แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พรรคคอมมิวนิสต์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พรรคคอมมิวนิสต์ แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

"พรรคคอมมิวนิสต์ไทย"


จับสัญญาณฟื้น"พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย"


วิเคราะห์สถานการณ์

·· จริง ๆ แล้วขณะนี้ พรรคการเมืองทางเลือก กำลังเริ่มต้นก่อตัวขึ้นหลากทางหลายที่มา “เซี่ยงเส้าหลง” ได้ยินมาว่านอกจาก พรรคมหาชน และ พรรคทางเลือกที่สาม – The Third Alternative Party (ที่ยึดแนวทาง ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์) แล้วยังมี การเคลื่อนไหว ของ ผู้ปฏิบัติงานมวลชน-งานการเมือง ที่มีฐานการทำงานอยู่ใน ภาคอีสาน ก่อตัวขึ้นมา 2 – 3 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งทำงานทางด้าน สหกรณ์การเกษตร ริเริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองชื่อ พรรคประชาชนไทย อีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจมากก็คือสมาชิกและผู้ปฏิบัติงานของ พคท. – พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ริเริ่มเรียกร้องให้มีการจัดประชุม สมัชชาพรรคครั้งที่ 5 ขึ้นมาเพื่อ ปรับองค์กร, ปรับบุคลากร และ กำหนดยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งถ้า สำเร็จ ในระยะเวลาจากนี้ไปไม่นานเราอาจได้เห็น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในสถานการณ์ใหม่ ที่ล้มเลิกยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีเดิม ยึดอำนาจรัฐโดยใช้กำลังอาวุธโดยหนทางชนบทล้อมเมือง มาเป็นยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีใหม่ที่รวม การสมัครรับเลือกตั้งในระบบรัฐสภา ด้วยก็เป็นได้

·· หากไม่ติดยึดแต่ กรอบกฎหมาย ของ พระราชบัญญัติพรรคการเมืองฉบับต่าง ๆ, รัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆแล้วก็ต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยก็คือ พคท. – พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ก่อตั้งเมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม 2485 นับจนถึงวันนี้เกือบ ๆ จะ 62 ปีเต็ม แล้ว

·· ถือว่าเก่าแก่กว่า พรรคประชาธิปัตย์ ที่ก่อตั้งเป็นทางการเมื่อ วันที่ 6 เมษายน 2489 อยู่ถึง 4 ปี ทีเดียว

·· ฐานภาพของ พคท. – พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย วันนี้แม้จะไม่ถือว่าเป็น พรรคการเมืองตามกฎหมาย เพราะไม่ได้ จดทะเบียน แต่ถือได้ว่าเป็น พรรคการเมืองในทางปฏิบัติ ที่มี อุดมการณ์ชัดเจน คือดำเนินตาม ลัทธิมาร์กซ์, ลัทธิเลนิน และ ความคิดเหมาเจ๋อตง ที่สำคัญคือนับแต่ ปี 2543 เป็นต้นมาที่มีการยกเลิก พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476 ฐานภาพการรวมตัวกันในลักษณะนี้ ไม่ผิดกฎหมาย อันที่จริงในอดีตสมัย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศไทยยกเลิกพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวช่วงสั้น ๆ เพื่อเอาใจ สหภาพโซเวียต หนึ่งใน แกนนำ ของ สหประชาชาติ ก็ได้ทำให้ สภาผู้แทนราษฎร ของเราในสมัยนั้นมีสมาชิกที่ สังกัดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มาแล้ว 1 คน คือ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร จาก สุราษฎร์ธานี เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกหากในอนาคตจะมี ส.ส.พรรคคอมมิวนิสต์ ขึ้นมาสัก จำนวนหนึ่ง ขณะนี้แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปแต่ผู้คนตั้งแต่ระดับปัญญาชนลงไปจนถึงระดับรากหญ้าจำนวนไม่น้อยที่ยัง คิดถึง การรื้อฟื้น พคท. – พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ขึ้นมาให้เป็น ทางเลือกใหม่ของสังคมไทย ในอนาคตอันใกล้นี้

·· ฐานภาพของ พคท. – พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย วันนี้มี ธง แจ่มศรี (ในชั้นต้นใช้นาม ประชา ธัญญไพบูลย์) ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการพรรค ล่าสุดก็อย่างที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เคยแจ้งให้ทราบแล้วว่า ผู้เฒ่าวัย 83 ที่เคยอยู่อย่าง ปิด เริ่ม เปิด ชนิดน่าจับตาตั้งแต่มาร่วมงาน เพลงปฏิวัติ กระทั่งล่าสุดให้สัมภาษณ์พิเศษนิตยสารรายเดือน สารคดี ยาวเหยียด

·· อันที่จริงก่อนหน้านี้ตั้งแต่ ปี 2522 ที่เลขาธิการพรรคคนก่อนหน้าคือ เจริญ วรรณงาม (ในนาม มิตร สมานันท์) มีอันต้อง ถึงแก่กรรม ก็เป็น ธง แจ่มศรี ที่ รักษาการเลขาธิการพรรค แต่มาได้เป็น เลขาธิการพรรค ก็ต่อเมื่อ ปี 2525 นี่เอง

·· การหายหน้าหายตาไปของ พคท. – พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มองในมุมหนึ่งเป็นเพราะ แพ้ทางการเมือง ต่อ แนวทางการเมืองนำการทหาร ที่รัฐบาลไทยนำมาใช้ตั้งแต่ยุคสมัย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์, พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตั้งแต่ประมาณ ปี 2522 – 2523 แต่มองจากอีกมุมหนึ่งแล้วเกิดจาก ความขัดแย้งภายในพรรค ที่สะท้อนมาจาก ความขัดแย้งในขบวนคอมมิวนิสต์สากล จุดระเบิดเกิดขึ้นในการประชุม สมัชชาพรรคครั้งที่ 4 เมื่อ ปี 2525 ที่ไม่สามารถตกลงกันได้ตั้งแต่ขั้นตอน วิเคราะห์สังคมไทย ว่ามีสภาพตัวจริงเป็นอย่างไรกันแน่ระหว่างบทวิเคราะห์เดิม ๆ ที่ท่องกันมาเป็น สูตรสำเร็จ ว่าสังคมไทยคือ กึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาฯ กับแนววิเคราะห์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นว่าสังคมไทยคือ ทุนนิยมกึ่งเมืองขึ้นฯ (ที่มี ฯ ต่อท้ายด้วยก็เพราะประโยคเต็ม ๆ ของทั้ง 2 บทวิเคราะห์คือ กึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา – ที่ปัจจัยทุนนิยมเพิ่มมากขึ้น กับ ทุนนิยมกึ่งเมืองขึ้น – ที่ศักดินาดำรงอยู่) เสียงโหวตขณะนั้นแพ้ชนะกัน ก้ำกึ่ง แต่ศูนย์กลางการนำของพรรคโอนเอนไปทาง กึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาฯ ซึ่งเป็นแนวทางการวิเคราะห์ที่ประยุกต์มาจาก จีน ที่เคยวิเคราะห์ สังคมจีนยุคก่อนการปฏิวัติ และผู้นำรุ่นแรก ๆ ของพรรคก็มาจาก พคจ. – พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็น ลูกจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิรัช อังคถาวร หรือ สหายธาร หรือชื่อจีนว่า จางหย่วน ที่กุมการนำในพรรคมาก่อนหน้า ปี 2525 พรรคแก้ปัญหาด้วยการให้คนกลางที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายอย่าง ธง แจ่มศรี ขึ้นมาเป็น เลขาธิการพรรค จากนั้นบทบาทของ วิรัช อังคถาวร ก็ลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเขาเดินทางจากประเทศไทยไป รักษาอาการป่วย ที่ จีน ตั้งแต่ ปี 2526 และพำนักอยู่ยาวนานจน ถึงแก่กรรม เมื่อ ปี 2540 นี่เอง

·· สมาชิกพรรคที่มีบทบาทสนับสนุนแนวทางวิเคราะห์สังคมไทยใหม่เป็น ทุนนิยมกึ่งเมืองขึ้นฯ มาจาก ภาคอีสาน แกนนำสำคัญคือ ลุงสม – อุดม ศรีสุวรรณ กับ ลุงปรีดา – วินัย เพิ่มพูนทรัพย์ โดยมีพันธมิตรเป็น คนรุ่น 14 ตุลา ที่เป็น นายแพทย์คนหนึ่ง มีบทบาทอยู่ใน องค์กรประชาธิปไตย มาตั้งแต่ ปี 2535 จนกระทั่งปัจจุบัน

·· ปัจจุบัน ธง แจ่มศรี สามัคคีกับ กลุ่มภาคอีสาน ที่มี พลังนำทางปัญญา ในปัจจุบันอยู่ที่ ลุงปรีดา – วินัย เพิ่มพูนทรัพย์ ทำให้สามารถสร้างเอกภาพได้ในหมู่สมาชิกและผู้ปฏิบัติงาน ส่วนใหญ่ของภาคอีสาน แต่ยังไม่สามารถเจาะฐาน กทม., ภาคเหนือ ที่ยังคงยึดถือการนำเดิมของ วิรัช อังคถาวร ได้

·· เพราะแม้ วิรัช อังคถาวร จะ ออกจากประเทศไทย ไปหลายปีจนกระทั่งถึงแก่กรรมไปแล้วแต่ ภรรยา คือ ป้าพึ่ง – สมพร อังคถาวร ยังคงอยู่ในประเทศไทยและ เคลื่อนไหวไม่ขาดสาย โดยมีพันธมิตรเป็น คนรุ่น 14 ตุลาคู่หนึ่ง ที่ถือว่าเป็น ปัญญาชนที่มีความสามารถสูง ฝ่ายชายเคยเข้าไปมีบทบาทใน องค์กรอิสระ และมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร, พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ฝ่ายหญิงเป็น อาจารย์สถาบันการศึกษาเอกชน ช่วงปีที่ผ่านมาเกิด ข่าวลือ ในวงการภายในทำนองว่าฝ่ายชายกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็น เลขาธิการพรรค เชื่อว่าน่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ ธง แจ่มศรี ต้อง เริ่มเปิดตัว ล่าสุดก็เป็นสมาชิกและผู้ปฏิบัติงานในเครือข่ายของ ป้าพึ่ง – สมพร อังคถาวร นี่แหละที่เรียกร้องให้เปิดประชุม สมัชชาพรรคครั้งที่ 5 ขึ้นมา

·· ไม่ใช่เพียงเครือข่ายสายของ ป้าพึ่ง – สมพร อังคถาวร (เห็นการเคลื่อนไหวชัดเจนที่ ชุมพร และที่ น่าน) เท่านั้นที่เรียกร้องให้เปิดประชุม สมัชชาพรรคครั้งที่ 5 ยังมี สายอีสานบางส่วน ที่ต้องการ ความชัดเจน จาก ผู้นำรุ่นอาวุโส อีกด้วยว่าจะมีท่าทีอย่างไร

·· อันที่จริง ธง แจ่มศรี ในวัย 83 ปี ก็มีท่าทีว่าจะ หยุดการเคลื่อนไหว, ถอดหัวโขน แต่อยู่ระหว่างหาหนทางดีที่สุดใน การส่งมอบอำนาจ แต่ติดปัญหาที่พันธมิตรสำคัญที่เป็น นายแพทย์ คนนั้นโดยรวมแล้ว ไม่ได้รับการยอมรับ เล่ากันว่าลึก ๆ แล้วแม้แต่ ลุงปรีดา – วินัย เพิ่มพูนทรัพย์ ก็ ไม่ยอมรับ แต่จะด้วยปัญหาใดนั้น “เซี่ยงเส้าหลง” เป็น คนนอก ยากจะรู้ได้

·· จากการให้สัมภาษณ์ของ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อาจารย์ประจำ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา ต่อ เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่กำลังวางแผงอยู่นี้มีข้อมูลน่าสนใจว่าเมื่อ วันที่ 25 กรกฎาคม 2547 ใน กทม. มีการชุมนุมสมาชิกและผู้ปฏิบัติงานของ พคท. – พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ถึง กว่า 200 คน ในงาน ขึ้นบ้านใหม่ผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ส่วนใหญ่ต้องการให้เปิดประชุม สมัชชาพรรคครั้งที่ 5 และแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปก็คือ พคท. – พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในอนาคตไม่ว่าจะใน ชื่อเดิม หรือ ชื่อใหม่ น่าจะเป็น พรรคเปิด, พรรคบนดิน ไม่ใช่ พรรคปิด, พรรคใต้ดิน และมีโอกาสจะเป็น พรรคทางเลือก ได้อีกพรรคหนึ่ง

·· แต่ก่อนจะมี สมัชชาพรรคครั้งที่ 5 ขณะนี้สมาชิกและผู้ปฏิบัติงานส่วนหนึ่งใน ภาคอีสาน ก็เคลื่อนไหวในนามที่รู้จักกันว่า พรรคปลดหนี้ และเริ่มเข้าไปเป็น ฐานกำลัง ให้กับ พรรคมหาชน ที่เชื่อกันว่าจะ ชิงที่นั่งในภาคอีสาน ได้ หลายที่ เหมือนกัน

·· อันที่จริง พรรคมหาชน นี่ก็ แปลก ส่วนหัวเป็นการผสมผสานระหว่าง เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์, วัฒนา อัศวเหม, นพดล ธรรมวัฒนะ และ ฯลฯ ที่ดูภายนอกแล้ว ชื่อเสียงไม่ดี แต่ในส่วนของ ผู้ปฏิบัติงานมวลชน กลับมีจำนวนหนึ่งที่มาจากเครือข่ายของ พคท. – พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และแม้แต่แนวนโยบาย รัฐสวัสดิการก้าวหน้า ก็เป็นการประยุกต์แนวทาง สังคมนิยม ที่ร่วมคิดร่วมเสนอแนะโดย ปัญญาชนที่มีความสามารถสูง พันธมิตรหลักของ ป้าพึ่ง – สมพร อังคถาวร หรือแม้แต่คนที่มีภาพ เจ้าพ่อ อย่าง วัฒนา อัศวเหม คนทำงานพื้นฐานให้เขาส่วนสำคัญส่วนหนึ่งก็มาจากสมาชิกและผู้ปฏิบัติงานเก่าของ พคท. – พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เรื่องนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ได้ยินมาว่าแม้แต่ นักทฤษฎีคนสำคัญในอดีต เจ้าของนาม ชาญ กรัสนัยปุระ ก็อยู่ในเครือข่ายนี้โดยทำหน้าที่ ดูแลธุรกิจ ในเขตเมือง คุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้

·· แท้จริงแล้ววัฒนา อัศวเหม สมัครสมานสามัคคีมานานกับ สังข์ พัธโนทัย (บิดาของ ดร.มั่น พัธโนทัย) ผู้เป็น มิตรสนิท ของ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในยุคเริ่มต้นก่อตั้งระบอบใหม่

·· ถ้ามีการเปิดประชุม สมัชชาพรรคครั้งที่ 5 ขึ้นมาก่อนจะไปถึงเรื่อง กรรมการชุดใหม่, เลขาธิการคนใหม่, ยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีชุดใหม่ ที่น่าจับตาเป็นปฐมคือ การวิเคราะห์สังคมไทย ที่ค้างคามาแต่ ปี 2525 ที่ยังตกลงกันไม่เป็นเอกฉันท์ว่ายังคงเป็น กึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา – ที่ปัจจัยทุนนิยมเพิ่มมากขึ้น หรือพัฒนาขึ้นมาเป็น ทุนนิยมกึ่งเมืองขึ้น – ที่ศักดินาดำรงอยู่ จนถึง ปี 2547 ที่มี ทักษิโณมิค แล้วจะ ลงเอย อย่างไร

·· อาจจะมองเห็นว่า ไร้ความหมาย สำหรับการเคลื่อนไหวฟื้นตัวของ พคท. – พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เรื่องนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ยอมรับว่า จริง หากพิจารณาเฉพาะ สถานการณ์ปัจจุบัน ที่ยังคงอยู่ใน กระแสสูง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ พรรคไทยรักไทย แต่หากมอง ระยะยาว ไปถึง ยุคหลังทักษิณ-ไทยรักไทย ที่อาจจะเป็น 4 ปีข้างหน้า หรือ 2 – 3 ปีข้างหน้า หรือ ระยะยาวกว่า ไปถึง ยุควิกฤตสังคมไทย ที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะ การเปลี่ยนแปลงบางประการในช่วง 10 ปีขึ้นไป ก็ต้องถือว่านี่เป็น ฐานกำลังที่น่าพิจารณาและ สมัชชาพรรคครั้งที่ 5 จะเป็น จุดเริ่มต้น ของบางสิ่งบางอย่าง

กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์จีน




การกบถและความวุ่นวายต่างๆ เกิดมากขึ้นตามเมืองต่างๆของจีน ผู้ก่อการร้ายเกิดขึ้นทั่วไป ในปักกิ่งมีการรวมกลุ่มของคนงานบ้าง แต่ยังไม่หนาแน่น ทางด้านการศึกษามีการประชุมถกเถียงกันถึงสถานการณ์ และความเป็นไปต่างๆ ทั้งของจีนและประชาคมโลก ยิ่งนานวันทุกคนก็ยิ่งคิดถึงความมั่นคงของตน ระยะนี้ปัญญาชนจีนที่กลับจากต่างประเทศก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น การรวมตัวของกลุ่มนักศึกษาก็มีมากขึ้น
จนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1919 อันเป็นวันครบรอบปีที่ 4 ของการยอมรับข้อเรียกร้อง 21 ประการ ของญี่ปุ่น ซึ่งทุกคนถือว่าเป็นวันแห่งการสูญเสีย ในวันนั้นมีข่าวออกมาว่า ที่ประชุมพันธมิตรที่แวร์ซายส์ ได้ตกลงยกกรรมสิทธิ์เหนือซานตุง ซึ่งเป็นของจีนแต่ถูกเยอรมันยึดครองกรรมสิทธิ์ ไปให้แก่ญี่ปุ่น แทนที่จะคืนให้จีน ข่าวนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่คนทั่วไป เพราะเชื่อว่าเป็นแผนของญี่ปุ่นที่จะยึดครองจีน โดยมีมหาอำนาจหนุนหลัง ประกอบกับมีรัฐมนตรี 3 นายของจีนเป็นผู้เห็นด้วย และเซ็นรับข้อตกลงนี้ การประท้วงจึงเกิขึ้นในปีกกิ่งทันที
เฉินตู้สิว เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนการประท้วงครั้งนี้ เขาเรียกร้องให้นักศึกษารวมกลุ่มต่อสู้ โดยพูดว่า
"...สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะพูด และพูดด้วยน้ำตาก็คือความหวังที่ว่า นักศึกษาที่ยังหนุ่มแน่นจะมีความสำนึกในตนเอง และพร้อมที่จะต่อสู้ ความสำนึกในตนเองหมายความว่า จะต้องตระหนักถึงพลังและความรับผิดชอบกับเคารพในความเป็นหนุ่มของท่าน ทำไมท่านต้องต่อสู้ เพราะว่าท่านจำเป็นต้องใช้สติปัญญาที่มีอยู่กำจัดคนที่กำลังร่วงโรย ทั้งร่างกายและสติปัญญาให้หมดสิ้นไป จงถือเสมือนหนึ่งว่าพวกนี้เป็นศัตรูของท่าน อย่าติดต่อหรือยอมให้คนพวกนี้มีอิทธิพลใดๆ เหนือท่านอีกต่อไป....
โอ้ คนหนุ่มของจีน ท่านเข้าใจข้าพเจ้าหรือไม่ 5 ใน 10 คน ที่ข้าพเจ้าเห็นล้วนเป็นหนุ่มแต่อายุ ส่วนความคิดและจิตใจนั้นแก่ 9 ใน 10 คน เป็นคนหนุ่มแต่ร่างกาย แต่แก่ในจิตใจ เมื่อความแก่ปรากฎแก่ร่างกาย ร่างกายก็ร่วงโรย เมื่อความแก่ปรากฎแก่สังคม สังคมนั้นก็เสื่อมโทรม การรักษาจะกระทำได้ก็โดยการอาศัยคนที่ยังหนุ่ม และความกล้าหาญเท่านั้น ถ้าเราต้องการอยู่รอดต่อไป เราต้องมีแต่คนหนุ่ม ถ้าเราต้องการกำจัดคอรัปชั้น เราต้องมีคนหนุ่ม และนี่เองคือความหวังของสังคม.."
ขบวนการ 2 พฤษภา ได้เริ่มขึ้นแล้ว นักศึกษา 5000 คนจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ได้ร่วมกันตั้งคณะกรรมการ เรียกร้องให้นักศึกษาในที่ต่างๆ มาร่วมมือกัน ในที่สุดก็มีสภานักศึกษาสำหรับวางแผนและปฎิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบาย จุดหมายสำคัญคือโค่นรัฐบาล ซึ่งมีรัฐมนตรีที่นิยมญี่ปุ่นอยู่
นักศึกษาประมาณ 10000 คน ได้ไปชุมนุมกันที่ "ประตูสวรรค์สันติ" หน้าพระราชวังฤดูร้อน และตกลงเดินขบวนไปขอความช่วยเหลือจากทูตมหาอำนาจ ประเทศแรกที่นักศึกษาเดินไปหาคืออเมริกา แต่ถูกปฎิเสธ โดยอ้างว่าวันอาทิตย์ไม่ควรมาปรึกษากิจการงาน ความหวังในสันติวิธีดูจะไม่เป็นผล ขบวนนักศึกษาจึงเดินไปบ้านรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ด้วยรู้ว่า 3 รัฐมนตรีที่นิยมญี่ปุ่นหลบซ่อนอยู่ โดยมีกำลังทหารตำรวจสกัดกั้นอยู่หน้าประตู นักศึกษาจึงระดมขว้างปาด้วยก้อนหิน เมื่อตำรวจใช้ปืนยิง นักศึกษาจึงล่าถอยไปที่มหาวิทยาลัย ปรากฎว่ามีผู้ถูกจับไป 32 คน นักศึกษาได้เตรียมเดินขบวนบุกโรงพักตำรวจอีกถ้าไม่ปล่อยพวกที่ถูกจับไป ในที่สุดตำรวจก็ยอมปล่อย และนี่เองที่เป็นอาวุธสำคัญของนักศึกษา สำหรับใช้ต่อรองกับรัฐบาล
ต่อมาสภานักศึกษาได้ประกาศหยุดงาน ร้านค้าในปีกกิ่งปิดหมด คนงานรถไฟก็หยุดทำงาน และต่อมาคนงานในโรงงานต่างๆในปักกิ่ง ก็เริ่มหยุดงานบ้าง แล้วขยายไปเทียนสิน เซี่ยงไฮ้ นานกิง และฮันเค้า ในที่สุดรัฐบาลซึ่งประกาศจะใช้กำลังทหารเข้าจัดการกับนักศึกษาก็ยอมรับข้อเสนอ แต่ปรากฎว่ารัฐนมตรีทั้ง 3 คนได้หลบหนีไปญี่ปุ่นเสียก่อน
ขบวนการ 4 พฤษภา เป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือระหว่างปัญญาชนกับกรรมกร และแสดงให้เห็นถึงพลังของการรวมตัวในความเชื่อร่วมกัน การปฎิบัติงานอย่างมีแบบแผนเป็นความสำเร็จอันดับแรกของเฉินตู้สิว ก่อนที่เขาจะก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ ร่วมกับลีต้าเจา
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ความคิดและความเชื่อเดิมของเฉินก็เริ่มสั่นคลอน ประชาธิปไตยและวิทยาศาสตร์ดูจะห่างไกลความจริง เมื่อดิวอี้มาบรรยายเรื่อง "ปรัชญาสังคมและการเมือง" และแสดงโครงสร้างของปรัชญาประชาธิปไตย ดิวอี้ดูจะเข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของจีน เขาไม่พยายามยัดเยียดความเป็นตะวันตกให้ แต่กลับชี้ให้เห็นถึงเนื้อหาแท้จริงของตะวันตก ในจุดนี้เองเฉินจึงมองเห็นความแตกต่างของทฤษฎีประชาธิปไตยกับสภาพความเป็นจริงในสังคม บทความของเขาเรื่อง "พื้นฐานความเข้าใจประชาธิปไตย"


ที่ตีพิมพ์ในวารสารคนหนุ่มรุ่นใหม่ เดือนธันวาคม 1919 นั้น เป็นการยอมรับข้อคิดของดิวอี้โดยสิ้นเชิง เขากล่าวว่า ความล้มเหลวของประชาธิปไตยจีนอยู่ที่การเข้าใจผิด ว่าการบังคับใช้รัฐธรรมนูญจากเบื้องบน จะมีผลให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยได้ แต่กฎหมายไม่มีพลังที่จะสร้างความเป็นจริงได้ "...ความจริงมีพลังที่จะสร้างกฎหมายได้ แต่กฎหมายไม่มีพลังที่จะสร้างความเป็นจริงได้..." ประชาธิปไตยต้องเกิดขึ้นจากพื้นฐานของสังคมนั้นเอง และจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ทุกหมู่บ้านทุกเมือง การถกเถียงถึงระบบรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือแม้กระทั่งการรวมอำนาจหรือกระจายอำนาจ ล้วนเป็นสิ่งหลอกลวงทั้งสิ้น ตราบเท่าที่ประชาชนยังไม่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบประชาธิปไตย อย่าไปหวังอะไรจากพรรคการเมือง ซึ่งไม่มีแม้แต่ความเข้าใจในอธิปไตยของปวงชน หรือกระทั่งจากนายพล ซึ่งใช้ระบบคณาธิปไตยภายใต้ชื่อสาธารณรัฐ
เฉินตู้สิว เริ่มจับปัญหาทางเศรษฐกิจ เขาเริ่มให้ความสนใจความคิดของเลนินมากขึ้น "ทฤษฎีจักรวรรดินิยม" ของเลนิน อธิบายถึงปัญหาของประเทศด้อยพัฒนา การขูดรีดของประเทศนายทุนตะวันตก และนี่เองที่อธิบายภาพการประชุมที่แวร์ซายส์ให้เฉินเห็นว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่างญี่ปุ่นกับตะวันตก ขูดรีดผลประโยชน์จากจีน เฉินตู้สิวจับปัญหาได้และมองหาทางออก ดิวอี้เคยพูดว่าการแก้ปัญห่อยู่ที่ "การค้นหาวิธีที่มั่นคงเพื่อเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่หลวง โดยคำนึงถึงกาลเทศะ" เลนินเสนอว่า มีแต่การปฎิวัติเท่านั้น และต้องมีกลุ่มแนวหน้าภายใต้ระบบองค์การที่มีประสิทธิภาพ แล้วพร้อมกันเดินไปหามวลชน
ปี ค.ศ.1920 เฉินตู้สิวประกาศเป็นมาร์กซิสต์-เลนินซิสต์ จากนั้นเขากับลีต้าเจาได้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน การประชุมพรรคครั้งแรก มีขึ้นเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ.1921 โดยมีคณะกรรมการกลางพรรคเพียง 12 คน และหนึ่งในนั้นคือ เมาเซตุง
เมาเซตุง

กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์จีน





เฉินตู้สิว
ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือ เฉินตู้สิว คณบดีคณะอักษรศาสตร์กับลีต้าเจา อาจารย์ประวัติศาสตร์ ทั้งคู่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ระยะนั้นแม้จะมีคนสนใจปรัชญาตะวันตกกันมากก็ตาม แต่ที่น่าแปลกใจคือแนวคิดของ มาร์กซ ไม่เคยมีใครนำมาพูดถึงเลย ทุกคนเชื่อมั่นในความคิดแบบประชาธิปไตยตะวันตกมาก ว่าจะเป็นทางรอดของจีน เฉินตู้สิวก็เช่นกัน เขามีความศรัทธาในปรัชญาตะวันตกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดที่เกี่ยวกับประชาธิปไตย และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ตะวันตก
ในปี ค.ศ. 1915 เฉินได้ออกวารสาร คนหนุ่มรุ่นใหม่ เพื่อกระตุ้นนักศึกษาให้ตระหนักถึงปัญหาของประเทศ และทางรอดของประเทศอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงให้ทันโลก บทบรรณาธิการฉบับแรกกล่าวว่า "ภาระกิจของคนรุ่นใหม่ คือการต่อสู้เพื่อล้มล้างความเชื่อและประเพณีเก่าๆ รวมทั้งลัทธิขงจื๊อ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคตามความคิดแบบใหม่และความก้าวหน้า จะต้องเลิกระบบการศึกษาและการเรียนแบบเก่า แล้วสร้างสังคมใหม่ บนพื้นฐานของประชาธิปไตยและวิทยาศาสตร์"
ลีต้าเจา



ความคิดของเฉิน ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดแบบประชาธิปไตย "เสรีนิยมแบบแมนเชสเตอร์" เขามองปัญหาความล้าหลังและความเสื่อมโทรมของจีน โดยเปรียบเทียบกับตะวันตก เขาเห็นว่าสาเหตุอยู่ที่ระบบการปกครองของจีนไม่เป็นประชาธิปไตยแบบฝรั่ง รวมทั้งขาดการค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ ในยุคแรกของคนหนุ่มรุ่นใหม่ เขาจึงนำความคิดใหม่ๆ มาเสนอตลอดเวลา อาทิ บทแปลของ อดัม สมิท นอทเช่ มิลล์ ตอลสลอย ฮักซเลย์ ดาร์วิน และสเปนเซอร์ แต่ขณะนั้นยังไม่มีใครเขียนถึงมาร์กซ



ชูหยวน
ส่วนลีต้าเจานั้น เป็นนักประวัติศาสตร์และนักอภิปรัชญา ลีได้อิทธิพลทางปรัชญามาจากเอมเมอร์สันและเฮเกล มีผู้กล่าวว่าลีไม่ได้รับอิทธิพลจากเฮเกล แต่เป็นแบร์กซองมากกว่า แต่ลียังคงศรัทธาเชื่อมั่นคำสอนเดิมของจีนอยู่ ความคิดของเขาจึงปรากฎออกมาในรูปของการผสมผสาน ระหว่างตะวันตกกับตะวันออก ระหว่างศาสนาพุทธกับความคิดของ ชูหยวน เอมเมอร์สันและเฮเกล ความคิดดังกล่าวนี้ เขาได้ถ่ายทอดลงในบทความสองบทชื่อ คนหนุ่ม และปัจจุบัน
ในระยะที่ลีเชื่อในการเปลี่ยนแปลงแบบปฎิรูป เขากล่าวว่า ปัจจุบันเป็นอนาคตของอดีต และเป็นพื้นฐานของความก้าวหน้าในอนาคต การเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอนเป็นไปตามกฎของโลก เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของจิตโลก ที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสมบรูณ์ในอนาคต บทความ คนหนุ่ม ของเขาได้เน้นให้คนหนุ่มตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นหนุ่ม ที่จะเป็นพื้นฐานสำหรับสร้างอนาคตและต้องลงมือทำ
จากความผันผวนทางการเมืองของจีน ตั้งแต่ราชวงศ์แมนจูจนถึงสมัยสาธารณรัฐ การแพ้สงครามต่อประเทศตะวันตกและญี่ปุ่น จนถูกปฎิบัติราวกับเป็นเมืองขึ้น มีผลกระตุ้นให้ลีศึกษาการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เขาสรุปว่า ความเสื่อมโทรมทั้งหลายนี้ เป็นผลมาจากความเสื่อมภายในประเทศจีนเอง อารยธรรมจีนอันรุ่งเรืองได้ตายเสียแล้ว เหลือแต่ซากความยิ่งใหญ่ในอดีต ที่กับเป็นอุปสรรค์ต่อความก้าวหน้าของจีน เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งลีและเฉิน เมื่อศึกษาถึงความล้มเหลวของจีนแล้ว แทนที่จะเห็นว่าเป็นผลการกระทำของคนภายนอกกลับโทษตนเอง ในข้อที่ไม่เจริญทัดเทียบคนอื่น ในขณะเดียวกันก็เริ่มมองไปที่ตะวันตก ว่าเป็นทางรอดของจีนในอนาคต

หลังจากสถาปนาจีนเป็นสาธารณรัฐได้ไม่นาน ความหวังของเฉินและลี ที่จะได้เห็นจีนก้าวหน้าไปเป็นประชาธิปไตย และเจริญทัดเทียบนานาประเทศก็พังทลาย เมื่อซุนยัดเซน ไม่สามารถรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวได้ หลังจาก หยวนซีไขตายก็เกิดแย่งอำนาจกัน ในเวลาเดียวกันประเทศตะวันตกก็ยังคงยื้อแย่งผลประโยชน์ในเมืองจีน และจุดชนวนสำคัญคือ ข้อเรียกร้องของญี่ปุ่น 21 ประการ
ก่อนหน้านี้เมื่อจีนร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 เฉินมีความหวังว่าฝ่ายพันธมิตร คงจะช่วยป้องกันผลประโยชน์ของจีน แต่เมื่อประชุมกันที่แวร์ซายส์ เหตุการณ์กับตรงข้าม ที่ประชุมกลับมีมติให้ยกกกรมสิทธิ์เหนือซานตุงให้แก่ญี่ปุ่น ซึ่งประเด็นนี้เป็นชนวนสำคัญ ที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดแบบนิยมตะวันตกไปสู่แนวตรงข้าม
ในช่วงเวลานี้เอง พรรคบอลเชวิคได้รับชัยชนะในการปฎิวัติรัสเซีย ทฤษฎีการปฎิวัติรวมทั้งแนวคิดเกี่ยวกับประเทศด้อยพัฒนาเริ่มแพร่หลายออกไป ไม่มีใครคิดมาก่อนว่า ประเทศด้อยการพัฒนาทางอุตสาหกรรมจะสามารถปฎิวัติได้สำเร็จ โดยเฉพาะทฤษฎีของมาร์กซ ซึ่งทำนายถึงการปฎิวัติของชนชั้นกรรมาชีพในประเทศอุตสาหกรรม ก็ไม่ได้คิดถึงพลังของชาวนา เพราะเชื่อว่าเป็นไปได้ยากที่จะนำคนเหล่านี้ไปปฎิวัติ ลีต้าเจาเป็นคนแรกที่ได้รับความคิดของเลนิน เขาเริ่มให้ความสนใจ ประกอบกับมีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์และปรัชญาเฮเกลอยู่แล้ว เขาจึงสามารถเข้าใจลัทธิมาร์ก-เลนิน ได้รวดเร็วกว่าคนอื่น เขาเขียนบทความสดุดีการปฎิวัติในรัสเซียเรื่อง "ชัยชนะของบอลเชวิค" โดยใช้ปรัชญาเฮเกลมาอธิบายว่า ชัยชนะของบอลเชวิคเป็นชัยชนะของทุกๆคน และเป็นขั้นหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงไปสู่จิตโลก แม้แต่ซุนยัดเซนเองก็ยังยอมรับ และยกย่องในความคิดความสามารถของเลนิน

ใน ค.ศ. 1918 ลีต้าเจาได้จัดตั้งสมาคมเพื่อการศึกษาลัทธิมาร์กซ์ ในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง สมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาของเขาทั้งสิ้น ยกเว้นคนเดียวคือ เมาเซตุง ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงผู้ช่วยบรรณารักษ์ห้องสมุด ดูแลหนังสือพิมพ์และเอกสารอื่นๆ สมาชิกเริ่มแรกมีเพียงไม่กี่คน ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นตัวจักรสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งหมด การศึกษาลัทธิมาร์กซ์ของกลุ่มนี้เป็นไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครให้ความสนใจมาก วิธีการศึกษาเป็นไปในรูปแบบของการวิจารณ์ลัทธิเป็นส่วนใหญ่ ดูราวกับว่าทุกคนต่างต้องการโจมตีมาร์กซ์มากกว่าที่จะยอมรับ และคนพวกนี้เองที่เป็นต้นกำเนินคอมมิวนิสต์จีน
แท้ที่จริงแล้ว การโต้แย้งนี้เองกลับทำให้ความเข้าใจในลัทธิมาร์กซ์มากขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งแตกต่างไปจากสมัยแรกรู้จักปรัชญาตะวันตกที่ยอมรับโดยไม่ข้องใจ การดัดแปลงให้เข้ากับสถานการณ์ในจีน จึงไม่มีใครนึกถึง และเป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งของความล้มเหลวในทางการเมือง
ซุนยัดเซน