อนุญาตให้ใช้นามสกุลของราชวงศ์จักรียุคใหม่คือ มหิดล ณ อยุธยา ชื่อเล่นของเธอคือเบนซ์ ช่วงวันวานยังหวานอยู่ เธอจึงถูกเรียกว่า หม่อมเบนซ์
สุจาริณีก็ตั้งท้องด้วยเช่นกัน วังกับสังคมไฮโซชั้นสูงพากันตะลึงเมื่อเธอคลอดลูกชายออกมาในเดือนสิงหาคม 2522 ซึ่งว่ากันว่าฟ้าชายทรงพาไปวัดบวรฯ เพื่อรับคำอวยพรและการตั้งชื่อจากพระญาณสังวร ซึ่งตั้งชื่อให้ว่า จุฑาวัชรโดยได้รับคำนำหน้าชื่อเป็นหม่อมเจ้า ซึ่งไม่ใช่ชั้นเจ้าฟ้า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นทายาทเพศชายคนเดียวของราชวงศ์จักรีในขณะนั้นแต่หมายถึงหายนะต่อพระราชินีสิริกิติ์ เพราะเด็กชายคนนี้จะเป็นคู่แข่งแย่งราชบัลลังก์กับตระกูลในสายของพระราชินี เว้นเสียแต่ว่าพระองค์เจ้าโสมสวลีจะคลอดลูกชายออกมา ลือกันว่าฟ้าชายไม่ใช่พ่อของเด็กชายคนนี้มี แต่ก็ทรงปฏิบัติต่อหม่อมเจ้าจุฑาวัชรเหมือนเป็นลูกแท้ๆของพระองศ์
ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงปฏิบัติงานพิธีและหน้าที่ในกองทัพอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ในปี 2521 ทรงผนวชที่วัดบวรฯ อันเป็นก้าวสำคัญสู่ความเป็นธรรมราชา แต่ปัญหาเรื่องหม่อมสุจาริณีกับเรื่องอีกมากมายของฟ้าชายรวมถึงการรีดไถเงินจากนักธุรกิจทำให้ในหลวงภูมิพลต้องยื่นมือเข้ามา โดยในหลวงให้พลเอกเปรมจัดการให้ฟ้าชายไปรับการฝึกทหารเพิ่มเติมที่สหรัฐฯในต้นปี 2523 โดยทรงเข้าโรงเรียนปฏิบัติการพิเศษที่นอร์ธแคโรไลนาและจอร์เจีย ฟอร์ท บราก (Fort Bragg) เป็นค่ายทหารฝึกยิงปืนใหญ่ตั้งชื่อตามนายพลแบรกซตัน บราก วีรบุรุษชาวแคโรไลนาเหนือในสงครามกลางเมือง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯที่ฟอร์ท บราก รายหนึ่งบอกว่า ฟ้าชายทรงเป็นตัวปัญหามาก เพราะมักปฏิเสธไม่ยอมรับคำสั่ง และปัญหาครอบครัวของพระองค์ยังได้ตามมาอีก ก่อนหน้าการรายงานตัวที่ฐานทัพ ฟ้าชายเสด็จติดตามพระราชินีสิริกิติ์ไปวอชิงตันและนิวยอร์ค หม่อมสุจาริณีบินตามมาพบฟ้าชาย ตามติดๆ มาด้วยพระองค์เจ้าโสมสวลี ข่าวหลายแหล่งบอกว่า แต่ละคนได้รถหรูไปสงบสติอารมณ์กันคนละคัน ต่อมาพระองค์เจ้าโสมสวลีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ใกล้ฟอร์ทบราก ซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่จะส่งผลสำคัญมากในอีกหลายปีต่อมา
ถึงกระนั้น การเสด็จเยือนสหรัฐฯ ก็ประสบความสำเร็จในแง่หนึ่งเพราะฟ้าชายได้รับการฝึกฝนทักษะการขับเครื่องบินอย่างจริงจังมากขึ้นโดยที่พระองค์ไม่เคยมีทักษะมาก่อนและทำให้ทรงเกิดความหลงใหลในการบินอย่างมาก เมื่อกลับเมืองไทยทรงได้เลื่อนชั้นจากเฮลิค็อปเตอร์เป็นเครื่องบินรบและทรงหมายตาที่จะขับเครื่องบินไอพ่น กล่าวในเชิงการทหารแล้ว ไม่ใช่เรื่องปกตินักที่คนอายุ30 แบบพระองค์และไม่ใช่นักบินอาชีพจะฝึกขับเครื่องบินไอพ่น แต่นายกเปรมก็ตามพระทัยพระองค์และในเดือนตุลาคม 2525 ก็ทรงเริ่มฝึกขับเครื่องบินไอพ่นเอฟห้าอีที่อริโซนา ข้อมูลส่วนใหญ่บอกว่าทรงทำได้ดี ใช้เวลาหนึ่งปีเลื่อนระดับเป็นผู้บังคับการบิน เมื่อเสด็จกลับไทยและทรงบินแสดงในงานที่ลพบุรี หลังจากนั้นพลเอกเปรมก็ถวายเครื่องบินไอพ่นเอฟห้าอีให้ฟ้าชายสามลำ มันเป็นงานอดิเรกที่แพงมหาศาล ในช่วงหกปีต่อมา ทรงทำชั่วโมงบินเอฟห้าอีได้ 1,000 ชั่วโมงโดยทรงใช้เครื่องบินเป็นเหมือนพาหนะส่วนพระองค์ไปที่โน่นที่นี่
โดยมีอีกสองลำที่ติดตามไปด้วย เพราะทรงกลัวว่าจะถูกลอบสังหาร จึงไม่เคยกำหนดเวลาบินล่วงหน้า และเครื่องบินทั้งสามลำจะอยู่ในสภาพพร้อมบินได้ตลอดเวลา โดยฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะทรงเลือกขับลำใดลำหนึ่งในนาทีสุดท้าย
แต่ว่าปัญหาเรื่องในพระราชวงศ์ก็ไม่ได้หายไปไหน ในเดือนมิถุนายน 2524 หม่อมสุจาริณีคลอดลูกชายคนที่สอง ชื่อวัชเรศร หลังจากนั้นไม่ค่อยมีใครได้เห็นฟ้าชายกับพระองค์เจ้าโสมสวลีอีกเลยโสมสวลีตรอมใจมากและเริ่มปลดเปลื้องทุกข์ด้วยการกินจนอ้วนผิดหูผิดตา ซึ่งยิ่งทำให้ฟ้าชายไปแล้วไปเลย พระราชินีสิริกิติ์ทรงตำหนิฟ้าชายอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ ทรงขู่ว่าจะไม่ให้ฟ้าชายขึ้นครองราชบัลลังก์ ระหว่างการเสด็จสหรัฐฯปลายปี 2524 เพื่อรับรางวัลอีกอันหนึ่งและเสด็จเยี่ยมหลานสาวคนใหม่ที่เกิดจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ทรงตรัสกับสื่อมวลชนที่เท็กซัสว่าชีวิตครอบครัวของพระราชโอรสไม่ค่อยราบลื่น“ลูกชายของข้าพเจ้าเป็นเหมือนดอนฮวน(หรือขุนแผน)นิดหน่อย เขาเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน แต่สาวๆ ชอบเขา และเขาก็ชอบสาวๆ ยิ่งกว่า” และพระราชินีก็เสริมว่า “ถ้าคนไทยไม่ยอมรับพฤติกรรมของลูกชายของข้าพเจ้า เขาก็จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่ก็ต้องลาออกจากครอบครัวเรา” สองสัปดาห์ต่อมา ทรงกล่าวซ้ำทำนองเดิมที่วอชิงตันว่า “ในฐานะที่เขาเป็นทหารโดยอาชีพ เขาทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดี แต่ในฐานะทายาทสืบบัลลังก์ ไม่ค่อยดีนัก เพราะข้าพเจ้าคิดว่าเขาไม่ค่อยได้ให้เวลากับประชาชนของเขาอย่างเพียงพอ เรา[พระราชวงศ์]ไม่มีวันเสาร์หรือวันหยุดสุดสัปดาห์ และเขาต้องการมีวันหยุด ก็เขาหล่อไม่เบา และเขารักผู้หญิงสวย เลยต้องมีวันหยุด [คนไทย]รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร ต้องการผู้นำแบบไหน และถ้าพวกเขาไม่ชอบคนแบบนั้นแบบนี้ พวกเขาก็จะไม่เลือก”
การขู่อย่างเปิดเผยต่อสาธารณะของพระราชินีสิริกิติ์มีความเสี่ยงอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นการเปิดช่องให้คนทั่วไปได้ถกกันในเรื่องต้องห้าม ถึงแม้หนังสือพิมพ์ไทยถูกเตือนไม่ให้ตีพิมพ์หรือพาดพิงพระราชเสาวณีย์หรือคำพูดของพระราชินีสิริกิติ์ นักข่าวต่างชาติคนหนึ่งที่กรุงเทพฯ ก็เขียนว่าการเปิดเผยของพระราชินีสิริกิติ์ในครั้งนี้ “อาจส่งผลสะเทือนอย่างกว้างขวางต่อสถาบันกษัตริย์ การที่พระราชินีทรงแสดงความไม่สบอารมณ์ในตัวพระราชโอรสต่อสาธารณะนั้นขัดกับหลักของความระมัดระวังและการห้ามเสนอข่าวดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สื่อมวลชนไทยถือปฏิบัติเสมอมา นักสังเกตการณ์บางรายกังวลว่าการถกเถียงเรื่องการสืบราชบัลลังก์ ที่แม้จะทำในแวดวงแคบๆ ก็ตาม จะก่อให้เกิดความระส่ำระส่ายขึ้นมาในสังคมไทย
ในเดือนตุลาคม 2524 พระปัญญานันทภิกขุสร้างความฮือฮาในการเทศน์ครั้งหนึ่งผ่านสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศในรายการพระธรรมสวนะเช้าวันอาทิตย์โดยมีการเปรียบเปรยถึงเจ้าชายที่เพลิดเพลินกับเนื้อหนังมังสามากกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าชายรายนี้มีภรรยาสวย ใช้เวลาค่ำคืนในวังชานเมืองที่เขาสร้างให้ดาราสาวบนที่ดินที่ยึดจากชาวบ้าน ท่านได้เตือนเจ้าชายว่าเขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ประชาชนจะโค่นลงมา “ประชาชนจะโค่นท่านจากบัลลังก์” เทปและหนังสือที่ขายอย่างเปิดเผยทั่วประเทศได้นำคำเทศนาของพระปัญญานันทภิกขุไปถึงชาวบ้านนับหมื่น นิทานเปรียบเปรยนี้ถูกใจชาวบ้าน ที่รู้จากสื่อทั่วไปว่าฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงสร้างวังใหม่ที่นนทบุรีและหลบหน้าจากพระองค์เจ้าโสมสวลีพระชายา กระทั่งชาวบ้านในชนบทก็ยังรู้ว่าฟ้าชายมีดาราเป็นเมียน้อย
ความดังฉาวโฉ่แบบนี้ไม่ได้มีผลต่อฟ้าชายวชิราลงกรณ์แต่อย่างใดเลย พระองค์ยังคงสนุกไปเรื่อยตามประสาหนุ่มเจ้าสำราญหรือเพลย์บอย ที่มักจะมีหญิงสาวที่จัดหามาให้โดยคนมีอำนาจ ซึ่งรวมถึงบรรดาเหล่านายพลที่แวดล้อมพระราชินีสิริกิติ์ และฟ้าชายก็ยังหลงใหลหม่อมสุจาริณีอย่างโงหัวไม่ขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์2526 เธอคลอดลูกชายคนที่สามชื่อว่า จักรีวัชร แล้วฟ้าชายก็ทรงอนุญาตให้สุจาริณีใช้ชื่อว่า หม่อมสุจาริณี มหิดล ณ อยุธยาโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าอยู่หัว แต่ทั้งในหลวงและพระราชินียังคงไม่ยอมรับสุจาริณี และมีรายงานว่าในหลวงสั่งลดเงินค่าใช้จ่ายประจำปีของฟ้าชายเพื่อไม่ให้มีปัญญาเลี้ยงดูสุจาริณี แต่กลับทำให้ฟ้าชายมีแต่จะยิ่งไม่พอพระทัยและหงุดหงิดหุนหันพลันแล่นหนักขึ้นไปอีก มีเรื่องเล่ากันอยู่เรื่อยๆ ว่าคนของฟ้าชายกระทืบและกระทั่งฆ่าคนที่ทำให้พระองค์โกรธ คนไทยจำนวนมากได้ยินเรื่องทำนองว่าฟ้าชายชักปืนยิงใส่ฟ้าหญิงสิรินธรในวัง โดยมีองครักษ์คนหนึ่งของฟ้าหญิงรับเคราะห์ไปแทน ฟ้าชายทรงเอาที่ดินของวัดแห่งหนึ่งไปทำธุรกิจ โดยขับไล่ชาวบ้านที่อยู่อาศัยออกไป พระองค์จึงกลายเป็นที่หวาดกลัวของประชาชนจากเรื่องเล่าลือที่ยินกันทั่วไปถึงความร้ายกาจของพระองค์ และประชาชนก็เริ่มรู้สึกว่าฟ้าชายมีฟ้าหญิงสิรินธรเป็นคู่แข่งแล้ว มีการติดรูปหรือพระบรมฉายาลักษณ์ของฟ้าหญิงสิรินธรตามบ้านและสำนักงานทั่วไปควบคู่ไปกับพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงและพระราชินี ขณะที่ไม่ค่อยมีพระบรมฉายาลักษณ์รูปของฟ้าเลย แม้กระทั่งตามร้านขายรูปภาพของพระราชวงศ์
ฟ้าหญิงสิรินธรเองก็ทรงมีปัญหาที่พระองค์ถูกจับให้ต้องแข่งบุญบารมีกับพระเชษฐาตั้งแต่พระองค์ยังแรกรุ่นโดยไม่ทรงต้องใช้ความพยายามอะไรเลย เพราะพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดามหาจักรีสิรินทรสยามบรมราชกุมารี ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2520 เมื่อฟ้าหญิงสิรินธรมีพระชนมายุ 22 ชันษา เป็นกระบวนการสืบเนื่องจากการแก้ไขกฏมณเฑียรบาลในปี 2517 เพื่อให้ราชวงศ์ได้อุ่นใจว่ามีตัวรัชทายาทสำรอง แต่คนไทยถือเป็นการแก้ปัญหาของพระเจ้าอยู่หัวต่อเรื่องความประพฤติที่ไม่ดีของฟ้าชายและถือว่าฟ้าหญิงสิรินธรทรงมีสิทธิสืบราชบัลลังก์เท่ากัน เพราะเป็นสยามบรมราชกุมารี หรือมกุฏราชกุมารี
แต่ฟ้าหญิงสิรินธรก็ไม่ใช่ทางเลือกที่สมบูรณ์แบบเพราะไม่ได้ทรงฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งไม่มีวินัยและไม่กระฉับกระเฉงดั่งพระทัยของพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งไม่ได้ทรงงดงามโฉบเฉี่ยวเหมือนพระราชินีสิริกิติ์ ฟ้าหญิงสิรินธรดูเรียบง่าย ใสซื่อ ปล่อยตัวอย่างมีความสุข ทรงไม่ใส่พระทัยเรื่องเสื้อผ้า หรือการแต่งหน้าและเครื่องประดับใดๆ ความสามารถเชิงวิชาการของฟ้าหญิงก็อยู่ในระดบพื้นๆ แม้ว่ากลไกของวังจะคอยดูแลให้ฟ้าหญิงทำคะแนนได้สูงในระดับต้นๆ ของประเทศเหมือนฟ้าหญิงอุบลรัตน์ก่อนหน้านี้ ฟ้าหญิงสิรินธรดูจะทรงขัดเขินกับการจัดฉากนั้น ประชาชนต่างปลื้มไปกับการแต่งตัวอย่างเรียบๆ ปอนๆ และรอยยิ้มของฟ้าหญิง ทรงศึกษาวัฒนธรรมประวัติศาสตร์และภาษาที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในทศวรรษ 2510 ความสนพระทัยของฟ้าหญิงทำให้เกิดการฟื้นฟูดนตรีไทยเดิมจากนั้นทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปากร ศึกษาโบราณคดี ภาษาบาลีและสันสกฤต หัวข้อวิทยานิพนธ์ของพระองค์คือการวิเคราะห์หลักบารมีอันเป็นรากฐานของทศพิธราชธรรม
การแข่งขันเป็นคู่ชิงราชสมบัติกับพระเชษฐายิ่งดุเดือดขึ้นไปอีกด้วยการที่ฟ้าหญิงสิรินธรทรงใกล้ชิดกับในหลวง ส่วนฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงใกล้ชิดกับพระราชินี ฟ้าหญิงทรงออกงานร่วมเสด็จเคียงคู่พระเจ้าอยู่หัวบ่อยๆ ในยามที่เสด็จออกตรวจตราโครงการพัฒนาต่างๆ ในปี 2524
ได้รับการโปรดเกล้าฯให้เป็นตัวแทนพระราชวงค์พระองค์แรกที่เสด็จเยือนประเทศจีน อันเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญแห่งสัมพันธภาพที่หมางเมินกันมานานระหว่างทั้งสองประเทศ มันเป็นหนึ่งในการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการสิบกว่าครั้งที่ฟ้าหญิงสิรินธรทรงปฏิบัติหน้าที่แทนพระเจ้าอยู่หัวในทางการทูตในช่วงรัฐบาลเปรมมากกว่าที่ฟ้าชายทรงปฏิบัติ และฟ้าหญิงยังเสด็จออกงานพระราชพิธีต่างๆ มากกว่าฟ้าชายมาก พลเอกเปรมยังช่วยราดน้ำมันเข้ากองเพลิง ด้วยการประกาศให้วันพระราชสมภพของฟ้าหญิงสิรินธร 2 เมษายน เป็นวันอนุรักษ์มรดกชาติ ในปี 2528 และในปี 2530 ยังได้ถวายราชสดุดีให้ฟ้าหญิงเป็น “สุดยอดผู้อุปถัมภ์มรดกวัฒนธรรมไทย” ยิ่งกว่านั้นยังได้ถวายตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ของโรงเรียนนายร้อยจปร. ซึ่งเป็นการรุกล้ำเข้าไปในแวดวงทหารของฟ้าชายวชิราลงกรณ์โดยตรง ลูกศิษย์ของฟ้าหญิงได้กลายมาเป็นพันธมิตรและองครักษ์ส่วนพระองค์
แต่คนในแวดวงภายในของวังบอกว่าฟ้าหญิงสิรินธรก็ยังคงทำให้ในหลวงต้องท้อพระทัยที่ฟ้าหญิงขาดพลังและบุคลิกการแสดงออก ในวัยย่าง 30 ชันษาเมื่อปึ 2528 แต่ฟ้าหญิงยังคงมีภาพเป็นเด็กนักเรียนที่ไม่รู้ประสีประสา และกิจกรรมของพระองค์ส่วนใหญ่เป็นประเภทเบาๆ เช่น การสนับสนุนมโหรีปี่พาทย์ ศิลปะชาววัง แต่ฟ้าหญิงสิรินธรก็พยายามลดทอนภาพการประชันขันแข่งกับพระเชษฐาเพื่อให้ฟ้าชายคลายกังวล กล่าวกันว่าได้ทรงสาบานที่จะไม่แต่งงานในตอนต้นทศวรรษ2520 และเลือกที่จะถือครองพรหมจรรย์ แต่ประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียง คนวงในกับนักการทูตที่รู้เรื่องราวบอกว่าฟ้าหญิงสิรินธรทรงชอบผู้หญิง(คือเป็นพวกผู้หญิงรักผู้หญิงหรือเลสเบี้ยน)
ส่วนฟ้าหญิงอีกสองพระองค์นั้นก็ทำให้ในหลวงและพระราชินีปวดพระเศียรได้ไม่แพ้กัน
ฟ้าหญิงอุบลร้ตนก็อยากกลับสู่อ้อมอกราชวงศ์และคืนสถานะเดิม หลังจากถูกในหลวงถอดฐานันดรปล่อยให้อยู่อเมริกาในปี 2515 โทษฐานแต่งงานกับหนุ่มอเมริกันนายปีเตอร์ เจนเซ่น Peter Jensen เธอกลับมาเมืองไทยครั้งแรกพร้อมด้วยสามีในเดือนสิงหาคม 2523 ขณะอุ้มท้องสามเดือน ประชาชนยังคงชมชอบเธอและมองการกลับมาของเธอว่าเป็นการสำนึกผิด เมื่อเธอก้าวลงจากรถที่เข้าไปในวัง และก้มกราบแทบพระบาทพระราชบิดา ในหลวงทรงโอบกอดเธอด้วยสีพระพักต์ที่ไร้รอยยิ้ม ดูเหมือนว่าจะทรงให้อภัย สี่อมวลชนเรียกเธอว่าทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์แม้ว่ายศถาที่เป็นทางการของเธอเป็นแค่ท่านผู้หญิง และพากันเรียกร้องให้เธออยู่ในประเทศไทย แต่ในหลวงก็มิได้ทรงโปรดฯคืนฐานันดรให้ สามีและภรรยาทั้งคู่จึงต้องกลับบ้านที่แคลิฟอร์เนียใต้หลังจากเวลาผ่านไปแค่สี่วัน ในปี 2524 เธอคลอดลูกสาวชื่อ พลอยไพลิน ถึงปี 2525 เมื่อเธอกลับมาร่วมงานแต่งงานของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ก็เกิดกระแสเรียกร้องให้เธอคืนสู่สถานะเดิม เธอต้องการ พระราชินีสิริกิติ์ต้องการ และประชาชนก็ต้องการ แต่พระเจ้าอยู่หัวยังคงเงียบเฉย ทรงปฏิเสธให้เธอมีส่วนร่วมในกิจการใดๆ ของวังและพระราชวงศ์ ถึงกระนั้น เธอกับสามีก็กลับมาเมีองไทยบ่อยขึ้น พวกเขามีลูกอีกสองคน คือคุณพุ่มและสิริกิติยา ตามชื่อในหลวงและพระราชินีผู้เป็นตาและยายของเด็กทั้งสอง
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ก็ทรงน่าผิดหวังด้วยเหตุผลอื่นๆ คือบอบบาง ขี้โรค และหงอยเหงาเศร้าซึม เธอได้นิสัยขี้โอ่มาจากจากทางพระราชินีมามากกว่าใครๆ ทรงหลงใหลในแฟชั่นและเครื่องประดับราคาแพง เป็นคนที่หยิ่งยะโสและถูกตามใจมากที่สุดในครอบครัว แม้แต่พระราชินีสิริกิติ์ก็ยังทรงรู้สึกว่าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ไม่ได้ดั่งใจ เนื่องจากเหยาะแหยะ ไม่เฉลียวฉลาด อ้อนแอ้นแต่ไม่น่าดูไม่น่ารัก เธอเป็นที่หนึ่งในชั้นเรียนเหมือนพี่ๆของเธอเพราะมหาวิทยาลัยทุกแห่งถูกบังคับให้ต้องเทิดทูนพระเกียรติยศของพระราชวงศ์โดยไม่จำเป็นต้องไปเรียนหรือไปสอบ ทรงเรียนเคมีที่มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ และจบโทด้านวิทยาศาสตร์ที่มหิดล
ว่ากันว่างานวิจัยและงานวิชาการของเธอเป็นฝีมือของทีมงานนักวิทยาศาสตร์ที่วังจัดหาให้ ในปี 2528 ทรงเป็นอาจารย์พิเศษสอนเคมีที่มหิดลและเป็นผู้อุปถัมภ์สถาบันทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการของพระราชวงศ์
ปัญหาหลักของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์คือการหาคู่ให้เธอ ด้วยวัย 20 ต้นๆ แต่ยังไม่มีหนุ่มรายใดที่เหมาะสมหรือเต็มใจเฉียดกรายมาใกล้ ในปี 2524 เธอต้องตาต้องใจนาวาอากาศเอกวีระยุทธ ลูกชายผบ.ทอ.พล.อ.อ.ประหยัด ดิษยะศริน พวกพ้องของพลเอกเปรม ไม่สำคัญว่าเขาไม่ใช่เชื้อเจ้า อีกทั้งไม่สำคัญที่มีคนว่ากันว่าเขาแต่งงานมีลูกมีเมียแล้ว พ่อของเขากับนายกเปรมเกลี้ยกล่อมให้เขาเลิกกับครอบครัว และในเดือนมกราคม 2525 เขาก็แต่งงานกับฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เธอคงสถานะเดิม และลูกสาวสองคนที่เธอมีในเวลาต่อมาก็อยู่ในชั้ันลำดับสามเป็นพระวรวงศ์เธอของราชวงศ์จักรี
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์อาจจะเรียนจริตจะก้านมาจากพระราชินีสิริกิติ์ แต่ไม่ได้เอากิริยาแช่มช้อยกับเสน่ห์มัดใจประชาราษฎร์จากสมเด็จแม่มาเลย พระองค์ทรงเรียกร้องสูงจากบรรดาคนรอบข้างและไม่เป็นกันเองกับชาวบ้าน และอิดออดกับการเสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรตามชนบทบ้าน ทรงใช้ชีวิตหรูหราราคาแพงและชอบไปเที่ยวเมืองนอก มีเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ว่าทรงใช้เงินจากมูลนิธิของพระองค์เองเป็นค่าใช้จ่ายในการเสด็จเที่ยวต่างประเทศและซื้อเพชรพลอยราคาแพง
พลเอกเปรมก็คอยทำหน้าที่กลบเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าสารพัดของพระราชวงศ์และคอยปกปิดไม่ให้พฤติกรรมอื้อฉาวต่างๆ หลุดไปถึงสื่อ เมื่อพลเอกเปรมรู้ว่ายังไงฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ไม่มีทางจะผละจากหม่อมสุจาริณีไปได้ จึงตั้งทีมงานจากในวังและราชการเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์สร้างภาพให้กับฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ส่วนการอุดหนุนจุนเจือด้านการเงิน ก็มีนายพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ ผู้จัดการการเงินของวัง รวมทั้งกองทัพบกและเครือซีเมนต์ไทยคอยจัดให้ โดยดูเหมือนว่าในหลวงจะไม่ทรงได้รับทราบแต่อย่างใด พวกเขายังจัดการการลงทุนเพื่อเป็นแหล่งรายได้ประจำให้กับฟ้าชาย ว่ากันว่าทรงมีผลประโยชน์กับโรงแรมหรูในภูเก็ตของมรว.ตรีทศยุทธ เทวกุลผู้เป็นเครือข่ายพวกพ้องของนายกเปรม และนาซ่าสเปซีโดรมดิสโก้เธคที่ร้อนแรงโด่งดังที่สุดในกรุงเทพฯ ในกลางทศวรรษ 2520 ในปี 2527 พลเอกเปรมจัดให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยี่ยมสลัมในกรุงเทพฯ เพื่อแสดงความห่วงใยคนยากคนจน โดยมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างดี รัฐบาลสร้างโรงพยาบาลมากกว่า 20 แห่งในชนบท โดยตั้งชื่อว่าโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และอ้างว่าสร้างจากเงินของฟ้าชายวชิราลงกรณ์
ผลงานหลักของรัฐบาลเปรมดูเหมือนจะได้แก่การปกป้องภาพลักษณ์ของฟ้าชายวชิราลงกรณ์และพระราชวงศ์ นอกจากนั้นแล้วพลเอกเปรมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนักกับสี่ปีแรกในฐานะผู้นำประเทศ ไม่มีการแก้ไขปัญหาในการบริหารงานและอาจจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิมอีก ฐานอำนาจของพลเอกเปรมเขาในกองทัพก็ยิ่งแตกแยกกันหนักขึ้น กลุ่มต่างๆนำโดยบรรดานายพลที่จ้องต่อคิวอำนาจจากพลเอกเปรม พลเอกเปรมอ้างภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ที่แทบไม่มีเหลีอแล้วเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่อำนาจการเมืองของตน กองทัพและวงราชการเต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่น และในหมู่นักการเมืองโดยเฉพาะพวกที่สนับสนุนพลเอกเปรม เนื่องจากพลเอกเปรมให้ผลประโยชน์ตอบแทนการสนับสนุนตนด้วยสัญญาและสัมปทานโครงการต่างๆ ในระดับล่างอาชญากรรมความรุนแรงต่างๆ เกิดขึ้นทั่วไป โดยบรรดาเจ้าพ่อในพื้นที่ต่างๆ ที่ร่วมงานใกล้ชิดกับกองทัพ ตำรวจและราชการทั้งหมดนี้อยู่ในระบบของโครงสร้างลำดับชั้นทางอำนาจที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่บนยอดสุด ถัดลงมาเป็นกองทัพ ข้าราชการ พ่อค้านักธุรกิจและชาวบ้าน พลเอกเปรมชูโครงสร้างนี้แทนการเสริมสร้างระบอบรัฐสภากับสถาบันทางกฎหมาย แต่ว่าโครงสร้างนี้ ได้สร้างปัญหาให้พลเอกเปรมต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงสี่ปีหลังในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรมต้องบอบช้ำตลอดเวลาจากการโจมตีของกองทัพและนักการเมือง และจากคนทั่วๆไปที่ต้องการระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยและมีการตอบสนองต่อประชาชนมากขึ้น ในวิกฤติการณ์แต่ละครั้ง พลเอกเปรมจะต้องเอาหลังพิงวังอยู่เสมอ แต่บางปัญหาก็เกี่ยวพันกับพระราชวงศ์มากเสียจนกลายเป็นเรื่องที่บ่อนทำลายอำนาจของพลเอกเปรมไปด้วย
ในปี 2527 เศรษฐกิจตกต่ำอันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจขาลงทั้งภูมิภาคและมีเรื่องอื้อฉาวทาง การเงินหลายเรื่องที่ธนาคารหลายแห่งล้มละลาย ธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนมากเริ่มพังพาบเกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว ท่ามกลางภาวะเช่นนี้ ในเดือนสิงหาคม นายกเปรมล้มป่วยอย่างหนัก และไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ ขณะนั้น พลเอกอาทิตย์ กำลังเอกที่ควบทั้งผบ.ทบ.และผบ. สูงสุด ก็ทำท่าจะฉวยโอกาสยึดอำนาจ และพันธมิตรในรัฐสภาต้องรีบฟื้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องอำนาจของกองทัพซึ่งประเด็นนี้เคยถูกตีตกไปในปีก่อนหน้านั้น พลเอกอาทิตย์ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประกันอำนาจของตนเองในอนาคต เนื่องจากจะเกษียณอายุราชการในปี 2528(การท้าทายของพลเอกอาทิตย์ที่จะแย่งอำนาจตอนพลเอกเปรมป่วยนี้ต้องเจอกับถ้อยแถลงของเอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ว่า ทางวอชิงตันกำลังจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด) แต่แล้วพระราชินีสิริกิติ์ผู้สนับสนุนพลเอกเปรมมาตลอดก็ทรงออกโรงแทรกแซงเพื่อปกป้องพลเอกเปรมอย่างเต็มที่ พระราชินีเสด็จเยี่ยมนายกเปรมถึงข้างเตียงที่บ้านของเขาถึงสองครั้งในเวลาเก้าวันโดยเป็นข่าวเผยแพร่อย่างครึกโครม ภาพพระราชินีประทับคุกเข่าขณะที่พลเอกเปรมหมอบกราบถูกตีพิมพ์ตามหน้าหนังสือพิมพ์อย่างจงใจในวันที่ 2 กันยายน 2527 หลังจากที่ภาพนี้ถูกถ่ายจริงสามวัน โดยวันที่ 3 กันยายนเป็นวันที่จะมีการอภิปรายแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภา การออกโรงของพระราชินีสิริกิติ์ทำให้พลเอกอาทิตย์ต้องถอยฉากจากการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกระแสการก่อรัฐประหารก็หายไปทันที พลเอกเปรมก็เอาใจคู่แข่งของตนด้วยการเลื่อนตำแหน่งคนของพลเอกอาทิตย์ที่ไม่ใช่ทหารอาชีพนักในสัปดาห์ต่อมาในการโยกย้ายประจำปี ซึ่งมีแต่จะไปเพิ่มความขัดแย้งและความแตกแยกในกองทัพมากขึ้นไปอีก ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากพลเอกเปรมเดินทางไปสหรัฐฯ ในวันที่ 15 กันยายน 2527 เพื่อไปรักษาอาการภาวะเส้นเลือดแดงอุดตันในปอด pulmonary embolism ก็มีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้น คือ ตำรวจและทหารรุ่นจปร.5 จู่ๆ ก็จับตัวผู้นำจปร.7 หรือกลุ่มยังเติร์ก พลตรีมนูญ รูปขจรกับพ.อ.บุลศักดิ์ โพธิ์เจริญ รวมทั้งอดีตสมาชิกพคท. กับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคน โดยถูกกล่าวหาว่าวางแผนลอบสังหารพระราชินีสิริกิติ์ พลเอกเสริมและพลเอกอาทิตย์ เมื่อเดือนตุลาคม 2525 ในคราวแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพนัดชิงชนะเลิศ
การขุดเอาเรื่องเก่าเมื่อสองปีก่อนมาเป็นประเด็นจับกุมในช่วงที่พลเอกเปรมไม่อยู่ทำให้มีความน่าสงสัย ทั้งพลเอกเปรมและฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลดูเหมือนว่าจะไม่รู้เรื่องแผนการจับกุมในครั้งนี้ พวกยังเติร์กเองก็ทำตัวเงียบๆ มาตลอดหลังรัฐประหารล้มเหลวในปี 2524 การหาเรื่องจับกุมสมาชิกพคท.เข้าไปด้วยก็เป็นการยัดเยียดว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ที่ต้องการล้มล้างสถาบันฯ ให้กับพวกยังเตอร์ก และยิ่งมีเรื่องแปลกในวันถัดมาที่พลตรีมนูญกับพ.อ.บุญศักดิ์ถูกปล่อยตัวหลังจากการเข้ามาแทรกแซงของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ พลเอกอาทิตย์ พลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์อธิบดีกรมตำรวจและภรรยาชื่อ ภรณี ซึ่งเป็นนางสนองพระอษฐ์ของพระราชินีสิริกิติ์ ข้อหาต่างๆถูกยกเลิกไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับตอนที่มีเรื่องโผล่มา และไม่มีใครรู้ว่าแแผนลอบสังหารนี้มีจริงหรือไม่ พอพลเอกเปรมกลับมาปลายเดือนกันยายน เรื่องก็หายวับไปแล้ว(คดีนี้มีการต่อสู้คดียืดเยื้อถึง 9 ปี กระทั่ง 23 กุมภาพันธ์ 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชายด้วยข้ออ้างเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและสถาบัน พร้อมกับแพร่ภาพวิดีโอคำรับสารภาพของ พ.อ.บุลศักดิ์ เรื่องวางแผนลอบปลงพระชนม์พระราชินีและพลเอกเปรม เมื่อรัฐบาล รสช.ล่มสลาย คดีลอบสังหารนี้ได้เข้าสู่ศาลยุติธรรม ในที่สุด 30 ธันวาคม 2536 ศาลอาญาตัดสินคดีประวัติศาสตร์ "วันลอบสังหารบุคคลสำคัญ" ยกฟ้อง พ.อ.มนูญ กับพวก โดยศาลเห็นว่า ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เป็นเพียงพยานบอกเล่าและไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟัง )
แต่การวิวาทบาดหมางในกองทัพก็ยังคงดำเนินต่อไป พลเอกเปรมกลับมาเจอกับเศรษฐกิจที่กำลังซวนเซ และทำให้พลเอกเปรม ประกาศลดค่าเงินบาทสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2527 โดยประกาศปรับปรุงระบบแลกเปลี่ยนเงินตราจากอัตรา 23 บาท เป็น 27 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในการนี้ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกได้ทำหนังสือขอให้รัฐบาลทบทวนการประกาศลดค่าเงินบาทและขอให้ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี ทั้งยังออกอากาศในรายการสนทนาปัญหาบ้านเมือง ทางสถานโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ไม่เห็นด้วยกรณีรัฐบาล ซึ่งมันสร้างความเสียหายแก่ธุรกิจนับพันรายและนักลงทุนจำนวนมาก ธุรกิจทรัสต์และแชร์เถื่อน (chit fund) ที่กำลังเฟื่องและดึงเงินออมจากชนชั้นกลางและชนชั้นสูงหลายพันรายก็พากันล้มระเนระนาด แชร์เถื่อนเป็นธุรกิจประเภทเงินต่อเงิน (pyramid schemes) ที่เฟื่องฟูมาก่อนหน้านั้นหลายปีโดยปราศจากการควบคุมตรวจสอบของรัฐบาล เพราะหลายแห่งมีเส้นสายในรัฐบาล โดยเฉพาะแชร์แม่ชม้อยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี 2520-2528 โดยการระดมเงินจากประชาชนในรูปการเล่นแชร์น้ำมัน ซึ่งนางชม้อย ทิพย์โส ได้หลอกลวงประชาชนว่าได้ดำเนินกิจการค้าน้ำมันทั้งในและนอกประเทศ มีบริษัทค้าน้ำมันทำการค้าน้ำมันทุกชนิด มีเรือเดินทะเลขนส่งน้ำมัน ได้ชักชวนประชาชนให้มาเล่นแชร์น้ำมัน โดยรับกู้ยืมเงินจากประชาชนและให้ผลตอบแทนสูงเป็นรายเดือน คิดจากการร่วมลงทุนเป็นรถบรรทุกน้ำมันคันรถละ 160,500 บาท ให้ผลตอบแทนเดือนละ 12,000 บาท หรือร้อยละ 6.5 ต่อเดือน หรือร้อยละ 78 ต่อปี และหักเงินไว้ร้อยละ 4 ของผลประโยชน์ที่ได้รับในรอบปี เพื่อเก็บภาษีการค้าและหักค่าเด็กปั้มไว้อีกเดือนละ 100 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกยกเมฆขึ้นมาเองทั้งสิ้น นางชม้อย ได้จ่ายผลประโยชน์ให้ผู้ลงทุนตรงตามเวลาที่นัดหมายทุกเดือน นอกจากนั้นในรายที่ต้องการถอนเงินต้น ก็สามารถถอนได้ทุกราย อีกทั้งนางชม้อยยังทำงานอยู่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยอีกด้วย ทำให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อนำเงินไปลงทุนกว่าหมื่นรายโดยมีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 1หมื่นล้านบาท มีผู้เสียหายจำนวน 13,248 คน ในช่วงแรกผู้ให้กู้ยืมอยู่ในหมู่ผู้ที่มีฐานะการเงินดี แต่ต่อมาได้แพร่หลายออกไปรวมทั้งประชาชนในต่างจังหวัดลงไปถึงประชาชนผู้มีฐานะการเงินไม่ดีก็สามารถเล่นได้ โดยแบ่งเล่นเป็นล้อคือ หนึ่งในสี่ของจำนวนเงินต่อคันรถน้ำมัน ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อ 27 กรกฎาคม 2532 ว่าจำเลยทมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา รวม 23,519 กระทง รวมจำคุกคนละ 154,005 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว คงจำคุกทั้งสิ้นคนละ 20 ปี ทรัพย์สินของนางชม้อย กับพวกได้ถูกเฉลี่ยคืนให้แก่ผู้เสียหายในคดี นางชม้อยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำเพียง 7 ปี 11 เดือน 5 วัน เพราะได้รับการลดลงโทษ 2 ครั้ง และพ้นโทษเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2536 คดีแชร์แม่ชม้อยนี้พัวพันนักลงทุนจำนวนมากที่เป็นคนในกองทัพกับคนในวัง ซึ่งอาจจะรวมไปถึงพระราชินีสิริกิติ์ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ฟ้าหญิงอุบลรัตน์และฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ด้วย เมื่อคนสำคัญระดับนี้ทำท่าจะสูญเงินมหาศาลไปกับการล้มครืนของแชร์เเม่ชม้อย พลเอกอาทิตย์ก็ขยับทำท่าเคลื่อนไหวอีก โดยขู่จะก่อรัฐประหารหากรัฐบาลไม่ยกเลิกการลดค่าเงินบาทและช่วยอุ้มธนาคารกับพวกแชร์เถื่อน
คราวนี้ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงออกโรงช่วยพลเอกเปรมด้วยพระองค์เอง โดยไม่จำเป็นต้องมีพระราชดำรัสอะไรเลย แค่ทรงโปรดฯให้พลเอกเปรมไปพักที่ตำหนักภูพานราชนิเวศน์เป็นเวลาเก้าวัน และในทุกๆวันสื่อก็จะมีการเผยแพร่ภาพพลเอกเปรมอยู่กับพระเจ้าอยู่หัว พระราชินีและฟ้าชายวชิราลงกรณ์ พร้อมทั้งมีสัญญาณที่ชัดเจนคือ พลเอกเปรมกลับมากรุงเทพฯพร้อมกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์และนาวาอากาศเอกวีระยุทธ พระสวามีของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เมื่อพลเอกอาทิตย์บินไปเข้าเฝ้าฯที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ พลเอกเปรมก็ยังหวนกลับไปอีก พวกเขาได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวโดยไม่มีการเปิดเผยว่าทรงมีรับสั่งว่าอย่างไร แต่จบลงด้วยการที่พลเอกเปรมยังอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและพลเอกอาทิตย์ก็ไม่ถูกลงโทษฐานก่อการกระด้างกระเดื่อง การลดค่าเงินบาทไม่ถูกยกเลิกและแชร์แม่ชม้อยก็ปิดฉากลง หลังจากเปรมจัดการเก็บกวาดอะไรต่างๆเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว แม่ชม้อยก็ถูกจับและถูกควบคุมตัวอย่างลับๆ ที่กองทัพอากาศจนกระทั่งทางวัง ตลอดทั้งนายทหารและคนระดับสูงได้รับการชดใช้และชดเชยความเสียหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นนางชม้อยจึงได้ถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายและถูกตัดสินจำคุก การไต่สวนนางชม้อยได้รับการบันทึกด้วยกล้องวีดีโอและเทปก็ถูกปิดผนึกเก็บไว้ คงเพื่อปกป้องชื่อเสียงของวัง ในขณะที่คนอื่นๆนับพับนับหมื่นคนต้องสูญเงินไปทั้งหมดเลย
มีคนวิพากษ์วิจารณ์วังกับพลเอกเปรม ว่าความแตกแยกในกองทัพแสดงถึงการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นนำทางการเมืองที่จะแก้ไขได้ก็ด้วยการเป็นประชาธิปไตย ที่ยึดหลักกฎหมายและสร้างความโปร่งใสในการบริหารงานมากขึ้นเท่านั้น แต่ในหลวงภูมิพลทรงโต้ตอบเรื่องนี้ว่า พระองค์จะจัดการดูแลเรื่องกองทัพเองและคนอื่นไม่ต้องมากังวล ขณะที่ทรงเตือนอย่างเป็นปริศนาถึง “ศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ในหมู่พวกเราเอง”
และทรงบอกประชาชนทั้งประเทศว่านี่เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยในพระบรมราโชวาทในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในวันถัดมาว่า “ประเทศของเรามีมาอย่างยาวนานก่อนหน้าประเทศศิวิไลซ์อื่นๆ ในแง่ที่ว่าเราสามารถอยู่ร่วมกันเพื่อปฏิบัติหน้าของแต่ละคนได้กระทั่งอาจถือได้ว่าบางคนที่นี่มีความขัดแย้งกัน แต่ก็มาอยู่รวมกันในที่นี้เพราะเชื่อว่าพวกเขาเป็นคนไทยที่มีภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม” ทรงแถมด้วยการประณาม “หนังสือตำรา” ที่อธิบายเป็นอย่างอื่น
ในหลวงภูมิพลและพลเอกเปรมต่างก็มีความมั่นใจในระบอบของพวกเขาเท่าที่เป็นอยู่ในปี 2528 มากเสียจนทำให้พลเอกอาทิตย์ได้รับการต่ออายุราชการและควบทั้งสองตำแหน่งไปจนถึงเดือนกันยายน 2529 และในหลวงภูมิพลก็ทรงหันกลับไปแล่นเรือเป็นประจำที่หัวหินและเล่นดนตรีแจ๊ซบ่อยครั้งขึ้น ทรงอธิบายว่า “มันทำให้เรามีความสุขและผ่อนคลาย ไกลกังวลจากเรื่องต่างๆ”
และแล้วความขัดแย้งในกองทัพก็ระเบิดขึ้นมาอีก ในเดือนกันยายน 2528 ขณะที่พลเอกเปรมเดินทางไปเยือนอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ พลเอกอาทิตย์อยู่ยุโรป พระราชวงศ์ประทับอยู่ต่างจังหวัด พวกยังเติร์กพยายามยึดอำนาจอีกครั้ง คราวนี้พวกยังเตอร์กยอมอ้างความจงรักภักดี รถถังกับรถบรรทุกของพวกเขาประดับพระบรมฉายาลักษณ์กรอบใหญ่ของในหลวง พระราชินี และฟ้าชายแต่การรัฐประหารล้มเหลวเมื่อทหารราบหลายหน่วยที่นัดกันไว้ว่าจะออกมาสมทบกลับไม่มา พลเอกเปรมรีบกลับจากจาการ์ตา และหลังจากใช้เวลาเจรจาสิบชั่วโมงเรื่องก็จบ โดยมีการชี้แจงว่าเป็นความใจร้อนของยังเติร์กล้วนๆไม่มีอะไรอื่น แต่มีการชี้นิ้วไปที่ตัวบงการหลายคน ทั้งพลเอกอาทิตย์และพลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ ที่อนาคตต้องดับวูบลงไปด้วยการผงาดขึ้นมาของพลเอกอาทิตย์และจปร.5 บางคนตั้งข้อสงสัยว่ายังเติร์กตกเป็นเหยื่อถูกหลอกให้ออกมาเพื่อหาเรื่องเล่นงานใครบางคน พลเอกเปรมนำผู้สมรู้ร่วมคิด 40 คนเข้าสู่การไต่สวนข้อหากบฏ แต่เมื่ออยู่ในชั้นศาล ก็ไม่มีใครต้องการให้ความจริงถูกเปิดเผยออกมา พยานที่