
เฉินตู้สิว
ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือ เฉินตู้สิว คณบดีคณะอักษรศาสตร์กับลีต้าเจา อาจารย์ประวัติศาสตร์ ทั้งคู่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ระยะนั้นแม้จะมีคนสนใจปรัชญาตะวันตกกันมากก็ตาม แต่ที่น่าแปลกใจคือแนวคิดของ มาร์กซ ไม่เคยมีใครนำมาพูดถึงเลย ทุกคนเชื่อมั่นในความคิดแบบประชาธิปไตยตะวันตกมาก ว่าจะเป็นทางรอดของจีน เฉินตู้สิวก็เช่นกัน เขามีความศรัทธาในปรัชญาตะวันตกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดที่เกี่ยวกับประชาธิปไตย และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ตะวันตก
ในปี ค.ศ. 1915 เฉินได้ออกวารสาร คนหนุ่มรุ่นใหม่ เพื่อกระตุ้นนักศึกษาให้ตระหนักถึงปัญหาของประเทศ และทางรอดของประเทศอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงให้ทันโลก บทบรรณาธิการฉบับแรกกล่าวว่า "ภาระกิจของคนรุ่นใหม่ คือการต่อสู้เพื่อล้มล้างความเชื่อและประเพณีเก่าๆ รวมทั้งลัทธิขงจื๊อ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคตามความคิดแบบใหม่และความก้าวหน้า จะต้องเลิกระบบการศึกษาและการเรียนแบบเก่า แล้วสร้างสังคมใหม่ บนพื้นฐานของประชาธิปไตยและวิทยาศาสตร์"
ลีต้าเจา

ความคิดของเฉิน ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดแบบประชาธิปไตย "เสรีนิยมแบบแมนเชสเตอร์" เขามองปัญหาความล้าหลังและความเสื่อมโทรมของจีน โดยเปรียบเทียบกับตะวันตก เขาเห็นว่าสาเหตุอยู่ที่ระบบการปกครองของจีนไม่เป็นประชาธิปไตยแบบฝรั่ง รวมทั้งขาดการค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ ในยุคแรกของคนหนุ่มรุ่นใหม่ เขาจึงนำความคิดใหม่ๆ มาเสนอตลอดเวลา อาทิ บทแปลของ อดัม สมิท นอทเช่ มิลล์ ตอลสลอย ฮักซเลย์ ดาร์วิน และสเปนเซอร์ แต่ขณะนั้นยังไม่มีใครเขียนถึงมาร์กซ

ชูหยวน
ส่วนลีต้าเจานั้น เป็นนักประวัติศาสตร์และนักอภิปรัชญา ลีได้อิทธิพลทางปรัชญามาจากเอมเมอร์สันและเฮเกล มีผู้กล่าวว่าลีไม่ได้รับอิทธิพลจากเฮเกล แต่เป็นแบร์กซองมากกว่า แต่ลียังคงศรัทธาเชื่อมั่นคำสอนเดิมของจีนอยู่ ความคิดของเขาจึงปรากฎออกมาในรูปของการผสมผสาน ระหว่างตะวันตกกับตะวันออก ระหว่างศาสนาพุทธกับความคิดของ ชูหยวน เอมเมอร์สันและเฮเกล ความคิดดังกล่าวนี้ เขาได้ถ่ายทอดลงในบทความสองบทชื่อ คนหนุ่ม และปัจจุบัน
ในระยะที่ลีเชื่อในการเปลี่ยนแปลงแบบปฎิรูป เขากล่าวว่า ปัจจุบันเป็นอนาคตของอดีต และเป็นพื้นฐานของความก้าวหน้าในอนาคต การเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอนเป็นไปตามกฎของโลก เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของจิตโลก ที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสมบรูณ์ในอนาคต บทความ คนหนุ่ม ของเขาได้เน้นให้คนหนุ่มตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นหนุ่ม ที่จะเป็นพื้นฐานสำหรับสร้างอนาคตและต้องลงมือทำ
จากความผันผวนทางการเมืองของจีน ตั้งแต่ราชวงศ์แมนจูจนถึงสมัยสาธารณรัฐ การแพ้สงครามต่อประเทศตะวันตกและญี่ปุ่น จนถูกปฎิบัติราวกับเป็นเมืองขึ้น มีผลกระตุ้นให้ลีศึกษาการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เขาสรุปว่า ความเสื่อมโทรมทั้งหลายนี้ เป็นผลมาจากความเสื่อมภายในประเทศจีนเอง อารยธรรมจีนอันรุ่งเรืองได้ตายเสียแล้ว เหลือแต่ซากความยิ่งใหญ่ในอดีต ที่กับเป็นอุปสรรค์ต่อความก้าวหน้าของจีน เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งลีและเฉิน เมื่อศึกษาถึงความล้มเหลวของจีนแล้ว แทนที่จะเห็นว่าเป็นผลการกระทำของคนภายนอกกลับโทษตนเอง ในข้อที่ไม่เจริญทัดเทียบคนอื่น ในขณะเดียวกันก็เริ่มมองไปที่ตะวันตก ว่าเป็นทางรอดของจีนในอนาคต
หลังจากสถาปนาจีนเป็นสาธารณรัฐได้ไม่นาน ความหวังของเฉินและลี ที่จะได้เห็นจีนก้าวหน้าไปเป็นประชาธิปไตย และเจริญทัดเทียบนานาประเทศก็พังทลาย เมื่อซุนยัดเซน ไม่สามารถรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวได้ หลังจาก หยวนซีไขตายก็เกิดแย่งอำนาจกัน ในเวลาเดียวกันประเทศตะวันตกก็ยังคงยื้อแย่งผลประโยชน์ในเมืองจีน และจุดชนวนสำคัญคือ ข้อเรียกร้องของญี่ปุ่น 21 ประการ
ก่อนหน้านี้เมื่อจีนร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 เฉินมีความหวังว่าฝ่ายพันธมิตร คงจะช่วยป้องกันผลประโยชน์ของจีน แต่เมื่อประชุมกันที่แวร์ซายส์ เหตุการณ์กับตรงข้าม ที่ประชุมกลับมีมติให้ยกกกรมสิทธิ์เหนือซานตุงให้แก่ญี่ปุ่น ซึ่งประเด็นนี้เป็นชนวนสำคัญ ที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดแบบนิยมตะวันตกไปสู่แนวตรงข้าม
ในช่วงเวลานี้เอง พรรคบอลเชวิคได้รับชัยชนะในการปฎิวัติรัสเซีย ทฤษฎีการปฎิวัติรวมทั้งแนวคิดเกี่ยวกับประเทศด้อยพัฒนาเริ่มแพร่หลายออกไป ไม่มีใครคิดมาก่อนว่า ประเทศด้อยการพัฒนาทางอุตสาหกรรมจะสามารถปฎิวัติได้สำเร็จ โดยเฉพาะทฤษฎีของมาร์กซ ซึ่งทำนายถึงการปฎิวัติของชนชั้นกรรมาชีพในประเทศอุตสาหกรรม ก็ไม่ได้คิดถึงพลังของชาวนา เพราะเชื่อว่าเป็นไปได้ยากที่จะนำคนเหล่านี้ไปปฎิวัติ ลีต้าเจาเป็นคนแรกที่ได้รับความคิดของเลนิน เขาเริ่มให้ความสนใจ ประกอบกับมีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์และปรัชญาเฮเกลอยู่แล้ว เขาจึงสามารถเข้าใจลัทธิมาร์ก-เลนิน ได้รวดเร็วกว่าคนอื่น เขาเขียนบทความสดุดีการปฎิวัติในรัสเซียเรื่อง "ชัยชนะของบอลเชวิค" โดยใช้ปรัชญาเฮเกลมาอธิบายว่า ชัยชนะของบอลเชวิคเป็นชัยชนะของทุกๆคน และเป็นขั้นหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงไปสู่จิตโลก แม้แต่ซุนยัดเซนเองก็ยังยอมรับ และยกย่องในความคิดความสามารถของเลนิน
ใน ค.ศ. 1918 ลีต้าเจาได้จัดตั้งสมาคมเพื่อการศึกษาลัทธิมาร์กซ์ ในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง สมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาของเขาทั้งสิ้น ยกเว้นคนเดียวคือ เมาเซตุง ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงผู้ช่วยบรรณารักษ์ห้องสมุด ดูแลหนังสือพิมพ์และเอกสารอื่นๆ สมาชิกเริ่มแรกมีเพียงไม่กี่คน ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นตัวจักรสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งหมด การศึกษาลัทธิมาร์กซ์ของกลุ่มนี้เป็นไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครให้ความสนใจมาก วิธีการศึกษาเป็นไปในรูปแบบของการวิจารณ์ลัทธิเป็นส่วนใหญ่ ดูราวกับว่าทุกคนต่างต้องการโจมตีมาร์กซ์มากกว่าที่จะยอมรับ และคนพวกนี้เองที่เป็นต้นกำเนินคอมมิวนิสต์จีน
แท้ที่จริงแล้ว การโต้แย้งนี้เองกลับทำให้ความเข้าใจในลัทธิมาร์กซ์มากขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งแตกต่างไปจากสมัยแรกรู้จักปรัชญาตะวันตกที่ยอมรับโดยไม่ข้องใจ การดัดแปลงให้เข้ากับสถานการณ์ในจีน จึงไม่มีใครนึกถึง และเป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งของความล้มเหลวในทางการเมือง
ซุนยัดเซน