านทานโรคไม่ดีนัก

ตามปกติแล้ว อี.โคไล เป็นแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของมนุษย์ และสัตว์มีกระดูกสันหลัง เชื้อนี้จะถูกขับออกจากร่างกายพร้อมอุจจาระ ในขณะที่อยู่ในร่างกายจะช่วยทำประโยชน์ให้หลายด้าน โดยเฉพาะ การนำกากอาหารที่ไม่ต้องการใช้มาเปลี่ยนให้เป็นวิตามินหลายชนิด รวมทั้งช่วยขัดขวางการเจริญของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคบางชนิดอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามยังมีอี.โคไล อีกหลายสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง กับมนุษย์ด้วยเช่นกันโดยเฉพาะ อี.โคไล โอ-157 (E.coli O-157) สำหรับการแพร่ระบาดของอี.โคไล โอ-157 นั้นได้มีในหลายประเทศ แต่ที่สำคัญมีดังนี้

ในปี พ.ศ. 2525 ได้มีการแพร่ระบาดของ อี.โคไล โอ-157 (E.coli O-157) ในรัฐมิชิแกนและรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา โดยพบเชื้อปนเปื้อนมากับเนื้อสัตว์ที่ใช้ทำแฮมเบอร์เกอร์ จนต้องมีการเก็บแฮมเบอร์เกอร์เหล่านี้กลับคืนมาเพื่อทำลายทิ้ง การระบาดครั้งนี้ทำให้มีผู้ป่วยหลายราย ต่อมาได้มีการพบ การแพร่ระบาดในบ้านพักคนชราของเมืองออนตาริโอ ประเทศคานาดา โดยพบเชื้อปนเปื้อนมากับอาหารพวกแซนด์วิช ทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมากและมีผู้เสียชีวิต 19 ราย ในเดือนมีนาคม-กรกฎาคม พ.ศ.2539 ได้พบการแพร่ระบาด ของ อี.โคไล โอ-157 (E.coli O-157) ในญี่ปุ่นทำให้มีผู้ป่วย มากกว่า 1,000 คน และมีผู้เสียชีวิต 11 ราย

ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2540 ได้มีการแพร่ระบาดของ อี.โคไล โอ-157 (E.coli O-157) ในฮ่องกง โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขฮ่องกง ได้ตรวจพบการปนเปื้อนของเชื้อนี้ในเนื้อวัวที่จำหน่าย ในซุปเปอร์มาเก็ตจากการสอบสวนทางระบาดวิทยาพบว่า อี.โคไล โอ-157 (E.coli O-157) มีปะปนมากับวัว ที่ส่งมาจากประเทศจีนและเมื่อนำวัวดังกล่าว มาฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ในฮ่องกง โดยมิได้ระมัดระวัง ในด้านสุขอนามัยเท่าที่ควรจึงทำให้เชื้อไม่ถูกทำลายทั้งหมด เป็นผลให้มีปนเปื้อนอยู่ในเนื้อสัตว์ที่นำไปจำหน่าย กระทรวงสาธารณสุขฮ่องกงจึงได้มีประกาศเตือนประชาชน ให้นำเนื้อวัวไปให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียส หรือ 167 องศาฟาเรนไฮต์ จะทำลายเชื้อนี้ได้ อย่างไรก็ตามได้เคยมีการแพร่ระบาด ของเนื้อนี้ในฮ่องกงครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.2537

อี.โคไล โอ-157 (E.coli O-157) จะเข้าสู่ร่างกายโดยการปนเปื้อน ไปกับอาหารและน้ำ เชื้อจะใช้เวลาฟักตัว 1-8 วัน แต่โดยทั่วไปประมาณ 3-5 วัน เชื้อจะสร้างสารพิษ ทำให้เกิดอาการอุจจาระร่วง ในรายที่มีอาการรุนแรง จะมีอุจจาระร่วงบ่อยครั้ง อุจจาระเป็นมูกเลือด ปวดท้อง นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการซีด เนื่องจากสารพิษของเชื้อ จะทำลายเม็ดเลือดแดง จึงเกิดภาวะไตวายได้ ส่วนในผู้สูงอายุอาจเกิดภาวะเลือดออกง่าย เนื่องจากเกร็ดเลือดถูกทำลาย จึงมีอาการเสียชีวิตได้ง่าย

ในด้านการป้องกันนั้น ในปัจจุบันทำได้ค่อนข้างยาก เพราะการคมนาคมเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว การแพร่ระบาดของโรคจากประเทศหนึ่งไปสู่อีกประเทศหนึ่ง จึงรวดเร็วตามไปด้วย อย่างไรก็ตามการที่จะช่วยป้องกัน มิให้ติดเชื้อที่ดีที่สุดก็คือ จะต้องสร้างสุขนิสัยในการรับประทานอาหาร ให้ถูกต้อง เช่น รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ดื่มน้ำที่สะอาด หรือดื่มน้ำที่ผ่านการต้มแล้ว ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร ฯลฯ

ส่วนผู้ที่ชอบดื่มนมนั้น ก็ควรดื่มนมที่ผ่านขบวนการ ฆ่าเชื้อมาแล้ว เช่น นมปาสเจอไรซ์ นมสเตอริไรซ์หรือนมยูเอชที เป็นต้น ทั้งนี้เพราะ อี.โคไล ถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน โดยถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิน้ำเดือดหรือ 100 องศาเซลเซียส ประมาณ 15 นาที จึงทำให้อาหารที่ผ่านความร้อน มีความปลอดภัยต่อการบริโภคมาก

สำหรับในผู้ป่วยที่ปรากฏอาการอุจจาระร่วงนั้น ถ้าหากอาการไม่รุนแรงนักก็ให้รับประทานน้ำดื่มเกลือแร่ (electrotytes) เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำ แต่ถ้าหากอาการยังไม่ทุเลา ก็ต้องรีบมาพบแพทย์เพื่อให้การรักษาพยาบาลต่อไป

สนใจ lifepak

ติดต่อ Colskys@hotmail.com ราคา 2100 บาทค่าส่ง ฟรี

รับของได้ทันที่ส่งถึงที่(เฉพาะกรุงเทพฯ) ต่างจังหวัด 3 วันครับ

เบอร์โทร.0869061254,0814267735 อั๋น(NUskin)

อีสุกอีไสเริ่มระบาดแล้ว

แพทย์เตือนไวรัสอีสุกอีใส ระบาดหนักช่วงหน้าหนาวถึงหน้าร้อน แนะประชาชนควรป้องกัน หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ ผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะเด็กและสตรีวัยเจริญพันธุ์ ควรฉีดวัคซีนป้องกันได้ ตามโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ

พญ.เบจมาศ พิศาลสารกิจ กุมารแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวช เปิดเผยว่า ขณะนี้เชื้อไวรัสอีสุกอีใสระบาดหนักทั่วประเทศ โดยเชื้อดังกล่าวนี้ สามารถแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ในช่วงหน้าหนาวถึงหน้าร้อน คือ ประมาณเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนมีนาคม

ฉะนั้น จึงอยากเตือนประชาชนควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อและเพื่อป้องกันการเกิดโรคอีสุกอีใส ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรค โดยเฉพาะในเด็กและสภาพสตรี ซึ่งอยู่ในวัยเจริญพันธุ์

ทั้งนี้วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส เป็นวัคซีนที่ไม่มีอันตราย โดยได้รับการรับรอง จากองค์การอนามัยโลกเรียบร้อย ว่า สามารถฉีดป้องกันได้ทุกเพศทุกวัยตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป โดยผู้ที่ต้องฉีดสามารถติดต่อสอบถามได้ที่โรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ

สำหรับอาการโรคอีสุกอีใสระยะเริ่มแรก จะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ เมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร และเริ่มมีตุ่มแดงๆ ขึ้นบริเวณลำตัว คอ แขน ขา และใบหน้า โดยตุ่มแดงๆ นี้จะกลายเป็นตุ่มน้ำใส ภายใน 2-3 ชั่วโมง และกลายเป็นสะเก็ดภายใน 3-4 วัน หลังจากนั้น จะค่อยๆ หลุดหายไป กลายเป็นจุดด่างดำ และรอยแผลเป็น รวมทั้งผู้ป่วยเป็นโรค อีสุกอีใสสามารถเกิดโรคแทรกซ้อนได้ อาทิ โรคปอดบวม โรคสมองอักเสบ

" โรคอีสุกอีใส สามารถติดต่อได้ง่ายด้วยการสัมผัสจากละอองน้ำมูก น้ำลาย น้ำเลือด น้ำหนองจากบาดแผล หรือติดต่อโดย ผ่านสิ่งของเครื่องใช้ ระยะการแพร่เชื้อไวรัสอีสุกอีใสนั้น จะทำการแพร่อย่างรวดเร็ว ก่อนการเกิดผื่นอีสุกอีใส 5 วัน ดังนั้นหากสมาชิกในบ้านเป็นโรคอีสุกอีใส ควรแยกจากผู้อื่นเป็นเวลา 10-12 วัน " พญ.เบญจมาศ กล่าวทิ้งท้าย

แนะสตรีวัยทองหมั่นดูแลสุขภาพ

แนะสตรีวัยทองหมั่นดูแลสุขภาพ

ควรเน้นกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัยทอง แนะสตรีควรรับประทานอาหารแคลเซียมสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อสะสมเนื้อกระดูกให้หนาแข็งแรง ลดปัญหากระดูกบาง พรุนและผุง่าย เตือนอย่ากินฮอร์โมนตามคำบอกเล่าของเพื่อนควรพบแพทย์ก่อน การกินฮอร์โมนติดต่อกันเป็นเวลา นานตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปเพิ่มความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งสูง

ศ.พ.ญ.คุณหญิงกอบจิตต์ ลิมปพยอม ประธานชมรมวิชาการทางสตรีวัยหมดระดู แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้สตรีวัยทองมีจำนวนมากขึ้น เพราะสตรีอายุยืนยาวขึ้น คาดว่าไทยมีสตรีวัยทองร้อยละ 14 ของประชากรหรือประมาณกว่า 8.5 ล้านคน

จากการศึกษาพบว่า ปัญหาของ สตรีวัยทองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ ตั้งแต่วัยเด็กต่อเนื่องมาจนถึงวัยหมดประจำเดือน เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ เมื่อรังไข่หยุดผลิต ฮอร์โมนเอสโตรเจน สตรีบางรายมีอาการรุนแรงกระทบต่อการใช้ชีวิต วัยทองมิได้หมายความถึงเฉพาะสตรีที่หมดระดูเท่านั้น หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไป เริ่มมีการเสื่อมถอยของการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนในรังไข่แล้ว

" การป้องกันปัญหาในวัยทอง เราต้องเริ่มมาตั้งแต่วัยเด็ก ผู้หญิงได้รับอาหารมีแคลเซี่ยมสะสมไว้ บำรุงกระดูกให้แข็งและหนาไว้ ปัญหาที่แสดงออกเมื่อเข้าสู่วัยทองเป็นผลมาตั้งแต่เด็ก เป็นต้นว่า วัยเด็กไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่กินอาหารที่ถูกต้อง เด็กคนนั้นจะกระดูกบาง ไม่แข็งแรง เมื่อโตมากระดูกก็ไม่แข็งแรง กระดูกบาง พรุนหรือผุง่ายเมื่อหมดระดู พวกนม ปลาเล็กปลาน้อย กะปิ ผักใบเขียวเข้ม มีแคลเซียมสูง "

ศ.พ.ญ.คุณหญิงกอบจิตต์ กล่าวด้วยว่า จากการทำวิจัยสภาพกระดูกของหญิงไทย เก็บกลุ่มตัวอย่างจากทุกภาค พบว่า หญิงไทยมีกระดูกหนาที่สุดช่วงอายุ 30 ปี ต่างจากสตรีตะวันตก ที่กระดูกหนาที่สุดเมื่ออายุ 40 ปี ความต่างตรงนี้พอสตรีไทยอายุ 30 ปี กระดูกเริ่มบาง แต่ยังไม่หมดประจำเดือน ยิ่งเมื่อหมดประจำเดือนกระดูกยิ่งบาง หากกระดูกสันหลังหรือข้อสะโพกบาง มีความเสี่ยง สูงที่จะหลังโก่ง ข้อสะโพกหัก กลายเป็นคนทุพพลภาพ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ขาดคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่อย่างทุกทรมาน

สำหรับการดูแลสุขภาพเตรียมรับวัยทองให้มีความสุขนั้น อยากแนะว่า ควรรับประทานอาหารให้ถูกหลัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เมื่อเข้าวัยกลางคนควรลดอาหารไขมันสูง เพราะร่างกายเผาผลาญได้น้อยลง เกิดการสะสมในเส้นเลือด ซึ่งสภาวะเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในวันสองวัน แต่ค่อยสะสมเรื่อยๆ เกิดภาวะเส้นเลือดตีบ แตกหรือตันได้ จึงต้องเตรียมตัวรับกับวัยทองตั้งแต่ยังเด็ก

ส่วนการรับประทานฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง แนะว่า ควรพบแพทย์ตรวจอาการ เพราะบางคนไม่จำเป็นต้องกินฮอร์โมน อย่ากินฮอร์โมนตามคำบอกเล่าหรือกินตามเพื่อน

ตามหลักฐานทางการแพทย์ หาก ให้ฮอร์โมนในหญิงวัยทองเป็นเวลาประมาณ 15 ปี มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม แพทย์ควรแจ้งคนไข้ว่า มีโอกาสเป็นมะเร็งมากน้อยอย่างไร ไม่ควรยืนยันว่า ไม่เป็นมะเร็ง และพบว่าคนที่ไม่กินฮอร์โมนทดแทนป่วยเป็นมะเร็งเต้านมก็มี

" ฮอร์โมนทดแทนในหญิงหมดประจำเดือนเป็นตัวกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ ถ้ามีเนื้อเยื่อที่เป็นมะเร็งอยู่แล้วจะกระตุ้นให้เกิดการแบ่งเซลล์จน กลายเป็นมะเร็ง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกเนื้อเยื่อ อยากให้เข้าใจ ดิฉันจะแจ้งคนไข้ด้วยข้อมูลที่เป็นจริงที่มีอยู่ กินฮอร์โมนไปแล้ว 15 ปี โอกาสเพิ่ม ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งมีมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะเป็นมะเร็ง "

ศ.พ.ญ.คุณหญิงกอบจิตต์ แนะนำทิ้งท้ายว่า สตรีวัยทองควรตรวจมะเร็งปากมดลูก ตรวจการเผาผลาญของน้ำตาลและไขมัน การทำงานของตับ หมั่นสังเกตอาการ ถ้ามีอาการร้อนวูบวาบ ควรพบแพทย์เนื่องจากมี ยารักษาอาการเหล่านี้แล้ว รู้วิธีคลำเต้านม เป็นการคัดกรอง มะเร็งเต้านมด้วยตนเอง