ตำนานกษัตริย์ตอนที่ 10 : พลเอกเปรม นายกของพระเจ้าอยู่หัวตัวจริง
-โดย ช้างเผือก งาดำ
การทํารัฐประหารของพลเอกเกรียงศักดิ์ล้มรัฐบาลธานินทร์ที่เป็นตัวแทนของพระเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ.2520 ไม่ได้ให้บทเรียนแก่ในหลวงเลยว่าพระองค์ทรงถลำเขาไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในครั้งนั้นมากเกินไปแล้ว ในทางตรงข้ามกลับทำให้พระองค์แค่ตระหนักว่าการมีร่างทรงที่เป็นพลเรือนนั้นไม่เพียงพอ พระองค์จำเป็นต้องมีขุนทหารที่เป็นมือเป็นเท้าของพระองค์และสามารถกุมกองทัพไว้ในมือได้เพื่อสนองพระราชประสงค์ได้อย่างเต็มที่และอย่างมั่นคง บุคคลที่ดูจะมีคุณสมบัติเพียบพรอมในสายพระเนตร ก็คือ พลเอกเปรม รัฐมนตรีคนหนึ่งรัฐบาลเกรียงศักดิ์ สิ่งที่พระองค์ต้องทำก็คือหาโอกาสเหมาะๆ ผลักดันพลเอกเปรมให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนตอไป
รัฐบาลเกรียงศักดิ์ประกาศใช้รัฐธรรมนูญตามที่ได้ให้สัญญาไว้ในป พ.ศ. 2521 ประกอบดวย ระบบสองสภาเหมือนเดิม มีวุฒิสมาชิกสภา 225 คน จากการแต่งตั้งของนายกรัฐมนตรี (ไมใช่กษัตริย์) และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรที่มาจากการเลือกตั้ง 310 คน ทหารและข้าราชการเปนวุฒิสมาชิกได นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็ไมจําเป็นตองเป็นสมาชิกรัฐสภา ทําให้นายกเกรียงศักดิ์สามารถตั้งรัฐมนตรีจากพวกนักวิชาการซึ่งสวนใหญ่เปนที่พอใจของพระเจ้าอยู่หัว และเปิดโอกาสให้พลเอกเกรียงศักดิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยที่ไม่ตองลงเลือกตั้งและไม่ต้องมีพรรคการเมืองเปนของตนเอง กอนการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2522 พลเอกเกรียงศักดิ์มีวุฒิสมาชิกสภาเกือบ 200 คนในมือ จากกลุมนายทหารและตํารวจที่พลเอกเกรียงศักดิ์แต่งตั้งที่พร้อมสนับสนุนตนให้เป็นนายกรัฐมนตรี
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดเมื่อ26 สิงหาคม พ.ศ. 2463 แก่กว่าในหลวง 7 ปี ที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรชายคนรองสุดท้อง จากจำนวน 8 คน ของรองอำมาตย์โทหลวงวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ต้นตระกูลติณสูลานนท์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2480 จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเทคนิคทหารบก รุ่นที่ 5 สังกัดเหล่าทหารม้า (โรงเรียนนี้ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2477 ต่อมาคือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า)เข้ารบในสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่ ปอยเปต กัมพูชา ทำการรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่าง พ.ศ. 2485-2488 ที่เชียงตุง
ติณสูลานนท์ คือนามสกุลพระราชทานจาก รัชกาลที่ 6 ในปี 2462 แก่หลวงวินิจทัณฑกรรม
ความหมายแห่งนามสกุลนี้ถอดความได้ว่า ติณ แปลว่า หญ้า /สูลา แปลว่า คม ยอด /
นนท์ แปลว่า ความพอใจ ความยินดี
ติณสูลานนท์ แปลว่า ความพอใจ หรือความยินดีในหญ้าที่มีคม
ความหมายที่ 2 พระมหาเวก วัดชนะสงคราม อธิบายว่า ติณสูลานนท์ หมายถึง ความยินดีในการปฏิบัติหน้าที่พะทำมะรง (พัศดี) ที่มีเครื่องหมายเป็นของมีคม เช่น หลาว หอก ดาบ
พลเอกเปรมเป็นทหารอาชีพ มีประวัติการรบที่น่าเชื่อถือ เป็นผู้บังคับบัญชาที่มีความเข้มงวดสูงแต่ลูกน้องรัก ไม่มีปัญหากับใคร เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติและสมาชิกวุฒิสภาหลายสมัยติดต่อกัน เป็นแม่ทัพภาคที่สองรับผิดชอบพื้นที่ภาคอิสานกลางทศวรรษที่ 2510 ทำสงครามปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์โดยใช้การเมืองนำการทหารที่ผสมผสานการพัฒนาสังคมกับยุทธการทางทหารที่เด็ดขาด และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกอรมน.ที่มีเพื่อนเก่าแก่ที่สุดคนหนึ่งคือพลตรีสุตสาย หัสดินที่เป็นหัวหน้ากระทิงแดง ทั้งคู่เข้าโรงเรียนมัธยม โรงเรียนเตรียมทหารและการฝึกอบรมพิเศษในสหรัฐมาด้วยกัน พลเอกเปรมเป็นคนพูดเบามากและเคารพระบบอาวุโสและลำดับฐานะบุคคลอย่างเข้มงวด เป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยมากจนไม่มีใครสามารถเปิดเผยรสนิยมรักร่วมเพศของเขาได้ พลเอกเป็นคนหนักแน่นและมีวินัยแต่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์ ไม่
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตำนานกษัตริย์ตอนที่ 10 : พลเอกเปรม นายกของพระเจ้าอยู่หัวตัวจริง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตำนานกษัตริย์ตอนที่ 10 : พลเอกเปรม นายกของพระเจ้าอยู่หัวตัวจริง แสดงบทความทั้งหมด
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
จบ
เจ้าอยู่หัว-พลเอกเปรม-และกองทัพกลายมาเป็นประเด็นหลักในการหาเสียง ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง พลเอกเปรมผูกการกลับมาเป็นนายกฯ ของเขากับงานเฉลิมฉลองการครองราชย์นานที่สุด แทนที่จะลงเลือกตั้ง เขากลับทึกทักว่าการจัดงานเฉลิมฉลองโดยผูกตัวเขากับบารมีของวัง เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้ว แต่ในเดือนมิถุนายน นักวิชาการชั้นนำ 99 คนได้ลงชื่อถวายฎีการ้องเรียนไปยังพระเจ้าอยู่หัว กล่าวหาพลเอกเปรมว่าแอบอ้างวังและใช้กองทัพข่มขู่เพื่อรักษาอำนาจของตนต่อไป พวกเขาใช้ภาษาอย่างระมัดระวัง และอธิบายว่าการกระทำของพวกเขาเป็นไปเพื่อปกป้องพระเกียรติยศของพระเจ้าอยู่หัว และพวกเขากลัวว่ากองทัพกำลังทำลายกระบวนการประชาธิปไตย แต่เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาอยู่ที่การที่วังอนุญาตให้เปรมอ้างการสนับสนุนจากพระเจ้าอยู่หัว พวกเขาหาญกล้าเรียกร้องให้พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลหยุดแทรกแซงระบอบประชาธิปไตย พลเอกเปรมปัดพวกเขาออกไปชั่วครู่ขณะนำการเฉลิมฉลองสถิติการครองราชย์นาน 42 ปี 23 วันของในหลวงภูมิพล ซึ่งนานกว่าใครทั้งในต้นโกสินทร์ อยุธยาหรือสุโขทัย หลังจากพิธีรำลึกบุรพกษัตริย์ราชวงศ์จักรีในพระบรมมหาราชวังแล้ว พลเอกเปรมก็ตามเสด็จพระราชวงศ์ไปอยุธยาเพื่อสักการะพระมหากษัตริย์อยุธยาทั้ง 33 พระองค์ ผลการเลือกตั้งออกมาอย่างเคย ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมาก พลเอกเปรมวางตัวเองอยู่ในตำแหน่งประสานงานพรรคต่างๆ เพื่อนั่งเก้าอี้นายกฯ อีกครั้ง แต่การที่เขาปฏิเสธที่จะลงเลือกตั้งกับประเด็นหลักการประชาธิปไตยทั่วไปกลายเป็นประเด็นสำคัญต่อสาธารณะ และความคิดที่นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้งก็จุดติดในหมู่นักการเมืองและผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ผู้ประท้วงราวหนึ่งพันคนเดินขบวนไปที่หน้าบ้านพลเอกเปรม ผู้นำพรรคการเมืองและคนอื่นๆ ก็เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้นายกฯ มาจากสส.ที่ได้รับการเลือกตั้ง ขณะที่ทั้งประเทศกำลังจดจ่อรอดูว่าในหลวงภูมิพลจะเสด็จลงมาอุ้มพลเอกเปรมอีกหรือไม่ พลเอกเปรมตัดสินใจถอนตัว ทำให้ในหลวงภูมิพลไม่ต้องเปลืองตัวในการเลือกระหว่างประชาชนกับผู้นำกองทัพ นายกฯ ส้มหล่นได้แก่พลตรีชาติชาย ชุณหวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทยที่ได้ที่นั่งมากที่สุด เขาเป็นอดีตทหารม้า นักการทูตนักธุรกิจที่ลื่นไหล และลูกชายของจอมพลผิณ ชุณหะว้ณผู้อื้อฉาวในยุคทศวรรษ 2490
ทำไมประชาชนจึงไม่เห็นคุณค่าของรัฐบาลทหารพระราชทานของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล คำตอบที่เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วก็คือ พลเอกเปรมนั้น แทบไม่ทำอะไรเลยตลอดแปดปี นอกจากปกป้องเก้าอี้ของตนและราชบัลลังก์ของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล รัฐบาลพลเอกเปรมได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้เลวน้อยไปกว่ารัฐบาลพลเรือนเลยในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น การใช้อำนาจบาตรใหญ่และเช้าชามเย็นชาม ปัญหาสังคมอาจเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ กรุงเทพฯที่กำลังเติบโตเนื่องมาจากการลงทุนของต่างชาติ แต่ในชนบท ความยากจนยังปรากฏอยู่ที่ไป ในปี 2531 ครอบครัวไทยมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์มีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจนที่เป็นทางการ แทบไม่มีอะไรกระเตื้องขึ้นจากทศวรรษก่อนหน้า คนรวยรวยขึ้น คนจนจนลง ในปี2531 คนไทยที่รวยที่สุด 20เปอร์เซ็นต์แรกมีรายได้ 56 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่ 20เปอร์เซ็นต์ที่จนที่สุดมีส่วนแบ่งรายได้แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตัวเลขในปี 2519 ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม คือ 49 เปอร์เซ็นต์ที่จนที่สุดมีส่วนแบ่งรายได้แค่ 6 เปอร์เซ็นต์ ปัญหาชาวนาไร้ที่ทำกินยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ในปี 2531 ครอบครัวชาวนาห้าแสนครอบครัวไม่มีที่ทำกิน คิดเป็นสัดส่วนราวสิบเปอร์เซ็นต์ของครอบครัวชาวนาทั้งหมด และอีกห้าแสนครอบครัวที่มีที่ทำกินไม่ถึง 10 ไร่ ส่วนใหญ่แล้วไม่พอกิน นอกจากนี้คนไทยหลายล้านคนอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมายในเขตป่าเสื่อมโทรม ขณะที่มีการทุ่มเทเงินงบประมาณให้กองทัพ
แต่บริการสาธารณสุขและการศึกษาก็ตามไม่ทันการเติบโตของจำนวนประชากร ระดับประถมและมัธยมมีอัตราเลิกเรียนสูง การศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยต่ำ คนไทยมากกว่าหนึ่งในห้าจบไม่เกินประถมสี่ เรียนแค่เพียงให้รู้ว่าต้องเคารพพระเจ้าอยู่หัวและข้าราชการเท่านั้น ความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อมเริ่มเป็นหายนะ พื้นที่ที่ควรเป็นป่าสงวนหลายล้านไร่ถูกตัดขายด้วยอิทธิพลทางการเมืองและการทหาร ขณะที่แหล่งน้ำและอากาศก็เกิดมลภาวะอย่างรุนแรง อาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น การค้ายาเสพติดสร้างรายได้มากกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งๆที่มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าพลเอกเปรมเป็นคนมือสะอาด แต่ก็ต้องเลี้ยงสมุนและบริวารที่เอาแต่ทุจริตคอรัปชั่นเพื่อความอยู่รอดของตนเอง มีรัฐมนตรีขี้โกงอย่างนายบรรหารที่เป็นคนโปรดแล้ว พลเอกเปรมยังให้พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลามือขวาด้านความมั่นคงของเขาเข้ายึดครองพรรคกิจสังคมโดยไปเป็นพวกกับเจ้าพ่อชั้นนำของประเทศสองคนคือ กำนั้นเป๊าะแห่งชลบุรีกับชัช เตาปูนเจ้าของบ่อนเตาปูน ซึ่งมีตำแหน่งในพรรคทั้งคู่ ที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นการแตกแยกและการทุจริตในกองทัพภายใต้การดูแลของพลเอกเปรม แทนที่กองทัพจะเล็กลงและเป็นมืออาชีพมากขึ้น บรรดานายทหารเอาแต่ทุจริตคอรัปชั่นจนพากันอิ่มหมีพีมันและย่อหย่อนความสามารถในการทหารสมัยใหม่ ทหารเข้าแทรกแซงการเมือง วงการธุรกิจและแม้แต่วงการอาชญากรรมมากขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งขยายความแตกแยกและความหย่อนยานทางวินัยซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา โดยรวมแล้ว สังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปมากกำลังตั้งข้อเรียกร้องที่นักการเมืองพันธุ์เก่าไม่คุ้นเคย การที่ในหลวงภูมิพลจะทรงมองเรื่องนี้ไม่ออกนั้นเป็นที่เข้าใจได้ เพราะบรรดาที่ปรึกษาของพระองค์ส่วนใหญ่มีอายุน้อยกว่าและมีประสบการณ์น้อยกว่า พระองค์จึงต้องพึ่งพาอาศัยพระองค์ในการวิเคราะห์ ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามหรือแย้งพระเจ้าอยู่หัว ส่วนใหญ่หมอบกราบแซ่ซร้องสดุดีความคิดของในหลวงอย่างเดียว บริวารใกล้ชิดกราบทูลพระองค์ว่าพลังประชาชนใหม่นี้ก็เป็นเหมือนพคท. เป็นภัยคุกคามต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มนฟังดูแท้จริงอย่างมากสำหรับพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ที่ยังคงให้ท้ายกองทัพในการอ้างอำนาจครอบงำเหนือการเมืองต่อไป
++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++
ต่อ
ถางป่าสงวนบนยอดดอยอินทนนท์เพื่อสร้างพระเจดีย์ถวายในหลวงและพระราชินีพระองค์ละหนึ่งแห่ง ปลายปี 2529 พลเอกเปรมประกาศอย่างเป็นทางการถวายพระเกียรติยศให้ในหลวงภูมิพลเป็น “อัครศิลปิน” เป็นการโหมโรงก่อนที่จะประกาศถวายพระเกียรติเป็น“มหาราช”ในเดือนธันวาคม 2530 โดยทำเหมือนว่าประชาชนไทยทั้ง 41 ล้านคนพร้อมใจกันถวายตำแหน่งมหาราชเพื่อยกระดับพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลให้เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เทียบเท่าพ่อขุนรามคำแหง พระนเรศวรและรัชกาลที่ 5 โดยทุกพระองค์ที่ล้วนได้ตำแหน่งมหาราชหลังสิ้นพระชนม์ไปแล้วทั้งสิ้น (ในปี 2526 มรว.ทองน้อยเขียนแก้ตัวให้ในหลวงภูมิพลว่า ทรงยืนกรานปฏิเสธการยกย่องพระองค์เป็นมหาราช เพราะควรปล่อยให้ประวัติศาสตร์เป็นผู้ตัดสิน) ไม่กี่เดือนต่อมา ฟ้าหญิงสิรินธรก็ทรงได้รับขนานพระนามเป็น อัครอุปถัมภ์แห่งมรดกวัฒนธรรมไทย
การสรรเสริญสดุดีทั้งหมดนี้คือความพยายามแสดงว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลได้ทรงบรรลุถึงขั้นเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว พระสงฆ์สวดภาวนาถวายให้พระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ และมีการโหมโฆษณาพระราชกรณียกิจที่ทรงอุทิศพระองค์ต่อพระพุทธศาสนา กรมการศาสนาทำการสังคายนาพระไตรปิฎกเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าอยู่หัว การสังคายนาพระไตรปิฎกถือเป็นงานใหญ่และไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก เป็นเครื่องบ่งบอกถึงพระอัจฉริยภาพของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลที่ได้ทรงเล็งเห็นและจัดการแก้ไขความบกพร่องในพระธรรมคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรว.คึกฤทธิ์ ได้บรรยายแก่สโมสรนักข่าวต่างชาติประจำประเทศไทย เมื่อ 22 มิถุนายน 2531 โดยป่าวประกาศถึงสภาวะเข้าใกล้ความเป็นเทพเจ้าของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล เขาเล่าถึงโครงการพระราชดำริต่างๆ อันวิเศษมหัศจรรย์ของพระองค์ซึ่งหากตกอยู่ในมือของรัฐบาลแล้วก็มีแต่จะล้มเหลวไม่ได้เรื่อง เขายกความดีให้เป็นผลมาจากการที่ในหลวงภูมิพลทรงเป็นทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ไปพร้อมๆก้น แม้จะดูขัดๆกันเองก็ตาม ว่า...
พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นอะไรที่ใกล้ชิดและเป็นที่รักของประชาชน ทรงถูกถือเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวและในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ยังเชื่อว่า ในหลวงคือพระเจ้า บางทีก็เป็นการยากที่ประชาชนจะหาสมดุลระหว่างความใกล้ชิดที่พวกเขารู้สึกต่อพระเจ้าอยู่หัวกับความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งที่พวกเขาเชื่อว่าพระองค์มี ในขณะเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวก็ต้องทรงรู้สึกว่าลำบากที่จะหาสมดุลระหว่างการเป็นมิตรของครอบครัวกับข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงสูงส่งอย่างยิ่ง ในงานพระราชพิธีและในวาระที่เป็นทางการ พระเจ้าอยู่หัวจะต้องทรงแสดงแง่มุมความศักดิ์สิทธิ์ออกมาในปริมาณหนึ่ง พระองค์ไม่สามารถเป็นมนุษย์ได้ล้วนๆ และในเวลาเดียวกันก็ต้องพยายามเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างมากเวลาเสด็จเดินสายต่างจังหวัด ทรงต้องเยี่ยมเยียนชาวบ้านถึงกระไดบ้าน เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าอยู่หัวนี่แหล่ะที่ได้ทำให้ประเทศชาติมีเสถืยรภาพมั่นคง
มรว.คึกฤทธิ์ได้สนับสนุนคำอ้างนี้ด้วยการเล่าถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า “ปาฏิหาริย์ที่เป็นจริง” นั่นคือการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ที่อยู่ในเขตลุ่มน้ำห้วยฮ่องไคร้ จากเดิมที่มีสภาพเป็นป่าเต็งรังเสื่อมโทรม ว่าเพียงหลังจากในหลวงทรงนำน้ำและสหกรณ์เข้ามาเท่านั้น ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นั่นก็ดีขึ้นทันตาเห็น “ถ้าคุณไปที่นั่นตอนนี้ คุณก็จะพบสวนแห่งอีเดน(หรือสวนสวรรค์บนดิน) นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในรัชกาลนี้”
นักข่าวต่างชาติต่างพากันหัวเราะคิกคักกับเรื่องความเป็นเทพเจ้าของพระเจ้าอยู่หัว เหมือนฟังเรื่องอภินิหารของพ่อมดหมอผีแห่งชนเผ่ามนุษย์กินคนในทวีปอัฟริกา แต่พวกเขาก็พร้อมใจกันก้มหน้าก้มตารายงานว่าความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับการพัฒนาประเทศล้วนเกิดจากพระเจ้าอยู่หัวอย่างน่าอัศจรรย์ นิวยอร์คไทมส์เขียนว่า “พระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ประจักษ์ในโครงการพัฒนาในพระราชดำริต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงริเริ่มและดูแลมาตั้งแต่ปีแรกๆ ที่ขึ้นครองราชย์ การใช้โครงการพระราชดำริหรือพระนามของพระองค์ย่อมเป็นหลักประกันว่าโครงการนั้นจะได้รับการปฏิบัติอย่างทุ่มเทและไม่มีข้าราชการหน้าไหนที่จะกล้าเฉื่อยชาหรือทำตัวเป็นอุปสรรค”
แต่การเชิดชูสดุดีพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้ช่วยปกป้องรัฐบาลเปรมเสมอไป ในปี 2530 พลเอกเปรมต้องเผชิญการท้าทายและการโจมตีที่หนักข้อขึ้นโดยบางส่วนมาจากองค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอที่กำลังเริ่มก่อตัวท้าทายรัฐบาลด้วยประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเด็นหนึ่งคือการรณรงค์ต่อต้านการสร้างเขื่อนน้ำโจนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้มีความกล้าหาญและมีพลัง งานนี้รวมคนได้กว้างขวางอย่างน่าทึ่ง คือมีทั้งเกษตรกร พ่อค้าในเมือง นักวิชาการและปัญญาชนกับนักสิ่งแวดล้อม ต่างพากันคัดค้านเขื่อนเพราะมันจะทำให้เกิดน้ำท่วมเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่กินพื้นที่กว้างใหญ่บริเวณชายเเดนภาคตะวันตกและทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องไร้ที่อยู่ที่ทำกิน พวกเขาโจมตีพลเอกเปรมที่ตัดสินใจเดินหน้าโครงการโดยไม่มีการปรึกษาหารือประชาชน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่มีผู้ว่าการคือนายเกษม จาติกวนิชย์ ซึ่งเป็นคนโปรดของพระเจ้าอยู่หัว ที่มีประวัติอันยาวนานในการทำลายสิ่งเเวดล้อมและการละเลยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ การประท้วงครั้งนี้ทำให้ในหลวงภูมิพลพลอยเสียชื่อไปด้วยอย่างอ้อมๆ เพราะการสร้างเขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตถูกยกให้เป็นผลงานของพระองค์ในการจัดการเรื่องแหล่งน้ำ ศึกครั้งนี้ยืดเยื้อข้ามปี 2530 และในที่สุด พลเอกเปรมกับกฟผ.ก็ยอมยกเลิกโครงการในต้นปี 2531 อย่างไม่เป็นท่า
การท้าทายต่อระบอบเปรมที่มีเจ้าหนุนหลังอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในการสังคายนาพระไตรปิฎก โดยพระสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายมองเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงเบื้องหลังงานใหญ่นี้คือการหาเรื่องเฉลิมฉลองวโรกาศพระชนมพรรษา 60 ปี ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่า เนื่องจากการกำหนดเส้นตายให้เสร็จภายในสองปีนั้นเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่ยอมเร่งมือและปล่อยให้กำหนดการนั้นถูกยกเลิกไป
พระราชวังและพลเอกเปรมได้พยายามสร้างระบอบวังร่วมกับกองทัพให้มั่นคงถาวร พระเจ้าอยู่หัวทรงบรรยายแก่กลุ่มนักข่าวไทยที่ไปเยี่ยมชมศูนย์โครงการพัฒนาในพระราชดำริที่เชียงใหม่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2530 โดยทรงเน้นว่าพระราชดำริของพระองค์มีความเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบท และระบบการเมืองก็ต้องมีความสอดคล้องกับบุคลิกความเป็นไทย พระราชดำรัสนี้เปิดให้มีการตีความไปได้หลายทาง สัปดาห์ต่อมาพลเอกเปรมก็บอกแก่คณะรัฐมนตรีของเขาว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนให้กองทัพมีบทบาทครอบงำการเมืองอย่างเป็นทางการ คนรับนโยบายของพลเอกเปรมคือผบ.ทบ.คนใหม่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้มีบทบาทในการร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523ประกาศใช้เมื่อ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 เพื่อเป็นแนวทางในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ สาระสำคัญของคำสั่งนี้ คือ การใช้หลักการเมืองนำการทหาร ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ได้ระบุถึงสาเหตุของการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ว่าเป็นเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยพลเอกชวลิตได้มีบทบาทในการดำเนินนโยบายทางสังคมและการเมืองของกองทัพในเขตชนบท โดยให้กองทัพเป็นผู้ควบคุมบางจังหวัด พลเอกชวลิตได้ช่วยพลเอกเปรมปราบปรามความพยายามก่อรัฐประหารมาหลายครั้ง เมื่อพลเอกอาทิตย์กระเด็นไปแล้ว พลเอกชวลิตก็มองว่าตนเองจะเป็นผู้ที่จะสืบทอดอำนาจต่อจากพลเอกเปรม
พลเอกชวลิตย้ำว่ามันคือพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัว เขาประกาศว่ากองทัพคือพลังหลักของประเทศในการพัฒนาและการบรรเทาความยากจน ภายใต้การชี้แนะของพระเจ้าอยู่หัว เรามีที่ดิน แหล่งน้ำ แรงงานที่มีวินัยและอุปกรณ์เครื่องมือมหาศาล ส่วนวิธีการนั้นเราหาได้จากหน่วยงานอื่นๆ กำลังพลได้เข้ารับการอบรมเรื่องการพัฒนาเพื่อรับดำเนินงานในโครงการในพระราชดำริจำนวนมากที่ใหญ่โตที่สุดคือโครงการอีสานเขียวอันโด่งดังของพลเอกชวลิต ที่จะพลิกแผ่นดินแห้งแล้งของอีสานให้เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาให้ได้ ใช้งบประมาณกว่า 13,500 ล้านบาท โดยถูกจัดสรรผ่านหน่วยงานต่างๆ ภายใต้การกำกับดูแลของกองทัพ และทหารจำนวนมากได้ออกไปสร้างอ่างเก็บน้ำ ถังน้ำ และขยายโครงการผันน้ำต่างๆ และยังได้ปลูกป่ายูคาลิปตัสเพื่อป้อนโรงงานเยื่อกระดาษโดยอ้างว่าเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่า แต่กองทัพกลับถูกโจมตีว่าแย่งบทบาทการทำงานของรัฐบาลโดยใช้โครงการพระราชดำริเป็นข้ออ้าง กองทัพถูกวิจารณ์ว่าได้ผลาญเงินงบประมาณประเทศไปกว่าหนึ่งในสี่ ซึ่งมากกว่างบสาธารณสุขและการศึกษามากนัก นักวิจารณ์เรียกกองทัพว่าเป็นเพียงอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่รับใช้แต่ตัวเองเท่านั้น โดยใช้งบประมาณของรัฐบาลสร้างอำนาจให้ตนเอง พวกเขาชี้ถึงการใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยของบรรดานายพลเศรษฐีนับสิบรายว่าเป็นหลักฐานแสดงถึงการทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างมโหฬาร และนักวิจารณ์บางคนก็ถามอย่างกวนๆ ว่าอีสานเขียวหมายถึงพืชพันธุ์ธัญญาหารหรือแค่เครื่องแบบทหารกันแน่ บรรดานายทหารก็แก้ตัวแบบเดียวกับที่วังได้ใช้โต้มาก่อนหลายปีแล้ว ว่านักการเมืองกับนักธุรกิจนายทุนนั้นฉ้อฉลและเห็นแก่ตัว เรื่องนี้ถึงกับมีการสอนในวิชาปรัชญาการเมืองที่โรงเรียนนายร้อยจปร. โดยกองทัพเผยแพร่ทัศนะนี้ผ่านสื่อด้วยคำขวัญอย่างเช่น “มีแต่กองทัพเท่านั้นที่ไม่เคยทอดทิ้งประชาชนและจริงใจต่อประชาชน มีแต่กองทัพเท่านั้นที่เป็นความหวังให้กับประชาชนได้”
แต่ว่ากองทัพก็ไม่สามารถอ้างว่าพวกตนมีมาตรฐานทางคุณธรรมสูงกว่าคนอื่นอีกต่อไปแล้ว เพราะฝ่ายค้านในสภาได้เตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกเปรมในเดือนเมษายน 2530 แต่ว่าพลเอกเปรมใช้เล่ห์กลตัดแข้งตัดขาและซื้อตัวสส.กันอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้ญัตติต้องตกไปเพราะคะแนนเสียงไม่พอ แต่ประชาชนก็ได้เห็นทางโทรทัศน์ว่าสส.ได้เยาะเย้ยหยามหยันรัฐบาลพลเอกเปรมที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุน และยังได้ยินถ้อยคำโจมตีพลเอกเปรมอย่างที่ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน อย่างเช่น มรว.คึกฤทธิ์กล่าวหาว่า ”พลเอกเปรมทำตัวยังกับเป็นพระเจ้าอยู่หัวเสียเอง การที่ผู้นำรัฐบาลไปเยี่ยมชาวบ้านและเอาแต่พูดถึงความจงรักภักดีของตนนั้นเป็นแค่ลูกไม้เพื่อสร้างความนิยมให้กับตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในอนาคต เผื่อว่าเกิดมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมา ประชาชนก็ต้องเลือกเขา เพราะชาวบ้านก็จงรักภักดีเหมือนกัน ผมรู้สึกน่าอับอายในฐานะคนไทยที่ต้องยอมให้คนๆ หนึ่งอยู่เหนือการเมืองและการวิพากษ์วิจารณ์ คนที่กลายมาเป็นเหมือนกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ว่าประพฤติตัวราวกับว่าตนเองมีความสำคัญมากกว่าพระมหากษัตริย์จริงๆ เสียอีก” มรว.สุขุมพันธ์ บริพัตรเขียนบทความที่โจมตีพลเอกเปรมอย่างรุนแรงในแนวเดียวกัน โดยบอกว่าพลเอกเปรมแทบไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยตลอดระยะเวลาเจ็ดปีและเป็นคนที่รังเกียจวิถีทางประชาธิปไตย “เนื้อหาสาระผลงานของพลเอกเปรมก็คือการถ่วงดุลทหารกลุ่มหนึ่งให้คุมเชิงทหารอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเอง ลีลาการเป็นผู้นำของพลเอกเปรมคือลอยตัวแบบเจ้า ลอยตัวจากปัญหาการเมืองทั้งหมด และคอยจัดการไม่ให้การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเขาลุกลามบานปลายออกไป” มรว.สุขุมพันธ์บอกว่าพลเอกเปรมไม่ได้เตรียมการใดๆ ให้ประเทศสำหรับการสละราชบัลลังก์ของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนล้วนพากันกังวลเรื่องข่าวลือการสละราชบัลลังก์... ในเรื่องล่อแหลมที่ถือเป็นวิกฤตต่อความเชื่อมั่นในสถาบันการเมืองของประเทศที่กำลังลุกลามเรื่องการสละราชบัลลังก์ก่อนเวลาจะส่งผลลบที่รุนแรงต่อระบบการเมืองไทย เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญและทรงอิทธิพลมากที่สุด ส่วนฟ้าชายวชิราลงกรณ์ไม่สามารถที่จะรับช่วงสืบทอดราชบัลลังก์ดำเนินรอยตามแบบที่พระราชบิดาได้ทรงวางไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างที่เป็นอันตรายมาก”
ปลายปี 2530 ได้เกิดแรงกดดันเพิ่มขึ้นเมื่อพลเอกเปรมและพลเอกชวลิตพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจของกองทัพบกแต่ต้องมาเจอเรื่องทุจริตอื้อฉาวหลายกรณีและความประพฤติที่เป็นวีรกรรมใหม่ๆ ของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ในระหว่างช่วงของการเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาที่กำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดยอดของเทศกาล ฟ้าชายที่พยายามประพฤติตัวดีมาตลอดเกือบทั้งปี แต่ในปลายปี 2530 พระองค์ดูจะอดพระทัยไม่ไหวและทรงรีบเร่งที่จะให้หม่อมสุจาริณีได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการเสียที ต้นเดือนมกราคม เธอได้คลอดลูกคนที่ห้า เป็นผู้หญิงได้ชื่อว่า บุษยาน้ำเพชร ภายหลังเปลี่ยนเป็น สิริวัณวรี มหิดล เธอได้ติดตามฟ้าชายพระสวามีออกงานไปทั่วประเทศ ปรากฏในข่าวชาววัง หนังสือพิมพ์ลงรูปหม่อมสุจาริณีในขณะที่ไม่ลงรูปรูปโสมสวลี ในเดือนพฤศจิกายนหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานว่าหม่อมสุจาริณีสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้วยคะแนนสูงสุดจากมหาวิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร หนังสือพิมพ์กับข่าวชาววังเผยแพร่ภาพพระสวามีพระราชทานปริญญาบัตรให้พระชายา ทำให้ประชาชนบางคนแอบเยาะหยันอย่างเงียบๆพร้อมทั้งข่าวอกุศลของหม่อมสุจารณีที่เผยแพร่โดยฝ่ายโสมสวลี
ด้วยกระแสเรื่องการสละราชบัลลังก์ ดูเหมือนว่าหม่อมสุจาริณีกำลังถูกเตรียมตัวให้เป็นราชินี แต่เธอยังไม่ได้มีสถานะที่เป็นทางการ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ที่สร้างปัญหาทางการทูตกับญี่ปุ่น ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน 2530 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเป็นเวลาแปดวัน ก่อนไปทรงยืนกรานให้โตเกียวถวายการต้อนรับพระองค์กับหม่อมสุจาริณีอย่างเป็นทางการ แต่ฝ่ายญี่ปุ่นปฏิเสธด้วยเหตุผลทางพิธีการทูต คือมีแต่พระชายาที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้นที่จะสามารถออกงานร่วมกับพระองค์ในการพบปะอย่างเป็นทางการกับนายกรัฐมนตรี และราชวงศ์ญี่ปุ่น ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงโกรธเคืองเป็นอย่างมากเมื่อต้องเสด็จญี่ปุ่นตามลำพัง ทรงปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียมิได้ และฟ้าชายก็ระเบิดอารมณ์โดยเสด็จกลับก่อนกำหนดสามวัน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานว่าทางการญี่ปุ่นได้ทำการดูหมิ่นฟ้าชายและพระราชวงศ์ในหลายๆเหตุการณ์ ทำให้ลูกเสือชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไปชุมนุมที่หน้าสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ จะก่อความรุนแรงหากไม่มีการขอโทษ ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งในโตเกียวและกรุงเทพฯพากันตกอกตกใจ พลเอกเปรมก็มีกำหนดจะไปเยือนญี่ปุ่นภายในสิบวัน และก็ต้องกุเรื่องกล่าวหาว่าญี่ปุ่นทำให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสียหน้าเพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่ไม่สามารถบอกใครได้ พลเอกเปรมที่ทำหน้าที่หลักในการปกป้องพระเกียรติยศของพระราชวงศ์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำการประท้วงอย่างเป็นทางการ โดยที่วังต้องรีบจัดการไม่ให้เรื่องราวลุกลามบานปลาย เชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงกดดันให้ฟ้าชายต้องยอมสั่งให้ยุติการโจมตีญี่ปุ่นโดยเห็นแก่สัมพันธไมตรีในวันที่ 6 ตุลาคม 2530 และเมื่อพลเอกเปรมไปถึงโตเกียวหลายวันถัดมา นายกฯยาสุฮิโรนากาโซเนะก็แสดงความเสียใจและซาบซึ้งที่ฟ้าชายยอมแก้ไขสถานการณ์ ขณะที่พลเอกเปรมรับมือกับเรื่องของวัง ก็ยังต้องเจอปัญหาทางการเมืองที่ตนเองเป็นต้นเหตุ ในเดือนตุลาคมพลเอกเปรมนั่งเป็นประธานการประชุมกอรมน.เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มอำนาจแก่ฝ่ายบริหารและกองทัพ โดยประกาศว่าการปฏิรูปประชาธิปไตย ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดของประเทศชาติ โดยไม่มีหลักการและเหตุผลอย่างเป็นทางการ นอกจากเรื่องการเปลี่ยนตัวพระมหากษัตริย์ที่อาจเกิดขึ้นกับข้ออ้างเรื่องภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ในขณะเดียวกัน บารมีส่วนตัวของพลเอกเปรมก็เสื่อมลงจากการเปิดโปงการทุจริตคอรัปชั่นถึงสามเรื่องต่อเนื่องกัน กรณีแรกนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยาเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2530 ขณะดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกฝ่ายค้าน นำโดย นายสมัครอภิปรายกล่าวหาว่า นายจิรายุรับสินบน โดยนำสำเนาสเตตเมนต์ แสดงการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเฟิสต์ อินเตอร์สเตตในสหรัฐอเมริกา มาแสดงในสภาว่ามีชื่อของนายจิรายุ เป็นเจ้าของบัญชีดังกล่าว ซึ่งมีรายการโอนเงินค่าสินบน เป็นจำนวนเงิน 92 ล้านบาท หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายจิรายุลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และรองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 มาจนถึงปัจจุบัน
กรณีที่สองรัฐมนตรีคมนาคม นายบรรหาร ศิลปอาชาถูกกล่าวหาว่าโกงกินอย่างมโหฬารและซื้อเสียง ใช้อำนาจหน้าที่ในทางไม่สุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้งทำให้รัฐบาลสูญเสียเงินงบประมาณเพื่อประโยชน์ของบริษัทของตน เบื้องหลังคำกล่าวหาก็คือการเชื่อกันว่าพลเอกเปรมปล่อยให้บรรหารทุจริตโกงกินอย่างเสรี เนื่องจากพลเอกเปรมต้องอาศัยการสนับสนุนทางการเมืองจากนายบรรหาร
กรณีที่สามเป็นเรื่องการทุจริตในการซื้ออาวุธของกองทัพ ที่เกี่ยวพันกับพลเอกชวลิตและภรรยาในการจัดซื้อรถถังสติงเรย์ของอเมริกา รถถังรุ่นนี้กระทั่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก็ยังปฏิเสธเนื่องจากราคาแพงและคุณภาพต่ำ แต่ถึงกระนั้นพลเอกเปรมก็ยังปล่อยให้ดำเนินการต่อไป ทั้งๆที่ข้าราชการพลเรือนและทหารระดับสูงบางส่วนได้คัดค้านไว้แล้วก็ตาม ปรากฏว่าไทยเป็นประเทศเดียวที่ซื้อรถถังสติงเรย์ ซึ่งมีคุณภาพแย่ยิ่งกว่าที่ถูกวิจารณ์เสียอีก เรื่องอื้อฉาวเหล่านี้หนักหนาสาหัสพอที่จะทำให้รัฐบาลล้มพังพาบได้ ทำให้ต้องยกเลิกการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อน (ความคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อขจัดระบบพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยวิธีปิดทาง ส.ส.มิให้มีโอกาสเข้าสู่ฝ่ายบริหาร ที่ให้ประชาชนไม่มีอำนาจสูงสุดโดยผ่านการจัดตั้งพรรคเข้ามาบริหารประเทศ และจงใจเปิดโอกาสให้ข้าราชการประจำโดยเฉพาะจากกระทรวงมหาดไทยและกลาโหมเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง คือห้าม ส.ส. เป็นรัฐมนตรี รวมทั้งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง เพื่อสืบทอดประเพณีที่ว่า นายกฯคือมรดกของทหาร)
และทำให้การเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบห้ารอบของพระเจ้าอยู่หัวต้องพลอยเสียบรรยากาศไป ทหารตอบโต้ด้วยการบอกว่าความไร้เสถียรภาพทางการเมืองเป็นข้อพิสูจน์ว่าประชาธิปไตยใช้ไม่ได้ผล และพลเอกชวลิตก็พึมพำว่าประชาชนกำลังร้องขอให้เขาก่อการรัฐประหารเพื่อพลเอกเปรม การทะเลาะวิวาททางการเมืองเงียบเสียงลงไปในช่วงต้นเดือนธันวาคมก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 ปี ขณะที่มีการจุดพลุดอกไม้ไฟที่ญี่ปุ่นจัดให้พุ่งกระจายเต็มท้องฟ้า พลเอกเปรมก็กราบบังคมทูลถวายพระราชสมัญนามพระมหาราชแด่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอย่างเป็นทางการ ประชาชนก็แซ่ซร้องไปทั่วพระราชอาณาจักร โอรสองค์โตของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่ชื่อจุฑาวัชร ซึ่งอาจมีโอกาสได้เป็นกษัตริย์ในอนาคต ก็บวชเณรที่วัดบวรฯ เมื่อการเฉลิมฉลองเริ่มต้น ใบปลิวโจมตีพระราชวงศ์ก็ถูกแจกจ่ายอย่างเปิดเผยตามสี่แยกต่างๆ โดยถูกสอดไว้ในกล่องไปรษณีย์ในรัฐสภา ถูกถ่ายเอกสารและแฟ็กซ์ไปทั่วประเทศ บางคนวิจารณ์ในหลวงกับพระราชินีสิริกิติ์ตรงๆว่าทรงหวงอำนาจ ส่วนใหญ่มุ่งโจมตีฟ้าชายในเรื่องความประพฤติและเรื่องการเสด็จญี่ปุ่น รวมทั้งการปฏิบัติต่อโสมสวลี และประกาศว่าฟ้าชายไม่เหมาะที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ ฟ้าชายทรงนำความเสื่อมเสียและขาดสำนึกผิดชอบชั่วดีโดยสิ้นเชิง ถ้าเลือกฟ้าชายประเทศชาติก็จะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และยังโจมตีหม่อมสุจาริณีเรื่องปริญญาปลอมโดยบอกว่ามีการรีบพระราชทานใบปริญญาให้เธออย่างเร่งรีบโดยหวังว่าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงโปรดฯแต่งตั้งเธอเป็นเจ้าเต็มตัวในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ใบปลิวเหล่านี้ไม่มีการพูดถึงอย่างเป็นทางการจนกระทั่ง 8 ธันวาคม 2530 ก็ถูกระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามล้มล้างของพวกคอมมิวนิสต์ กองทัพและตำรวจประกาศว่าเป็นหลักฐานแสดงถึง ศัตรูกลุ่มหนึ่งของชาติที่เป็นส่วนหนึ่งใน ขบวนการที่จ้องล้มล้างสถาบันกษัตริย์ จริงๆแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีหลายกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์ที่เป็นผู้ผลิตใบปลิวเหล่านี้ เชื่อกันว่ามีกลุ่มหนึ่งในนั้นอยู่ในฝ่ายโสมสวลี ตำรวจตามล่าจับตัวคนพิมพ์ใบปลิวรายหนึ่ง นักศึกษากลุ่มหนึ่งและพระรูปหนึ่ง ที่ถูกไต่สวนพิจารณาคดีอย่างรวดเร็วและถูกตัดสินจำคุกด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
พระเจ้าอยู่หัวทรงปิดฉากปีแห่งความวุ่นวายนั้นด้วยพระราชพิธีชุมนุมพระบรมวงศานุวงศ์ครั้งใหญ่อย่างพร้อมเพรียงที่เสด็จมากันหมดเพื่อเฉลิมฉลองวาระอันสำคัญ ทรงมีพระบรมราโชวาทย้ำว่าสถาบันกษัตริย์มีความเป็นประชาธิปไตยและพระองค์ทรงเป็นตัวแทนมติเอกฉันท์ (consensus) ของปวงชน “สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่สร้างโดยประชาชนเพื่อเป็นที่พึ่งพาของประชาชน และกระทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน”
มรว.สุขุมพันธ์เขียนบทความลงในนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง กล่าวถึงความกังวลของประชาชนต่อการที่พระเจ้าอยู่หัวทรงทำท่าจะสละราชบัลลังก์ และพูดถึงใบปลิวที่ออกมาในเดือนธันวาคมว่าทำให้ประชาชนวิตกกังวล ไม่ใช่แค่เรื่องฟ้าชายเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการขยายอำนาจมากเกินไปของพระเจ้าอยู่หัวและกองทัพ เขาพูดถึงปัญหาอย่างระมัดระวัง ว่า...
ด้วยบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในพัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทย ตลอดจนการเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ความไม่แน่นอนใดๆ เกี่ยวกับอนาคตของกษัตริย์ก่อให้เกิดความหวั่นวิตกอย่างเลี่ยงไม่พ้น ผู้คนเกิดความสงสัย โดยมากเป็นการพูดคุยส่วนตัว แต่ตอนนี้เริ่มเปิดเผยมากขึ้นเกี่ยวกับศักยภาพของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ว่าจะสามารถสร้างความจงรักภักดีจากประชาชนและกลุ่มการเมืองต่างๆ ดังที่พระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำได้หรือไม่และยังคงสงสัยว่า ฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะสามารถเทียบชั้นกับพระราชบิดาของพระองค์ได้หรือไม่ สำหรับบทบาทอันแยบยลในทางการเมือง พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นสำหรับพระราชอาณาจักรของพระองค์และราชบัลลังก์ที่พระองค์ทรงสืบราชสันตติวงศ์มาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ด้วยการที่ได้ทรงปฏิบัติอย่างนั้น พระองค์ได้ทรงสร้างมาตรฐานที่อาจสูงเกินเอื้อมไว้สำหรับผู้ที่จะมารับช่วงต่อ หากการนำโดยสถาบันพระมหากษัตริย์จะย่อหย่อนหรือด้อยลงด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งในอนาคต ก็จะเกิดผลสะเทือนทางการเมืองอย่างรุนแรง ดุลอำนาจอันง่อนแง่นระหว่างกลุ่มนักการเมืองต่างๆก็จะถูกทำลายไป สุญญากาศที่จะเกิดขึ้นนี้มีแต่กองทัพเท่านั้นที่จะสามารถเติมเต็มได้ ด้วยการที่กองทัพผูกขาดอำนาจปืนความเป็นปึกแผ่น การควบคุมสื่อและการเมืองมวลชนรากหญ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว สำหรับคนไทยจำนวนมากแล้ว นี่คือสาเหตุเบื้องลึกที่สุดสำหรับการวิตกกังวล ... แต่ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวและพลเอกเปรมเปรมต่างก็ไม่ได้ยอมรับการวิเคราะห์ของมรว.สุขุมพันธ์ กระนั้นเมื่อคำวิจารณ์ของเขาถูกตีพิมพ์ เจ้าหน้าที่วังก็เริ่มพูดว่าในหลวงจะไม่สละราชบัลลังก์อย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าพระเจ้าอยู่หัวจะเปลี่ยนพระทัยซึ่งคงเป็นเพราะพฤติกรรมฉาวโฉ่ไม่เอาไหนของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ และปัจจัยหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าพลเอกเปรมกำลังถูกท้าทายอีกรอบหนึ่ง พอคล้อยหลังงานเฉลิมพระชนมพรรษา เรื่องทุจริตคอรัปชั่นก็โผล่มาอีกเป็นชุด อธิบดีและข้าราชการระดับสูงในกรมศุลกากรกับสรรพากรที่ควรจะเป็นข้าแผ่นดินที่ซื่อสัตย์สุจริต ก็ดันถูกจับได้ว่าพัวพันกับการลักลอบนำเข้ารถหรู พลเอกเปรมยอมรับใบลาออกของพวกเขา แต่เกิดความสงสัยไปทั่วว่าเขาทำเพียงเพื่อปิดบังเพื่อปกป้องแก๊งค์ลักลอบขนของเถื่อนในกองทัพ เขาไม่ได้จัดการปราบปรามการทุจริต เขาเพียงแต่ขยับตัวไปตามรายงานข่าวแย่ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น รัฐมนตรีบรรหารกลายเป็นประเด็นฉาวโฉ่อีกครั้งด้วยการกินรวบสัญญาโครงการต่างๆของรัฐบาลเข้ากระเป๋าตัวเอง เมื่อเศรษฐกิจส่อแววจะเสียหายจากการงุบงิบกรณีหนึ่ง กระทั่งภาคธุรกิจเอกชนก็ออกมาโจมตีพลเอกเปรม ที่อับอายขายหน้ามากที่สุดคือเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวพันกับวังและรัฐบาลเปรมเอง แก๊งค์ข้าราชการระดับสูงและพระชั้นผู้ใหญ่ถูกเปิดโปงว่าขายเครื่องราชย์ เรื่องนี้ตั้งเค้ามานาน การมอบเครื่องราชย์ เป็นกิจกรรมสำคัญที่ยาวนานในการสร้างชนชั้นสูงแวดล้อมวังและขยายวัฒนธรรมวังในแวดวงราชการและธุรกิจ และมันยังเป็นช่องทางการหารายได้สำหรับงานการกุศลของวังด้วย เนื่องด้วยอุปสงค์หรือความต้องการในการบริจาคและความอยากได้เครื่องราชย์มีเพิ่มมากขึ้นวังจึงแบ่งงานการจัดการในเรื่องนี้แก่รัฐบาลและคณะสงฆ์ โดยวัด องค์กรการกุศลและหน่วยงานราชการต่างๆ จะทำหน้าที่รายงานการบริจาคและรายชื่อผู้สมควรได้รับเครื่องราชย์แก่กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะทาหน้าที่ตรวจสอบรายชื่อและส่งต่อไปยังสานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามารถเพิ่มเติมรายชื่อได้ และบัญชีรายชื่อสุดท้ายจะถูกส่งไปยังสำนักราชเลขาธิการและปกติก็จะได้รับการยอมรับโดยไม่มีคำถามใดๆ โดยที่การมอบเครื่องราชย์ ไม่ได้มีแต่ข้อพิจารณาทางด้านสังคม หากแต่มีด้านเศรษฐกิจด้วยคือดูจากจำนวนเงินที่บริจาค ช่วงต้นทศวรรษ 2520 กระบวนการพิจารณาเรื่องนี้จึงมีความทุจริตคอรัปชั่น สามารถใช้เงินติดสินบนพระและข้าราชการเพื่อปลอมแปลงรายงานการบริจาค เรื่องนี้ถูกเปิดเผยในเดือนธันวาคม 2530 เมื่อข้าราชการชั้นสูงรายหนึ่งในสำนักเลขาธิการนายกฯของพลเอกเปรมฆ่าตัวตาย เขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลตราประทับของวังกับลายเซ็นของนายกฯ และได้ใช้ช่องทางนี้ช่วยให้คนได้รับเครื่องราชย์ การสืบสวนต่อมาพบว่ามีแก๊งค์เครื่องราชย์ อยู่อย่างน้อยสองกลุ่ม ซึ่งพัวพันกับเจ้าหน้าที่ในสำนักเลขาธิการ ของพลเอกเปรมและพระดังรูปหนึ่งของวัดเทพศิรินทร์ อันเป็นวัดหลวงที่อยู่ในแถวหน้าสุด ตำรวจประมาณการว่าเกือบครึ่งหนึ่งของรายชื่อผู้จะได้รับเครื่องราชฯ ในปีนั้นๆเป็นของปลอม โดยแอบอ้างเงินบริจาคมากกว่า 1,500 ล้านบาท งานนี้เปิดเผยให้เห็นว่าการมอบเครื่องราชย์กับวงจรการทำบุญของวังที่เรียกว่าโดยเสด็จพระราชกุศลนั้นตกต่ำเสื่อมถอยเพียงใด และยังชี้ให้เห็นว่าพลเอกเปรมผู้เป็นนายกฯพระราชทานไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนเลยกับการทุจริตคอรัปชั่น (คดีทุจริตเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ใช้เวลาพิจารณาคดีกันนานถึง17 ปี จาก 2531 มาตัดสินฎีกาเมื่อ 27 เมษายน 2548 โดยถูกพิพากษาจำคุก 5 คน ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1,130 ปี จนถึง 2,660 ปี แต่ตามกฎหมายให้จำคุกไม่เกิน 50 ปี จำเลยสำคัญ นายเมธี บริสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีถูกตัดสินจำคุกถึง 1,148 ปี จำเลยที่ 1 พระราชปัญญาโกศลหรือเจ้าคุณอุดมอดีตรองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ที่ลาสิกขาบทออกมาสู้คดีในนามนายผาสุก ขาวผ่องไม่ติดคุก เพราะศาลจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยถึงแก่กรรมเสียก่อน แสดงว่าวังก็ไม่ได้มุ่งมั่นที่จะดำเนินคดีนัก ส่วนใหญ่พ้นผิดไปเนื่องจากขาดหลักฐาน แต่มีจำนวนหนึ่งที่ถูกตัดสินจำคุกนานถึงสิบปืเนื่องจากสร้างความเสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์) บารมีของพลเอกเปรมถดถอยลงไปทุกที หลังจากผู้ประท้วงเขื่อนน้ำโจนบีบให้รัฐบาลต้องยอมยกเลิกโครงการเป็นผลสำเร็จ เมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2531 คณะรัฐมนตรี มีมติระงับการสร้าง เขื่อนน้ำโจน บริเวณเขาน้ำโจน เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จ. กาญจนบุรี โดยฝ่ายนักอนุรักษ์คนสำคัญ เช่น นายสืบ นาคะเสถียร หมอบุญส่ง เลขะกุล ได้เข้าคัดค้านอย่างเต็มที่ เนื่องจากน้ำจะท่วมใจกลางป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นพื้นที่ประมาณ 80,000 ไร่ นับเป็นผืนป่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งได้รับการประกาศจากองการณ์ยูเนสโกให้เป็น พื้นที่มรดกโลก
ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนกับลาวที่คุกรุ่นก็ระเบิดเป็นการสู้รบที่ร่มเกล้า ระหว่างวันที่ 1-19 กุมภาพันธ์ 2531 ที่บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อพล.อ.ชวลิต ผบ.ทบ. ประกาศจะผลักดันกองกำลังต่างชาติที่เข้ามายึดครองพื้นที่ในเขตไทยทุกรูปแบบด้วยการใช้กำลังทหาร จึงทำให้เกิดการสู้รบอย่างดุเดือดอย่างหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการสูญเสียอย่างมากทั้งฝ่ายไทยและลาว และนับเป็นการสูญเสียชีวิตทหารมากที่สุดในการรบของไทยเท่าที่เคยมีมา จากความขัดแย้งเรื่องพรมแดนไทย-ลาว ในบริเวณดังกล่าวเนื่องมาจากยึดถือเส้นพรมแดนในสนธิสัญญาคนละฉบับการเจรจายุติศึกแยกกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายออกจากกันฝ่ายละ 3 กิโลเมตร และทหารไทยก็พ่ายแพ้ทั้งที่ได้เปรียบในเชิงอาวุธยุทโธปกรณ์ พลเอกชวลิตโดนตำหนิไปเต็มๆ และยังเผื่อแผ่ไปถึงลูกพี่คือพลเอกเปรมด้วย ก่อนที่จะถูกถล่มยับเยินในสภา พลเอกเปรมชิงยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้ง 24 กรกฎาคม 2531 อย่างน้อยก็ทำให้เขายังได้เป็นประธานในงานเฉลิมฉลองการทำครองราชย์ยาวนานที่สุดกว่าพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ใด(โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 ผู้เป็นปู่ที่ครองราชย์ถึง 42 ปี 22วัน)ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2531 ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมในการสนับสนุนจากวังและกองทัพ พลเอกเปรมได้แสดงเจตนาชัดเจนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปโดยไม่ลงเลือกตั้ง แต่คราวนี้ความสัมพันธ์สามฝ่ายระหว่างพระ
การสรรเสริญสดุดีทั้งหมดนี้คือความพยายามแสดงว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลได้ทรงบรรลุถึงขั้นเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว พระสงฆ์สวดภาวนาถวายให้พระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ และมีการโหมโฆษณาพระราชกรณียกิจที่ทรงอุทิศพระองค์ต่อพระพุทธศาสนา กรมการศาสนาทำการสังคายนาพระไตรปิฎกเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าอยู่หัว การสังคายนาพระไตรปิฎกถือเป็นงานใหญ่และไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก เป็นเครื่องบ่งบอกถึงพระอัจฉริยภาพของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลที่ได้ทรงเล็งเห็นและจัดการแก้ไขความบกพร่องในพระธรรมคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรว.คึกฤทธิ์ ได้บรรยายแก่สโมสรนักข่าวต่างชาติประจำประเทศไทย เมื่อ 22 มิถุนายน 2531 โดยป่าวประกาศถึงสภาวะเข้าใกล้ความเป็นเทพเจ้าของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล เขาเล่าถึงโครงการพระราชดำริต่างๆ อันวิเศษมหัศจรรย์ของพระองค์ซึ่งหากตกอยู่ในมือของรัฐบาลแล้วก็มีแต่จะล้มเหลวไม่ได้เรื่อง เขายกความดีให้เป็นผลมาจากการที่ในหลวงภูมิพลทรงเป็นทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ไปพร้อมๆก้น แม้จะดูขัดๆกันเองก็ตาม ว่า...
พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นอะไรที่ใกล้ชิดและเป็นที่รักของประชาชน ทรงถูกถือเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวและในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ยังเชื่อว่า ในหลวงคือพระเจ้า บางทีก็เป็นการยากที่ประชาชนจะหาสมดุลระหว่างความใกล้ชิดที่พวกเขารู้สึกต่อพระเจ้าอยู่หัวกับความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งที่พวกเขาเชื่อว่าพระองค์มี ในขณะเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวก็ต้องทรงรู้สึกว่าลำบากที่จะหาสมดุลระหว่างการเป็นมิตรของครอบครัวกับข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงสูงส่งอย่างยิ่ง ในงานพระราชพิธีและในวาระที่เป็นทางการ พระเจ้าอยู่หัวจะต้องทรงแสดงแง่มุมความศักดิ์สิทธิ์ออกมาในปริมาณหนึ่ง พระองค์ไม่สามารถเป็นมนุษย์ได้ล้วนๆ และในเวลาเดียวกันก็ต้องพยายามเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างมากเวลาเสด็จเดินสายต่างจังหวัด ทรงต้องเยี่ยมเยียนชาวบ้านถึงกระไดบ้าน เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าอยู่หัวนี่แหล่ะที่ได้ทำให้ประเทศชาติมีเสถืยรภาพมั่นคง
มรว.คึกฤทธิ์ได้สนับสนุนคำอ้างนี้ด้วยการเล่าถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า “ปาฏิหาริย์ที่เป็นจริง” นั่นคือการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ที่อยู่ในเขตลุ่มน้ำห้วยฮ่องไคร้ จากเดิมที่มีสภาพเป็นป่าเต็งรังเสื่อมโทรม ว่าเพียงหลังจากในหลวงทรงนำน้ำและสหกรณ์เข้ามาเท่านั้น ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นั่นก็ดีขึ้นทันตาเห็น “ถ้าคุณไปที่นั่นตอนนี้ คุณก็จะพบสวนแห่งอีเดน(หรือสวนสวรรค์บนดิน) นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในรัชกาลนี้”
นักข่าวต่างชาติต่างพากันหัวเราะคิกคักกับเรื่องความเป็นเทพเจ้าของพระเจ้าอยู่หัว เหมือนฟังเรื่องอภินิหารของพ่อมดหมอผีแห่งชนเผ่ามนุษย์กินคนในทวีปอัฟริกา แต่พวกเขาก็พร้อมใจกันก้มหน้าก้มตารายงานว่าความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับการพัฒนาประเทศล้วนเกิดจากพระเจ้าอยู่หัวอย่างน่าอัศจรรย์ นิวยอร์คไทมส์เขียนว่า “พระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ประจักษ์ในโครงการพัฒนาในพระราชดำริต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงริเริ่มและดูแลมาตั้งแต่ปีแรกๆ ที่ขึ้นครองราชย์ การใช้โครงการพระราชดำริหรือพระนามของพระองค์ย่อมเป็นหลักประกันว่าโครงการนั้นจะได้รับการปฏิบัติอย่างทุ่มเทและไม่มีข้าราชการหน้าไหนที่จะกล้าเฉื่อยชาหรือทำตัวเป็นอุปสรรค”
แต่การเชิดชูสดุดีพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้ช่วยปกป้องรัฐบาลเปรมเสมอไป ในปี 2530 พลเอกเปรมต้องเผชิญการท้าทายและการโจมตีที่หนักข้อขึ้นโดยบางส่วนมาจากองค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอที่กำลังเริ่มก่อตัวท้าทายรัฐบาลด้วยประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเด็นหนึ่งคือการรณรงค์ต่อต้านการสร้างเขื่อนน้ำโจนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้มีความกล้าหาญและมีพลัง งานนี้รวมคนได้กว้างขวางอย่างน่าทึ่ง คือมีทั้งเกษตรกร พ่อค้าในเมือง นักวิชาการและปัญญาชนกับนักสิ่งแวดล้อม ต่างพากันคัดค้านเขื่อนเพราะมันจะทำให้เกิดน้ำท่วมเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่กินพื้นที่กว้างใหญ่บริเวณชายเเดนภาคตะวันตกและทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องไร้ที่อยู่ที่ทำกิน พวกเขาโจมตีพลเอกเปรมที่ตัดสินใจเดินหน้าโครงการโดยไม่มีการปรึกษาหารือประชาชน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่มีผู้ว่าการคือนายเกษม จาติกวนิชย์ ซึ่งเป็นคนโปรดของพระเจ้าอยู่หัว ที่มีประวัติอันยาวนานในการทำลายสิ่งเเวดล้อมและการละเลยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ การประท้วงครั้งนี้ทำให้ในหลวงภูมิพลพลอยเสียชื่อไปด้วยอย่างอ้อมๆ เพราะการสร้างเขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตถูกยกให้เป็นผลงานของพระองค์ในการจัดการเรื่องแหล่งน้ำ ศึกครั้งนี้ยืดเยื้อข้ามปี 2530 และในที่สุด พลเอกเปรมกับกฟผ.ก็ยอมยกเลิกโครงการในต้นปี 2531 อย่างไม่เป็นท่า
การท้าทายต่อระบอบเปรมที่มีเจ้าหนุนหลังอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในการสังคายนาพระไตรปิฎก โดยพระสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายมองเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงเบื้องหลังงานใหญ่นี้คือการหาเรื่องเฉลิมฉลองวโรกาศพระชนมพรรษา 60 ปี ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่า เนื่องจากการกำหนดเส้นตายให้เสร็จภายในสองปีนั้นเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่ยอมเร่งมือและปล่อยให้กำหนดการนั้นถูกยกเลิกไป
พระราชวังและพลเอกเปรมได้พยายามสร้างระบอบวังร่วมกับกองทัพให้มั่นคงถาวร พระเจ้าอยู่หัวทรงบรรยายแก่กลุ่มนักข่าวไทยที่ไปเยี่ยมชมศูนย์โครงการพัฒนาในพระราชดำริที่เชียงใหม่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2530 โดยทรงเน้นว่าพระราชดำริของพระองค์มีความเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบท และระบบการเมืองก็ต้องมีความสอดคล้องกับบุคลิกความเป็นไทย พระราชดำรัสนี้เปิดให้มีการตีความไปได้หลายทาง สัปดาห์ต่อมาพลเอกเปรมก็บอกแก่คณะรัฐมนตรีของเขาว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนให้กองทัพมีบทบาทครอบงำการเมืองอย่างเป็นทางการ คนรับนโยบายของพลเอกเปรมคือผบ.ทบ.คนใหม่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้มีบทบาทในการร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523ประกาศใช้เมื่อ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 เพื่อเป็นแนวทางในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ สาระสำคัญของคำสั่งนี้ คือ การใช้หลักการเมืองนำการทหาร ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ได้ระบุถึงสาเหตุของการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ว่าเป็นเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยพลเอกชวลิตได้มีบทบาทในการดำเนินนโยบายทางสังคมและการเมืองของกองทัพในเขตชนบท โดยให้กองทัพเป็นผู้ควบคุมบางจังหวัด พลเอกชวลิตได้ช่วยพลเอกเปรมปราบปรามความพยายามก่อรัฐประหารมาหลายครั้ง เมื่อพลเอกอาทิตย์กระเด็นไปแล้ว พลเอกชวลิตก็มองว่าตนเองจะเป็นผู้ที่จะสืบทอดอำนาจต่อจากพลเอกเปรม
พลเอกชวลิตย้ำว่ามันคือพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัว เขาประกาศว่ากองทัพคือพลังหลักของประเทศในการพัฒนาและการบรรเทาความยากจน ภายใต้การชี้แนะของพระเจ้าอยู่หัว เรามีที่ดิน แหล่งน้ำ แรงงานที่มีวินัยและอุปกรณ์เครื่องมือมหาศาล ส่วนวิธีการนั้นเราหาได้จากหน่วยงานอื่นๆ กำลังพลได้เข้ารับการอบรมเรื่องการพัฒนาเพื่อรับดำเนินงานในโครงการในพระราชดำริจำนวนมากที่ใหญ่โตที่สุดคือโครงการอีสานเขียวอันโด่งดังของพลเอกชวลิต ที่จะพลิกแผ่นดินแห้งแล้งของอีสานให้เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาให้ได้ ใช้งบประมาณกว่า 13,500 ล้านบาท โดยถูกจัดสรรผ่านหน่วยงานต่างๆ ภายใต้การกำกับดูแลของกองทัพ และทหารจำนวนมากได้ออกไปสร้างอ่างเก็บน้ำ ถังน้ำ และขยายโครงการผันน้ำต่างๆ และยังได้ปลูกป่ายูคาลิปตัสเพื่อป้อนโรงงานเยื่อกระดาษโดยอ้างว่าเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่า แต่กองทัพกลับถูกโจมตีว่าแย่งบทบาทการทำงานของรัฐบาลโดยใช้โครงการพระราชดำริเป็นข้ออ้าง กองทัพถูกวิจารณ์ว่าได้ผลาญเงินงบประมาณประเทศไปกว่าหนึ่งในสี่ ซึ่งมากกว่างบสาธารณสุขและการศึกษามากนัก นักวิจารณ์เรียกกองทัพว่าเป็นเพียงอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่รับใช้แต่ตัวเองเท่านั้น โดยใช้งบประมาณของรัฐบาลสร้างอำนาจให้ตนเอง พวกเขาชี้ถึงการใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยของบรรดานายพลเศรษฐีนับสิบรายว่าเป็นหลักฐานแสดงถึงการทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างมโหฬาร และนักวิจารณ์บางคนก็ถามอย่างกวนๆ ว่าอีสานเขียวหมายถึงพืชพันธุ์ธัญญาหารหรือแค่เครื่องแบบทหารกันแน่ บรรดานายทหารก็แก้ตัวแบบเดียวกับที่วังได้ใช้โต้มาก่อนหลายปีแล้ว ว่านักการเมืองกับนักธุรกิจนายทุนนั้นฉ้อฉลและเห็นแก่ตัว เรื่องนี้ถึงกับมีการสอนในวิชาปรัชญาการเมืองที่โรงเรียนนายร้อยจปร. โดยกองทัพเผยแพร่ทัศนะนี้ผ่านสื่อด้วยคำขวัญอย่างเช่น “มีแต่กองทัพเท่านั้นที่ไม่เคยทอดทิ้งประชาชนและจริงใจต่อประชาชน มีแต่กองทัพเท่านั้นที่เป็นความหวังให้กับประชาชนได้”
แต่ว่ากองทัพก็ไม่สามารถอ้างว่าพวกตนมีมาตรฐานทางคุณธรรมสูงกว่าคนอื่นอีกต่อไปแล้ว เพราะฝ่ายค้านในสภาได้เตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกเปรมในเดือนเมษายน 2530 แต่ว่าพลเอกเปรมใช้เล่ห์กลตัดแข้งตัดขาและซื้อตัวสส.กันอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้ญัตติต้องตกไปเพราะคะแนนเสียงไม่พอ แต่ประชาชนก็ได้เห็นทางโทรทัศน์ว่าสส.ได้เยาะเย้ยหยามหยันรัฐบาลพลเอกเปรมที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุน และยังได้ยินถ้อยคำโจมตีพลเอกเปรมอย่างที่ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน อย่างเช่น มรว.คึกฤทธิ์กล่าวหาว่า ”พลเอกเปรมทำตัวยังกับเป็นพระเจ้าอยู่หัวเสียเอง การที่ผู้นำรัฐบาลไปเยี่ยมชาวบ้านและเอาแต่พูดถึงความจงรักภักดีของตนนั้นเป็นแค่ลูกไม้เพื่อสร้างความนิยมให้กับตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในอนาคต เผื่อว่าเกิดมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมา ประชาชนก็ต้องเลือกเขา เพราะชาวบ้านก็จงรักภักดีเหมือนกัน ผมรู้สึกน่าอับอายในฐานะคนไทยที่ต้องยอมให้คนๆ หนึ่งอยู่เหนือการเมืองและการวิพากษ์วิจารณ์ คนที่กลายมาเป็นเหมือนกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ว่าประพฤติตัวราวกับว่าตนเองมีความสำคัญมากกว่าพระมหากษัตริย์จริงๆ เสียอีก” มรว.สุขุมพันธ์ บริพัตรเขียนบทความที่โจมตีพลเอกเปรมอย่างรุนแรงในแนวเดียวกัน โดยบอกว่าพลเอกเปรมแทบไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยตลอดระยะเวลาเจ็ดปีและเป็นคนที่รังเกียจวิถีทางประชาธิปไตย “เนื้อหาสาระผลงานของพลเอกเปรมก็คือการถ่วงดุลทหารกลุ่มหนึ่งให้คุมเชิงทหารอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเอง ลีลาการเป็นผู้นำของพลเอกเปรมคือลอยตัวแบบเจ้า ลอยตัวจากปัญหาการเมืองทั้งหมด และคอยจัดการไม่ให้การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเขาลุกลามบานปลายออกไป” มรว.สุขุมพันธ์บอกว่าพลเอกเปรมไม่ได้เตรียมการใดๆ ให้ประเทศสำหรับการสละราชบัลลังก์ของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนล้วนพากันกังวลเรื่องข่าวลือการสละราชบัลลังก์... ในเรื่องล่อแหลมที่ถือเป็นวิกฤตต่อความเชื่อมั่นในสถาบันการเมืองของประเทศที่กำลังลุกลามเรื่องการสละราชบัลลังก์ก่อนเวลาจะส่งผลลบที่รุนแรงต่อระบบการเมืองไทย เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญและทรงอิทธิพลมากที่สุด ส่วนฟ้าชายวชิราลงกรณ์ไม่สามารถที่จะรับช่วงสืบทอดราชบัลลังก์ดำเนินรอยตามแบบที่พระราชบิดาได้ทรงวางไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างที่เป็นอันตรายมาก”
ปลายปี 2530 ได้เกิดแรงกดดันเพิ่มขึ้นเมื่อพลเอกเปรมและพลเอกชวลิตพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจของกองทัพบกแต่ต้องมาเจอเรื่องทุจริตอื้อฉาวหลายกรณีและความประพฤติที่เป็นวีรกรรมใหม่ๆ ของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ในระหว่างช่วงของการเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาที่กำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดยอดของเทศกาล ฟ้าชายที่พยายามประพฤติตัวดีมาตลอดเกือบทั้งปี แต่ในปลายปี 2530 พระองค์ดูจะอดพระทัยไม่ไหวและทรงรีบเร่งที่จะให้หม่อมสุจาริณีได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการเสียที ต้นเดือนมกราคม เธอได้คลอดลูกคนที่ห้า เป็นผู้หญิงได้ชื่อว่า บุษยาน้ำเพชร ภายหลังเปลี่ยนเป็น สิริวัณวรี มหิดล เธอได้ติดตามฟ้าชายพระสวามีออกงานไปทั่วประเทศ ปรากฏในข่าวชาววัง หนังสือพิมพ์ลงรูปหม่อมสุจาริณีในขณะที่ไม่ลงรูปรูปโสมสวลี ในเดือนพฤศจิกายนหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานว่าหม่อมสุจาริณีสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้วยคะแนนสูงสุดจากมหาวิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร หนังสือพิมพ์กับข่าวชาววังเผยแพร่ภาพพระสวามีพระราชทานปริญญาบัตรให้พระชายา ทำให้ประชาชนบางคนแอบเยาะหยันอย่างเงียบๆพร้อมทั้งข่าวอกุศลของหม่อมสุจารณีที่เผยแพร่โดยฝ่ายโสมสวลี
ด้วยกระแสเรื่องการสละราชบัลลังก์ ดูเหมือนว่าหม่อมสุจาริณีกำลังถูกเตรียมตัวให้เป็นราชินี แต่เธอยังไม่ได้มีสถานะที่เป็นทางการ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ที่สร้างปัญหาทางการทูตกับญี่ปุ่น ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน 2530 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเป็นเวลาแปดวัน ก่อนไปทรงยืนกรานให้โตเกียวถวายการต้อนรับพระองค์กับหม่อมสุจาริณีอย่างเป็นทางการ แต่ฝ่ายญี่ปุ่นปฏิเสธด้วยเหตุผลทางพิธีการทูต คือมีแต่พระชายาที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้นที่จะสามารถออกงานร่วมกับพระองค์ในการพบปะอย่างเป็นทางการกับนายกรัฐมนตรี และราชวงศ์ญี่ปุ่น ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงโกรธเคืองเป็นอย่างมากเมื่อต้องเสด็จญี่ปุ่นตามลำพัง ทรงปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียมิได้ และฟ้าชายก็ระเบิดอารมณ์โดยเสด็จกลับก่อนกำหนดสามวัน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานว่าทางการญี่ปุ่นได้ทำการดูหมิ่นฟ้าชายและพระราชวงศ์ในหลายๆเหตุการณ์ ทำให้ลูกเสือชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไปชุมนุมที่หน้าสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ จะก่อความรุนแรงหากไม่มีการขอโทษ ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งในโตเกียวและกรุงเทพฯพากันตกอกตกใจ พลเอกเปรมก็มีกำหนดจะไปเยือนญี่ปุ่นภายในสิบวัน และก็ต้องกุเรื่องกล่าวหาว่าญี่ปุ่นทำให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสียหน้าเพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่ไม่สามารถบอกใครได้ พลเอกเปรมที่ทำหน้าที่หลักในการปกป้องพระเกียรติยศของพระราชวงศ์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำการประท้วงอย่างเป็นทางการ โดยที่วังต้องรีบจัดการไม่ให้เรื่องราวลุกลามบานปลาย เชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงกดดันให้ฟ้าชายต้องยอมสั่งให้ยุติการโจมตีญี่ปุ่นโดยเห็นแก่สัมพันธไมตรีในวันที่ 6 ตุลาคม 2530 และเมื่อพลเอกเปรมไปถึงโตเกียวหลายวันถัดมา นายกฯยาสุฮิโรนากาโซเนะก็แสดงความเสียใจและซาบซึ้งที่ฟ้าชายยอมแก้ไขสถานการณ์ ขณะที่พลเอกเปรมรับมือกับเรื่องของวัง ก็ยังต้องเจอปัญหาทางการเมืองที่ตนเองเป็นต้นเหตุ ในเดือนตุลาคมพลเอกเปรมนั่งเป็นประธานการประชุมกอรมน.เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มอำนาจแก่ฝ่ายบริหารและกองทัพ โดยประกาศว่าการปฏิรูปประชาธิปไตย ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดของประเทศชาติ โดยไม่มีหลักการและเหตุผลอย่างเป็นทางการ นอกจากเรื่องการเปลี่ยนตัวพระมหากษัตริย์ที่อาจเกิดขึ้นกับข้ออ้างเรื่องภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ในขณะเดียวกัน บารมีส่วนตัวของพลเอกเปรมก็เสื่อมลงจากการเปิดโปงการทุจริตคอรัปชั่นถึงสามเรื่องต่อเนื่องกัน กรณีแรกนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยาเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2530 ขณะดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกฝ่ายค้าน นำโดย นายสมัครอภิปรายกล่าวหาว่า นายจิรายุรับสินบน โดยนำสำเนาสเตตเมนต์ แสดงการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเฟิสต์ อินเตอร์สเตตในสหรัฐอเมริกา มาแสดงในสภาว่ามีชื่อของนายจิรายุ เป็นเจ้าของบัญชีดังกล่าว ซึ่งมีรายการโอนเงินค่าสินบน เป็นจำนวนเงิน 92 ล้านบาท หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายจิรายุลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และรองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 มาจนถึงปัจจุบัน
กรณีที่สองรัฐมนตรีคมนาคม นายบรรหาร ศิลปอาชาถูกกล่าวหาว่าโกงกินอย่างมโหฬารและซื้อเสียง ใช้อำนาจหน้าที่ในทางไม่สุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้งทำให้รัฐบาลสูญเสียเงินงบประมาณเพื่อประโยชน์ของบริษัทของตน เบื้องหลังคำกล่าวหาก็คือการเชื่อกันว่าพลเอกเปรมปล่อยให้บรรหารทุจริตโกงกินอย่างเสรี เนื่องจากพลเอกเปรมต้องอาศัยการสนับสนุนทางการเมืองจากนายบรรหาร
กรณีที่สามเป็นเรื่องการทุจริตในการซื้ออาวุธของกองทัพ ที่เกี่ยวพันกับพลเอกชวลิตและภรรยาในการจัดซื้อรถถังสติงเรย์ของอเมริกา รถถังรุ่นนี้กระทั่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก็ยังปฏิเสธเนื่องจากราคาแพงและคุณภาพต่ำ แต่ถึงกระนั้นพลเอกเปรมก็ยังปล่อยให้ดำเนินการต่อไป ทั้งๆที่ข้าราชการพลเรือนและทหารระดับสูงบางส่วนได้คัดค้านไว้แล้วก็ตาม ปรากฏว่าไทยเป็นประเทศเดียวที่ซื้อรถถังสติงเรย์ ซึ่งมีคุณภาพแย่ยิ่งกว่าที่ถูกวิจารณ์เสียอีก เรื่องอื้อฉาวเหล่านี้หนักหนาสาหัสพอที่จะทำให้รัฐบาลล้มพังพาบได้ ทำให้ต้องยกเลิกการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อน (ความคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อขจัดระบบพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยวิธีปิดทาง ส.ส.มิให้มีโอกาสเข้าสู่ฝ่ายบริหาร ที่ให้ประชาชนไม่มีอำนาจสูงสุดโดยผ่านการจัดตั้งพรรคเข้ามาบริหารประเทศ และจงใจเปิดโอกาสให้ข้าราชการประจำโดยเฉพาะจากกระทรวงมหาดไทยและกลาโหมเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง คือห้าม ส.ส. เป็นรัฐมนตรี รวมทั้งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง เพื่อสืบทอดประเพณีที่ว่า นายกฯคือมรดกของทหาร)
และทำให้การเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบห้ารอบของพระเจ้าอยู่หัวต้องพลอยเสียบรรยากาศไป ทหารตอบโต้ด้วยการบอกว่าความไร้เสถียรภาพทางการเมืองเป็นข้อพิสูจน์ว่าประชาธิปไตยใช้ไม่ได้ผล และพลเอกชวลิตก็พึมพำว่าประชาชนกำลังร้องขอให้เขาก่อการรัฐประหารเพื่อพลเอกเปรม การทะเลาะวิวาททางการเมืองเงียบเสียงลงไปในช่วงต้นเดือนธันวาคมก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 ปี ขณะที่มีการจุดพลุดอกไม้ไฟที่ญี่ปุ่นจัดให้พุ่งกระจายเต็มท้องฟ้า พลเอกเปรมก็กราบบังคมทูลถวายพระราชสมัญนามพระมหาราชแด่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอย่างเป็นทางการ ประชาชนก็แซ่ซร้องไปทั่วพระราชอาณาจักร โอรสองค์โตของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่ชื่อจุฑาวัชร ซึ่งอาจมีโอกาสได้เป็นกษัตริย์ในอนาคต ก็บวชเณรที่วัดบวรฯ เมื่อการเฉลิมฉลองเริ่มต้น ใบปลิวโจมตีพระราชวงศ์ก็ถูกแจกจ่ายอย่างเปิดเผยตามสี่แยกต่างๆ โดยถูกสอดไว้ในกล่องไปรษณีย์ในรัฐสภา ถูกถ่ายเอกสารและแฟ็กซ์ไปทั่วประเทศ บางคนวิจารณ์ในหลวงกับพระราชินีสิริกิติ์ตรงๆว่าทรงหวงอำนาจ ส่วนใหญ่มุ่งโจมตีฟ้าชายในเรื่องความประพฤติและเรื่องการเสด็จญี่ปุ่น รวมทั้งการปฏิบัติต่อโสมสวลี และประกาศว่าฟ้าชายไม่เหมาะที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ ฟ้าชายทรงนำความเสื่อมเสียและขาดสำนึกผิดชอบชั่วดีโดยสิ้นเชิง ถ้าเลือกฟ้าชายประเทศชาติก็จะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และยังโจมตีหม่อมสุจาริณีเรื่องปริญญาปลอมโดยบอกว่ามีการรีบพระราชทานใบปริญญาให้เธออย่างเร่งรีบโดยหวังว่าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงโปรดฯแต่งตั้งเธอเป็นเจ้าเต็มตัวในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ใบปลิวเหล่านี้ไม่มีการพูดถึงอย่างเป็นทางการจนกระทั่ง 8 ธันวาคม 2530 ก็ถูกระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามล้มล้างของพวกคอมมิวนิสต์ กองทัพและตำรวจประกาศว่าเป็นหลักฐานแสดงถึง ศัตรูกลุ่มหนึ่งของชาติที่เป็นส่วนหนึ่งใน ขบวนการที่จ้องล้มล้างสถาบันกษัตริย์ จริงๆแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีหลายกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์ที่เป็นผู้ผลิตใบปลิวเหล่านี้ เชื่อกันว่ามีกลุ่มหนึ่งในนั้นอยู่ในฝ่ายโสมสวลี ตำรวจตามล่าจับตัวคนพิมพ์ใบปลิวรายหนึ่ง นักศึกษากลุ่มหนึ่งและพระรูปหนึ่ง ที่ถูกไต่สวนพิจารณาคดีอย่างรวดเร็วและถูกตัดสินจำคุกด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
พระเจ้าอยู่หัวทรงปิดฉากปีแห่งความวุ่นวายนั้นด้วยพระราชพิธีชุมนุมพระบรมวงศานุวงศ์ครั้งใหญ่อย่างพร้อมเพรียงที่เสด็จมากันหมดเพื่อเฉลิมฉลองวาระอันสำคัญ ทรงมีพระบรมราโชวาทย้ำว่าสถาบันกษัตริย์มีความเป็นประชาธิปไตยและพระองค์ทรงเป็นตัวแทนมติเอกฉันท์ (consensus) ของปวงชน “สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่สร้างโดยประชาชนเพื่อเป็นที่พึ่งพาของประชาชน และกระทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน”
มรว.สุขุมพันธ์เขียนบทความลงในนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง กล่าวถึงความกังวลของประชาชนต่อการที่พระเจ้าอยู่หัวทรงทำท่าจะสละราชบัลลังก์ และพูดถึงใบปลิวที่ออกมาในเดือนธันวาคมว่าทำให้ประชาชนวิตกกังวล ไม่ใช่แค่เรื่องฟ้าชายเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการขยายอำนาจมากเกินไปของพระเจ้าอยู่หัวและกองทัพ เขาพูดถึงปัญหาอย่างระมัดระวัง ว่า...
ด้วยบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในพัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทย ตลอดจนการเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ความไม่แน่นอนใดๆ เกี่ยวกับอนาคตของกษัตริย์ก่อให้เกิดความหวั่นวิตกอย่างเลี่ยงไม่พ้น ผู้คนเกิดความสงสัย โดยมากเป็นการพูดคุยส่วนตัว แต่ตอนนี้เริ่มเปิดเผยมากขึ้นเกี่ยวกับศักยภาพของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ว่าจะสามารถสร้างความจงรักภักดีจากประชาชนและกลุ่มการเมืองต่างๆ ดังที่พระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำได้หรือไม่และยังคงสงสัยว่า ฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะสามารถเทียบชั้นกับพระราชบิดาของพระองค์ได้หรือไม่ สำหรับบทบาทอันแยบยลในทางการเมือง พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นสำหรับพระราชอาณาจักรของพระองค์และราชบัลลังก์ที่พระองค์ทรงสืบราชสันตติวงศ์มาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ด้วยการที่ได้ทรงปฏิบัติอย่างนั้น พระองค์ได้ทรงสร้างมาตรฐานที่อาจสูงเกินเอื้อมไว้สำหรับผู้ที่จะมารับช่วงต่อ หากการนำโดยสถาบันพระมหากษัตริย์จะย่อหย่อนหรือด้อยลงด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งในอนาคต ก็จะเกิดผลสะเทือนทางการเมืองอย่างรุนแรง ดุลอำนาจอันง่อนแง่นระหว่างกลุ่มนักการเมืองต่างๆก็จะถูกทำลายไป สุญญากาศที่จะเกิดขึ้นนี้มีแต่กองทัพเท่านั้นที่จะสามารถเติมเต็มได้ ด้วยการที่กองทัพผูกขาดอำนาจปืนความเป็นปึกแผ่น การควบคุมสื่อและการเมืองมวลชนรากหญ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว สำหรับคนไทยจำนวนมากแล้ว นี่คือสาเหตุเบื้องลึกที่สุดสำหรับการวิตกกังวล ... แต่ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวและพลเอกเปรมเปรมต่างก็ไม่ได้ยอมรับการวิเคราะห์ของมรว.สุขุมพันธ์ กระนั้นเมื่อคำวิจารณ์ของเขาถูกตีพิมพ์ เจ้าหน้าที่วังก็เริ่มพูดว่าในหลวงจะไม่สละราชบัลลังก์อย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าพระเจ้าอยู่หัวจะเปลี่ยนพระทัยซึ่งคงเป็นเพราะพฤติกรรมฉาวโฉ่ไม่เอาไหนของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ และปัจจัยหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าพลเอกเปรมกำลังถูกท้าทายอีกรอบหนึ่ง พอคล้อยหลังงานเฉลิมพระชนมพรรษา เรื่องทุจริตคอรัปชั่นก็โผล่มาอีกเป็นชุด อธิบดีและข้าราชการระดับสูงในกรมศุลกากรกับสรรพากรที่ควรจะเป็นข้าแผ่นดินที่ซื่อสัตย์สุจริต ก็ดันถูกจับได้ว่าพัวพันกับการลักลอบนำเข้ารถหรู พลเอกเปรมยอมรับใบลาออกของพวกเขา แต่เกิดความสงสัยไปทั่วว่าเขาทำเพียงเพื่อปิดบังเพื่อปกป้องแก๊งค์ลักลอบขนของเถื่อนในกองทัพ เขาไม่ได้จัดการปราบปรามการทุจริต เขาเพียงแต่ขยับตัวไปตามรายงานข่าวแย่ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น รัฐมนตรีบรรหารกลายเป็นประเด็นฉาวโฉ่อีกครั้งด้วยการกินรวบสัญญาโครงการต่างๆของรัฐบาลเข้ากระเป๋าตัวเอง เมื่อเศรษฐกิจส่อแววจะเสียหายจากการงุบงิบกรณีหนึ่ง กระทั่งภาคธุรกิจเอกชนก็ออกมาโจมตีพลเอกเปรม ที่อับอายขายหน้ามากที่สุดคือเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวพันกับวังและรัฐบาลเปรมเอง แก๊งค์ข้าราชการระดับสูงและพระชั้นผู้ใหญ่ถูกเปิดโปงว่าขายเครื่องราชย์ เรื่องนี้ตั้งเค้ามานาน การมอบเครื่องราชย์ เป็นกิจกรรมสำคัญที่ยาวนานในการสร้างชนชั้นสูงแวดล้อมวังและขยายวัฒนธรรมวังในแวดวงราชการและธุรกิจ และมันยังเป็นช่องทางการหารายได้สำหรับงานการกุศลของวังด้วย เนื่องด้วยอุปสงค์หรือความต้องการในการบริจาคและความอยากได้เครื่องราชย์มีเพิ่มมากขึ้นวังจึงแบ่งงานการจัดการในเรื่องนี้แก่รัฐบาลและคณะสงฆ์ โดยวัด องค์กรการกุศลและหน่วยงานราชการต่างๆ จะทำหน้าที่รายงานการบริจาคและรายชื่อผู้สมควรได้รับเครื่องราชย์แก่กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะทาหน้าที่ตรวจสอบรายชื่อและส่งต่อไปยังสานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามารถเพิ่มเติมรายชื่อได้ และบัญชีรายชื่อสุดท้ายจะถูกส่งไปยังสำนักราชเลขาธิการและปกติก็จะได้รับการยอมรับโดยไม่มีคำถามใดๆ โดยที่การมอบเครื่องราชย์ ไม่ได้มีแต่ข้อพิจารณาทางด้านสังคม หากแต่มีด้านเศรษฐกิจด้วยคือดูจากจำนวนเงินที่บริจาค ช่วงต้นทศวรรษ 2520 กระบวนการพิจารณาเรื่องนี้จึงมีความทุจริตคอรัปชั่น สามารถใช้เงินติดสินบนพระและข้าราชการเพื่อปลอมแปลงรายงานการบริจาค เรื่องนี้ถูกเปิดเผยในเดือนธันวาคม 2530 เมื่อข้าราชการชั้นสูงรายหนึ่งในสำนักเลขาธิการนายกฯของพลเอกเปรมฆ่าตัวตาย เขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลตราประทับของวังกับลายเซ็นของนายกฯ และได้ใช้ช่องทางนี้ช่วยให้คนได้รับเครื่องราชย์ การสืบสวนต่อมาพบว่ามีแก๊งค์เครื่องราชย์ อยู่อย่างน้อยสองกลุ่ม ซึ่งพัวพันกับเจ้าหน้าที่ในสำนักเลขาธิการ ของพลเอกเปรมและพระดังรูปหนึ่งของวัดเทพศิรินทร์ อันเป็นวัดหลวงที่อยู่ในแถวหน้าสุด ตำรวจประมาณการว่าเกือบครึ่งหนึ่งของรายชื่อผู้จะได้รับเครื่องราชฯ ในปีนั้นๆเป็นของปลอม โดยแอบอ้างเงินบริจาคมากกว่า 1,500 ล้านบาท งานนี้เปิดเผยให้เห็นว่าการมอบเครื่องราชย์กับวงจรการทำบุญของวังที่เรียกว่าโดยเสด็จพระราชกุศลนั้นตกต่ำเสื่อมถอยเพียงใด และยังชี้ให้เห็นว่าพลเอกเปรมผู้เป็นนายกฯพระราชทานไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนเลยกับการทุจริตคอรัปชั่น (คดีทุจริตเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ใช้เวลาพิจารณาคดีกันนานถึง17 ปี จาก 2531 มาตัดสินฎีกาเมื่อ 27 เมษายน 2548 โดยถูกพิพากษาจำคุก 5 คน ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1,130 ปี จนถึง 2,660 ปี แต่ตามกฎหมายให้จำคุกไม่เกิน 50 ปี จำเลยสำคัญ นายเมธี บริสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีถูกตัดสินจำคุกถึง 1,148 ปี จำเลยที่ 1 พระราชปัญญาโกศลหรือเจ้าคุณอุดมอดีตรองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ที่ลาสิกขาบทออกมาสู้คดีในนามนายผาสุก ขาวผ่องไม่ติดคุก เพราะศาลจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยถึงแก่กรรมเสียก่อน แสดงว่าวังก็ไม่ได้มุ่งมั่นที่จะดำเนินคดีนัก ส่วนใหญ่พ้นผิดไปเนื่องจากขาดหลักฐาน แต่มีจำนวนหนึ่งที่ถูกตัดสินจำคุกนานถึงสิบปืเนื่องจากสร้างความเสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์) บารมีของพลเอกเปรมถดถอยลงไปทุกที หลังจากผู้ประท้วงเขื่อนน้ำโจนบีบให้รัฐบาลต้องยอมยกเลิกโครงการเป็นผลสำเร็จ เมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2531 คณะรัฐมนตรี มีมติระงับการสร้าง เขื่อนน้ำโจน บริเวณเขาน้ำโจน เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จ. กาญจนบุรี โดยฝ่ายนักอนุรักษ์คนสำคัญ เช่น นายสืบ นาคะเสถียร หมอบุญส่ง เลขะกุล ได้เข้าคัดค้านอย่างเต็มที่ เนื่องจากน้ำจะท่วมใจกลางป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นพื้นที่ประมาณ 80,000 ไร่ นับเป็นผืนป่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งได้รับการประกาศจากองการณ์ยูเนสโกให้เป็น พื้นที่มรดกโลก
ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนกับลาวที่คุกรุ่นก็ระเบิดเป็นการสู้รบที่ร่มเกล้า ระหว่างวันที่ 1-19 กุมภาพันธ์ 2531 ที่บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อพล.อ.ชวลิต ผบ.ทบ. ประกาศจะผลักดันกองกำลังต่างชาติที่เข้ามายึดครองพื้นที่ในเขตไทยทุกรูปแบบด้วยการใช้กำลังทหาร จึงทำให้เกิดการสู้รบอย่างดุเดือดอย่างหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการสูญเสียอย่างมากทั้งฝ่ายไทยและลาว และนับเป็นการสูญเสียชีวิตทหารมากที่สุดในการรบของไทยเท่าที่เคยมีมา จากความขัดแย้งเรื่องพรมแดนไทย-ลาว ในบริเวณดังกล่าวเนื่องมาจากยึดถือเส้นพรมแดนในสนธิสัญญาคนละฉบับการเจรจายุติศึกแยกกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายออกจากกันฝ่ายละ 3 กิโลเมตร และทหารไทยก็พ่ายแพ้ทั้งที่ได้เปรียบในเชิงอาวุธยุทโธปกรณ์ พลเอกชวลิตโดนตำหนิไปเต็มๆ และยังเผื่อแผ่ไปถึงลูกพี่คือพลเอกเปรมด้วย ก่อนที่จะถูกถล่มยับเยินในสภา พลเอกเปรมชิงยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้ง 24 กรกฎาคม 2531 อย่างน้อยก็ทำให้เขายังได้เป็นประธานในงานเฉลิมฉลองการทำครองราชย์ยาวนานที่สุดกว่าพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ใด(โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 ผู้เป็นปู่ที่ครองราชย์ถึง 42 ปี 22วัน)ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2531 ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมในการสนับสนุนจากวังและกองทัพ พลเอกเปรมได้แสดงเจตนาชัดเจนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปโดยไม่ลงเลือกตั้ง แต่คราวนี้ความสัมพันธ์สามฝ่ายระหว่างพระ
ต่อ
เหนื่อยหน่ายกับการซักถามของทนายก็ขู่ว่าจะแฉเรื่องทั้งหมดถ้ายังบังคับให้ต้องแสดงละครต่อไปอีก
ท่ามกลางเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าพระเจ้าอยู่หัวจะมัวจดจ่อเรื่องยุ่งเหยิงจนไม่ทันได้ทรงสังเกตว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงเริ่มออกอาการมีปัญหา นอกจากขบวนผู้ติดตามขนาดใหญ่ตามปกติแล้วพระราชินียังทรงผิดหวังอย่างมากจากการที่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทิ้งโสมสวลีผู้เป็นหลานสาวของพระองค์ โดยฟ้าชายทรงแสดงชัดถึงการปฏิเสธโสมสวลีในการพระราชทานสัมภาษณ์กับสื่อไทยในกลางปี 2527 ว่าพระองค์ต้องทุ่มเทให้กับบทบาทการเป็นทหารอาชีพที่มีวินัยเข้มงวดและเข้ารับใช้อุทิศตนให้กับพระเจ้าอยู่หัวและประเทศชาติในฐานะว่าที่กษัตริย์ในอนาคต โดยพระองค์ไม่เอ่ยถึงพระชายาเลย ทำให้ครอบครัวของโสมสวลีและผู้สนับสนุนพากันเดือดดาลต่อทั้งฟ้าชายและพระราชินี และยังมีเรื่องวุ่นๆเพิ่มเข้ามาอีกคือเรื่องขัดแย้งระหว่างพลเอกเปรมกับพลเอกอาทิตย์ เรื่องแชร์แม่ชม้อยที่ล้มไม่เป็นท่า โดยมีเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ในกรุงเทพฯว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอยู่ด้วยและยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนในเหมืองทองที่แคลิฟอร์เนียของทูลกระหม่อมอุบลรัตนกับนายเจนเส่นผู้เป็นสามี ซึ่งดูเหมือนจะพัวพันถึงคนอื่นๆในพระราชวงศ์ด้วย ซึ่งงานนี้ได้เงินกู้ก้อนโต ถึง400 ล้านบาทจากธนาคารไทยพาณิชย์ (ราวปี 2526 ปีเตอร์ เจนเซ่น สามีของอุบลรัตน์ ร่วมกับนักการเงินที่แคลิฟอร์เนีย ชื่อ นายริชาร์ด ไซเบอร์แมน Richard Siberman ลงทุนในกิจการเหมืองที่เมืองยูบา Yuba Natural Resources ที่จะถลุงทองคำจากหางแร่ในแม่น้ำยูบา Yuba ที่แคลิฟอร์เนีย ธนาคารไทยพาณิชย์ให้เงินกู้แก่นายเจนเซ่นไปลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงมากๆ ผลคือไม่มีทองคำ และเงินกู้ก็กลายเป็นหนี้เสียไปภายในเวลาสองหรือสามปี ในราวปี 2532 บริษัทนี้ถูกขายให้กับอีกบริษัทหนึ่ง ) จากนั้นในเดือนพฤษภาคม 2528 มีข่าวพันโทณรงค์เดช นันทโพธิเดช ขวัญใจของพระราชินีเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในสหรัฐฯ ทั้งๆที่เป็นคนหนุ่มที่แข็งแรงมากโดยมีข่าวลีอว่าเขาถูกฆาตกรรม ความโศกเศร้าของพระราชินีกลายเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ในงานศพของพันโทณรงค์เดชที่ระดับสูงในกองทัพและรัฐบาลเข้าร่วม พระราชินีทรงจัดทำหนังสืองานศพที่มีรูปถ่ายของทั้งสอง จากนั้นก็มีสารคดีโทรทัศน์ยกย่องเชิดชูณรงค์เดช ซึ่งก็เผยถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างพวกเขาทั้งสอง ที่บางคนถึงกับหาว่าอาจเป็นชู้รักกัน
เดือนต่อมา สุจาริณีคลอดลูกชายอีกหนึ่งคน ตอนนี้ทางวังต้องทำเป็นยอมรับหม่อมสุจาริณีผู้เป็นแม่ของหลานกษัตริย์ถึงสี่คน และเธอยังต้องการลูกชายอีกหนึ่งคนเพราะว่าพระหมอดูรายหนึ่งได้ทำนายว่าหากเธอมีลูกกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์เป็นเพศชายห้าคน เธอจะได้เป็นราชินีซึ่งเรื่องนี้ถูกถือเป็นจริงเป็นจังในแวดวงชาววัง เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้กับการรัฐประหารลึกลับในเดือนกันยายน 2528 ได้ทำให้พระราชินีสิริกิติ์ทนต่อไปไม่ได้และถึงกับระเบิดออกมาในตอนปลายปี ต้องเสด็จเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาที่เรียกว่า diagnostic curettage” (การควักเอาชิ้นเนื้อเยื่อไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ) ทรงหายหน้าหายตาจากสาธารณะไปเป็นเวลาหกเดือน กล่าวกันว่าในหลวงภูมิพลทรงแยกพระราชินีออกจากบริวารแวดล้อมด้วยพระองค์เองและต้องเสวยอาหารบำรุงสุขภาพ ข่าวลือแพร่ไปว่าทรงประชวรหนัก กระทั่งอาจถึงสิ้นพระชนม์ ในที่สุด พระราชินีก็ทรงหวนคืนเวทีในเดือนกรกฎาคม 2529 ในงานพระราชพิธีฉลองเสาหลักเมืองของกรุงเทพฯ ทรงดูเซื่องซึมขาดชีวิตชีวา แล้วก็ทรงหายไปอีกสามสัปดาห์ กระทั่งไม่เสด็จในพระราชพิธีเฉลิมพระชนพรรษา 12 สิงหาคม 2529 ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์จึงทรงทำหน้าที่แทน ทรงออกโทรทัศน์ตรัสยกย่องพระราชินีว่าทรงเป็นยอดหญิงผู้อุทิศตนและเสียสละ “ตั้งแต่ทรงเข้ารับการผ่าตัดในปี 2528 แม่ก็มีอาการดีขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้แม่ออกกำลังกายเป็นประจำ และกระทั่งข้าพเจ้าอายุน้อยกว่าแม่ถึง 25 ปีก็ยังทำไม่ได้เท่า ถ้าประชาชนจะโกรธเคืองเพราะการที่แม่หายหน้าไปจากสาธารณะ พวกข้าพเจ้า(ลูกๆ)ก็สมควรได้รับการตำหนิ เนื่องจากพวกข้าพเจ้ายืนกรานให้แม่ได้พักผ่อนไม่ต้องออกงาน ปกติทุกๆ คนล้วนมีวันหยุด แต่แม่ไม่เคยมีเลย” ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ตรัสว่า พระราชินีสิริกิติ์ทรงตื่นนอนเวลาประมาณ 10-11 โมงเช้าทุกวัน และทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน “ถ้าแม่นอนไม่หลับ ก็จะทำงานไปจนถึงเช้า พอแต่ลืมตาตื่น แม่ก็ไม่มีเวลาสำหรับอะไรอย่างอื่นนอกจากงาน ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินแม่พูดว่าเหนื่อยเลย”
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ใช้โอกาสนี้กล่าวถึงบางเรื่องที่ร่ำลือกันมานานและภาพลักษณ์พระราชวงศ์อลเวงที่ประชาชนเฝ้าติดตามชม ทรงปฏิเสธข่าวลือที่ว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงครอบงำพระราชวงศ์
“เราทั้งหมดทำงานให้พ่อ เพราะเรามีความจงรักภักดี ในครอบครัวเราไม่มีใครต้องการความนิยมส่วนตัว ทุกคนช่วยกันทำงานและเราทำงานเป็นทีม แต่ก็มีคนพูดว่าครอบครัวของเราแบ่งเป็นสองฝ่าย ซึ่งไม่จริงเลย” และเพื่อเป็นการพิสูจน์ วันที่ 18 สิงหาคม 2529 เมื่อพระราชินีสิริกิติ์มีพระอาการดีขึ้นพอที่จะรับแขกมาอวยพรได้ (คนแรกคือพลเอกเปรม) งานนี้ถูกจัดให้เป็นราวกับพิธีกรรมทางศาสนา พระราชินีทรงโทษว่าอาการประชวรของพระองค์เป็นผลมาจากความเหนื่อยล้ากับเป็นคราวเคราะห์ และทรงยกย่องความสูงส่งของพระองค์เองด้วยการตรัสว่าคนที่สวดภาวนาให้พระองค์จะได้บุญมาก “หากข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องทางสายกลาง ข้าพเจ้าก็คงจะไม่เจ็บป่วยและเสียเวลาไปมากมายอย่างนี้” พระราชเสาวณีย์เหล่านี้แสดงถึงความสำคัญของดวงดาวที่วังเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างการประชวร แต่อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้ คนไทยก็สนใจเรื่องในวังน้อยลงไปมาก และตั้งคำถามมากขึ้น ในทศวรรษ 2520 การศึกษาที่กว้างขวางขึ้นและความเจริญทางเศรษฐกิจได้สร้างชนชั้นกลางขึ้นมาเป็นจำนวนมากที่ยึดคุณค่าและการปฏิบัติที่แตกต่างไปจากความคิดและความเชื่อของในหลวงภูมิพลกับพลเอกเปรม ประชากรในเมืองมีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ การค้าและการอุตสาหกรรมมีขนาดใหญ่กว่าการเกษตร โดยมีแรงผลักดันจากการส่งออกไปตลาดโลกเป็นสำคัญ คนงานโรงงานในเมืองมีจำนวนนับล้านๆคน ชีวิตของพวกเขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังอื่นๆ เช่น ทุนต่างชาติ การแข่งขันและบริโภคนิยม มากกว่าพลังแผ่นดินหรือพลังของพระเจ้าแผ่นดิน
ในช่วงเวลาเดียวกัน นักศึกษาที่เคยต่อสู้กับเผด็จการทหารในยุคทศวรรษ 2500 และ 2510 ก็เติบโตขึ้น กลายเป็นคนทำงานบริษัท ทำธุรกิจส่วนตัว เป็นอาจารย์ สื่อมวลชน นักการเมือง นักร้องและนักเขียน และอยู่เบื้องหลังกิจกรรมและองค์กรพัฒนาเอกชนที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำงานในประเด็นความยากจน การศึกษา สิ่งแวดล้อม อันเป็นอาณาบริเวณที่รัฐบาลกับวังถือเป็นพื้นที่ฐานเสียงของตนยิ่งกว่านั้น หลังจากเวลาผ่านไป 5 ปี คนไทยจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายลีลาการลอยตัวเหนือปัญหาและปิดปากเงียบของพลเอกเปรม พวกเขาวิจารณ์พลเอกเปรมอย่างเปิดเผยว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะพลเอกเปรมไม่ยอมตอบคำถามใดๆ เกี่ยวกับการบริหารประเทศหรือแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องอื้อฉาวกับความผิดพลาดล้มเหลวต่างๆ เรียกว่าเป็นรัฐบาลเตมีย์ใบ้ คือไม่ยอมพูด เอาแต่ถวายรายงานต่อพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นเจ้าของประเทศตัวจริงเท่านั้น ชนชั้นกลางรุ่นใหม่คาดหวังการปกป้องจากกฎหมายที่เป็นระบบและมีตัวบทชัดเจนมากกว่าการปกป้องจากระบบสังคมแบบพ่อขุนอุปถัมภ์และระบบศักดินาคลั่งเจ้าที่รัฐบาลทหารให้การเชิดชู และพวกเขาก็ปฏิเสธการกุมอำนาจของกองทัพที่เอาแต่อ้างภัยคอมมิวนิสต์ สัญญาณอัน หนึ่งที่บ่งบอกถึงความรู้สึกนี้คือชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ที่ผิดคาดในปี 2528 ของพลตรีจำลอง ศรีเมือง เบอร์ 8 ในนาม “ กลุ่มรวมพลัง ” โดยได้รับคะแนนเสียง 408,233 คะแนน เป็นอดีตยังเติร์กและเลขานุการนายกฯ ของพลเอกเปรม ผู้หันหลังให้กับการเมืองภายในกองทัพและกลายมาเป็นคนธัมมะธัมโม ที่ใช้ชีวิตสมถะ ละกามารมณ์ ไม่กินเนื้อสัตว์ และไม่นอนบนฟูก กลุ่มศาสนาที่เขาสังกัดคือสันติอโศก ที่ถือว่าวงการสงฆ์กระแสหลักไม่มีความเข้มงวดจริงจัง เอาแต่แสวงหาทรัพย์และลาภยศ (ในปี 2531 จึงก่อตั้ง พรรคพลังธรรม ขึ้น โดยสื่อมักเรียกขานกันว่าเป็น “ พรรคพลังผัก ” เนื่องจากสนับสนุนให้คนเลิกกินเนื้อสัตว์หันมากินอาหารมังสวิรัติ กระแสความนิยมในตัว พล.ต.จำลองในฐานะนักการเมืองผู้สมถะ พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นกระแส “ จำลองฟีเวอร์ ” และเรียกกันติดปากว่า " มหาจำลอง " ชนะการเลือกตั้งเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่า ฯ อีกสมัยในปี พ.ศ. 2533 โดยได้รับคะแนนท่วมท้นถึง 703,671 คะแนน) การชนะเลือกตั้งของพลตรีจำลองเป็นสัญญาณแสดงถึงการที่คนเมืองปฏิเสธรัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่นและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนภายใต้การบริหารของพลเอกเปรมซึ่งทำให้เมืองหลวงสกปรกเละเทะ รถติดและมีมลพิษ พลตรีจำลองหาเสียงด้วยภาพของความซื่อสัตย์และความกระตือรือร้น บอกถึงความล้มเหลวของโครงสร้างระดับอำนาจอันมีพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงอยู่บนยอดสุดโดยมีพลเอกเปรม กองทัพและราชการเรียงลำดับลดหลั่นกันลงมา
ในปี 2529 การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประชาชนปรากฏชัดเมื่อพลเอกเปรมแทบจะล้มพังพาบจากศึกในสภา พลเอกเปรมรับมือด้วยลีลาแบบป๋าอุปถัมภ์และการก่อตั้งกลุ่มการเมืองของตนเอง โดยให้พลอ.อ. สิทธิ เศวตศิลา ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของตนเข้ายึดพรรคกิจสังคมหลังจากมรว.คึกฤทธิ์ อำลาเวทีไป และให้พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ เพื่อนอีกคนหนึ่งตั้งพรรคราษฎรขึ้นมาเพื่อเป็นฐานให้กับตนเอง ซึ่งดูขัดแย้งกับทัศนคติศักดินาบูชาเจ้าของในหลวงและพลเอกเปรมที่รังเกียจระบบรัฐสภาแต่ดันมาเสริมความชอบธรรมของการเมืองระบบรัฐสภาด้วยการตั้งพรรคการเมืองเพื่อเป็นฐานสนับสนุนตนเองในสภา และทำให้วังกลายเป็นผู้เล่นรายหนึ่งในสภาอย่างอ้อมๆ เปิดช่องให้มีโอกาสถูกท้าทายและวิพากษ์วิจารณ์ได้ ภายในเวลาสองเดือน สภาก็เล่นงานพลเอกเปรมอีก พอต้นเดือนพฤษภาคม พลเอกเปรมต้องเสนอให้ในหลวงภูมิพลยุบสภาและประกาศเลือกตั้งใหม่แต่ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง ความแตกแยกเป็นฝักฝ่ายในกองทัพก็เกิดขึ้นมาอีก พลเอกอาทิตย์รู้ทันเกมการสร้างพรรคของพลเอกเปรมว่าหมายถึงการที่พลเอกเปรมจะไม่ยอมลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อพลเอกอาทิตย์ขู่จะก่อการรัฐประหาร วังก็แสดงความชัดเจนออกมาว่าการต่อต้านพลเอกเปรมก็เท่ากับการต่อต้านวัง อย่างแรกที่วังแสดงออกคือ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยี่ยมพลเอกเปรมที่บ้านอย่างเปิดเผย แทนที่พลเอกเปรมจะเป็นฝ่ายไปเข้าเฝ้าตามธรรมเนียม สองสามสัปดาห์ต่อมา ในหลวงภูมิพลก็พระราชทานยศพล.อ.อ. กับ พล ร. อ. ให้แก่พลเอกเปรม ซึ่งปกติแล้วการมียศหลายตำแหน่งจะสงวนไว้สำหรับพระราชวงศ์เท่านั้น และขณะที่พลเอกเปรมอยู่ในฐานที่มั่นที่นครราชสีมาก็ได้ประกาศพระบรมราชโองการฯ ปลดพลเอกอาทิตย์ ออกจากตำแหน่งผบ.ทบ.ซึ่งถือเป็นจุดจบทางการเมืองของพลเอกอาทิตย์ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นการรับประกันความอยู่รอดของพลเอกเปรม การรณรงค์หาเสียงของนักการเมืองหัวก้าวหน้าพุ่งเป้าโจมตีพลเอกเปรมที่ไม่ยอมลงสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งกองทัพที่มีการทุจริตอย่างกว้างขวางและเป็นทหารการเมือง แต่พลเอกเปรมก็ไม่สะทกสะท้านเพราะเขาได้ยึดเอาพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเป็นแบบอย่างคืออ้างว่าเขามีความเป็นกลางและอยู่เหนือการเมือง ถึงแม้ว่าบริวารส่วนตัวของพลเอกเปรมจะจัดการดูแลพรรคการเมืองอยู่ก็ตาม แต่ในหลวงและพลเอกเปรมก็มีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการปล่อยข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงต้องการให้พลเอกเปรมเป็นนายกอย่างน้อยจนกว่าจะผ่านงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 ชันษาในปี 2530 ไปก่อน และจากนั้นก็เป็นการเฉลิมฉลองวาระการขึ้นครองราชย์ที่ยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ในปี 2531(รัชกาลที่ 5 ทรงครองราชย์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะทรงมีพระชนม์เพียง 16 ปี โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ -ช่วง บุนนาค เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2416 เสด็จสวรรคตเมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมระยะเวลาครองราชย์ 42 ปี 22 วัน ขณะที่รัชกาลที่ 9 ครองราชย์วันที่ 9 มิถุนายน 2489 และจะครองราชย์นานเท่ากับรัชกาลที่ 5 ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2531)
ผลการเลือกตั้ง 27 กรกฎาคมออกมาไม่มีพรรคใดชนะโดยเด็ดขาด พรรคที่ได้ที่นั่งมากที่สุด 100 จาก 347 เสียงคือประชาธิปัตย์ ที่มีภาพลักษณ์สะอาดที่สุดและโจมตีพันธมิตรเปรม-วัง-กับกองทัพหนักหน่วงที่สุด พรรคประชาธิปัตย์จึงมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของหัวหน้าพรรค นายพิชัย รัตตกุล แต่แล้วนายพิชัยก็ศิโรราบแก่พลเอกเปรม ซึ่งทำให้คนในพรรคโกรธแค้นมาก ส่วนใครจะเป็นคนไปเกลี้ยกล่อมนายพิชัยอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่คาดเดากันไปต่างๆ นานา พรรคร่วมรัฐบาลของพลเอกเปรมประกอบด้วยประชาธิปัตย์ ชาติไทย และพรรคของพลเอกเปรมเองคือ กิจสังคมกับราษฎร แล้วพลเอกเปรมก็หักหลังประชาธิปัตย์ด้วยการตั้งคนของตนเองเข้ามาในคณะรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทยถูกยกให้อดีตผู้นำกระทิงแดงพล ต.อ.ประจวบ สุนทรางกูร ที่ส่งตำรวจเตรียมพร้อมรับมือทันทีที่มีนักศึกษาบางคนออกมาประท้วง ไม่ต่างจากยุคขวาพิฆาตซ้ายในปี 2519 เลย กระทรวงคมนาคมและการสื่อสารอันเป็นกระทรวงเกรดเอที่ให้ผลประโยชน์มากที่สุดตกเป็นของดาวรุ่งคนใหม่ของพรรคชาติไทยชื่อนายบรรหาร ศิลปอาชา หลงจู๊ผู้รับเหมาที่ไม่ชอบการอดอยากปากแห้งที่มีอิทธิพลในพื้นที่ภาคกลาง พลเอกเปรมกับวังคุมการเมืองไว้ได้อีกครั้งหนึ่งโดยไม่ต้องใช้กำลัง และทำให้หลายคนได้เห็นว่า “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจโดยสมาชิกสภา แต่ตัดสินโดยกองทัพ วังและกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ” เมื่อพลเอกเปรมชนะศึกไปได้อีกยกหนึ่ง ก็ยังได้ช่วยประคองภาพลักษณ์ของฟ้าชายแม้ว่าจะทรงผลักไสไล่ส่งโสมสวลีออกไปแล้วก็ตาม ฟ้าชายดูเหมือนว่าได้ทรงทำข้อตกลงไว้กับในหลวง คือถ้าฟ้าชายทำตัวดีและถ้าหม่อมสุจาริณีสามารถยกระดับตัวเองจากกำพืดอันต่ำต้อยได้ เธออาจได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวงศ์ ฟ้าชายลงทุนเสด็จออกเยี่ยมเยียนคนยากคนจนหลายครั้ง ทรงทำบุญตามวัดในต่างจังหวัดและพระราชทานปริญญาบัตรตามสถาบันการศึกษามากขึ้น ทรงนำพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 9 ไปแจกจ่ายให้จังหวัดต่างๆ อันเป็นโครงการที่เริ่มมาตั้งแต่ทศวรรษ 2500 เพื่อแผ่ขยายบารมีของพระเจ้าอยู่หัวให้ครอบคลุมไปทั่วพระราชอาณาจักรทรงประทับเคียงข้างพระราชบิดาในการรับถวายสาส์นตราตั้งจากนักการทูตที่เพิ่งมาใหม่และเสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2530 เสด็จเป็นตัวแทนพระเจ้าอยู่หัวไปเยือนจีน ในการเสด็จออกงานเหล่านี้ มักจะมีหม่อมสุจาริณีเดินตามห่างๆอย่างสงบเสงี่ยมเยี่ยงชาววังที่ดี
กลางปี 2529 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์พระราชทานสัมภาษณ์อย่างยืดยาวแก่หนังสือสารดิฉัน เป็นนิตยสารแฟชั่นและการใช้ชีวิตชั้นนำสำหรับชนชั้นสูงและชนชั้นกลางเจ้าของนิตยสารคือ นายปีย์ มาลากุล จากตระกูลที่รับใช้ในหลวงภูมิพลมายาวนาน นายปีย์เป็นเหมือนผู้ชำนาญการประชาสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการของพระราชวัง บทสัมภาษณ์ยาว 32 หน้าพร้อมทั้งรูปถ่ายที่ถ่ายในวังใกล้สนามบินน้ำเมืองนนท์ เนื้อหาบรรยายถึงฟ้าชายวชิราลงกรณ์ว่าเป็นเจ้าชายที่ทุ่มเททำงานหนัก อุทิศตนเพี่อพระราชบิดาและประเทศชาติโดยแทบไม่มีเวลาแสวงหาความเพลิดเพลิน ใจความ หลักของบทสัมภาษณ์อยู่ที่การยอมรับถึงลูกทั้งสี่คนที่เกิดจากหม่อมสุจาริณี โดยโสมสวลีถูกตัดขาดออกไป แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อตรงๆ แต่ฟ้าชายก็ทรงโจมตีโสมสวลีว่าไม่เหมาะสมที่จะแต่งงานกับพระมหากษัตริย์ในอนาคต เพราะไม่สามารถร่วมแบ่งปันและมีส่วนร่วมในชีวิตและภารกิจของพระองค์ตลอดจนสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงตรัสว่าการแต่งงานครั้งนั้นคือความผิดพลาดที่เกิดจากการเร่งรีบ และตอนนั้นเธอยังเป็นวัยรุ่น จึงไม่พร้อมแม้กระทั่งในทางกายภาพสำหรับความสัมพันธ์กับผู้ชาย ซึ่งพระองค์ไม่ได้ขยายความในประเด็นนี้ว่าคืออะไร
ขณะที่ทรงปฏิเสธเรื่องฉาวโฉ่ต่างๆ ได้ตรัสถึงภาพลักษณ์ของพระองค์ว่าคนมีชื่อเสียงทุกคนล้วนต้องทนกล้ำกลืนกับปัญหาของการซุบซิบนินทาและการที่มีคนเอาพระนามไปแอบอ้างหาผลประโยชน์ นี่คือความทุกข์ที่พระองค์ต้องทรงกล้ำกลืนในการรับใช้พระราชบิดา และรับมือด้วยการละวางตามแบบพุทธ “บางทีในชาติปางก่อน เราอาจไม่ได้ทำบุญมากพอ หรือบางทีในบางครั้งเราทำอะไรที่น่าตำหนิ เรายอมรับ... ถ้าหากสวรรค์คิดว่าเราไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในการทำหน้าที่ของเรา ก็หยุดและจบ ถ้าท่านคิดได้อย่างนี้ท่านก็จะสบายใจ ท่านไม่ได้คิดเป็นอะไร หากสวรรค์ให้ท่านมีภารกิจต่อแผ่นดิน ก็ยอมรับ ถ้าเขาไม่ต้องการให้ทำงาน ก็โอเค” ผู้อ่านส่วนใหญ่คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจฟ้าชาย แต่บทสัมภาษณ์นี้ทำให้ฝ่ายโสมสวลีโกรธจัดเป็นเจ้าเข้า การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นขั้นตอนที่จัดไว้เพื่อที่จะยกหม่อมสุจาริณีให้มาแทนที่โสมสวลี โดยดูเหมือนจะได้ไฟเขียวจากพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี ที่จริงการยกฐานะหม่อมสุจาริณีมีแนวโน้มเป็นไปได้ เพราะตอนที่ฟ้าชายพระราชทานสัมภาษณ์นั้น เธออุ้มท้องได้สามเดือนแล้ว
ปลายปี 2529 ในหลวงภูมิพล พร้อมทั้งบริวารในวังและพลเอกเปรมมีเวลาได้พักสบายใจอยู่พักหนึ่งหลังชนะศึกทางการเมืองและเรื่องวุ่นๆในพระราชวงศ์มาได้ พวกเขามุ่งความสนใจไปที่การฉลองพระชนมพรรษาครบ 60 ชันษาของในหลวงภูมิพล ซึ่งจะเป็นหัวใจของงานเฉลิมฉลองนาน 20เดือนสำหรับรัชกาลที่ 9 และระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของประเทศโดยมีพลเอกเปรมเป็นตัวแทนของราชวงศ์ บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองเริ่มตลบอบอวลไปทั่วแล้วเมื่อในหลวงภูมิพลทรงเดี่ยวไมโครโฟนและทรงร่ายยาวในงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา บรรดาผู้ชมผู้ฟังที่มีพลเอกเปรมกับคณะรัฐมนตรี ทหารและข้าราชการระดับสูงอื่นๆ ที่ฟังมั่งไม่ฟังมั่งจนถึงตอนที่ในหลวงภูมิพลมีพระราชดำรัสว่า “น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะต้องไหลต่อไป และน้ำที่ไหลจะต้องมีการเปลี่ยนถ่าย” ทรงตรัสต่อไปด้วยพระพักต์นิ่งตามแบบฉบับของพระองค์ “ในช่วงชีวิตของเรา เราปฏิบัติหน้าที่ของเรา เมื่อเราเกษียณ ก็จะมีคนอื่นมาแทน ไม่มีใครจะยึดอยู่กับภารกิจเดียวได้ตลอดไป วันหนึ่งก็จะแก่ตัวและตายไป” พระราชดำรัสนี้ทำให้เกิดความสะท้านสะเทือนขึ้นทันทีทันใด การที่ในหลวงได้มีรับสั่งว่าพระองค์อาจสละราชบัลลังก์ในเวลาอีกไม่นานนัก มันเป็นเรื่องน่าใจหาย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ในทศวรรษ 2520 นั้นไม่เคยรู้จักพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นเลยนอกจากพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ราวกับว่าพระองค์คงจะครองราชย์ไปเรื่อยๆตราบชั่วกัลปาวสานต์ ประชาชนชาวไทยก็ถูกสอนและกรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ปกปักรักษาแผ่นดินนี้ ถ้าไม่มีในหลวงก็จะไม่มีประเทศไทย แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็รู้เรื่องคำทำนายโบราณว่าราชวงศ์จักรีจะมีกษัตริย์แค่เก้าพระองค์ และเมื่อนึกถึงภาพฟ้าชายวชิราลงกรณ์ได้เป็นรัชกาลที่ 10 แล้ว นี่หมายถึงความปั่นป่วนโกลาหลหรือความวิบัติหายนะที่จะบังเกิดขึ้น
พระราชดำรัสของในหลวงเท่ากับเป็นการส่งสัญญานบอกใบ้ล่วงหน้า และทางพระราชวังก็ยอมรับว่าพระองค์อาจจะถึงกับสละราชบัลลังก์หลังจากการเฉลิมฉลองสถิติการเสวยราชย์นานที่สุดในประเทศในเดือนกรกฎาคม 2531 ได้ผ่านพ้นไป แต่ในหลายเดือนต่อมา มรว.ทองน้อย ทองใหญ่เลขาธิการคณะองคมนตรีกับท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะผู้ถวายงานสนองพระเดชพระคุณหลายด้าน ก็ชี้แจงว่าการสละราชบัลลังก์ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในหลวงภูมิพลไม่สามารถสละราชบัลลังก์ได้จริงๆ พระองค์อาจทรงผนวช(บวชเป็นพระ)โดยที่ยังไม่ทิ้งเรื่องของชาติบ้านเมือง ในหลวงจะไม่สละราชบัลลังก์ ถ้าหากการสละราชบัลลังก์หมายความถึงการละทิ้งความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง...เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าพระราชโอรสมีวัยอันเหมาะสมและพร้อมที่จะรับช่วงงานทั้งหลายแล้ว พระองค์ก็อาจจะเข้าวัด ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแค่พระสงฆ์ สิ่งสำคัญคือพระองค์จะยังคงประทับอยู่ตรงนั้น คือประทับอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์และทรงช่วยเหลือพระราชโอรสแก้ปัญหาต่างๆ
คำพูดของมรว.ทองน้อยยังเป็นการยืนยันว่าราชบัลลังก์จะตกเป็นของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่ได้ทรงเร่งขย้นออกงานและมีถ้อยแถลงที่ดูสูงส่งมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจว่าพระองค์เป็นธรรมราชาได้ ในเดือนมิถุนายน 2530 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์พระราชทานสัมภาษณ์แก่คณะผู้สื่อข่าวต่างชาติที่ประจำอยู่ในกรุงเทพฯ ทรงตอบคำถามในการสัมภาษณ์อย่างมีการเตรียมบทมาแล้ว จึงไม่มีการเปิดเผยอะไรมากนัก ทรงย้ำว่าพระองค์เป็นคนธรรมดาที่ทำหน้าที่รับใช้พระราชบิดาผู้ที่ได้ทรงสร้างประเทศให้เป็นปึกแผ่นมาถึง 40ปี ความสำเร็จของพระราชบิดาเป็นผลมาจากการที่ทรงยึดมั่นในหลักทศพิธราชธรรม มีบทสัมภาษณ์ฟ้าชายในหนังสือดิฉันในเดือนถัดไปความยาว20 หน้าพร้อมด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทั้งในชุดนักบินกับชุดวิ่งจ็อกกิ้ง อันเป็นภาพของเจ้าชายชาติทหารผู้เอาการเอางาน ทรงตรัสถึงความทุกข์เข็ญของชาวบ้านยากจนทางภาคใต้ที่พระองค์เพิ่งได้เสด็จไปเยือนซึ่งถูกละเลยจากทางราชการ ทรงตรัสถึงโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชที่รัฐบริหารผิดพลาดว่าทำให้พระนามของพระองค์ต้องด่างพร้อย ทรงเน้นความสัมพันธ์อันวิเศษระหว่างประชาชนกับพระราชวงศ์ ว่าถึงแม้ประชาชนจะยากจนหรือเจ็บป่วยเพียงใด ไม่ว่าหนุ่มสาวหรือเฒ่า ก็ยังมารับเสด็จพระองค์ด้วยพวงมาลัยที่ทำด้วยมือของตนเองกับของฝากอื่นๆ ตลอดการเสด็จครั้งนี้ทำให้พระองค์เกิดความสนพระทัยในความเป็นไปของบ้านเมือง “เราอยากออกไปพบปะกับประชาชนอีก จริงๆ แล้วอยากเดินไปให้ทั่วทั้งประเทศไทย” พระดำรัสของฟ้าชายดูคล้ายพระราชบิดาเข้าไปทุกทีคงเชื่อมั่นว่าจะเจริญรอยตามพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นเจ้าชีวิตของประชาชนไทย ผู้สัมภาษณ์ถามเรื่องภาพลักษณ์ของฟ้าชายต่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ฟ้าชายทรงตอบอย่างระมัดระวังว่า “เรามีคนชอบ มีคนไม่ชอบ มันเป็นสิทธิของเขา ที่ไหนๆ ก็มีเรื่องซุบซิบนินทา ถ้ามัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องซุบซิบนินทา ก็ไม่เป็นอันทำงาน แต่ใครที่ซุบซิบนินทา ถ้าต้องการรู้ความจริง ถ้าอยากถามเรา และมีจิตใจบริสุทธิ์ และมาถามความจริง เราจะเคารพ” หัวข้อเรื่องหม่อมสุจาริณีกับโสมสวลียังคงอยู่นอกขอบเขตของประเด็นสัมภาษณ์ แต่หนังสือดิฉันก็ได้ยกเรื่องที่ในหลวงภูมิพลทรงแสดงท่าทีจะสละราชบัลลังก์ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ยืนยันถึงความสูงส่งของพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ไม่ทรงอาจเอือมว่า..“เราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ และไม่ต้องการรู้เรื่องนี้ เรื่องอะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับพ่อเป็นเรื่องที่สูงส่ง สูงกว่าเรา เราเป็นคนรับใช้ของพ่อ และฉะนั้นจะทำตามที่ท่านสั่งให้ทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ เรามีกษัตริย์ที่ยึดปฏิบัติทศพิธ ราชธรรมเราควรรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินนี้ เราควรพอใจที่ได้อยู่ใกล้แทบเท้าของท่าน”
พลเอกเปรมทุ่มงบประมาณแผ่นดินจัดงานฉลองพระชนมพรรษา 60 ปีถวายพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ทั้งโปสเตอร์และป้ายโฆษณาผุดขึ้นทั่วประเทศและไม่ว่าใครจะขยับตัวทำอะไรในปีก่อนหน้าและหลังจากนี้ล้วนแต่ เป็น การ“เฉลิมพระเกียรติ” ไปเกือบหมด หน่วยราชการผลิตหนังสือและสารคดีโทรทัศน์ยืดยาวเชิดชูพระอัจฉริยภาพ การยึดมั่นในทศพิธราชธรรมของพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนความยิ่งใหญ่อันไร้ที่ติของกษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรี มหาวิทยาลัยต่างๆ จดสัมมนาอภิปราย ออกบทวิเคราะห์ทางวิชาการสดุดีพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลกับพระราชวงศ์ทุกพระองค์ สมาชิกของพระราชวงศ์ก็ทรงเข้าร่วมขบวนการเทิดพระเกียรติด้วยเช่นกัน โดยเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาเขียนเรื่อง”เจ้านาย”ในปี 2539 เกี่ยวกับชีวิตวัยเยาว์ของในหลวงอานันท์กับในหลวงภูมิพล และกองทัพก็เอาไปตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือหนา 400 หน้าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความฉลาดปราดเปรื่องของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองพระองค์ ฟ้าหญิงสิรินธรทรงเขียนสรรเสริญสดุดีความมหัศจรรย์ในงานพัฒนาของพระเจ้าอยู่หัวในหนังสือของคณะกรรมการประสานงานโครงการตามพระราชดำริ ว่า “ไม่ว่าพ่อจะผ่านไปทางไหน ในปีถัดมาก็จะเห็นการพัฒนา สุขภาพของประชาชนดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้น สภาพเศรษฐกิจดีขึ้น” การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกับการบินไทยร่วมมือกันจัดโครงการณ์สนับสนุนการท่องเที่ยวประเทศไทย (Visit Thailand Year) ซึ่งเน้นวาระครบรอบ 60 ชันษาของพระเจ้าอยู่หัวเป็นจุดขายโดยจัดพระราชพิธีเห่เรือในเดือนตุลาคม ความสัมพันธ์ของกองทัพกับวังก็มีการพัฒนายกระดับมากขึ้น ในเดือนมีนาคม 2530 พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่ทหารกรมกองต่างๆ ด้ามธงบรรจุด้วยเส้นพระเกศาของในหลวงภูมิพล กองทัพแสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณด้วยการ
ท่ามกลางเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าพระเจ้าอยู่หัวจะมัวจดจ่อเรื่องยุ่งเหยิงจนไม่ทันได้ทรงสังเกตว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงเริ่มออกอาการมีปัญหา นอกจากขบวนผู้ติดตามขนาดใหญ่ตามปกติแล้วพระราชินียังทรงผิดหวังอย่างมากจากการที่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทิ้งโสมสวลีผู้เป็นหลานสาวของพระองค์ โดยฟ้าชายทรงแสดงชัดถึงการปฏิเสธโสมสวลีในการพระราชทานสัมภาษณ์กับสื่อไทยในกลางปี 2527 ว่าพระองค์ต้องทุ่มเทให้กับบทบาทการเป็นทหารอาชีพที่มีวินัยเข้มงวดและเข้ารับใช้อุทิศตนให้กับพระเจ้าอยู่หัวและประเทศชาติในฐานะว่าที่กษัตริย์ในอนาคต โดยพระองค์ไม่เอ่ยถึงพระชายาเลย ทำให้ครอบครัวของโสมสวลีและผู้สนับสนุนพากันเดือดดาลต่อทั้งฟ้าชายและพระราชินี และยังมีเรื่องวุ่นๆเพิ่มเข้ามาอีกคือเรื่องขัดแย้งระหว่างพลเอกเปรมกับพลเอกอาทิตย์ เรื่องแชร์แม่ชม้อยที่ล้มไม่เป็นท่า โดยมีเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ในกรุงเทพฯว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอยู่ด้วยและยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนในเหมืองทองที่แคลิฟอร์เนียของทูลกระหม่อมอุบลรัตนกับนายเจนเส่นผู้เป็นสามี ซึ่งดูเหมือนจะพัวพันถึงคนอื่นๆในพระราชวงศ์ด้วย ซึ่งงานนี้ได้เงินกู้ก้อนโต ถึง400 ล้านบาทจากธนาคารไทยพาณิชย์ (ราวปี 2526 ปีเตอร์ เจนเซ่น สามีของอุบลรัตน์ ร่วมกับนักการเงินที่แคลิฟอร์เนีย ชื่อ นายริชาร์ด ไซเบอร์แมน Richard Siberman ลงทุนในกิจการเหมืองที่เมืองยูบา Yuba Natural Resources ที่จะถลุงทองคำจากหางแร่ในแม่น้ำยูบา Yuba ที่แคลิฟอร์เนีย ธนาคารไทยพาณิชย์ให้เงินกู้แก่นายเจนเซ่นไปลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงมากๆ ผลคือไม่มีทองคำ และเงินกู้ก็กลายเป็นหนี้เสียไปภายในเวลาสองหรือสามปี ในราวปี 2532 บริษัทนี้ถูกขายให้กับอีกบริษัทหนึ่ง ) จากนั้นในเดือนพฤษภาคม 2528 มีข่าวพันโทณรงค์เดช นันทโพธิเดช ขวัญใจของพระราชินีเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในสหรัฐฯ ทั้งๆที่เป็นคนหนุ่มที่แข็งแรงมากโดยมีข่าวลีอว่าเขาถูกฆาตกรรม ความโศกเศร้าของพระราชินีกลายเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ในงานศพของพันโทณรงค์เดชที่ระดับสูงในกองทัพและรัฐบาลเข้าร่วม พระราชินีทรงจัดทำหนังสืองานศพที่มีรูปถ่ายของทั้งสอง จากนั้นก็มีสารคดีโทรทัศน์ยกย่องเชิดชูณรงค์เดช ซึ่งก็เผยถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างพวกเขาทั้งสอง ที่บางคนถึงกับหาว่าอาจเป็นชู้รักกัน
เดือนต่อมา สุจาริณีคลอดลูกชายอีกหนึ่งคน ตอนนี้ทางวังต้องทำเป็นยอมรับหม่อมสุจาริณีผู้เป็นแม่ของหลานกษัตริย์ถึงสี่คน และเธอยังต้องการลูกชายอีกหนึ่งคนเพราะว่าพระหมอดูรายหนึ่งได้ทำนายว่าหากเธอมีลูกกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์เป็นเพศชายห้าคน เธอจะได้เป็นราชินีซึ่งเรื่องนี้ถูกถือเป็นจริงเป็นจังในแวดวงชาววัง เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้กับการรัฐประหารลึกลับในเดือนกันยายน 2528 ได้ทำให้พระราชินีสิริกิติ์ทนต่อไปไม่ได้และถึงกับระเบิดออกมาในตอนปลายปี ต้องเสด็จเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาที่เรียกว่า diagnostic curettage” (การควักเอาชิ้นเนื้อเยื่อไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ) ทรงหายหน้าหายตาจากสาธารณะไปเป็นเวลาหกเดือน กล่าวกันว่าในหลวงภูมิพลทรงแยกพระราชินีออกจากบริวารแวดล้อมด้วยพระองค์เองและต้องเสวยอาหารบำรุงสุขภาพ ข่าวลือแพร่ไปว่าทรงประชวรหนัก กระทั่งอาจถึงสิ้นพระชนม์ ในที่สุด พระราชินีก็ทรงหวนคืนเวทีในเดือนกรกฎาคม 2529 ในงานพระราชพิธีฉลองเสาหลักเมืองของกรุงเทพฯ ทรงดูเซื่องซึมขาดชีวิตชีวา แล้วก็ทรงหายไปอีกสามสัปดาห์ กระทั่งไม่เสด็จในพระราชพิธีเฉลิมพระชนพรรษา 12 สิงหาคม 2529 ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์จึงทรงทำหน้าที่แทน ทรงออกโทรทัศน์ตรัสยกย่องพระราชินีว่าทรงเป็นยอดหญิงผู้อุทิศตนและเสียสละ “ตั้งแต่ทรงเข้ารับการผ่าตัดในปี 2528 แม่ก็มีอาการดีขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้แม่ออกกำลังกายเป็นประจำ และกระทั่งข้าพเจ้าอายุน้อยกว่าแม่ถึง 25 ปีก็ยังทำไม่ได้เท่า ถ้าประชาชนจะโกรธเคืองเพราะการที่แม่หายหน้าไปจากสาธารณะ พวกข้าพเจ้า(ลูกๆ)ก็สมควรได้รับการตำหนิ เนื่องจากพวกข้าพเจ้ายืนกรานให้แม่ได้พักผ่อนไม่ต้องออกงาน ปกติทุกๆ คนล้วนมีวันหยุด แต่แม่ไม่เคยมีเลย” ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ตรัสว่า พระราชินีสิริกิติ์ทรงตื่นนอนเวลาประมาณ 10-11 โมงเช้าทุกวัน และทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน “ถ้าแม่นอนไม่หลับ ก็จะทำงานไปจนถึงเช้า พอแต่ลืมตาตื่น แม่ก็ไม่มีเวลาสำหรับอะไรอย่างอื่นนอกจากงาน ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินแม่พูดว่าเหนื่อยเลย”
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ใช้โอกาสนี้กล่าวถึงบางเรื่องที่ร่ำลือกันมานานและภาพลักษณ์พระราชวงศ์อลเวงที่ประชาชนเฝ้าติดตามชม ทรงปฏิเสธข่าวลือที่ว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงครอบงำพระราชวงศ์
“เราทั้งหมดทำงานให้พ่อ เพราะเรามีความจงรักภักดี ในครอบครัวเราไม่มีใครต้องการความนิยมส่วนตัว ทุกคนช่วยกันทำงานและเราทำงานเป็นทีม แต่ก็มีคนพูดว่าครอบครัวของเราแบ่งเป็นสองฝ่าย ซึ่งไม่จริงเลย” และเพื่อเป็นการพิสูจน์ วันที่ 18 สิงหาคม 2529 เมื่อพระราชินีสิริกิติ์มีพระอาการดีขึ้นพอที่จะรับแขกมาอวยพรได้ (คนแรกคือพลเอกเปรม) งานนี้ถูกจัดให้เป็นราวกับพิธีกรรมทางศาสนา พระราชินีทรงโทษว่าอาการประชวรของพระองค์เป็นผลมาจากความเหนื่อยล้ากับเป็นคราวเคราะห์ และทรงยกย่องความสูงส่งของพระองค์เองด้วยการตรัสว่าคนที่สวดภาวนาให้พระองค์จะได้บุญมาก “หากข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องทางสายกลาง ข้าพเจ้าก็คงจะไม่เจ็บป่วยและเสียเวลาไปมากมายอย่างนี้” พระราชเสาวณีย์เหล่านี้แสดงถึงความสำคัญของดวงดาวที่วังเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างการประชวร แต่อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้ คนไทยก็สนใจเรื่องในวังน้อยลงไปมาก และตั้งคำถามมากขึ้น ในทศวรรษ 2520 การศึกษาที่กว้างขวางขึ้นและความเจริญทางเศรษฐกิจได้สร้างชนชั้นกลางขึ้นมาเป็นจำนวนมากที่ยึดคุณค่าและการปฏิบัติที่แตกต่างไปจากความคิดและความเชื่อของในหลวงภูมิพลกับพลเอกเปรม ประชากรในเมืองมีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ การค้าและการอุตสาหกรรมมีขนาดใหญ่กว่าการเกษตร โดยมีแรงผลักดันจากการส่งออกไปตลาดโลกเป็นสำคัญ คนงานโรงงานในเมืองมีจำนวนนับล้านๆคน ชีวิตของพวกเขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังอื่นๆ เช่น ทุนต่างชาติ การแข่งขันและบริโภคนิยม มากกว่าพลังแผ่นดินหรือพลังของพระเจ้าแผ่นดิน
ในช่วงเวลาเดียวกัน นักศึกษาที่เคยต่อสู้กับเผด็จการทหารในยุคทศวรรษ 2500 และ 2510 ก็เติบโตขึ้น กลายเป็นคนทำงานบริษัท ทำธุรกิจส่วนตัว เป็นอาจารย์ สื่อมวลชน นักการเมือง นักร้องและนักเขียน และอยู่เบื้องหลังกิจกรรมและองค์กรพัฒนาเอกชนที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำงานในประเด็นความยากจน การศึกษา สิ่งแวดล้อม อันเป็นอาณาบริเวณที่รัฐบาลกับวังถือเป็นพื้นที่ฐานเสียงของตนยิ่งกว่านั้น หลังจากเวลาผ่านไป 5 ปี คนไทยจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายลีลาการลอยตัวเหนือปัญหาและปิดปากเงียบของพลเอกเปรม พวกเขาวิจารณ์พลเอกเปรมอย่างเปิดเผยว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะพลเอกเปรมไม่ยอมตอบคำถามใดๆ เกี่ยวกับการบริหารประเทศหรือแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องอื้อฉาวกับความผิดพลาดล้มเหลวต่างๆ เรียกว่าเป็นรัฐบาลเตมีย์ใบ้ คือไม่ยอมพูด เอาแต่ถวายรายงานต่อพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นเจ้าของประเทศตัวจริงเท่านั้น ชนชั้นกลางรุ่นใหม่คาดหวังการปกป้องจากกฎหมายที่เป็นระบบและมีตัวบทชัดเจนมากกว่าการปกป้องจากระบบสังคมแบบพ่อขุนอุปถัมภ์และระบบศักดินาคลั่งเจ้าที่รัฐบาลทหารให้การเชิดชู และพวกเขาก็ปฏิเสธการกุมอำนาจของกองทัพที่เอาแต่อ้างภัยคอมมิวนิสต์ สัญญาณอัน หนึ่งที่บ่งบอกถึงความรู้สึกนี้คือชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ที่ผิดคาดในปี 2528 ของพลตรีจำลอง ศรีเมือง เบอร์ 8 ในนาม “ กลุ่มรวมพลัง ” โดยได้รับคะแนนเสียง 408,233 คะแนน เป็นอดีตยังเติร์กและเลขานุการนายกฯ ของพลเอกเปรม ผู้หันหลังให้กับการเมืองภายในกองทัพและกลายมาเป็นคนธัมมะธัมโม ที่ใช้ชีวิตสมถะ ละกามารมณ์ ไม่กินเนื้อสัตว์ และไม่นอนบนฟูก กลุ่มศาสนาที่เขาสังกัดคือสันติอโศก ที่ถือว่าวงการสงฆ์กระแสหลักไม่มีความเข้มงวดจริงจัง เอาแต่แสวงหาทรัพย์และลาภยศ (ในปี 2531 จึงก่อตั้ง พรรคพลังธรรม ขึ้น โดยสื่อมักเรียกขานกันว่าเป็น “ พรรคพลังผัก ” เนื่องจากสนับสนุนให้คนเลิกกินเนื้อสัตว์หันมากินอาหารมังสวิรัติ กระแสความนิยมในตัว พล.ต.จำลองในฐานะนักการเมืองผู้สมถะ พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นกระแส “ จำลองฟีเวอร์ ” และเรียกกันติดปากว่า " มหาจำลอง " ชนะการเลือกตั้งเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่า ฯ อีกสมัยในปี พ.ศ. 2533 โดยได้รับคะแนนท่วมท้นถึง 703,671 คะแนน) การชนะเลือกตั้งของพลตรีจำลองเป็นสัญญาณแสดงถึงการที่คนเมืองปฏิเสธรัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่นและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนภายใต้การบริหารของพลเอกเปรมซึ่งทำให้เมืองหลวงสกปรกเละเทะ รถติดและมีมลพิษ พลตรีจำลองหาเสียงด้วยภาพของความซื่อสัตย์และความกระตือรือร้น บอกถึงความล้มเหลวของโครงสร้างระดับอำนาจอันมีพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงอยู่บนยอดสุดโดยมีพลเอกเปรม กองทัพและราชการเรียงลำดับลดหลั่นกันลงมา
ในปี 2529 การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประชาชนปรากฏชัดเมื่อพลเอกเปรมแทบจะล้มพังพาบจากศึกในสภา พลเอกเปรมรับมือด้วยลีลาแบบป๋าอุปถัมภ์และการก่อตั้งกลุ่มการเมืองของตนเอง โดยให้พลอ.อ. สิทธิ เศวตศิลา ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของตนเข้ายึดพรรคกิจสังคมหลังจากมรว.คึกฤทธิ์ อำลาเวทีไป และให้พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ เพื่อนอีกคนหนึ่งตั้งพรรคราษฎรขึ้นมาเพื่อเป็นฐานให้กับตนเอง ซึ่งดูขัดแย้งกับทัศนคติศักดินาบูชาเจ้าของในหลวงและพลเอกเปรมที่รังเกียจระบบรัฐสภาแต่ดันมาเสริมความชอบธรรมของการเมืองระบบรัฐสภาด้วยการตั้งพรรคการเมืองเพื่อเป็นฐานสนับสนุนตนเองในสภา และทำให้วังกลายเป็นผู้เล่นรายหนึ่งในสภาอย่างอ้อมๆ เปิดช่องให้มีโอกาสถูกท้าทายและวิพากษ์วิจารณ์ได้ ภายในเวลาสองเดือน สภาก็เล่นงานพลเอกเปรมอีก พอต้นเดือนพฤษภาคม พลเอกเปรมต้องเสนอให้ในหลวงภูมิพลยุบสภาและประกาศเลือกตั้งใหม่แต่ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง ความแตกแยกเป็นฝักฝ่ายในกองทัพก็เกิดขึ้นมาอีก พลเอกอาทิตย์รู้ทันเกมการสร้างพรรคของพลเอกเปรมว่าหมายถึงการที่พลเอกเปรมจะไม่ยอมลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อพลเอกอาทิตย์ขู่จะก่อการรัฐประหาร วังก็แสดงความชัดเจนออกมาว่าการต่อต้านพลเอกเปรมก็เท่ากับการต่อต้านวัง อย่างแรกที่วังแสดงออกคือ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยี่ยมพลเอกเปรมที่บ้านอย่างเปิดเผย แทนที่พลเอกเปรมจะเป็นฝ่ายไปเข้าเฝ้าตามธรรมเนียม สองสามสัปดาห์ต่อมา ในหลวงภูมิพลก็พระราชทานยศพล.อ.อ. กับ พล ร. อ. ให้แก่พลเอกเปรม ซึ่งปกติแล้วการมียศหลายตำแหน่งจะสงวนไว้สำหรับพระราชวงศ์เท่านั้น และขณะที่พลเอกเปรมอยู่ในฐานที่มั่นที่นครราชสีมาก็ได้ประกาศพระบรมราชโองการฯ ปลดพลเอกอาทิตย์ ออกจากตำแหน่งผบ.ทบ.ซึ่งถือเป็นจุดจบทางการเมืองของพลเอกอาทิตย์ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นการรับประกันความอยู่รอดของพลเอกเปรม การรณรงค์หาเสียงของนักการเมืองหัวก้าวหน้าพุ่งเป้าโจมตีพลเอกเปรมที่ไม่ยอมลงสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งกองทัพที่มีการทุจริตอย่างกว้างขวางและเป็นทหารการเมือง แต่พลเอกเปรมก็ไม่สะทกสะท้านเพราะเขาได้ยึดเอาพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเป็นแบบอย่างคืออ้างว่าเขามีความเป็นกลางและอยู่เหนือการเมือง ถึงแม้ว่าบริวารส่วนตัวของพลเอกเปรมจะจัดการดูแลพรรคการเมืองอยู่ก็ตาม แต่ในหลวงและพลเอกเปรมก็มีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการปล่อยข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงต้องการให้พลเอกเปรมเป็นนายกอย่างน้อยจนกว่าจะผ่านงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 ชันษาในปี 2530 ไปก่อน และจากนั้นก็เป็นการเฉลิมฉลองวาระการขึ้นครองราชย์ที่ยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ในปี 2531(รัชกาลที่ 5 ทรงครองราชย์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะทรงมีพระชนม์เพียง 16 ปี โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ -ช่วง บุนนาค เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2416 เสด็จสวรรคตเมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมระยะเวลาครองราชย์ 42 ปี 22 วัน ขณะที่รัชกาลที่ 9 ครองราชย์วันที่ 9 มิถุนายน 2489 และจะครองราชย์นานเท่ากับรัชกาลที่ 5 ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2531)
ผลการเลือกตั้ง 27 กรกฎาคมออกมาไม่มีพรรคใดชนะโดยเด็ดขาด พรรคที่ได้ที่นั่งมากที่สุด 100 จาก 347 เสียงคือประชาธิปัตย์ ที่มีภาพลักษณ์สะอาดที่สุดและโจมตีพันธมิตรเปรม-วัง-กับกองทัพหนักหน่วงที่สุด พรรคประชาธิปัตย์จึงมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของหัวหน้าพรรค นายพิชัย รัตตกุล แต่แล้วนายพิชัยก็ศิโรราบแก่พลเอกเปรม ซึ่งทำให้คนในพรรคโกรธแค้นมาก ส่วนใครจะเป็นคนไปเกลี้ยกล่อมนายพิชัยอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่คาดเดากันไปต่างๆ นานา พรรคร่วมรัฐบาลของพลเอกเปรมประกอบด้วยประชาธิปัตย์ ชาติไทย และพรรคของพลเอกเปรมเองคือ กิจสังคมกับราษฎร แล้วพลเอกเปรมก็หักหลังประชาธิปัตย์ด้วยการตั้งคนของตนเองเข้ามาในคณะรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทยถูกยกให้อดีตผู้นำกระทิงแดงพล ต.อ.ประจวบ สุนทรางกูร ที่ส่งตำรวจเตรียมพร้อมรับมือทันทีที่มีนักศึกษาบางคนออกมาประท้วง ไม่ต่างจากยุคขวาพิฆาตซ้ายในปี 2519 เลย กระทรวงคมนาคมและการสื่อสารอันเป็นกระทรวงเกรดเอที่ให้ผลประโยชน์มากที่สุดตกเป็นของดาวรุ่งคนใหม่ของพรรคชาติไทยชื่อนายบรรหาร ศิลปอาชา หลงจู๊ผู้รับเหมาที่ไม่ชอบการอดอยากปากแห้งที่มีอิทธิพลในพื้นที่ภาคกลาง พลเอกเปรมกับวังคุมการเมืองไว้ได้อีกครั้งหนึ่งโดยไม่ต้องใช้กำลัง และทำให้หลายคนได้เห็นว่า “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจโดยสมาชิกสภา แต่ตัดสินโดยกองทัพ วังและกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ” เมื่อพลเอกเปรมชนะศึกไปได้อีกยกหนึ่ง ก็ยังได้ช่วยประคองภาพลักษณ์ของฟ้าชายแม้ว่าจะทรงผลักไสไล่ส่งโสมสวลีออกไปแล้วก็ตาม ฟ้าชายดูเหมือนว่าได้ทรงทำข้อตกลงไว้กับในหลวง คือถ้าฟ้าชายทำตัวดีและถ้าหม่อมสุจาริณีสามารถยกระดับตัวเองจากกำพืดอันต่ำต้อยได้ เธออาจได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวงศ์ ฟ้าชายลงทุนเสด็จออกเยี่ยมเยียนคนยากคนจนหลายครั้ง ทรงทำบุญตามวัดในต่างจังหวัดและพระราชทานปริญญาบัตรตามสถาบันการศึกษามากขึ้น ทรงนำพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 9 ไปแจกจ่ายให้จังหวัดต่างๆ อันเป็นโครงการที่เริ่มมาตั้งแต่ทศวรรษ 2500 เพื่อแผ่ขยายบารมีของพระเจ้าอยู่หัวให้ครอบคลุมไปทั่วพระราชอาณาจักรทรงประทับเคียงข้างพระราชบิดาในการรับถวายสาส์นตราตั้งจากนักการทูตที่เพิ่งมาใหม่และเสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2530 เสด็จเป็นตัวแทนพระเจ้าอยู่หัวไปเยือนจีน ในการเสด็จออกงานเหล่านี้ มักจะมีหม่อมสุจาริณีเดินตามห่างๆอย่างสงบเสงี่ยมเยี่ยงชาววังที่ดี
กลางปี 2529 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์พระราชทานสัมภาษณ์อย่างยืดยาวแก่หนังสือสารดิฉัน เป็นนิตยสารแฟชั่นและการใช้ชีวิตชั้นนำสำหรับชนชั้นสูงและชนชั้นกลางเจ้าของนิตยสารคือ นายปีย์ มาลากุล จากตระกูลที่รับใช้ในหลวงภูมิพลมายาวนาน นายปีย์เป็นเหมือนผู้ชำนาญการประชาสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการของพระราชวัง บทสัมภาษณ์ยาว 32 หน้าพร้อมทั้งรูปถ่ายที่ถ่ายในวังใกล้สนามบินน้ำเมืองนนท์ เนื้อหาบรรยายถึงฟ้าชายวชิราลงกรณ์ว่าเป็นเจ้าชายที่ทุ่มเททำงานหนัก อุทิศตนเพี่อพระราชบิดาและประเทศชาติโดยแทบไม่มีเวลาแสวงหาความเพลิดเพลิน ใจความ หลักของบทสัมภาษณ์อยู่ที่การยอมรับถึงลูกทั้งสี่คนที่เกิดจากหม่อมสุจาริณี โดยโสมสวลีถูกตัดขาดออกไป แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อตรงๆ แต่ฟ้าชายก็ทรงโจมตีโสมสวลีว่าไม่เหมาะสมที่จะแต่งงานกับพระมหากษัตริย์ในอนาคต เพราะไม่สามารถร่วมแบ่งปันและมีส่วนร่วมในชีวิตและภารกิจของพระองค์ตลอดจนสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงตรัสว่าการแต่งงานครั้งนั้นคือความผิดพลาดที่เกิดจากการเร่งรีบ และตอนนั้นเธอยังเป็นวัยรุ่น จึงไม่พร้อมแม้กระทั่งในทางกายภาพสำหรับความสัมพันธ์กับผู้ชาย ซึ่งพระองค์ไม่ได้ขยายความในประเด็นนี้ว่าคืออะไร
ขณะที่ทรงปฏิเสธเรื่องฉาวโฉ่ต่างๆ ได้ตรัสถึงภาพลักษณ์ของพระองค์ว่าคนมีชื่อเสียงทุกคนล้วนต้องทนกล้ำกลืนกับปัญหาของการซุบซิบนินทาและการที่มีคนเอาพระนามไปแอบอ้างหาผลประโยชน์ นี่คือความทุกข์ที่พระองค์ต้องทรงกล้ำกลืนในการรับใช้พระราชบิดา และรับมือด้วยการละวางตามแบบพุทธ “บางทีในชาติปางก่อน เราอาจไม่ได้ทำบุญมากพอ หรือบางทีในบางครั้งเราทำอะไรที่น่าตำหนิ เรายอมรับ... ถ้าหากสวรรค์คิดว่าเราไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในการทำหน้าที่ของเรา ก็หยุดและจบ ถ้าท่านคิดได้อย่างนี้ท่านก็จะสบายใจ ท่านไม่ได้คิดเป็นอะไร หากสวรรค์ให้ท่านมีภารกิจต่อแผ่นดิน ก็ยอมรับ ถ้าเขาไม่ต้องการให้ทำงาน ก็โอเค” ผู้อ่านส่วนใหญ่คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจฟ้าชาย แต่บทสัมภาษณ์นี้ทำให้ฝ่ายโสมสวลีโกรธจัดเป็นเจ้าเข้า การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นขั้นตอนที่จัดไว้เพื่อที่จะยกหม่อมสุจาริณีให้มาแทนที่โสมสวลี โดยดูเหมือนจะได้ไฟเขียวจากพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี ที่จริงการยกฐานะหม่อมสุจาริณีมีแนวโน้มเป็นไปได้ เพราะตอนที่ฟ้าชายพระราชทานสัมภาษณ์นั้น เธออุ้มท้องได้สามเดือนแล้ว
ปลายปี 2529 ในหลวงภูมิพล พร้อมทั้งบริวารในวังและพลเอกเปรมมีเวลาได้พักสบายใจอยู่พักหนึ่งหลังชนะศึกทางการเมืองและเรื่องวุ่นๆในพระราชวงศ์มาได้ พวกเขามุ่งความสนใจไปที่การฉลองพระชนมพรรษาครบ 60 ชันษาของในหลวงภูมิพล ซึ่งจะเป็นหัวใจของงานเฉลิมฉลองนาน 20เดือนสำหรับรัชกาลที่ 9 และระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของประเทศโดยมีพลเอกเปรมเป็นตัวแทนของราชวงศ์ บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองเริ่มตลบอบอวลไปทั่วแล้วเมื่อในหลวงภูมิพลทรงเดี่ยวไมโครโฟนและทรงร่ายยาวในงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา บรรดาผู้ชมผู้ฟังที่มีพลเอกเปรมกับคณะรัฐมนตรี ทหารและข้าราชการระดับสูงอื่นๆ ที่ฟังมั่งไม่ฟังมั่งจนถึงตอนที่ในหลวงภูมิพลมีพระราชดำรัสว่า “น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะต้องไหลต่อไป และน้ำที่ไหลจะต้องมีการเปลี่ยนถ่าย” ทรงตรัสต่อไปด้วยพระพักต์นิ่งตามแบบฉบับของพระองค์ “ในช่วงชีวิตของเรา เราปฏิบัติหน้าที่ของเรา เมื่อเราเกษียณ ก็จะมีคนอื่นมาแทน ไม่มีใครจะยึดอยู่กับภารกิจเดียวได้ตลอดไป วันหนึ่งก็จะแก่ตัวและตายไป” พระราชดำรัสนี้ทำให้เกิดความสะท้านสะเทือนขึ้นทันทีทันใด การที่ในหลวงได้มีรับสั่งว่าพระองค์อาจสละราชบัลลังก์ในเวลาอีกไม่นานนัก มันเป็นเรื่องน่าใจหาย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ในทศวรรษ 2520 นั้นไม่เคยรู้จักพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นเลยนอกจากพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ราวกับว่าพระองค์คงจะครองราชย์ไปเรื่อยๆตราบชั่วกัลปาวสานต์ ประชาชนชาวไทยก็ถูกสอนและกรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ปกปักรักษาแผ่นดินนี้ ถ้าไม่มีในหลวงก็จะไม่มีประเทศไทย แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็รู้เรื่องคำทำนายโบราณว่าราชวงศ์จักรีจะมีกษัตริย์แค่เก้าพระองค์ และเมื่อนึกถึงภาพฟ้าชายวชิราลงกรณ์ได้เป็นรัชกาลที่ 10 แล้ว นี่หมายถึงความปั่นป่วนโกลาหลหรือความวิบัติหายนะที่จะบังเกิดขึ้น
พระราชดำรัสของในหลวงเท่ากับเป็นการส่งสัญญานบอกใบ้ล่วงหน้า และทางพระราชวังก็ยอมรับว่าพระองค์อาจจะถึงกับสละราชบัลลังก์หลังจากการเฉลิมฉลองสถิติการเสวยราชย์นานที่สุดในประเทศในเดือนกรกฎาคม 2531 ได้ผ่านพ้นไป แต่ในหลายเดือนต่อมา มรว.ทองน้อย ทองใหญ่เลขาธิการคณะองคมนตรีกับท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะผู้ถวายงานสนองพระเดชพระคุณหลายด้าน ก็ชี้แจงว่าการสละราชบัลลังก์ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในหลวงภูมิพลไม่สามารถสละราชบัลลังก์ได้จริงๆ พระองค์อาจทรงผนวช(บวชเป็นพระ)โดยที่ยังไม่ทิ้งเรื่องของชาติบ้านเมือง ในหลวงจะไม่สละราชบัลลังก์ ถ้าหากการสละราชบัลลังก์หมายความถึงการละทิ้งความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง...เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าพระราชโอรสมีวัยอันเหมาะสมและพร้อมที่จะรับช่วงงานทั้งหลายแล้ว พระองค์ก็อาจจะเข้าวัด ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแค่พระสงฆ์ สิ่งสำคัญคือพระองค์จะยังคงประทับอยู่ตรงนั้น คือประทับอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์และทรงช่วยเหลือพระราชโอรสแก้ปัญหาต่างๆ
คำพูดของมรว.ทองน้อยยังเป็นการยืนยันว่าราชบัลลังก์จะตกเป็นของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่ได้ทรงเร่งขย้นออกงานและมีถ้อยแถลงที่ดูสูงส่งมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจว่าพระองค์เป็นธรรมราชาได้ ในเดือนมิถุนายน 2530 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์พระราชทานสัมภาษณ์แก่คณะผู้สื่อข่าวต่างชาติที่ประจำอยู่ในกรุงเทพฯ ทรงตอบคำถามในการสัมภาษณ์อย่างมีการเตรียมบทมาแล้ว จึงไม่มีการเปิดเผยอะไรมากนัก ทรงย้ำว่าพระองค์เป็นคนธรรมดาที่ทำหน้าที่รับใช้พระราชบิดาผู้ที่ได้ทรงสร้างประเทศให้เป็นปึกแผ่นมาถึง 40ปี ความสำเร็จของพระราชบิดาเป็นผลมาจากการที่ทรงยึดมั่นในหลักทศพิธราชธรรม มีบทสัมภาษณ์ฟ้าชายในหนังสือดิฉันในเดือนถัดไปความยาว20 หน้าพร้อมด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทั้งในชุดนักบินกับชุดวิ่งจ็อกกิ้ง อันเป็นภาพของเจ้าชายชาติทหารผู้เอาการเอางาน ทรงตรัสถึงความทุกข์เข็ญของชาวบ้านยากจนทางภาคใต้ที่พระองค์เพิ่งได้เสด็จไปเยือนซึ่งถูกละเลยจากทางราชการ ทรงตรัสถึงโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชที่รัฐบริหารผิดพลาดว่าทำให้พระนามของพระองค์ต้องด่างพร้อย ทรงเน้นความสัมพันธ์อันวิเศษระหว่างประชาชนกับพระราชวงศ์ ว่าถึงแม้ประชาชนจะยากจนหรือเจ็บป่วยเพียงใด ไม่ว่าหนุ่มสาวหรือเฒ่า ก็ยังมารับเสด็จพระองค์ด้วยพวงมาลัยที่ทำด้วยมือของตนเองกับของฝากอื่นๆ ตลอดการเสด็จครั้งนี้ทำให้พระองค์เกิดความสนพระทัยในความเป็นไปของบ้านเมือง “เราอยากออกไปพบปะกับประชาชนอีก จริงๆ แล้วอยากเดินไปให้ทั่วทั้งประเทศไทย” พระดำรัสของฟ้าชายดูคล้ายพระราชบิดาเข้าไปทุกทีคงเชื่อมั่นว่าจะเจริญรอยตามพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นเจ้าชีวิตของประชาชนไทย ผู้สัมภาษณ์ถามเรื่องภาพลักษณ์ของฟ้าชายต่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ฟ้าชายทรงตอบอย่างระมัดระวังว่า “เรามีคนชอบ มีคนไม่ชอบ มันเป็นสิทธิของเขา ที่ไหนๆ ก็มีเรื่องซุบซิบนินทา ถ้ามัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องซุบซิบนินทา ก็ไม่เป็นอันทำงาน แต่ใครที่ซุบซิบนินทา ถ้าต้องการรู้ความจริง ถ้าอยากถามเรา และมีจิตใจบริสุทธิ์ และมาถามความจริง เราจะเคารพ” หัวข้อเรื่องหม่อมสุจาริณีกับโสมสวลียังคงอยู่นอกขอบเขตของประเด็นสัมภาษณ์ แต่หนังสือดิฉันก็ได้ยกเรื่องที่ในหลวงภูมิพลทรงแสดงท่าทีจะสละราชบัลลังก์ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ยืนยันถึงความสูงส่งของพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ไม่ทรงอาจเอือมว่า..“เราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ และไม่ต้องการรู้เรื่องนี้ เรื่องอะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับพ่อเป็นเรื่องที่สูงส่ง สูงกว่าเรา เราเป็นคนรับใช้ของพ่อ และฉะนั้นจะทำตามที่ท่านสั่งให้ทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ เรามีกษัตริย์ที่ยึดปฏิบัติทศพิธ ราชธรรมเราควรรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินนี้ เราควรพอใจที่ได้อยู่ใกล้แทบเท้าของท่าน”
พลเอกเปรมทุ่มงบประมาณแผ่นดินจัดงานฉลองพระชนมพรรษา 60 ปีถวายพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ทั้งโปสเตอร์และป้ายโฆษณาผุดขึ้นทั่วประเทศและไม่ว่าใครจะขยับตัวทำอะไรในปีก่อนหน้าและหลังจากนี้ล้วนแต่ เป็น การ“เฉลิมพระเกียรติ” ไปเกือบหมด หน่วยราชการผลิตหนังสือและสารคดีโทรทัศน์ยืดยาวเชิดชูพระอัจฉริยภาพ การยึดมั่นในทศพิธราชธรรมของพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนความยิ่งใหญ่อันไร้ที่ติของกษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรี มหาวิทยาลัยต่างๆ จดสัมมนาอภิปราย ออกบทวิเคราะห์ทางวิชาการสดุดีพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลกับพระราชวงศ์ทุกพระองค์ สมาชิกของพระราชวงศ์ก็ทรงเข้าร่วมขบวนการเทิดพระเกียรติด้วยเช่นกัน โดยเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาเขียนเรื่อง”เจ้านาย”ในปี 2539 เกี่ยวกับชีวิตวัยเยาว์ของในหลวงอานันท์กับในหลวงภูมิพล และกองทัพก็เอาไปตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือหนา 400 หน้าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความฉลาดปราดเปรื่องของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองพระองค์ ฟ้าหญิงสิรินธรทรงเขียนสรรเสริญสดุดีความมหัศจรรย์ในงานพัฒนาของพระเจ้าอยู่หัวในหนังสือของคณะกรรมการประสานงานโครงการตามพระราชดำริ ว่า “ไม่ว่าพ่อจะผ่านไปทางไหน ในปีถัดมาก็จะเห็นการพัฒนา สุขภาพของประชาชนดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้น สภาพเศรษฐกิจดีขึ้น” การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกับการบินไทยร่วมมือกันจัดโครงการณ์สนับสนุนการท่องเที่ยวประเทศไทย (Visit Thailand Year) ซึ่งเน้นวาระครบรอบ 60 ชันษาของพระเจ้าอยู่หัวเป็นจุดขายโดยจัดพระราชพิธีเห่เรือในเดือนตุลาคม ความสัมพันธ์ของกองทัพกับวังก็มีการพัฒนายกระดับมากขึ้น ในเดือนมีนาคม 2530 พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่ทหารกรมกองต่างๆ ด้ามธงบรรจุด้วยเส้นพระเกศาของในหลวงภูมิพล กองทัพแสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณด้วยการ
ต่อ
อนุญาตให้ใช้นามสกุลของราชวงศ์จักรียุคใหม่คือ มหิดล ณ อยุธยา ชื่อเล่นของเธอคือเบนซ์ ช่วงวันวานยังหวานอยู่ เธอจึงถูกเรียกว่า หม่อมเบนซ์
สุจาริณีก็ตั้งท้องด้วยเช่นกัน วังกับสังคมไฮโซชั้นสูงพากันตะลึงเมื่อเธอคลอดลูกชายออกมาในเดือนสิงหาคม 2522 ซึ่งว่ากันว่าฟ้าชายทรงพาไปวัดบวรฯ เพื่อรับคำอวยพรและการตั้งชื่อจากพระญาณสังวร ซึ่งตั้งชื่อให้ว่า จุฑาวัชรโดยได้รับคำนำหน้าชื่อเป็นหม่อมเจ้า ซึ่งไม่ใช่ชั้นเจ้าฟ้า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นทายาทเพศชายคนเดียวของราชวงศ์จักรีในขณะนั้นแต่หมายถึงหายนะต่อพระราชินีสิริกิติ์ เพราะเด็กชายคนนี้จะเป็นคู่แข่งแย่งราชบัลลังก์กับตระกูลในสายของพระราชินี เว้นเสียแต่ว่าพระองค์เจ้าโสมสวลีจะคลอดลูกชายออกมา ลือกันว่าฟ้าชายไม่ใช่พ่อของเด็กชายคนนี้มี แต่ก็ทรงปฏิบัติต่อหม่อมเจ้าจุฑาวัชรเหมือนเป็นลูกแท้ๆของพระองศ์
ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงปฏิบัติงานพิธีและหน้าที่ในกองทัพอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ในปี 2521 ทรงผนวชที่วัดบวรฯ อันเป็นก้าวสำคัญสู่ความเป็นธรรมราชา แต่ปัญหาเรื่องหม่อมสุจาริณีกับเรื่องอีกมากมายของฟ้าชายรวมถึงการรีดไถเงินจากนักธุรกิจทำให้ในหลวงภูมิพลต้องยื่นมือเข้ามา โดยในหลวงให้พลเอกเปรมจัดการให้ฟ้าชายไปรับการฝึกทหารเพิ่มเติมที่สหรัฐฯในต้นปี 2523 โดยทรงเข้าโรงเรียนปฏิบัติการพิเศษที่นอร์ธแคโรไลนาและจอร์เจีย ฟอร์ท บราก (Fort Bragg) เป็นค่ายทหารฝึกยิงปืนใหญ่ตั้งชื่อตามนายพลแบรกซตัน บราก วีรบุรุษชาวแคโรไลนาเหนือในสงครามกลางเมือง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯที่ฟอร์ท บราก รายหนึ่งบอกว่า ฟ้าชายทรงเป็นตัวปัญหามาก เพราะมักปฏิเสธไม่ยอมรับคำสั่ง และปัญหาครอบครัวของพระองค์ยังได้ตามมาอีก ก่อนหน้าการรายงานตัวที่ฐานทัพ ฟ้าชายเสด็จติดตามพระราชินีสิริกิติ์ไปวอชิงตันและนิวยอร์ค หม่อมสุจาริณีบินตามมาพบฟ้าชาย ตามติดๆ มาด้วยพระองค์เจ้าโสมสวลี ข่าวหลายแหล่งบอกว่า แต่ละคนได้รถหรูไปสงบสติอารมณ์กันคนละคัน ต่อมาพระองค์เจ้าโสมสวลีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ใกล้ฟอร์ทบราก ซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่จะส่งผลสำคัญมากในอีกหลายปีต่อมา
ถึงกระนั้น การเสด็จเยือนสหรัฐฯ ก็ประสบความสำเร็จในแง่หนึ่งเพราะฟ้าชายได้รับการฝึกฝนทักษะการขับเครื่องบินอย่างจริงจังมากขึ้นโดยที่พระองค์ไม่เคยมีทักษะมาก่อนและทำให้ทรงเกิดความหลงใหลในการบินอย่างมาก เมื่อกลับเมืองไทยทรงได้เลื่อนชั้นจากเฮลิค็อปเตอร์เป็นเครื่องบินรบและทรงหมายตาที่จะขับเครื่องบินไอพ่น กล่าวในเชิงการทหารแล้ว ไม่ใช่เรื่องปกตินักที่คนอายุ30 แบบพระองค์และไม่ใช่นักบินอาชีพจะฝึกขับเครื่องบินไอพ่น แต่นายกเปรมก็ตามพระทัยพระองค์และในเดือนตุลาคม 2525 ก็ทรงเริ่มฝึกขับเครื่องบินไอพ่นเอฟห้าอีที่อริโซนา ข้อมูลส่วนใหญ่บอกว่าทรงทำได้ดี ใช้เวลาหนึ่งปีเลื่อนระดับเป็นผู้บังคับการบิน เมื่อเสด็จกลับไทยและทรงบินแสดงในงานที่ลพบุรี หลังจากนั้นพลเอกเปรมก็ถวายเครื่องบินไอพ่นเอฟห้าอีให้ฟ้าชายสามลำ มันเป็นงานอดิเรกที่แพงมหาศาล ในช่วงหกปีต่อมา ทรงทำชั่วโมงบินเอฟห้าอีได้ 1,000 ชั่วโมงโดยทรงใช้เครื่องบินเป็นเหมือนพาหนะส่วนพระองค์ไปที่โน่นที่นี่ โดยมีอีกสองลำที่ติดตามไปด้วย เพราะทรงกลัวว่าจะถูกลอบสังหาร จึงไม่เคยกำหนดเวลาบินล่วงหน้า และเครื่องบินทั้งสามลำจะอยู่ในสภาพพร้อมบินได้ตลอดเวลา โดยฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะทรงเลือกขับลำใดลำหนึ่งในนาทีสุดท้าย
แต่ว่าปัญหาเรื่องในพระราชวงศ์ก็ไม่ได้หายไปไหน ในเดือนมิถุนายน 2524 หม่อมสุจาริณีคลอดลูกชายคนที่สอง ชื่อวัชเรศร หลังจากนั้นไม่ค่อยมีใครได้เห็นฟ้าชายกับพระองค์เจ้าโสมสวลีอีกเลยโสมสวลีตรอมใจมากและเริ่มปลดเปลื้องทุกข์ด้วยการกินจนอ้วนผิดหูผิดตา ซึ่งยิ่งทำให้ฟ้าชายไปแล้วไปเลย พระราชินีสิริกิติ์ทรงตำหนิฟ้าชายอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ ทรงขู่ว่าจะไม่ให้ฟ้าชายขึ้นครองราชบัลลังก์ ระหว่างการเสด็จสหรัฐฯปลายปี 2524 เพื่อรับรางวัลอีกอันหนึ่งและเสด็จเยี่ยมหลานสาวคนใหม่ที่เกิดจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ทรงตรัสกับสื่อมวลชนที่เท็กซัสว่าชีวิตครอบครัวของพระราชโอรสไม่ค่อยราบลื่น“ลูกชายของข้าพเจ้าเป็นเหมือนดอนฮวน(หรือขุนแผน)นิดหน่อย เขาเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน แต่สาวๆ ชอบเขา และเขาก็ชอบสาวๆ ยิ่งกว่า” และพระราชินีก็เสริมว่า “ถ้าคนไทยไม่ยอมรับพฤติกรรมของลูกชายของข้าพเจ้า เขาก็จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่ก็ต้องลาออกจากครอบครัวเรา” สองสัปดาห์ต่อมา ทรงกล่าวซ้ำทำนองเดิมที่วอชิงตันว่า “ในฐานะที่เขาเป็นทหารโดยอาชีพ เขาทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดี แต่ในฐานะทายาทสืบบัลลังก์ ไม่ค่อยดีนัก เพราะข้าพเจ้าคิดว่าเขาไม่ค่อยได้ให้เวลากับประชาชนของเขาอย่างเพียงพอ เรา[พระราชวงศ์]ไม่มีวันเสาร์หรือวันหยุดสุดสัปดาห์ และเขาต้องการมีวันหยุด ก็เขาหล่อไม่เบา และเขารักผู้หญิงสวย เลยต้องมีวันหยุด [คนไทย]รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร ต้องการผู้นำแบบไหน และถ้าพวกเขาไม่ชอบคนแบบนั้นแบบนี้ พวกเขาก็จะไม่เลือก”
การขู่อย่างเปิดเผยต่อสาธารณะของพระราชินีสิริกิติ์มีความเสี่ยงอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นการเปิดช่องให้คนทั่วไปได้ถกกันในเรื่องต้องห้าม ถึงแม้หนังสือพิมพ์ไทยถูกเตือนไม่ให้ตีพิมพ์หรือพาดพิงพระราชเสาวณีย์หรือคำพูดของพระราชินีสิริกิติ์ นักข่าวต่างชาติคนหนึ่งที่กรุงเทพฯ ก็เขียนว่าการเปิดเผยของพระราชินีสิริกิติ์ในครั้งนี้ “อาจส่งผลสะเทือนอย่างกว้างขวางต่อสถาบันกษัตริย์ การที่พระราชินีทรงแสดงความไม่สบอารมณ์ในตัวพระราชโอรสต่อสาธารณะนั้นขัดกับหลักของความระมัดระวังและการห้ามเสนอข่าวดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สื่อมวลชนไทยถือปฏิบัติเสมอมา นักสังเกตการณ์บางรายกังวลว่าการถกเถียงเรื่องการสืบราชบัลลังก์ ที่แม้จะทำในแวดวงแคบๆ ก็ตาม จะก่อให้เกิดความระส่ำระส่ายขึ้นมาในสังคมไทย
ในเดือนตุลาคม 2524 พระปัญญานันทภิกขุสร้างความฮือฮาในการเทศน์ครั้งหนึ่งผ่านสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศในรายการพระธรรมสวนะเช้าวันอาทิตย์โดยมีการเปรียบเปรยถึงเจ้าชายที่เพลิดเพลินกับเนื้อหนังมังสามากกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าชายรายนี้มีภรรยาสวย ใช้เวลาค่ำคืนในวังชานเมืองที่เขาสร้างให้ดาราสาวบนที่ดินที่ยึดจากชาวบ้าน ท่านได้เตือนเจ้าชายว่าเขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ประชาชนจะโค่นลงมา “ประชาชนจะโค่นท่านจากบัลลังก์” เทปและหนังสือที่ขายอย่างเปิดเผยทั่วประเทศได้นำคำเทศนาของพระปัญญานันทภิกขุไปถึงชาวบ้านนับหมื่น นิทานเปรียบเปรยนี้ถูกใจชาวบ้าน ที่รู้จากสื่อทั่วไปว่าฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงสร้างวังใหม่ที่นนทบุรีและหลบหน้าจากพระองค์เจ้าโสมสวลีพระชายา กระทั่งชาวบ้านในชนบทก็ยังรู้ว่าฟ้าชายมีดาราเป็นเมียน้อย ความดังฉาวโฉ่แบบนี้ไม่ได้มีผลต่อฟ้าชายวชิราลงกรณ์แต่อย่างใดเลย พระองค์ยังคงสนุกไปเรื่อยตามประสาหนุ่มเจ้าสำราญหรือเพลย์บอย ที่มักจะมีหญิงสาวที่จัดหามาให้โดยคนมีอำนาจ ซึ่งรวมถึงบรรดาเหล่านายพลที่แวดล้อมพระราชินีสิริกิติ์ และฟ้าชายก็ยังหลงใหลหม่อมสุจาริณีอย่างโงหัวไม่ขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์2526 เธอคลอดลูกชายคนที่สามชื่อว่า จักรีวัชร แล้วฟ้าชายก็ทรงอนุญาตให้สุจาริณีใช้ชื่อว่า หม่อมสุจาริณี มหิดล ณ อยุธยาโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าอยู่หัว แต่ทั้งในหลวงและพระราชินียังคงไม่ยอมรับสุจาริณี และมีรายงานว่าในหลวงสั่งลดเงินค่าใช้จ่ายประจำปีของฟ้าชายเพื่อไม่ให้มีปัญญาเลี้ยงดูสุจาริณี แต่กลับทำให้ฟ้าชายมีแต่จะยิ่งไม่พอพระทัยและหงุดหงิดหุนหันพลันแล่นหนักขึ้นไปอีก มีเรื่องเล่ากันอยู่เรื่อยๆ ว่าคนของฟ้าชายกระทืบและกระทั่งฆ่าคนที่ทำให้พระองค์โกรธ คนไทยจำนวนมากได้ยินเรื่องทำนองว่าฟ้าชายชักปืนยิงใส่ฟ้าหญิงสิรินธรในวัง โดยมีองครักษ์คนหนึ่งของฟ้าหญิงรับเคราะห์ไปแทน ฟ้าชายทรงเอาที่ดินของวัดแห่งหนึ่งไปทำธุรกิจ โดยขับไล่ชาวบ้านที่อยู่อาศัยออกไป พระองค์จึงกลายเป็นที่หวาดกลัวของประชาชนจากเรื่องเล่าลือที่ยินกันทั่วไปถึงความร้ายกาจของพระองค์ และประชาชนก็เริ่มรู้สึกว่าฟ้าชายมีฟ้าหญิงสิรินธรเป็นคู่แข่งแล้ว มีการติดรูปหรือพระบรมฉายาลักษณ์ของฟ้าหญิงสิรินธรตามบ้านและสำนักงานทั่วไปควบคู่ไปกับพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงและพระราชินี ขณะที่ไม่ค่อยมีพระบรมฉายาลักษณ์รูปของฟ้าเลย แม้กระทั่งตามร้านขายรูปภาพของพระราชวงศ์
ฟ้าหญิงสิรินธรเองก็ทรงมีปัญหาที่พระองค์ถูกจับให้ต้องแข่งบุญบารมีกับพระเชษฐาตั้งแต่พระองค์ยังแรกรุ่นโดยไม่ทรงต้องใช้ความพยายามอะไรเลย เพราะพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดามหาจักรีสิรินทรสยามบรมราชกุมารี ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2520 เมื่อฟ้าหญิงสิรินธรมีพระชนมายุ 22 ชันษา เป็นกระบวนการสืบเนื่องจากการแก้ไขกฏมณเฑียรบาลในปี 2517 เพื่อให้ราชวงศ์ได้อุ่นใจว่ามีตัวรัชทายาทสำรอง แต่คนไทยถือเป็นการแก้ปัญหาของพระเจ้าอยู่หัวต่อเรื่องความประพฤติที่ไม่ดีของฟ้าชายและถือว่าฟ้าหญิงสิรินธรทรงมีสิทธิสืบราชบัลลังก์เท่ากัน เพราะเป็นสยามบรมราชกุมารี หรือมกุฏราชกุมารี
แต่ฟ้าหญิงสิรินธรก็ไม่ใช่ทางเลือกที่สมบูรณ์แบบเพราะไม่ได้ทรงฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งไม่มีวินัยและไม่กระฉับกระเฉงดั่งพระทัยของพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งไม่ได้ทรงงดงามโฉบเฉี่ยวเหมือนพระราชินีสิริกิติ์ ฟ้าหญิงสิรินธรดูเรียบง่าย ใสซื่อ ปล่อยตัวอย่างมีความสุข ทรงไม่ใส่พระทัยเรื่องเสื้อผ้า หรือการแต่งหน้าและเครื่องประดับใดๆ ความสามารถเชิงวิชาการของฟ้าหญิงก็อยู่ในระดบพื้นๆ แม้ว่ากลไกของวังจะคอยดูแลให้ฟ้าหญิงทำคะแนนได้สูงในระดับต้นๆ ของประเทศเหมือนฟ้าหญิงอุบลรัตน์ก่อนหน้านี้ ฟ้าหญิงสิรินธรดูจะทรงขัดเขินกับการจัดฉากนั้น ประชาชนต่างปลื้มไปกับการแต่งตัวอย่างเรียบๆ ปอนๆ และรอยยิ้มของฟ้าหญิง ทรงศึกษาวัฒนธรรมประวัติศาสตร์และภาษาที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในทศวรรษ 2510 ความสนพระทัยของฟ้าหญิงทำให้เกิดการฟื้นฟูดนตรีไทยเดิมจากนั้นทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปากร ศึกษาโบราณคดี ภาษาบาลีและสันสกฤต หัวข้อวิทยานิพนธ์ของพระองค์คือการวิเคราะห์หลักบารมีอันเป็นรากฐานของทศพิธราชธรรม
การแข่งขันเป็นคู่ชิงราชสมบัติกับพระเชษฐายิ่งดุเดือดขึ้นไปอีกด้วยการที่ฟ้าหญิงสิรินธรทรงใกล้ชิดกับในหลวง ส่วนฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงใกล้ชิดกับพระราชินี ฟ้าหญิงทรงออกงานร่วมเสด็จเคียงคู่พระเจ้าอยู่หัวบ่อยๆ ในยามที่เสด็จออกตรวจตราโครงการพัฒนาต่างๆ ในปี 2524 ได้รับการโปรดเกล้าฯให้เป็นตัวแทนพระราชวงค์พระองค์แรกที่เสด็จเยือนประเทศจีน อันเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญแห่งสัมพันธภาพที่หมางเมินกันมานานระหว่างทั้งสองประเทศ มันเป็นหนึ่งในการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการสิบกว่าครั้งที่ฟ้าหญิงสิรินธรทรงปฏิบัติหน้าที่แทนพระเจ้าอยู่หัวในทางการทูตในช่วงรัฐบาลเปรมมากกว่าที่ฟ้าชายทรงปฏิบัติ และฟ้าหญิงยังเสด็จออกงานพระราชพิธีต่างๆ มากกว่าฟ้าชายมาก พลเอกเปรมยังช่วยราดน้ำมันเข้ากองเพลิง ด้วยการประกาศให้วันพระราชสมภพของฟ้าหญิงสิรินธร 2 เมษายน เป็นวันอนุรักษ์มรดกชาติ ในปี 2528 และในปี 2530 ยังได้ถวายราชสดุดีให้ฟ้าหญิงเป็น “สุดยอดผู้อุปถัมภ์มรดกวัฒนธรรมไทย” ยิ่งกว่านั้นยังได้ถวายตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ของโรงเรียนนายร้อยจปร. ซึ่งเป็นการรุกล้ำเข้าไปในแวดวงทหารของฟ้าชายวชิราลงกรณ์โดยตรง ลูกศิษย์ของฟ้าหญิงได้กลายมาเป็นพันธมิตรและองครักษ์ส่วนพระองค์
แต่คนในแวดวงภายในของวังบอกว่าฟ้าหญิงสิรินธรก็ยังคงทำให้ในหลวงต้องท้อพระทัยที่ฟ้าหญิงขาดพลังและบุคลิกการแสดงออก ในวัยย่าง 30 ชันษาเมื่อปึ 2528 แต่ฟ้าหญิงยังคงมีภาพเป็นเด็กนักเรียนที่ไม่รู้ประสีประสา และกิจกรรมของพระองค์ส่วนใหญ่เป็นประเภทเบาๆ เช่น การสนับสนุนมโหรีปี่พาทย์ ศิลปะชาววัง แต่ฟ้าหญิงสิรินธรก็พยายามลดทอนภาพการประชันขันแข่งกับพระเชษฐาเพื่อให้ฟ้าชายคลายกังวล กล่าวกันว่าได้ทรงสาบานที่จะไม่แต่งงานในตอนต้นทศวรรษ2520 และเลือกที่จะถือครองพรหมจรรย์ แต่ประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียง คนวงในกับนักการทูตที่รู้เรื่องราวบอกว่าฟ้าหญิงสิรินธรทรงชอบผู้หญิง(คือเป็นพวกผู้หญิงรักผู้หญิงหรือเลสเบี้ยน)
ส่วนฟ้าหญิงอีกสองพระองค์นั้นก็ทำให้ในหลวงและพระราชินีปวดพระเศียรได้ไม่แพ้กัน
ฟ้าหญิงอุบลร้ตนก็อยากกลับสู่อ้อมอกราชวงศ์และคืนสถานะเดิม หลังจากถูกในหลวงถอดฐานันดรปล่อยให้อยู่อเมริกาในปี 2515 โทษฐานแต่งงานกับหนุ่มอเมริกันนายปีเตอร์ เจนเซ่น Peter Jensen เธอกลับมาเมืองไทยครั้งแรกพร้อมด้วยสามีในเดือนสิงหาคม 2523 ขณะอุ้มท้องสามเดือน ประชาชนยังคงชมชอบเธอและมองการกลับมาของเธอว่าเป็นการสำนึกผิด เมื่อเธอก้าวลงจากรถที่เข้าไปในวัง และก้มกราบแทบพระบาทพระราชบิดา ในหลวงทรงโอบกอดเธอด้วยสีพระพักต์ที่ไร้รอยยิ้ม ดูเหมือนว่าจะทรงให้อภัย สี่อมวลชนเรียกเธอว่าทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์แม้ว่ายศถาที่เป็นทางการของเธอเป็นแค่ท่านผู้หญิง และพากันเรียกร้องให้เธออยู่ในประเทศไทย แต่ในหลวงก็มิได้ทรงโปรดฯคืนฐานันดรให้ สามีและภรรยาทั้งคู่จึงต้องกลับบ้านที่แคลิฟอร์เนียใต้หลังจากเวลาผ่านไปแค่สี่วัน ในปี 2524 เธอคลอดลูกสาวชื่อ พลอยไพลิน ถึงปี 2525 เมื่อเธอกลับมาร่วมงานแต่งงานของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ก็เกิดกระแสเรียกร้องให้เธอคืนสู่สถานะเดิม เธอต้องการ พระราชินีสิริกิติ์ต้องการ และประชาชนก็ต้องการ แต่พระเจ้าอยู่หัวยังคงเงียบเฉย ทรงปฏิเสธให้เธอมีส่วนร่วมในกิจการใดๆ ของวังและพระราชวงศ์ ถึงกระนั้น เธอกับสามีก็กลับมาเมีองไทยบ่อยขึ้น พวกเขามีลูกอีกสองคน คือคุณพุ่มและสิริกิติยา ตามชื่อในหลวงและพระราชินีผู้เป็นตาและยายของเด็กทั้งสอง
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ก็ทรงน่าผิดหวังด้วยเหตุผลอื่นๆ คือบอบบาง ขี้โรค และหงอยเหงาเศร้าซึม เธอได้นิสัยขี้โอ่มาจากจากทางพระราชินีมามากกว่าใครๆ ทรงหลงใหลในแฟชั่นและเครื่องประดับราคาแพง เป็นคนที่หยิ่งยะโสและถูกตามใจมากที่สุดในครอบครัว แม้แต่พระราชินีสิริกิติ์ก็ยังทรงรู้สึกว่าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ไม่ได้ดั่งใจ เนื่องจากเหยาะแหยะ ไม่เฉลียวฉลาด อ้อนแอ้นแต่ไม่น่าดูไม่น่ารัก เธอเป็นที่หนึ่งในชั้นเรียนเหมือนพี่ๆของเธอเพราะมหาวิทยาลัยทุกแห่งถูกบังคับให้ต้องเทิดทูนพระเกียรติยศของพระราชวงศ์โดยไม่จำเป็นต้องไปเรียนหรือไปสอบ ทรงเรียนเคมีที่มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ และจบโทด้านวิทยาศาสตร์ที่มหิดล ว่ากันว่างานวิจัยและงานวิชาการของเธอเป็นฝีมือของทีมงานนักวิทยาศาสตร์ที่วังจัดหาให้ ในปี 2528 ทรงเป็นอาจารย์พิเศษสอนเคมีที่มหิดลและเป็นผู้อุปถัมภ์สถาบันทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการของพระราชวงศ์
ปัญหาหลักของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์คือการหาคู่ให้เธอ ด้วยวัย 20 ต้นๆ แต่ยังไม่มีหนุ่มรายใดที่เหมาะสมหรือเต็มใจเฉียดกรายมาใกล้ ในปี 2524 เธอต้องตาต้องใจนาวาอากาศเอกวีระยุทธ ลูกชายผบ.ทอ.พล.อ.อ.ประหยัด ดิษยะศริน พวกพ้องของพลเอกเปรม ไม่สำคัญว่าเขาไม่ใช่เชื้อเจ้า อีกทั้งไม่สำคัญที่มีคนว่ากันว่าเขาแต่งงานมีลูกมีเมียแล้ว พ่อของเขากับนายกเปรมเกลี้ยกล่อมให้เขาเลิกกับครอบครัว และในเดือนมกราคม 2525 เขาก็แต่งงานกับฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เธอคงสถานะเดิม และลูกสาวสองคนที่เธอมีในเวลาต่อมาก็อยู่ในชั้ันลำดับสามเป็นพระวรวงศ์เธอของราชวงศ์จักรี
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์อาจจะเรียนจริตจะก้านมาจากพระราชินีสิริกิติ์ แต่ไม่ได้เอากิริยาแช่มช้อยกับเสน่ห์มัดใจประชาราษฎร์จากสมเด็จแม่มาเลย พระองค์ทรงเรียกร้องสูงจากบรรดาคนรอบข้างและไม่เป็นกันเองกับชาวบ้าน และอิดออดกับการเสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรตามชนบทบ้าน ทรงใช้ชีวิตหรูหราราคาแพงและชอบไปเที่ยวเมืองนอก มีเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ว่าทรงใช้เงินจากมูลนิธิของพระองค์เองเป็นค่าใช้จ่ายในการเสด็จเที่ยวต่างประเทศและซื้อเพชรพลอยราคาแพง
พลเอกเปรมก็คอยทำหน้าที่กลบเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าสารพัดของพระราชวงศ์และคอยปกปิดไม่ให้พฤติกรรมอื้อฉาวต่างๆ หลุดไปถึงสื่อ เมื่อพลเอกเปรมรู้ว่ายังไงฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ไม่มีทางจะผละจากหม่อมสุจาริณีไปได้ จึงตั้งทีมงานจากในวังและราชการเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์สร้างภาพให้กับฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ส่วนการอุดหนุนจุนเจือด้านการเงิน ก็มีนายพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ ผู้จัดการการเงินของวัง รวมทั้งกองทัพบกและเครือซีเมนต์ไทยคอยจัดให้ โดยดูเหมือนว่าในหลวงจะไม่ทรงได้รับทราบแต่อย่างใด พวกเขายังจัดการการลงทุนเพื่อเป็นแหล่งรายได้ประจำให้กับฟ้าชาย ว่ากันว่าทรงมีผลประโยชน์กับโรงแรมหรูในภูเก็ตของมรว.ตรีทศยุทธ เทวกุลผู้เป็นเครือข่ายพวกพ้องของนายกเปรม และนาซ่าสเปซีโดรมดิสโก้เธคที่ร้อนแรงโด่งดังที่สุดในกรุงเทพฯ ในกลางทศวรรษ 2520 ในปี 2527 พลเอกเปรมจัดให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยี่ยมสลัมในกรุงเทพฯ เพื่อแสดงความห่วงใยคนยากคนจน โดยมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างดี รัฐบาลสร้างโรงพยาบาลมากกว่า 20 แห่งในชนบท โดยตั้งชื่อว่าโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และอ้างว่าสร้างจากเงินของฟ้าชายวชิราลงกรณ์
ผลงานหลักของรัฐบาลเปรมดูเหมือนจะได้แก่การปกป้องภาพลักษณ์ของฟ้าชายวชิราลงกรณ์และพระราชวงศ์ นอกจากนั้นแล้วพลเอกเปรมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนักกับสี่ปีแรกในฐานะผู้นำประเทศ ไม่มีการแก้ไขปัญหาในการบริหารงานและอาจจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิมอีก ฐานอำนาจของพลเอกเปรมเขาในกองทัพก็ยิ่งแตกแยกกันหนักขึ้น กลุ่มต่างๆนำโดยบรรดานายพลที่จ้องต่อคิวอำนาจจากพลเอกเปรม พลเอกเปรมอ้างภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ที่แทบไม่มีเหลีอแล้วเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่อำนาจการเมืองของตน กองทัพและวงราชการเต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่น และในหมู่นักการเมืองโดยเฉพาะพวกที่สนับสนุนพลเอกเปรม เนื่องจากพลเอกเปรมให้ผลประโยชน์ตอบแทนการสนับสนุนตนด้วยสัญญาและสัมปทานโครงการต่างๆ ในระดับล่างอาชญากรรมความรุนแรงต่างๆ เกิดขึ้นทั่วไป โดยบรรดาเจ้าพ่อในพื้นที่ต่างๆ ที่ร่วมงานใกล้ชิดกับกองทัพ ตำรวจและราชการทั้งหมดนี้อยู่ในระบบของโครงสร้างลำดับชั้นทางอำนาจที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่บนยอดสุด ถัดลงมาเป็นกองทัพ ข้าราชการ พ่อค้านักธุรกิจและชาวบ้าน พลเอกเปรมชูโครงสร้างนี้แทนการเสริมสร้างระบอบรัฐสภากับสถาบันทางกฎหมาย แต่ว่าโครงสร้างนี้ ได้สร้างปัญหาให้พลเอกเปรมต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงสี่ปีหลังในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรมต้องบอบช้ำตลอดเวลาจากการโจมตีของกองทัพและนักการเมือง และจากคนทั่วๆไปที่ต้องการระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยและมีการตอบสนองต่อประชาชนมากขึ้น ในวิกฤติการณ์แต่ละครั้ง พลเอกเปรมจะต้องเอาหลังพิงวังอยู่เสมอ แต่บางปัญหาก็เกี่ยวพันกับพระราชวงศ์มากเสียจนกลายเป็นเรื่องที่บ่อนทำลายอำนาจของพลเอกเปรมไปด้วย
ในปี 2527 เศรษฐกิจตกต่ำอันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจขาลงทั้งภูมิภาคและมีเรื่องอื้อฉาวทาง การเงินหลายเรื่องที่ธนาคารหลายแห่งล้มละลาย ธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนมากเริ่มพังพาบเกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว ท่ามกลางภาวะเช่นนี้ ในเดือนสิงหาคม นายกเปรมล้มป่วยอย่างหนัก และไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ ขณะนั้น พลเอกอาทิตย์ กำลังเอกที่ควบทั้งผบ.ทบ.และผบ. สูงสุด ก็ทำท่าจะฉวยโอกาสยึดอำนาจ และพันธมิตรในรัฐสภาต้องรีบฟื้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องอำนาจของกองทัพซึ่งประเด็นนี้เคยถูกตีตกไปในปีก่อนหน้านั้น พลเอกอาทิตย์ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประกันอำนาจของตนเองในอนาคต เนื่องจากจะเกษียณอายุราชการในปี 2528(การท้าทายของพลเอกอาทิตย์ที่จะแย่งอำนาจตอนพลเอกเปรมป่วยนี้ต้องเจอกับถ้อยแถลงของเอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ว่า ทางวอชิงตันกำลังจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด) แต่แล้วพระราชินีสิริกิติ์ผู้สนับสนุนพลเอกเปรมมาตลอดก็ทรงออกโรงแทรกแซงเพื่อปกป้องพลเอกเปรมอย่างเต็มที่ พระราชินีเสด็จเยี่ยมนายกเปรมถึงข้างเตียงที่บ้านของเขาถึงสองครั้งในเวลาเก้าวันโดยเป็นข่าวเผยแพร่อย่างครึกโครม ภาพพระราชินีประทับคุกเข่าขณะที่พลเอกเปรมหมอบกราบถูกตีพิมพ์ตามหน้าหนังสือพิมพ์อย่างจงใจในวันที่ 2 กันยายน 2527 หลังจากที่ภาพนี้ถูกถ่ายจริงสามวัน โดยวันที่ 3 กันยายนเป็นวันที่จะมีการอภิปรายแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภา การออกโรงของพระราชินีสิริกิติ์ทำให้พลเอกอาทิตย์ต้องถอยฉากจากการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกระแสการก่อรัฐประหารก็หายไปทันที พลเอกเปรมก็เอาใจคู่แข่งของตนด้วยการเลื่อนตำแหน่งคนของพลเอกอาทิตย์ที่ไม่ใช่ทหารอาชีพนักในสัปดาห์ต่อมาในการโยกย้ายประจำปี ซึ่งมีแต่จะไปเพิ่มความขัดแย้งและความแตกแยกในกองทัพมากขึ้นไปอีก ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากพลเอกเปรมเดินทางไปสหรัฐฯ ในวันที่ 15 กันยายน 2527 เพื่อไปรักษาอาการภาวะเส้นเลือดแดงอุดตันในปอด pulmonary embolism ก็มีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้น คือ ตำรวจและทหารรุ่นจปร.5 จู่ๆ ก็จับตัวผู้นำจปร.7 หรือกลุ่มยังเติร์ก พลตรีมนูญ รูปขจรกับพ.อ.บุลศักดิ์ โพธิ์เจริญ รวมทั้งอดีตสมาชิกพคท. กับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคน โดยถูกกล่าวหาว่าวางแผนลอบสังหารพระราชินีสิริกิติ์ พลเอกเสริมและพลเอกอาทิตย์ เมื่อเดือนตุลาคม 2525 ในคราวแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพนัดชิงชนะเลิศ การขุดเอาเรื่องเก่าเมื่อสองปีก่อนมาเป็นประเด็นจับกุมในช่วงที่พลเอกเปรมไม่อยู่ทำให้มีความน่าสงสัย ทั้งพลเอกเปรมและฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลดูเหมือนว่าจะไม่รู้เรื่องแผนการจับกุมในครั้งนี้ พวกยังเติร์กเองก็ทำตัวเงียบๆ มาตลอดหลังรัฐประหารล้มเหลวในปี 2524 การหาเรื่องจับกุมสมาชิกพคท.เข้าไปด้วยก็เป็นการยัดเยียดว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ที่ต้องการล้มล้างสถาบันฯ ให้กับพวกยังเตอร์ก และยิ่งมีเรื่องแปลกในวันถัดมาที่พลตรีมนูญกับพ.อ.บุญศักดิ์ถูกปล่อยตัวหลังจากการเข้ามาแทรกแซงของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ พลเอกอาทิตย์ พลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์อธิบดีกรมตำรวจและภรรยาชื่อ ภรณี ซึ่งเป็นนางสนองพระอษฐ์ของพระราชินีสิริกิติ์ ข้อหาต่างๆถูกยกเลิกไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับตอนที่มีเรื่องโผล่มา และไม่มีใครรู้ว่าแแผนลอบสังหารนี้มีจริงหรือไม่ พอพลเอกเปรมกลับมาปลายเดือนกันยายน เรื่องก็หายวับไปแล้ว(คดีนี้มีการต่อสู้คดียืดเยื้อถึง 9 ปี กระทั่ง 23 กุมภาพันธ์ 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชายด้วยข้ออ้างเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและสถาบัน พร้อมกับแพร่ภาพวิดีโอคำรับสารภาพของ พ.อ.บุลศักดิ์ เรื่องวางแผนลอบปลงพระชนม์พระราชินีและพลเอกเปรม เมื่อรัฐบาล รสช.ล่มสลาย คดีลอบสังหารนี้ได้เข้าสู่ศาลยุติธรรม ในที่สุด 30 ธันวาคม 2536 ศาลอาญาตัดสินคดีประวัติศาสตร์ "วันลอบสังหารบุคคลสำคัญ" ยกฟ้อง พ.อ.มนูญ กับพวก โดยศาลเห็นว่า ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เป็นเพียงพยานบอกเล่าและไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟัง )
แต่การวิวาทบาดหมางในกองทัพก็ยังคงดำเนินต่อไป พลเอกเปรมกลับมาเจอกับเศรษฐกิจที่กำลังซวนเซ และทำให้พลเอกเปรม ประกาศลดค่าเงินบาทสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2527 โดยประกาศปรับปรุงระบบแลกเปลี่ยนเงินตราจากอัตรา 23 บาท เป็น 27 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในการนี้ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกได้ทำหนังสือขอให้รัฐบาลทบทวนการประกาศลดค่าเงินบาทและขอให้ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี ทั้งยังออกอากาศในรายการสนทนาปัญหาบ้านเมือง ทางสถานโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ไม่เห็นด้วยกรณีรัฐบาล ซึ่งมันสร้างความเสียหายแก่ธุรกิจนับพันรายและนักลงทุนจำนวนมาก ธุรกิจทรัสต์และแชร์เถื่อน (chit fund) ที่กำลังเฟื่องและดึงเงินออมจากชนชั้นกลางและชนชั้นสูงหลายพันรายก็พากันล้มระเนระนาด แชร์เถื่อนเป็นธุรกิจประเภทเงินต่อเงิน (pyramid schemes) ที่เฟื่องฟูมาก่อนหน้านั้นหลายปีโดยปราศจากการควบคุมตรวจสอบของรัฐบาล เพราะหลายแห่งมีเส้นสายในรัฐบาล โดยเฉพาะแชร์แม่ชม้อยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี 2520-2528 โดยการระดมเงินจากประชาชนในรูปการเล่นแชร์น้ำมัน ซึ่งนางชม้อย ทิพย์โส ได้หลอกลวงประชาชนว่าได้ดำเนินกิจการค้าน้ำมันทั้งในและนอกประเทศ มีบริษัทค้าน้ำมันทำการค้าน้ำมันทุกชนิด มีเรือเดินทะเลขนส่งน้ำมัน ได้ชักชวนประชาชนให้มาเล่นแชร์น้ำมัน โดยรับกู้ยืมเงินจากประชาชนและให้ผลตอบแทนสูงเป็นรายเดือน คิดจากการร่วมลงทุนเป็นรถบรรทุกน้ำมันคันรถละ 160,500 บาท ให้ผลตอบแทนเดือนละ 12,000 บาท หรือร้อยละ 6.5 ต่อเดือน หรือร้อยละ 78 ต่อปี และหักเงินไว้ร้อยละ 4 ของผลประโยชน์ที่ได้รับในรอบปี เพื่อเก็บภาษีการค้าและหักค่าเด็กปั้มไว้อีกเดือนละ 100 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกยกเมฆขึ้นมาเองทั้งสิ้น นางชม้อย ได้จ่ายผลประโยชน์ให้ผู้ลงทุนตรงตามเวลาที่นัดหมายทุกเดือน นอกจากนั้นในรายที่ต้องการถอนเงินต้น ก็สามารถถอนได้ทุกราย อีกทั้งนางชม้อยยังทำงานอยู่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยอีกด้วย ทำให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อนำเงินไปลงทุนกว่าหมื่นรายโดยมีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 1หมื่นล้านบาท มีผู้เสียหายจำนวน 13,248 คน ในช่วงแรกผู้ให้กู้ยืมอยู่ในหมู่ผู้ที่มีฐานะการเงินดี แต่ต่อมาได้แพร่หลายออกไปรวมทั้งประชาชนในต่างจังหวัดลงไปถึงประชาชนผู้มีฐานะการเงินไม่ดีก็สามารถเล่นได้ โดยแบ่งเล่นเป็นล้อคือ หนึ่งในสี่ของจำนวนเงินต่อคันรถน้ำมัน ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อ 27 กรกฎาคม 2532 ว่าจำเลยทมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา รวม 23,519 กระทง รวมจำคุกคนละ 154,005 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว คงจำคุกทั้งสิ้นคนละ 20 ปี ทรัพย์สินของนางชม้อย กับพวกได้ถูกเฉลี่ยคืนให้แก่ผู้เสียหายในคดี นางชม้อยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำเพียง 7 ปี 11 เดือน 5 วัน เพราะได้รับการลดลงโทษ 2 ครั้ง และพ้นโทษเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2536 คดีแชร์แม่ชม้อยนี้พัวพันนักลงทุนจำนวนมากที่เป็นคนในกองทัพกับคนในวัง ซึ่งอาจจะรวมไปถึงพระราชินีสิริกิติ์ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ฟ้าหญิงอุบลรัตน์และฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ด้วย เมื่อคนสำคัญระดับนี้ทำท่าจะสูญเงินมหาศาลไปกับการล้มครืนของแชร์เเม่ชม้อย พลเอกอาทิตย์ก็ขยับทำท่าเคลื่อนไหวอีก โดยขู่จะก่อรัฐประหารหากรัฐบาลไม่ยกเลิกการลดค่าเงินบาทและช่วยอุ้มธนาคารกับพวกแชร์เถื่อน
คราวนี้ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงออกโรงช่วยพลเอกเปรมด้วยพระองค์เอง โดยไม่จำเป็นต้องมีพระราชดำรัสอะไรเลย แค่ทรงโปรดฯให้พลเอกเปรมไปพักที่ตำหนักภูพานราชนิเวศน์เป็นเวลาเก้าวัน และในทุกๆวันสื่อก็จะมีการเผยแพร่ภาพพลเอกเปรมอยู่กับพระเจ้าอยู่หัว พระราชินีและฟ้าชายวชิราลงกรณ์ พร้อมทั้งมีสัญญาณที่ชัดเจนคือ พลเอกเปรมกลับมากรุงเทพฯพร้อมกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์และนาวาอากาศเอกวีระยุทธ พระสวามีของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เมื่อพลเอกอาทิตย์บินไปเข้าเฝ้าฯที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ พลเอกเปรมก็ยังหวนกลับไปอีก พวกเขาได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวโดยไม่มีการเปิดเผยว่าทรงมีรับสั่งว่าอย่างไร แต่จบลงด้วยการที่พลเอกเปรมยังอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและพลเอกอาทิตย์ก็ไม่ถูกลงโทษฐานก่อการกระด้างกระเดื่อง การลดค่าเงินบาทไม่ถูกยกเลิกและแชร์แม่ชม้อยก็ปิดฉากลง หลังจากเปรมจัดการเก็บกวาดอะไรต่างๆเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว แม่ชม้อยก็ถูกจับและถูกควบคุมตัวอย่างลับๆ ที่กองทัพอากาศจนกระทั่งทางวัง ตลอดทั้งนายทหารและคนระดับสูงได้รับการชดใช้และชดเชยความเสียหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นนางชม้อยจึงได้ถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายและถูกตัดสินจำคุก การไต่สวนนางชม้อยได้รับการบันทึกด้วยกล้องวีดีโอและเทปก็ถูกปิดผนึกเก็บไว้ คงเพื่อปกป้องชื่อเสียงของวัง ในขณะที่คนอื่นๆนับพับนับหมื่นคนต้องสูญเงินไปทั้งหมดเลย
มีคนวิพากษ์วิจารณ์วังกับพลเอกเปรม ว่าความแตกแยกในกองทัพแสดงถึงการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นนำทางการเมืองที่จะแก้ไขได้ก็ด้วยการเป็นประชาธิปไตย ที่ยึดหลักกฎหมายและสร้างความโปร่งใสในการบริหารงานมากขึ้นเท่านั้น แต่ในหลวงภูมิพลทรงโต้ตอบเรื่องนี้ว่า พระองค์จะจัดการดูแลเรื่องกองทัพเองและคนอื่นไม่ต้องมากังวล ขณะที่ทรงเตือนอย่างเป็นปริศนาถึง “ศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ในหมู่พวกเราเอง” และทรงบอกประชาชนทั้งประเทศว่านี่เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยในพระบรมราโชวาทในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในวันถัดมาว่า “ประเทศของเรามีมาอย่างยาวนานก่อนหน้าประเทศศิวิไลซ์อื่นๆ ในแง่ที่ว่าเราสามารถอยู่ร่วมกันเพื่อปฏิบัติหน้าของแต่ละคนได้กระทั่งอาจถือได้ว่าบางคนที่นี่มีความขัดแย้งกัน แต่ก็มาอยู่รวมกันในที่นี้เพราะเชื่อว่าพวกเขาเป็นคนไทยที่มีภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม” ทรงแถมด้วยการประณาม “หนังสือตำรา” ที่อธิบายเป็นอย่างอื่น
ในหลวงภูมิพลและพลเอกเปรมต่างก็มีความมั่นใจในระบอบของพวกเขาเท่าที่เป็นอยู่ในปี 2528 มากเสียจนทำให้พลเอกอาทิตย์ได้รับการต่ออายุราชการและควบทั้งสองตำแหน่งไปจนถึงเดือนกันยายน 2529 และในหลวงภูมิพลก็ทรงหันกลับไปแล่นเรือเป็นประจำที่หัวหินและเล่นดนตรีแจ๊ซบ่อยครั้งขึ้น ทรงอธิบายว่า “มันทำให้เรามีความสุขและผ่อนคลาย ไกลกังวลจากเรื่องต่างๆ”
และแล้วความขัดแย้งในกองทัพก็ระเบิดขึ้นมาอีก ในเดือนกันยายน 2528 ขณะที่พลเอกเปรมเดินทางไปเยือนอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ พลเอกอาทิตย์อยู่ยุโรป พระราชวงศ์ประทับอยู่ต่างจังหวัด พวกยังเติร์กพยายามยึดอำนาจอีกครั้ง คราวนี้พวกยังเตอร์กยอมอ้างความจงรักภักดี รถถังกับรถบรรทุกของพวกเขาประดับพระบรมฉายาลักษณ์กรอบใหญ่ของในหลวง พระราชินี และฟ้าชายแต่การรัฐประหารล้มเหลวเมื่อทหารราบหลายหน่วยที่นัดกันไว้ว่าจะออกมาสมทบกลับไม่มา พลเอกเปรมรีบกลับจากจาการ์ตา และหลังจากใช้เวลาเจรจาสิบชั่วโมงเรื่องก็จบ โดยมีการชี้แจงว่าเป็นความใจร้อนของยังเติร์กล้วนๆไม่มีอะไรอื่น แต่มีการชี้นิ้วไปที่ตัวบงการหลายคน ทั้งพลเอกอาทิตย์และพลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ ที่อนาคตต้องดับวูบลงไปด้วยการผงาดขึ้นมาของพลเอกอาทิตย์และจปร.5 บางคนตั้งข้อสงสัยว่ายังเติร์กตกเป็นเหยื่อถูกหลอกให้ออกมาเพื่อหาเรื่องเล่นงานใครบางคน พลเอกเปรมนำผู้สมรู้ร่วมคิด 40 คนเข้าสู่การไต่สวนข้อหากบฏ แต่เมื่ออยู่ในชั้นศาล ก็ไม่มีใครต้องการให้ความจริงถูกเปิดเผยออกมา พยานที่
สุจาริณีก็ตั้งท้องด้วยเช่นกัน วังกับสังคมไฮโซชั้นสูงพากันตะลึงเมื่อเธอคลอดลูกชายออกมาในเดือนสิงหาคม 2522 ซึ่งว่ากันว่าฟ้าชายทรงพาไปวัดบวรฯ เพื่อรับคำอวยพรและการตั้งชื่อจากพระญาณสังวร ซึ่งตั้งชื่อให้ว่า จุฑาวัชรโดยได้รับคำนำหน้าชื่อเป็นหม่อมเจ้า ซึ่งไม่ใช่ชั้นเจ้าฟ้า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นทายาทเพศชายคนเดียวของราชวงศ์จักรีในขณะนั้นแต่หมายถึงหายนะต่อพระราชินีสิริกิติ์ เพราะเด็กชายคนนี้จะเป็นคู่แข่งแย่งราชบัลลังก์กับตระกูลในสายของพระราชินี เว้นเสียแต่ว่าพระองค์เจ้าโสมสวลีจะคลอดลูกชายออกมา ลือกันว่าฟ้าชายไม่ใช่พ่อของเด็กชายคนนี้มี แต่ก็ทรงปฏิบัติต่อหม่อมเจ้าจุฑาวัชรเหมือนเป็นลูกแท้ๆของพระองศ์
ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงปฏิบัติงานพิธีและหน้าที่ในกองทัพอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ในปี 2521 ทรงผนวชที่วัดบวรฯ อันเป็นก้าวสำคัญสู่ความเป็นธรรมราชา แต่ปัญหาเรื่องหม่อมสุจาริณีกับเรื่องอีกมากมายของฟ้าชายรวมถึงการรีดไถเงินจากนักธุรกิจทำให้ในหลวงภูมิพลต้องยื่นมือเข้ามา โดยในหลวงให้พลเอกเปรมจัดการให้ฟ้าชายไปรับการฝึกทหารเพิ่มเติมที่สหรัฐฯในต้นปี 2523 โดยทรงเข้าโรงเรียนปฏิบัติการพิเศษที่นอร์ธแคโรไลนาและจอร์เจีย ฟอร์ท บราก (Fort Bragg) เป็นค่ายทหารฝึกยิงปืนใหญ่ตั้งชื่อตามนายพลแบรกซตัน บราก วีรบุรุษชาวแคโรไลนาเหนือในสงครามกลางเมือง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯที่ฟอร์ท บราก รายหนึ่งบอกว่า ฟ้าชายทรงเป็นตัวปัญหามาก เพราะมักปฏิเสธไม่ยอมรับคำสั่ง และปัญหาครอบครัวของพระองค์ยังได้ตามมาอีก ก่อนหน้าการรายงานตัวที่ฐานทัพ ฟ้าชายเสด็จติดตามพระราชินีสิริกิติ์ไปวอชิงตันและนิวยอร์ค หม่อมสุจาริณีบินตามมาพบฟ้าชาย ตามติดๆ มาด้วยพระองค์เจ้าโสมสวลี ข่าวหลายแหล่งบอกว่า แต่ละคนได้รถหรูไปสงบสติอารมณ์กันคนละคัน ต่อมาพระองค์เจ้าโสมสวลีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ใกล้ฟอร์ทบราก ซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่จะส่งผลสำคัญมากในอีกหลายปีต่อมา
ถึงกระนั้น การเสด็จเยือนสหรัฐฯ ก็ประสบความสำเร็จในแง่หนึ่งเพราะฟ้าชายได้รับการฝึกฝนทักษะการขับเครื่องบินอย่างจริงจังมากขึ้นโดยที่พระองค์ไม่เคยมีทักษะมาก่อนและทำให้ทรงเกิดความหลงใหลในการบินอย่างมาก เมื่อกลับเมืองไทยทรงได้เลื่อนชั้นจากเฮลิค็อปเตอร์เป็นเครื่องบินรบและทรงหมายตาที่จะขับเครื่องบินไอพ่น กล่าวในเชิงการทหารแล้ว ไม่ใช่เรื่องปกตินักที่คนอายุ30 แบบพระองค์และไม่ใช่นักบินอาชีพจะฝึกขับเครื่องบินไอพ่น แต่นายกเปรมก็ตามพระทัยพระองค์และในเดือนตุลาคม 2525 ก็ทรงเริ่มฝึกขับเครื่องบินไอพ่นเอฟห้าอีที่อริโซนา ข้อมูลส่วนใหญ่บอกว่าทรงทำได้ดี ใช้เวลาหนึ่งปีเลื่อนระดับเป็นผู้บังคับการบิน เมื่อเสด็จกลับไทยและทรงบินแสดงในงานที่ลพบุรี หลังจากนั้นพลเอกเปรมก็ถวายเครื่องบินไอพ่นเอฟห้าอีให้ฟ้าชายสามลำ มันเป็นงานอดิเรกที่แพงมหาศาล ในช่วงหกปีต่อมา ทรงทำชั่วโมงบินเอฟห้าอีได้ 1,000 ชั่วโมงโดยทรงใช้เครื่องบินเป็นเหมือนพาหนะส่วนพระองค์ไปที่โน่นที่นี่ โดยมีอีกสองลำที่ติดตามไปด้วย เพราะทรงกลัวว่าจะถูกลอบสังหาร จึงไม่เคยกำหนดเวลาบินล่วงหน้า และเครื่องบินทั้งสามลำจะอยู่ในสภาพพร้อมบินได้ตลอดเวลา โดยฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะทรงเลือกขับลำใดลำหนึ่งในนาทีสุดท้าย
แต่ว่าปัญหาเรื่องในพระราชวงศ์ก็ไม่ได้หายไปไหน ในเดือนมิถุนายน 2524 หม่อมสุจาริณีคลอดลูกชายคนที่สอง ชื่อวัชเรศร หลังจากนั้นไม่ค่อยมีใครได้เห็นฟ้าชายกับพระองค์เจ้าโสมสวลีอีกเลยโสมสวลีตรอมใจมากและเริ่มปลดเปลื้องทุกข์ด้วยการกินจนอ้วนผิดหูผิดตา ซึ่งยิ่งทำให้ฟ้าชายไปแล้วไปเลย พระราชินีสิริกิติ์ทรงตำหนิฟ้าชายอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ ทรงขู่ว่าจะไม่ให้ฟ้าชายขึ้นครองราชบัลลังก์ ระหว่างการเสด็จสหรัฐฯปลายปี 2524 เพื่อรับรางวัลอีกอันหนึ่งและเสด็จเยี่ยมหลานสาวคนใหม่ที่เกิดจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ทรงตรัสกับสื่อมวลชนที่เท็กซัสว่าชีวิตครอบครัวของพระราชโอรสไม่ค่อยราบลื่น“ลูกชายของข้าพเจ้าเป็นเหมือนดอนฮวน(หรือขุนแผน)นิดหน่อย เขาเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน แต่สาวๆ ชอบเขา และเขาก็ชอบสาวๆ ยิ่งกว่า” และพระราชินีก็เสริมว่า “ถ้าคนไทยไม่ยอมรับพฤติกรรมของลูกชายของข้าพเจ้า เขาก็จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่ก็ต้องลาออกจากครอบครัวเรา” สองสัปดาห์ต่อมา ทรงกล่าวซ้ำทำนองเดิมที่วอชิงตันว่า “ในฐานะที่เขาเป็นทหารโดยอาชีพ เขาทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดี แต่ในฐานะทายาทสืบบัลลังก์ ไม่ค่อยดีนัก เพราะข้าพเจ้าคิดว่าเขาไม่ค่อยได้ให้เวลากับประชาชนของเขาอย่างเพียงพอ เรา[พระราชวงศ์]ไม่มีวันเสาร์หรือวันหยุดสุดสัปดาห์ และเขาต้องการมีวันหยุด ก็เขาหล่อไม่เบา และเขารักผู้หญิงสวย เลยต้องมีวันหยุด [คนไทย]รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร ต้องการผู้นำแบบไหน และถ้าพวกเขาไม่ชอบคนแบบนั้นแบบนี้ พวกเขาก็จะไม่เลือก”
การขู่อย่างเปิดเผยต่อสาธารณะของพระราชินีสิริกิติ์มีความเสี่ยงอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นการเปิดช่องให้คนทั่วไปได้ถกกันในเรื่องต้องห้าม ถึงแม้หนังสือพิมพ์ไทยถูกเตือนไม่ให้ตีพิมพ์หรือพาดพิงพระราชเสาวณีย์หรือคำพูดของพระราชินีสิริกิติ์ นักข่าวต่างชาติคนหนึ่งที่กรุงเทพฯ ก็เขียนว่าการเปิดเผยของพระราชินีสิริกิติ์ในครั้งนี้ “อาจส่งผลสะเทือนอย่างกว้างขวางต่อสถาบันกษัตริย์ การที่พระราชินีทรงแสดงความไม่สบอารมณ์ในตัวพระราชโอรสต่อสาธารณะนั้นขัดกับหลักของความระมัดระวังและการห้ามเสนอข่าวดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สื่อมวลชนไทยถือปฏิบัติเสมอมา นักสังเกตการณ์บางรายกังวลว่าการถกเถียงเรื่องการสืบราชบัลลังก์ ที่แม้จะทำในแวดวงแคบๆ ก็ตาม จะก่อให้เกิดความระส่ำระส่ายขึ้นมาในสังคมไทย
ในเดือนตุลาคม 2524 พระปัญญานันทภิกขุสร้างความฮือฮาในการเทศน์ครั้งหนึ่งผ่านสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศในรายการพระธรรมสวนะเช้าวันอาทิตย์โดยมีการเปรียบเปรยถึงเจ้าชายที่เพลิดเพลินกับเนื้อหนังมังสามากกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าชายรายนี้มีภรรยาสวย ใช้เวลาค่ำคืนในวังชานเมืองที่เขาสร้างให้ดาราสาวบนที่ดินที่ยึดจากชาวบ้าน ท่านได้เตือนเจ้าชายว่าเขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ประชาชนจะโค่นลงมา “ประชาชนจะโค่นท่านจากบัลลังก์” เทปและหนังสือที่ขายอย่างเปิดเผยทั่วประเทศได้นำคำเทศนาของพระปัญญานันทภิกขุไปถึงชาวบ้านนับหมื่น นิทานเปรียบเปรยนี้ถูกใจชาวบ้าน ที่รู้จากสื่อทั่วไปว่าฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงสร้างวังใหม่ที่นนทบุรีและหลบหน้าจากพระองค์เจ้าโสมสวลีพระชายา กระทั่งชาวบ้านในชนบทก็ยังรู้ว่าฟ้าชายมีดาราเป็นเมียน้อย ความดังฉาวโฉ่แบบนี้ไม่ได้มีผลต่อฟ้าชายวชิราลงกรณ์แต่อย่างใดเลย พระองค์ยังคงสนุกไปเรื่อยตามประสาหนุ่มเจ้าสำราญหรือเพลย์บอย ที่มักจะมีหญิงสาวที่จัดหามาให้โดยคนมีอำนาจ ซึ่งรวมถึงบรรดาเหล่านายพลที่แวดล้อมพระราชินีสิริกิติ์ และฟ้าชายก็ยังหลงใหลหม่อมสุจาริณีอย่างโงหัวไม่ขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์2526 เธอคลอดลูกชายคนที่สามชื่อว่า จักรีวัชร แล้วฟ้าชายก็ทรงอนุญาตให้สุจาริณีใช้ชื่อว่า หม่อมสุจาริณี มหิดล ณ อยุธยาโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าอยู่หัว แต่ทั้งในหลวงและพระราชินียังคงไม่ยอมรับสุจาริณี และมีรายงานว่าในหลวงสั่งลดเงินค่าใช้จ่ายประจำปีของฟ้าชายเพื่อไม่ให้มีปัญญาเลี้ยงดูสุจาริณี แต่กลับทำให้ฟ้าชายมีแต่จะยิ่งไม่พอพระทัยและหงุดหงิดหุนหันพลันแล่นหนักขึ้นไปอีก มีเรื่องเล่ากันอยู่เรื่อยๆ ว่าคนของฟ้าชายกระทืบและกระทั่งฆ่าคนที่ทำให้พระองค์โกรธ คนไทยจำนวนมากได้ยินเรื่องทำนองว่าฟ้าชายชักปืนยิงใส่ฟ้าหญิงสิรินธรในวัง โดยมีองครักษ์คนหนึ่งของฟ้าหญิงรับเคราะห์ไปแทน ฟ้าชายทรงเอาที่ดินของวัดแห่งหนึ่งไปทำธุรกิจ โดยขับไล่ชาวบ้านที่อยู่อาศัยออกไป พระองค์จึงกลายเป็นที่หวาดกลัวของประชาชนจากเรื่องเล่าลือที่ยินกันทั่วไปถึงความร้ายกาจของพระองค์ และประชาชนก็เริ่มรู้สึกว่าฟ้าชายมีฟ้าหญิงสิรินธรเป็นคู่แข่งแล้ว มีการติดรูปหรือพระบรมฉายาลักษณ์ของฟ้าหญิงสิรินธรตามบ้านและสำนักงานทั่วไปควบคู่ไปกับพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงและพระราชินี ขณะที่ไม่ค่อยมีพระบรมฉายาลักษณ์รูปของฟ้าเลย แม้กระทั่งตามร้านขายรูปภาพของพระราชวงศ์
ฟ้าหญิงสิรินธรเองก็ทรงมีปัญหาที่พระองค์ถูกจับให้ต้องแข่งบุญบารมีกับพระเชษฐาตั้งแต่พระองค์ยังแรกรุ่นโดยไม่ทรงต้องใช้ความพยายามอะไรเลย เพราะพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดามหาจักรีสิรินทรสยามบรมราชกุมารี ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2520 เมื่อฟ้าหญิงสิรินธรมีพระชนมายุ 22 ชันษา เป็นกระบวนการสืบเนื่องจากการแก้ไขกฏมณเฑียรบาลในปี 2517 เพื่อให้ราชวงศ์ได้อุ่นใจว่ามีตัวรัชทายาทสำรอง แต่คนไทยถือเป็นการแก้ปัญหาของพระเจ้าอยู่หัวต่อเรื่องความประพฤติที่ไม่ดีของฟ้าชายและถือว่าฟ้าหญิงสิรินธรทรงมีสิทธิสืบราชบัลลังก์เท่ากัน เพราะเป็นสยามบรมราชกุมารี หรือมกุฏราชกุมารี
แต่ฟ้าหญิงสิรินธรก็ไม่ใช่ทางเลือกที่สมบูรณ์แบบเพราะไม่ได้ทรงฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งไม่มีวินัยและไม่กระฉับกระเฉงดั่งพระทัยของพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งไม่ได้ทรงงดงามโฉบเฉี่ยวเหมือนพระราชินีสิริกิติ์ ฟ้าหญิงสิรินธรดูเรียบง่าย ใสซื่อ ปล่อยตัวอย่างมีความสุข ทรงไม่ใส่พระทัยเรื่องเสื้อผ้า หรือการแต่งหน้าและเครื่องประดับใดๆ ความสามารถเชิงวิชาการของฟ้าหญิงก็อยู่ในระดบพื้นๆ แม้ว่ากลไกของวังจะคอยดูแลให้ฟ้าหญิงทำคะแนนได้สูงในระดับต้นๆ ของประเทศเหมือนฟ้าหญิงอุบลรัตน์ก่อนหน้านี้ ฟ้าหญิงสิรินธรดูจะทรงขัดเขินกับการจัดฉากนั้น ประชาชนต่างปลื้มไปกับการแต่งตัวอย่างเรียบๆ ปอนๆ และรอยยิ้มของฟ้าหญิง ทรงศึกษาวัฒนธรรมประวัติศาสตร์และภาษาที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในทศวรรษ 2510 ความสนพระทัยของฟ้าหญิงทำให้เกิดการฟื้นฟูดนตรีไทยเดิมจากนั้นทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปากร ศึกษาโบราณคดี ภาษาบาลีและสันสกฤต หัวข้อวิทยานิพนธ์ของพระองค์คือการวิเคราะห์หลักบารมีอันเป็นรากฐานของทศพิธราชธรรม
การแข่งขันเป็นคู่ชิงราชสมบัติกับพระเชษฐายิ่งดุเดือดขึ้นไปอีกด้วยการที่ฟ้าหญิงสิรินธรทรงใกล้ชิดกับในหลวง ส่วนฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงใกล้ชิดกับพระราชินี ฟ้าหญิงทรงออกงานร่วมเสด็จเคียงคู่พระเจ้าอยู่หัวบ่อยๆ ในยามที่เสด็จออกตรวจตราโครงการพัฒนาต่างๆ ในปี 2524 ได้รับการโปรดเกล้าฯให้เป็นตัวแทนพระราชวงค์พระองค์แรกที่เสด็จเยือนประเทศจีน อันเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญแห่งสัมพันธภาพที่หมางเมินกันมานานระหว่างทั้งสองประเทศ มันเป็นหนึ่งในการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการสิบกว่าครั้งที่ฟ้าหญิงสิรินธรทรงปฏิบัติหน้าที่แทนพระเจ้าอยู่หัวในทางการทูตในช่วงรัฐบาลเปรมมากกว่าที่ฟ้าชายทรงปฏิบัติ และฟ้าหญิงยังเสด็จออกงานพระราชพิธีต่างๆ มากกว่าฟ้าชายมาก พลเอกเปรมยังช่วยราดน้ำมันเข้ากองเพลิง ด้วยการประกาศให้วันพระราชสมภพของฟ้าหญิงสิรินธร 2 เมษายน เป็นวันอนุรักษ์มรดกชาติ ในปี 2528 และในปี 2530 ยังได้ถวายราชสดุดีให้ฟ้าหญิงเป็น “สุดยอดผู้อุปถัมภ์มรดกวัฒนธรรมไทย” ยิ่งกว่านั้นยังได้ถวายตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ของโรงเรียนนายร้อยจปร. ซึ่งเป็นการรุกล้ำเข้าไปในแวดวงทหารของฟ้าชายวชิราลงกรณ์โดยตรง ลูกศิษย์ของฟ้าหญิงได้กลายมาเป็นพันธมิตรและองครักษ์ส่วนพระองค์
แต่คนในแวดวงภายในของวังบอกว่าฟ้าหญิงสิรินธรก็ยังคงทำให้ในหลวงต้องท้อพระทัยที่ฟ้าหญิงขาดพลังและบุคลิกการแสดงออก ในวัยย่าง 30 ชันษาเมื่อปึ 2528 แต่ฟ้าหญิงยังคงมีภาพเป็นเด็กนักเรียนที่ไม่รู้ประสีประสา และกิจกรรมของพระองค์ส่วนใหญ่เป็นประเภทเบาๆ เช่น การสนับสนุนมโหรีปี่พาทย์ ศิลปะชาววัง แต่ฟ้าหญิงสิรินธรก็พยายามลดทอนภาพการประชันขันแข่งกับพระเชษฐาเพื่อให้ฟ้าชายคลายกังวล กล่าวกันว่าได้ทรงสาบานที่จะไม่แต่งงานในตอนต้นทศวรรษ2520 และเลือกที่จะถือครองพรหมจรรย์ แต่ประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียง คนวงในกับนักการทูตที่รู้เรื่องราวบอกว่าฟ้าหญิงสิรินธรทรงชอบผู้หญิง(คือเป็นพวกผู้หญิงรักผู้หญิงหรือเลสเบี้ยน)
ส่วนฟ้าหญิงอีกสองพระองค์นั้นก็ทำให้ในหลวงและพระราชินีปวดพระเศียรได้ไม่แพ้กัน
ฟ้าหญิงอุบลร้ตนก็อยากกลับสู่อ้อมอกราชวงศ์และคืนสถานะเดิม หลังจากถูกในหลวงถอดฐานันดรปล่อยให้อยู่อเมริกาในปี 2515 โทษฐานแต่งงานกับหนุ่มอเมริกันนายปีเตอร์ เจนเซ่น Peter Jensen เธอกลับมาเมืองไทยครั้งแรกพร้อมด้วยสามีในเดือนสิงหาคม 2523 ขณะอุ้มท้องสามเดือน ประชาชนยังคงชมชอบเธอและมองการกลับมาของเธอว่าเป็นการสำนึกผิด เมื่อเธอก้าวลงจากรถที่เข้าไปในวัง และก้มกราบแทบพระบาทพระราชบิดา ในหลวงทรงโอบกอดเธอด้วยสีพระพักต์ที่ไร้รอยยิ้ม ดูเหมือนว่าจะทรงให้อภัย สี่อมวลชนเรียกเธอว่าทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์แม้ว่ายศถาที่เป็นทางการของเธอเป็นแค่ท่านผู้หญิง และพากันเรียกร้องให้เธออยู่ในประเทศไทย แต่ในหลวงก็มิได้ทรงโปรดฯคืนฐานันดรให้ สามีและภรรยาทั้งคู่จึงต้องกลับบ้านที่แคลิฟอร์เนียใต้หลังจากเวลาผ่านไปแค่สี่วัน ในปี 2524 เธอคลอดลูกสาวชื่อ พลอยไพลิน ถึงปี 2525 เมื่อเธอกลับมาร่วมงานแต่งงานของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ก็เกิดกระแสเรียกร้องให้เธอคืนสู่สถานะเดิม เธอต้องการ พระราชินีสิริกิติ์ต้องการ และประชาชนก็ต้องการ แต่พระเจ้าอยู่หัวยังคงเงียบเฉย ทรงปฏิเสธให้เธอมีส่วนร่วมในกิจการใดๆ ของวังและพระราชวงศ์ ถึงกระนั้น เธอกับสามีก็กลับมาเมีองไทยบ่อยขึ้น พวกเขามีลูกอีกสองคน คือคุณพุ่มและสิริกิติยา ตามชื่อในหลวงและพระราชินีผู้เป็นตาและยายของเด็กทั้งสอง
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ก็ทรงน่าผิดหวังด้วยเหตุผลอื่นๆ คือบอบบาง ขี้โรค และหงอยเหงาเศร้าซึม เธอได้นิสัยขี้โอ่มาจากจากทางพระราชินีมามากกว่าใครๆ ทรงหลงใหลในแฟชั่นและเครื่องประดับราคาแพง เป็นคนที่หยิ่งยะโสและถูกตามใจมากที่สุดในครอบครัว แม้แต่พระราชินีสิริกิติ์ก็ยังทรงรู้สึกว่าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ไม่ได้ดั่งใจ เนื่องจากเหยาะแหยะ ไม่เฉลียวฉลาด อ้อนแอ้นแต่ไม่น่าดูไม่น่ารัก เธอเป็นที่หนึ่งในชั้นเรียนเหมือนพี่ๆของเธอเพราะมหาวิทยาลัยทุกแห่งถูกบังคับให้ต้องเทิดทูนพระเกียรติยศของพระราชวงศ์โดยไม่จำเป็นต้องไปเรียนหรือไปสอบ ทรงเรียนเคมีที่มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ และจบโทด้านวิทยาศาสตร์ที่มหิดล ว่ากันว่างานวิจัยและงานวิชาการของเธอเป็นฝีมือของทีมงานนักวิทยาศาสตร์ที่วังจัดหาให้ ในปี 2528 ทรงเป็นอาจารย์พิเศษสอนเคมีที่มหิดลและเป็นผู้อุปถัมภ์สถาบันทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการของพระราชวงศ์
ปัญหาหลักของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์คือการหาคู่ให้เธอ ด้วยวัย 20 ต้นๆ แต่ยังไม่มีหนุ่มรายใดที่เหมาะสมหรือเต็มใจเฉียดกรายมาใกล้ ในปี 2524 เธอต้องตาต้องใจนาวาอากาศเอกวีระยุทธ ลูกชายผบ.ทอ.พล.อ.อ.ประหยัด ดิษยะศริน พวกพ้องของพลเอกเปรม ไม่สำคัญว่าเขาไม่ใช่เชื้อเจ้า อีกทั้งไม่สำคัญที่มีคนว่ากันว่าเขาแต่งงานมีลูกมีเมียแล้ว พ่อของเขากับนายกเปรมเกลี้ยกล่อมให้เขาเลิกกับครอบครัว และในเดือนมกราคม 2525 เขาก็แต่งงานกับฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เธอคงสถานะเดิม และลูกสาวสองคนที่เธอมีในเวลาต่อมาก็อยู่ในชั้ันลำดับสามเป็นพระวรวงศ์เธอของราชวงศ์จักรี
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์อาจจะเรียนจริตจะก้านมาจากพระราชินีสิริกิติ์ แต่ไม่ได้เอากิริยาแช่มช้อยกับเสน่ห์มัดใจประชาราษฎร์จากสมเด็จแม่มาเลย พระองค์ทรงเรียกร้องสูงจากบรรดาคนรอบข้างและไม่เป็นกันเองกับชาวบ้าน และอิดออดกับการเสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรตามชนบทบ้าน ทรงใช้ชีวิตหรูหราราคาแพงและชอบไปเที่ยวเมืองนอก มีเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ว่าทรงใช้เงินจากมูลนิธิของพระองค์เองเป็นค่าใช้จ่ายในการเสด็จเที่ยวต่างประเทศและซื้อเพชรพลอยราคาแพง
พลเอกเปรมก็คอยทำหน้าที่กลบเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าสารพัดของพระราชวงศ์และคอยปกปิดไม่ให้พฤติกรรมอื้อฉาวต่างๆ หลุดไปถึงสื่อ เมื่อพลเอกเปรมรู้ว่ายังไงฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ไม่มีทางจะผละจากหม่อมสุจาริณีไปได้ จึงตั้งทีมงานจากในวังและราชการเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์สร้างภาพให้กับฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ส่วนการอุดหนุนจุนเจือด้านการเงิน ก็มีนายพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ ผู้จัดการการเงินของวัง รวมทั้งกองทัพบกและเครือซีเมนต์ไทยคอยจัดให้ โดยดูเหมือนว่าในหลวงจะไม่ทรงได้รับทราบแต่อย่างใด พวกเขายังจัดการการลงทุนเพื่อเป็นแหล่งรายได้ประจำให้กับฟ้าชาย ว่ากันว่าทรงมีผลประโยชน์กับโรงแรมหรูในภูเก็ตของมรว.ตรีทศยุทธ เทวกุลผู้เป็นเครือข่ายพวกพ้องของนายกเปรม และนาซ่าสเปซีโดรมดิสโก้เธคที่ร้อนแรงโด่งดังที่สุดในกรุงเทพฯ ในกลางทศวรรษ 2520 ในปี 2527 พลเอกเปรมจัดให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยี่ยมสลัมในกรุงเทพฯ เพื่อแสดงความห่วงใยคนยากคนจน โดยมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างดี รัฐบาลสร้างโรงพยาบาลมากกว่า 20 แห่งในชนบท โดยตั้งชื่อว่าโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และอ้างว่าสร้างจากเงินของฟ้าชายวชิราลงกรณ์
ผลงานหลักของรัฐบาลเปรมดูเหมือนจะได้แก่การปกป้องภาพลักษณ์ของฟ้าชายวชิราลงกรณ์และพระราชวงศ์ นอกจากนั้นแล้วพลเอกเปรมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนักกับสี่ปีแรกในฐานะผู้นำประเทศ ไม่มีการแก้ไขปัญหาในการบริหารงานและอาจจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิมอีก ฐานอำนาจของพลเอกเปรมเขาในกองทัพก็ยิ่งแตกแยกกันหนักขึ้น กลุ่มต่างๆนำโดยบรรดานายพลที่จ้องต่อคิวอำนาจจากพลเอกเปรม พลเอกเปรมอ้างภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ที่แทบไม่มีเหลีอแล้วเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่อำนาจการเมืองของตน กองทัพและวงราชการเต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่น และในหมู่นักการเมืองโดยเฉพาะพวกที่สนับสนุนพลเอกเปรม เนื่องจากพลเอกเปรมให้ผลประโยชน์ตอบแทนการสนับสนุนตนด้วยสัญญาและสัมปทานโครงการต่างๆ ในระดับล่างอาชญากรรมความรุนแรงต่างๆ เกิดขึ้นทั่วไป โดยบรรดาเจ้าพ่อในพื้นที่ต่างๆ ที่ร่วมงานใกล้ชิดกับกองทัพ ตำรวจและราชการทั้งหมดนี้อยู่ในระบบของโครงสร้างลำดับชั้นทางอำนาจที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่บนยอดสุด ถัดลงมาเป็นกองทัพ ข้าราชการ พ่อค้านักธุรกิจและชาวบ้าน พลเอกเปรมชูโครงสร้างนี้แทนการเสริมสร้างระบอบรัฐสภากับสถาบันทางกฎหมาย แต่ว่าโครงสร้างนี้ ได้สร้างปัญหาให้พลเอกเปรมต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงสี่ปีหลังในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรมต้องบอบช้ำตลอดเวลาจากการโจมตีของกองทัพและนักการเมือง และจากคนทั่วๆไปที่ต้องการระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยและมีการตอบสนองต่อประชาชนมากขึ้น ในวิกฤติการณ์แต่ละครั้ง พลเอกเปรมจะต้องเอาหลังพิงวังอยู่เสมอ แต่บางปัญหาก็เกี่ยวพันกับพระราชวงศ์มากเสียจนกลายเป็นเรื่องที่บ่อนทำลายอำนาจของพลเอกเปรมไปด้วย
ในปี 2527 เศรษฐกิจตกต่ำอันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจขาลงทั้งภูมิภาคและมีเรื่องอื้อฉาวทาง การเงินหลายเรื่องที่ธนาคารหลายแห่งล้มละลาย ธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนมากเริ่มพังพาบเกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว ท่ามกลางภาวะเช่นนี้ ในเดือนสิงหาคม นายกเปรมล้มป่วยอย่างหนัก และไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ ขณะนั้น พลเอกอาทิตย์ กำลังเอกที่ควบทั้งผบ.ทบ.และผบ. สูงสุด ก็ทำท่าจะฉวยโอกาสยึดอำนาจ และพันธมิตรในรัฐสภาต้องรีบฟื้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องอำนาจของกองทัพซึ่งประเด็นนี้เคยถูกตีตกไปในปีก่อนหน้านั้น พลเอกอาทิตย์ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประกันอำนาจของตนเองในอนาคต เนื่องจากจะเกษียณอายุราชการในปี 2528(การท้าทายของพลเอกอาทิตย์ที่จะแย่งอำนาจตอนพลเอกเปรมป่วยนี้ต้องเจอกับถ้อยแถลงของเอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ว่า ทางวอชิงตันกำลังจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด) แต่แล้วพระราชินีสิริกิติ์ผู้สนับสนุนพลเอกเปรมมาตลอดก็ทรงออกโรงแทรกแซงเพื่อปกป้องพลเอกเปรมอย่างเต็มที่ พระราชินีเสด็จเยี่ยมนายกเปรมถึงข้างเตียงที่บ้านของเขาถึงสองครั้งในเวลาเก้าวันโดยเป็นข่าวเผยแพร่อย่างครึกโครม ภาพพระราชินีประทับคุกเข่าขณะที่พลเอกเปรมหมอบกราบถูกตีพิมพ์ตามหน้าหนังสือพิมพ์อย่างจงใจในวันที่ 2 กันยายน 2527 หลังจากที่ภาพนี้ถูกถ่ายจริงสามวัน โดยวันที่ 3 กันยายนเป็นวันที่จะมีการอภิปรายแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภา การออกโรงของพระราชินีสิริกิติ์ทำให้พลเอกอาทิตย์ต้องถอยฉากจากการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกระแสการก่อรัฐประหารก็หายไปทันที พลเอกเปรมก็เอาใจคู่แข่งของตนด้วยการเลื่อนตำแหน่งคนของพลเอกอาทิตย์ที่ไม่ใช่ทหารอาชีพนักในสัปดาห์ต่อมาในการโยกย้ายประจำปี ซึ่งมีแต่จะไปเพิ่มความขัดแย้งและความแตกแยกในกองทัพมากขึ้นไปอีก ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากพลเอกเปรมเดินทางไปสหรัฐฯ ในวันที่ 15 กันยายน 2527 เพื่อไปรักษาอาการภาวะเส้นเลือดแดงอุดตันในปอด pulmonary embolism ก็มีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้น คือ ตำรวจและทหารรุ่นจปร.5 จู่ๆ ก็จับตัวผู้นำจปร.7 หรือกลุ่มยังเติร์ก พลตรีมนูญ รูปขจรกับพ.อ.บุลศักดิ์ โพธิ์เจริญ รวมทั้งอดีตสมาชิกพคท. กับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคน โดยถูกกล่าวหาว่าวางแผนลอบสังหารพระราชินีสิริกิติ์ พลเอกเสริมและพลเอกอาทิตย์ เมื่อเดือนตุลาคม 2525 ในคราวแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพนัดชิงชนะเลิศ การขุดเอาเรื่องเก่าเมื่อสองปีก่อนมาเป็นประเด็นจับกุมในช่วงที่พลเอกเปรมไม่อยู่ทำให้มีความน่าสงสัย ทั้งพลเอกเปรมและฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลดูเหมือนว่าจะไม่รู้เรื่องแผนการจับกุมในครั้งนี้ พวกยังเติร์กเองก็ทำตัวเงียบๆ มาตลอดหลังรัฐประหารล้มเหลวในปี 2524 การหาเรื่องจับกุมสมาชิกพคท.เข้าไปด้วยก็เป็นการยัดเยียดว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ที่ต้องการล้มล้างสถาบันฯ ให้กับพวกยังเตอร์ก และยิ่งมีเรื่องแปลกในวันถัดมาที่พลตรีมนูญกับพ.อ.บุญศักดิ์ถูกปล่อยตัวหลังจากการเข้ามาแทรกแซงของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ พลเอกอาทิตย์ พลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์อธิบดีกรมตำรวจและภรรยาชื่อ ภรณี ซึ่งเป็นนางสนองพระอษฐ์ของพระราชินีสิริกิติ์ ข้อหาต่างๆถูกยกเลิกไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับตอนที่มีเรื่องโผล่มา และไม่มีใครรู้ว่าแแผนลอบสังหารนี้มีจริงหรือไม่ พอพลเอกเปรมกลับมาปลายเดือนกันยายน เรื่องก็หายวับไปแล้ว(คดีนี้มีการต่อสู้คดียืดเยื้อถึง 9 ปี กระทั่ง 23 กุมภาพันธ์ 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชายด้วยข้ออ้างเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและสถาบัน พร้อมกับแพร่ภาพวิดีโอคำรับสารภาพของ พ.อ.บุลศักดิ์ เรื่องวางแผนลอบปลงพระชนม์พระราชินีและพลเอกเปรม เมื่อรัฐบาล รสช.ล่มสลาย คดีลอบสังหารนี้ได้เข้าสู่ศาลยุติธรรม ในที่สุด 30 ธันวาคม 2536 ศาลอาญาตัดสินคดีประวัติศาสตร์ "วันลอบสังหารบุคคลสำคัญ" ยกฟ้อง พ.อ.มนูญ กับพวก โดยศาลเห็นว่า ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เป็นเพียงพยานบอกเล่าและไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟัง )
แต่การวิวาทบาดหมางในกองทัพก็ยังคงดำเนินต่อไป พลเอกเปรมกลับมาเจอกับเศรษฐกิจที่กำลังซวนเซ และทำให้พลเอกเปรม ประกาศลดค่าเงินบาทสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2527 โดยประกาศปรับปรุงระบบแลกเปลี่ยนเงินตราจากอัตรา 23 บาท เป็น 27 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในการนี้ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกได้ทำหนังสือขอให้รัฐบาลทบทวนการประกาศลดค่าเงินบาทและขอให้ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี ทั้งยังออกอากาศในรายการสนทนาปัญหาบ้านเมือง ทางสถานโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ไม่เห็นด้วยกรณีรัฐบาล ซึ่งมันสร้างความเสียหายแก่ธุรกิจนับพันรายและนักลงทุนจำนวนมาก ธุรกิจทรัสต์และแชร์เถื่อน (chit fund) ที่กำลังเฟื่องและดึงเงินออมจากชนชั้นกลางและชนชั้นสูงหลายพันรายก็พากันล้มระเนระนาด แชร์เถื่อนเป็นธุรกิจประเภทเงินต่อเงิน (pyramid schemes) ที่เฟื่องฟูมาก่อนหน้านั้นหลายปีโดยปราศจากการควบคุมตรวจสอบของรัฐบาล เพราะหลายแห่งมีเส้นสายในรัฐบาล โดยเฉพาะแชร์แม่ชม้อยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี 2520-2528 โดยการระดมเงินจากประชาชนในรูปการเล่นแชร์น้ำมัน ซึ่งนางชม้อย ทิพย์โส ได้หลอกลวงประชาชนว่าได้ดำเนินกิจการค้าน้ำมันทั้งในและนอกประเทศ มีบริษัทค้าน้ำมันทำการค้าน้ำมันทุกชนิด มีเรือเดินทะเลขนส่งน้ำมัน ได้ชักชวนประชาชนให้มาเล่นแชร์น้ำมัน โดยรับกู้ยืมเงินจากประชาชนและให้ผลตอบแทนสูงเป็นรายเดือน คิดจากการร่วมลงทุนเป็นรถบรรทุกน้ำมันคันรถละ 160,500 บาท ให้ผลตอบแทนเดือนละ 12,000 บาท หรือร้อยละ 6.5 ต่อเดือน หรือร้อยละ 78 ต่อปี และหักเงินไว้ร้อยละ 4 ของผลประโยชน์ที่ได้รับในรอบปี เพื่อเก็บภาษีการค้าและหักค่าเด็กปั้มไว้อีกเดือนละ 100 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกยกเมฆขึ้นมาเองทั้งสิ้น นางชม้อย ได้จ่ายผลประโยชน์ให้ผู้ลงทุนตรงตามเวลาที่นัดหมายทุกเดือน นอกจากนั้นในรายที่ต้องการถอนเงินต้น ก็สามารถถอนได้ทุกราย อีกทั้งนางชม้อยยังทำงานอยู่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยอีกด้วย ทำให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อนำเงินไปลงทุนกว่าหมื่นรายโดยมีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 1หมื่นล้านบาท มีผู้เสียหายจำนวน 13,248 คน ในช่วงแรกผู้ให้กู้ยืมอยู่ในหมู่ผู้ที่มีฐานะการเงินดี แต่ต่อมาได้แพร่หลายออกไปรวมทั้งประชาชนในต่างจังหวัดลงไปถึงประชาชนผู้มีฐานะการเงินไม่ดีก็สามารถเล่นได้ โดยแบ่งเล่นเป็นล้อคือ หนึ่งในสี่ของจำนวนเงินต่อคันรถน้ำมัน ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อ 27 กรกฎาคม 2532 ว่าจำเลยทมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา รวม 23,519 กระทง รวมจำคุกคนละ 154,005 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว คงจำคุกทั้งสิ้นคนละ 20 ปี ทรัพย์สินของนางชม้อย กับพวกได้ถูกเฉลี่ยคืนให้แก่ผู้เสียหายในคดี นางชม้อยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำเพียง 7 ปี 11 เดือน 5 วัน เพราะได้รับการลดลงโทษ 2 ครั้ง และพ้นโทษเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2536 คดีแชร์แม่ชม้อยนี้พัวพันนักลงทุนจำนวนมากที่เป็นคนในกองทัพกับคนในวัง ซึ่งอาจจะรวมไปถึงพระราชินีสิริกิติ์ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ฟ้าหญิงอุบลรัตน์และฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ด้วย เมื่อคนสำคัญระดับนี้ทำท่าจะสูญเงินมหาศาลไปกับการล้มครืนของแชร์เเม่ชม้อย พลเอกอาทิตย์ก็ขยับทำท่าเคลื่อนไหวอีก โดยขู่จะก่อรัฐประหารหากรัฐบาลไม่ยกเลิกการลดค่าเงินบาทและช่วยอุ้มธนาคารกับพวกแชร์เถื่อน
คราวนี้ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงออกโรงช่วยพลเอกเปรมด้วยพระองค์เอง โดยไม่จำเป็นต้องมีพระราชดำรัสอะไรเลย แค่ทรงโปรดฯให้พลเอกเปรมไปพักที่ตำหนักภูพานราชนิเวศน์เป็นเวลาเก้าวัน และในทุกๆวันสื่อก็จะมีการเผยแพร่ภาพพลเอกเปรมอยู่กับพระเจ้าอยู่หัว พระราชินีและฟ้าชายวชิราลงกรณ์ พร้อมทั้งมีสัญญาณที่ชัดเจนคือ พลเอกเปรมกลับมากรุงเทพฯพร้อมกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์และนาวาอากาศเอกวีระยุทธ พระสวามีของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เมื่อพลเอกอาทิตย์บินไปเข้าเฝ้าฯที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ พลเอกเปรมก็ยังหวนกลับไปอีก พวกเขาได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวโดยไม่มีการเปิดเผยว่าทรงมีรับสั่งว่าอย่างไร แต่จบลงด้วยการที่พลเอกเปรมยังอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและพลเอกอาทิตย์ก็ไม่ถูกลงโทษฐานก่อการกระด้างกระเดื่อง การลดค่าเงินบาทไม่ถูกยกเลิกและแชร์แม่ชม้อยก็ปิดฉากลง หลังจากเปรมจัดการเก็บกวาดอะไรต่างๆเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว แม่ชม้อยก็ถูกจับและถูกควบคุมตัวอย่างลับๆ ที่กองทัพอากาศจนกระทั่งทางวัง ตลอดทั้งนายทหารและคนระดับสูงได้รับการชดใช้และชดเชยความเสียหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นนางชม้อยจึงได้ถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายและถูกตัดสินจำคุก การไต่สวนนางชม้อยได้รับการบันทึกด้วยกล้องวีดีโอและเทปก็ถูกปิดผนึกเก็บไว้ คงเพื่อปกป้องชื่อเสียงของวัง ในขณะที่คนอื่นๆนับพับนับหมื่นคนต้องสูญเงินไปทั้งหมดเลย
มีคนวิพากษ์วิจารณ์วังกับพลเอกเปรม ว่าความแตกแยกในกองทัพแสดงถึงการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นนำทางการเมืองที่จะแก้ไขได้ก็ด้วยการเป็นประชาธิปไตย ที่ยึดหลักกฎหมายและสร้างความโปร่งใสในการบริหารงานมากขึ้นเท่านั้น แต่ในหลวงภูมิพลทรงโต้ตอบเรื่องนี้ว่า พระองค์จะจัดการดูแลเรื่องกองทัพเองและคนอื่นไม่ต้องมากังวล ขณะที่ทรงเตือนอย่างเป็นปริศนาถึง “ศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ในหมู่พวกเราเอง” และทรงบอกประชาชนทั้งประเทศว่านี่เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยในพระบรมราโชวาทในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในวันถัดมาว่า “ประเทศของเรามีมาอย่างยาวนานก่อนหน้าประเทศศิวิไลซ์อื่นๆ ในแง่ที่ว่าเราสามารถอยู่ร่วมกันเพื่อปฏิบัติหน้าของแต่ละคนได้กระทั่งอาจถือได้ว่าบางคนที่นี่มีความขัดแย้งกัน แต่ก็มาอยู่รวมกันในที่นี้เพราะเชื่อว่าพวกเขาเป็นคนไทยที่มีภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม” ทรงแถมด้วยการประณาม “หนังสือตำรา” ที่อธิบายเป็นอย่างอื่น
ในหลวงภูมิพลและพลเอกเปรมต่างก็มีความมั่นใจในระบอบของพวกเขาเท่าที่เป็นอยู่ในปี 2528 มากเสียจนทำให้พลเอกอาทิตย์ได้รับการต่ออายุราชการและควบทั้งสองตำแหน่งไปจนถึงเดือนกันยายน 2529 และในหลวงภูมิพลก็ทรงหันกลับไปแล่นเรือเป็นประจำที่หัวหินและเล่นดนตรีแจ๊ซบ่อยครั้งขึ้น ทรงอธิบายว่า “มันทำให้เรามีความสุขและผ่อนคลาย ไกลกังวลจากเรื่องต่างๆ”
และแล้วความขัดแย้งในกองทัพก็ระเบิดขึ้นมาอีก ในเดือนกันยายน 2528 ขณะที่พลเอกเปรมเดินทางไปเยือนอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ พลเอกอาทิตย์อยู่ยุโรป พระราชวงศ์ประทับอยู่ต่างจังหวัด พวกยังเติร์กพยายามยึดอำนาจอีกครั้ง คราวนี้พวกยังเตอร์กยอมอ้างความจงรักภักดี รถถังกับรถบรรทุกของพวกเขาประดับพระบรมฉายาลักษณ์กรอบใหญ่ของในหลวง พระราชินี และฟ้าชายแต่การรัฐประหารล้มเหลวเมื่อทหารราบหลายหน่วยที่นัดกันไว้ว่าจะออกมาสมทบกลับไม่มา พลเอกเปรมรีบกลับจากจาการ์ตา และหลังจากใช้เวลาเจรจาสิบชั่วโมงเรื่องก็จบ โดยมีการชี้แจงว่าเป็นความใจร้อนของยังเติร์กล้วนๆไม่มีอะไรอื่น แต่มีการชี้นิ้วไปที่ตัวบงการหลายคน ทั้งพลเอกอาทิตย์และพลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ ที่อนาคตต้องดับวูบลงไปด้วยการผงาดขึ้นมาของพลเอกอาทิตย์และจปร.5 บางคนตั้งข้อสงสัยว่ายังเติร์กตกเป็นเหยื่อถูกหลอกให้ออกมาเพื่อหาเรื่องเล่นงานใครบางคน พลเอกเปรมนำผู้สมรู้ร่วมคิด 40 คนเข้าสู่การไต่สวนข้อหากบฏ แต่เมื่ออยู่ในชั้นศาล ก็ไม่มีใครต้องการให้ความจริงถูกเปิดเผยออกมา พยานที่
ต่อ
เป็นผู้ถูกปกครอง และมีหน้าที่ต่อรัฐด้วยการมีวินัยและทำงานสร้างสังคม อันเป็นคุณธรรมสมัยใหม่ที่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงบัญญัติขึ้น ส่วนประชาธิปไตยก็ยังคงเป็นไปตามการอธิบายและอยู่ในขอบเขตของความมั่นคง ที่ตีความโดยเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานความมั่นคงที่ยังยืนมาตลอดทศวรรษ 2520 ว่า คอมมิวนิสต์เวียตนามหรือไม่ก็จีนจะบุกยึดประเทศไทย พวกเขายังคงไม่ให้ความสำคัญกับสถาบันตามระบอบประชาธิปไตยอย่างเช่น รัฐธรรมนูญ รัฐสภาและหลักกฎหมายโดยถือว่าเป็นของนำเข้าจากตะวันตก คณะกรรมการเอกลักษณ์แห่งชาติจึงหันไปเน้นความสำคัญของศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงแทน โดยอ้างว่าเป็นเหมือนสัญญาประชาธิปไตยเสรีนิยมแบบเดียวกับรัฐธรรมนูญระหว่างผู้นำคือกษัตริย์กับประชาชน เอกสารของคณะกรรมการเอกลักษณ์แห่งชาติระบุว่า“ประชาชนไม่ใช่รัฐบาล ถ้าต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อกำหนดเป็นนโยบายก็เท่ากับว่าให้ประชาชนเป็นรัฐบาล ซึ่งจะนำไปสู่วิกฤตทางการเมือง”
ผู้ช่วยด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศและเลขานุการองคมนตรีของในหลวงคือมรว.ทองน้อย ทองใหญ่ ก็โผล่มาในช่วงต้นทศวรรษ 2520 ในบทบาทนักทฤษฎีสมัยใหม่ของวัง มรว.ทองน้อยสร้างคำอธิบายยืดยาวสำหรับรองรับอำนาจพระมหากษัตริย์โดยอิงอยู่บนวิทยาศาสตร์ปนกับอารมณ์ความรู้สึก ด้วยการเขียนบทความบรรยายยาวเหยียดเป็นชุดลงในบางกอกโพสต์ในปี 2526 ว่า กษัตริย์ไทยปกครองโดยได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนโดยเอกฉันท์ ประชาชนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเบื้องหลังการปกครองขององค์พระมหากษัตริย์ ที่ทรงปกป้องคุ้มครองราษฎรให้พ้นจากภัยคุกคามของจักรวรรดินิยมตะวันตกและทรงดูแลทุกข์สุขให้พวกเขา นักการเมืองในประเทศไทยมีความเห็นแก่เงินและบ้าอำนาจเกินกว่าที่จะปกป้องประโยชน์ของส่วนรวม สื่อมวลชนก็พึ่งพาไม่ได้ เป็นแค่ ความบันเทิงอีกแขนงหนึ่ง มีแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่ทรงมีภูมิรู้ทางประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ ความรอบรู้และความเสียสละที่จะครองความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทั้งชาติได้
มรว.ทองน้อยบอกว่าคนไทยเข้าใจเรื่องนี้ดี เมื่อในหลวงภูมิพลทรงประชวร ทุกคนพากันตระหนกตกใจกัน แต่เวลารัฐบาลล้ม ไม่สู้มีใครใส่ใจ เพราะรัฐบาลก็เป็นแค่สิ่งบันเทิง ทัศนะนี้สะท้อนวิธีคิดของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอย่างชัดเจน ในการพระราชทานสัมภาษณ์ปี 2525 ทรงเผยพระประสงค์ออกมาว่าพระองค์น่าจะมีความพร้อมมากกว่าคือพระองค์ควรจะเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี เพราะพระองค์ทรงฉลาดกว่าใครและประชาชนก็ศรัทธาเชื่อมั่นพระองค์“รัฐธรรมนูญเขียนว่ากษัตริย์แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี นี่เป็นระบบที่ประสบการณ์ของพระมหากษัตริย์อาจเป็นประโยชน์ ประธานสภาจะมาขอคำปรึกษา แต่พระมหากษัตริย์อาจมีอำนาจมากกว่าเพราะประชาชนมีความศรัทธาในตัวกษัตริย์ ”
จากแนวคิดเรื่อง “มติเอกฉันท์”หรือการแอบอ้างฉันทานุมัติจากประชาชน นี้ มรว.ทองน้อยถึงกับสร้างหลักการขึ้นมาใหม่โดยประกาศว่ารัฐธรรมนูญไม่มีความจำเป็นเพราะมติเอกฉันท์ของประชาชน ที่รวมอยู่ในตัวพระมหากษัตริย์นั้นเท่ากับเป็นประชาธิปไตยแล้ว เขาบอกว่าอังกฤษที่เป็นประเทศประชาธิปไตยต้นแบบก็ไม่เคยมีรัฐธรรมนูญ ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่ 2475 รัฐธรรมนูญไทยก็เป็นเพียงเครื่องมือรับใช้ชนชั้นนำที่แสวงหาอำนาจ รวมทั้งกองทัพด้วย มรว.ทองน้อยอ้างได้ถึงอดีตนายกฯ ไทยสองคนที่แตกต่างกันอย่างมากแต่ก็อยู่ในคณะองคมนตรีรับใช้ในหลวงด้วยกันทั้งคู่ คือ นายสัญญา ธรรมศักดิ์นายกนักประชาธิปไตยกับนายธานินทร์ กรัยวิเชียรนายกเผด็จการขวาจัด โดยเขาอธิบายความหมายของประชาธิปไตยว่าเป็นวิธีการปกครองที่สิทธิของพลเมืองจะต้องได้รับการคุ้มครองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และมีแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่จะทำอย่างนั้นได้ แต่มรว.ทองน้อยก็ยอมรับว่าคนไทยเคยชินกับการมีรัฐธรรมนูญ แต่หากจะมีรัฐธรรมนูญก็จะมีบทบัญญิตที่จำเป็นเพียงสามมาตราเท่านั้น คือ:
1: ประเทศไทยเป็นชาติที่มีเอกราช เป็นหนึ่งเดียวและไม่อาจแบ่งแยกได้ (คือ ต้องเป็นราชอาณาจักรอย่างเดียว ห้ามเป็นสาธารณรัฐ ห้ามมีประธานาธิบบดี)
2: ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบกษัตริย์ โดยกษัตริย์มาจากราชวงศ์จักรี (คือต้องมีพระมหากษัตรย์แห่งราชวงศ์จักรีเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่ห้ามผู้ใดละเมิดโดยเด็ดขาด)
3: ประเทศไทยควรเป็นประชาธิปไตยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (คือต้องเป็นไปตามพระราชประสงค์ที่ถือความมั่นคงของชาติเป็นสิ่งสำคัญ)
มรว.ทองน้อยดูจะเห็นตรงกันข้ามกับพระเจ้าอยู่หัวเรื่องทหารเข้ามายุ่งการเมือง โดยโจมตีทหารว่าเป็นพวกกระหายอำนาจโดยสันดานที่จ้องผูกขาดการปกครองเป็นการซ้ำเติมปัญหาความยากจน ความด้อยพัฒนาและการทุจริตคอร์รัปชันที่ระบาดไปทัว แต่แล้วก็ต้องรีบกลับหลังเปลี่ยนความคิดอย่างกระทันหันโดยบอกว่าฉันทามติของประชาชนและวัฒนธรรมของชาติไทยเป็นรากฐานของทางอำนาจของทหาร เพราะคนไทยยกย่องทหารเหมือนเป็นตัวแทนของพวกเขา และต้องการให้ทหารคุ้มครองเสถียรภาพความมั่นคงของชาติและสถาบัน สำหรับการรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยๆนั้น มรว.ทองน้อยอ้างพระบรมราโชวาทของในหลวงภูมิพลว่าประชาชนจะต้องดูทหารที่เจตนา เพราะทหารก็ต้องการประชาธิปไตยเหมือนกับประชาชนนับตั้งแต่ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
แต่ความพยายามในการส่งเสริมพระบุญญาบารมีของวังในสมัยพลเอกเปรมไม่สามารถปิดปากนักวิจารณ์จำนวนมากที่กล้าตั้งคำถามถึงทิศทางของระบอบการเมืองการปกครองที่กำลังจะเป็นไป มีทั้งนักการเมืองที่ทะเยอทะยาน นักวิชาการหัวก้าวหน้า และอดีตนักศึกษาที่ยังเคลื่อนไหว หลายคนทำงานหนังสือพิมพ์ในช่วงทศวรรษ 2520 ซึ่งเป็นสื่อที่รัฐบาลกับกองทัพควบคุมไม่ได้เท่ากับโทรทัศน์และวิทยุ นิตยสารการเมืองจำนวนหนึ่งเกิดขื้นมาและวิเคราะห์การเมืองของรัฐบาลเปรม โดยพาดพิงถึงความสัมพันธ์ระหว่างพลเอกเปรมและในหลวงอย่างอ้อมๆและสะท้อนออกมาในบทความหนึ่งที่ทำให้หนังสือพิมพ์เอเชี่ยนวอลล์สตรีทเจอร์นัล Asian Wall Street Journal ถึงกับถูกห้ามเผยแพร่ในไทยตอนปลายปี 2524 เพราะไมเคิ้ล ชมิคเกอร์ Michael Schmicker เขียนตั้งคำถามแบบวอนหาเรื่องว่าสถาบันกษัตริย์จะอยู่รอดไปได้ถึง 20 ปีหรือไม่ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ จากทั่วสารทิศ นอกจากพคท.แล้ว ภัยคุกคามที่หนักหนากว่ามาจากนักศึกษาที่เคลื่อนไหวทางการเมืองกับพวกนักวิชาการเสรีนิยมในมหาวิทยาลัย ที่ถูกบีบให้ต้องเลือกระหว่างความคิดเสรีประชาธิปไตยของตนกับความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะพวกนิยมเจ้าที่กล่าวหาพวกที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยว่าเป็นพวกที่ต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เห็นได้ชัดว่าพระราชวงศ์ทรงมีความมุ่งมั่นหรือถึงกับหมกมุ่นกับการรักษาสถานภาพของตนเท่านั้น
ชมิคเกอร์ยังชี้ถึงภัยคุกคามอีกอย่างหนึ่งคือ การแบ่งพรรคแบ่งพวกในกองทัพ ดังที่เห็นในกบฏเมษาฮาวายที่จบลงแบบเจ็บตัวไปตามๆกัน “รัฐประหารที่ล้มเหลวลงไปพร้อมกับความน่าเชื่อถือของสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะที่เคยตัวกลางที่ไม่เอนเอียงเข้าข้างทหารฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด พระราชวงศ์ตอนนี้ได้เสี่ยงแสดงตนเข้าข้างทหารฝ่ายหนึ่งและจะต้องยอมรับความเสี่ยงจากการที่ได้ทรงเลือกข้างนั้น” สิ่งที่เป็นปัญหาอันสุดท้ายคือฟ้าชายวชิราลงกรณ์ “นับแต่ทรง บรรลุนิติภาวะมาเมื่อเก้าปีก่อน ฟ้าชายวชิราลงกรณ์วัย 29 ชันษาได้พยายามดิ้นรนเพื่อให้ถูกใจประชาชนสำหรับการขึ้นครองราชย์สืบต่อไป แต่พระองค์ดูจะขาดแคลนสติปัญญา บารมีและ สามัญสำนึก อันจำเป็นสำหรับการดำรงค์ไว้ซึ่งความจงรักภักดีของคนไทยที่มีต่อพระราชวงศ์จักรี และว่ากันว่ากองทัพก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อฟ้าชายนัก ภาพลักษณ์ของเสือผู้หญิงหรือเพลย์บอยของพระองค์ทำให้ฟ้าชายมีชื่อเสียงไม่ดีและทำให้ผู้คนเอาสถาบันกษัตริย์มาล้อเลียนเป็นเรื่องสนุก”
เป็นไปตามคาด รัฐบาลเปรมเดือดดาลกับบทความชิ้นนี้และกล่าวหาว่าเป็นการใส่ร้ายโกหกบิดเบือนของต่างชาติ แต่ในปี 2525 นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปัญญาชนนักวิจารณ์เจ้าได้เขียนในหนังสือ“ลอกคราบสังคมไทย” ว่า พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลกำลังมุ่งหน้าไปผิดทิศผิดทางและทรงเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเทศไทย รัฐบาลเปรมไม่ใส่ใจคำวิจารณ์จนกระทั่งปี 2527 จึงสั่งจับนายสุลักษณ์ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) กับองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอื่นๆ ตลอดจนนักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติจำนวนมากต่างพากันประณามรัฐบาลเปรมอย่างรุนแรง เมื่อในหลวงภูมิพลทรงถูกลากเข้ามาในเวทีระหว่างประเทศที่ต่อสู้ยาก พระองค์ก็ทรงยื่นมือเข้ามาแทรกแซงอย่างเงียบๆให้นายสุลักษณ์หลุดคดีไป แต่พวกชาววังก็บอกชัดเจนว่าไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลยกับการจัดการกับนายสุลักษณ์ และข้าในวังรายหนึ่งไปทัวร์ออสเตรเลียและในการประชุมปิดกับนักวิชาการในเวลาต่อมาก็ยังยืนยันชัดเจนว่านายสุลักษณ์กับพวกต้องถูกจับเพราะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสังคม และจำเป็นต้องสั่งสอนบทเรียนแก่เขา
ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์การแทรกแซงการเมืองของพระเจ้าอยู่หัวเป็นบทความภาษาอังกฤษ 69หน้า ไม่ลงชื่อผู้เขียน ชื่อ “ราชวงศ์จักรีและการเมืองของไทย 2325-2525” (The Chakri Dynasty and Thai Politics, 1782-1982)แจกจ่ายเผยแพร่ในหมู่นักวิชาการในปี 2526 เข้าใจว่าเป็นผลงานของมรว.สุขุมพันธ์ บริพัตร หลานปู่ของเจ้าฟ้าบริพัตร ผู้เคยมีสิทธิเป็นรัชทายาทคนหนึ่ง โดยบรรยายปัญหาทางการเมืองของกษัตริย์แปดรัชกาลแรกอย่างปกติธรรมดาแต่ในหน้าท้ายๆมรว.สุขุมพันธ์ซึ่งเป็นอาจารย์สอนรัฐศาสตร์ที่จุฬาฯ ก็พูดตรง ๆ ถึงอันตรายของการที่ในหลวงภูมิพลทรงเลือกข้างทางการเมืองอย่างเปิดเผย เขาอ้างถึงความขัดแย้งระหว่างวังกับข้าราชการ, พวกอนุรักษ์ที่ดื้อด้าน และการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การล่มสลายของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 2475 เขาได้เตือนว่า “สถาบันกษัตริย์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นความหวังสำหรับหลายคนในยุคเผด็จการทหารเบ็ดเสร็จ กำลังเสี่ยงต่อการถูกมองว่าแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถอยหลังเข้าคลองและขัดขวางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง...โดยขัดแย้งในตัวเองก็คือแสวงหาอำนาจเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงแต่ในที่สุดแล้วกลับเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเสียเอง สถาบันกษัตริย์กำลังพยายามแสดงบทบาทเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความสามัคคีของคนในชาติและเป็นผู้กระหายอำนาจเสียเอง โดยไม่ได้สำนึกว่าบทบาทสองอย่างนี้ขัดแย้งกันเองโดยสิ้นเชิงและเป็นอันตราย ขณะที่ความยืดหยุ่นพลิกแพลงและการเน้นที่ผลงานที่เคยเป็นจุดแข็งของราชวงศ์จักรีได้สูญหายไปแล้ว”
เนื่องจากบทความนี้ไม่ลงชื่อผู้เขียนและแจกจ่ายเฉพาะแวดวงปัญญาชน นักหนังสือพิมพ์และนักการทูต โดยไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ วังจึงทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขื้น แต่คำเตือนของมรว.สุขุมพันธ์ก็ปรากฏเป็นจริงในปีถัดมานั้นเอง
++++++++++
ขณะที่มรว.ทองน้อย ทองใหญ่(จบปริญญาตรีและโทภาษาสมัยใหม่ จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด อังกฤษ เลขาธิการคณะองคมนตรี 2515-2539) กำลังอธิบายแจกแจงเหตุผลรองรับความชอบธรรมของระบอบวังกับเปรมอยู่นั้น เสาหลักของโครงสร้างนี้คือในหลวงกับพลเอกเปรมก็กำลังเสื่อมทรุดลงใกล้พังอย่างที่มรว.สุขุมพันธ์ได้เตือนไว้ ระหว่างปี 2527-2529เกิดความแตกแยกภายในกองทัพ การพยายามก่อรัฐประหารล้มรัฐบาล เรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่น และวิกฤตอื่นๆ ทำเอาพลเอกเปรมกับในหลวงต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปตามๆกัน คงเป็นเพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นและการแตกแยกภายในกองทัพ แต่ตัวการสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือพระราชวงศ์ ซึ่งเริ่มจากพระราชินีก่อน...
พระราชินีสิริกิติ์ใช้เวลายี่สิบปีแรกในพระราชวังไปกับการเฉลิมฉลองความเป็นราชินีในเทพนิยายของพระองค์ ขณะที่ความสาวความงามของพระนางก็ซีดจางร่วงโรยไปตามอายุที่มากขึ้น พระราชินีได้สั่งสมบริวารเป็นจำนวนมากจากบรรดาผู้คนที่แข่งกันแสวงหาพึ่งพาจากพระนาง เห็นได้ชัดจากบทบาทที่ทรงพัวพันกับการเมืองปีกขวาจัดในปี 2519 ซึ่งเป็นขุมกำลังทางการเมืองของพระนางเอง นิตยสารพาเรด Parade ในสหรัฐฯ ตั้ง ฉายาให้พระราชินีว่า “นางพญามังกร” (dragon lady) ผู้เลอโฉมและทะยานอยาก แบบพระนางซูสีไทเฮาก่อนสิ้นราชวงศ์ของจักรพรรดิประเทศจีน
พระราชินีสิริกิติ์ทรงแสดงบทบทบาทหลักในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสผ่านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพที่ช่วยผู้หญิงฝึกอาชีพหัตถกรรม ทรงระดมทุนด้วยงานการกุศลและอื่นๆ ได้หลายร้อยล้านบาทต่อปีเป็นประจำเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับทีมงานส่วนพระองค์กว่า 50 คน และยังมีเจ้าหน้าที่อีกหลายคนในมูลนิธิฯ ทรงเสด็จต่างจังหวัดเป็นขบวนเอิกเกริกอยู่เป็นประจำท่ามกลางทหารคุ้มกันหนาแน่น พระราชินีก็จะปรากฏพระองค์อยู่เบื้องหน้าพสกนิกร โดยทรงเจิดจรัสในชุดแฟชั่นนำสมัย ระย้าพร่างพรายด้วยเพชร พลอย มรกตและไข่มุก ในทศวรรษ 2520 ทรงชอบสวมกางเกงแบบฮาเร็ม หมวกแบบผ้าโพก ที่ชาวบ้านคงมองดูด้วยความทึ่งและตะลึงงัน มรว.ทองน้อยได้อธิบายว่าพระราชินีกลัวว่าจะทำให้พสกนิกรผิดหวังถ้าพระราชินีไม่แต่งตัวให้ดี เพราะประชาชนมีความคิดของพวกเขาว่าพระราชินีคือนางฟ้าผู้มีบุญ และพระราชินีก็จะทรงพบปะกับผู้หญิงและเด็กเล็กในหมู่บ้านที่เจ็บป่วยที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้ว ทรงแจกจ่ายยาและบอกให้พวกเขาดูแลรักษาตัวเอง ด้วยสุ้มเสียงเนิบช้าเหมือนแม่พูดแนะนำลูกเล็กอันเป็นท่วงท่าที่พระนางใช้พูดกับทุกคนนอกวัง หลังจากนั้นขบวนเสด็จก็จะแจกจ่ายข้าวของ หยูกยา ให้การรักษาพยาบาล และจ่ายเงินแก่สมาชิกศูนย์ศิลปาชีพสำหรับงานฝีมือของพวกเขา ซึ่งจะถูกขนกลับไปขายยังตลาดที่ห่างไกล
ท่วงท่าที่เชื่อมั่นของพระราชินีนี้ได้ปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าทรงกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤตส่วนตัวเนื่องจากรูปโฉมที่กำลังร่วงโรย ความไม่ใส่พระทัยจากพระเจ้าอยู่หัวที่ยังทรงหมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับโครงการพระราชดำริและพระราชกรณียกิจที่ไม่เคยว่างเว้น พระราชโอรสสุดที่รักที่มีแต่เรื่องที่ทำให้ต้องปวดพระเศียร และคำวิจารณ์การที่พระนางเข้ามายุ่งกับการเมือง ทั้งหมดนี้ทำให้ทรงต้องดิ้นรนเอาชนะให้ได้ด้วยการใช้พระบารมีที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม รัฐบาลได้ช่วยจัดประเคนรางวัลระดับนานาชาติกับปริญญาต่างๆ เป็นชุดใหญ่ถวายแด่พระราชินี ด้วยความช่วยเหลืออนุเคราะห์จากสหรัฐอเมริกา เช่น รางวัลเหรียญเซเรสจากองค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (Ceres Medal จาก UN FAO)ในปี 2522 ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ จากโรงเรียนกฎหมายเฟลทเชอร์แห่งมหาวิทยาลัยทัฟท์ (Tufts University’s Fletcher School of Law and Diplomacy) ในปี 2523,รางวัลจากสมาคมสิทธิมนุษชนแห่งเอเซีย Asia Society’s Humanitarian Awards ปี 2523 , รางวัลสดุดีพระเกียรติคุณเป็นบุคคลดีเด่นด้านพิทักษ์เด็กจากสหพันธ์พิทักษ์เด็ก (Distinguished Service Award จาก Save the Children Federation) ปี 2524
พระราชินีทรงดิ้นรนต่อสู้กับความร่วงโรยตามธรรมชาติ ทรงคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายอย่างหนัก และทรงรับการผ่าตัดทำศัลยกรรมเป็นประจำ ทรงพระราชทานสัมภาษณ์ว่า“ข้าพเจ้าวิ่งจ็อกกิ้ง ทำโยคะ ถ้าฝนตกก็วิ่งขึ้นลงบันไดตึกสามชั้นเก้าเที่ยว ข้าพเจ้าสามารถยอมให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้บ้าง แต่สามีของข้าพเจ้าบอกว่าเขาไม่ชอบให้ข้าพเจ้าอ้วน” ทรงเสวยยาลดน้ำหนักและยาบำรุงอีกหลายขนาน พร้อมทั้งยานอนหลับเพื่อระงับผลข้างเคียง ต่อข่าวลือที่ว่าพระราชินีทรงประชวรในปี 2526 มล.ทองน้อยอธิบายว่า เป็นเพราะการโหมทุ่มเทงานของพระราชินี ทำให้ทรงเป็นโรคนอนไม่หลับ กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ตีสามตีสี่ สองชั่วโมงถัดมาก็ตื่นพระบรรทมแล้ว
ภาพลักษณ์ของพระราชินีย่ำแย่ด้วยการที่ทรงให้การสนับสนุนทหารที่ทะเยอทะยานอย่างพลเอกอาทิตย์ และเรื่องราวที่ลือกันไปทั่วว่าทรงใช้เงินบริจาคไปในการการท่องเที่ยวพักผ่อน ซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับของทั้งพระนางเองและบริวาร โครงการของพระราชินีเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์ของวังมากกว่าที่จะสร้างประโยชน์ต่อประชาชน ทรงแจกจ่ายข้าวของแต่ไม่มีผลระยะยาวต่อชีวิตของประชาชนมากนัก “พระราชินีสิริกิติ์ทรงสนพระทัยแต่งานสังคมสงเคราะห์ แต่ไม่ใช่ประเด็นการแก้ปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ”
พระราชินีสิริกิติ์ยังมีข่าวคาวเรื่องความสัมพันธ์รักๆใคร่ๆในแวดวงของทหารหนุ่มๆระดับนายพันสังกัดกองทหารพิเศษส่วนพระองค์ (คือกรมทหารราบที่21 รักษาพระองค์ที่ชลบุรี โดยเริ่มหลักสูตรทหารเสือราชินีในปี 2524 อาจจะมีสาเหตุมาจากการพยายามก่อรัฐประหารในปีนั้น) โดยพระราชินีทรงหลงไหลนายทหารหนุ่มรายหนึ่งมากเป็นพิเศษคือ พ.ท. ณรงค์เดช นันทโพธิเดช ถึงกับให้ตามเสด็จอยู่เสมอในเวลาเสด็จประพาสและในงานปาร์ตี้ นายทหารรายหนึ่งเล่าว่า“เขาเป็นเหมือนพระราชโอรสที่พระราชินีไม่เคยมี และเขามีทุกสิ่งที่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ไม่มี” ผู้คนเชื่อกันว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเป็นพิเศษ ทำให้พระราชวังตกเป็นที่นินทาของชาวบ้าน (พ.ท. ณรงค์เดช นันทโพธิเดช เกิดวันที่ 8 สิงหาคม 2490 เป็นผู้ให้กำเนิดหลักสูตรทหารเสือของกรมทหารราบที่21รักษา พระองค์ฯ หรือทหารเสือราชินี แต่งเพลงจากยอดดอย ได้รับราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทของล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ในถิ่นทุรกันดารและเต็มไปด้วยภัยสงคราม เสียชีวิตเมื่อ 21 พฤษภาคม 2528 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะไปศึกษาหลักสูตรเสนาธิการทหารบกอเมริกา และปริญญาโททางรัฐประศาสนศาสตร์ ด้วยวัยเพียง 38 ปี ด้วยโรคหัวใจล้มเหลวอย่างเป็นปริศนาเนื่องจากปกติท่านเป็นผู้ที่แข็งแรงมากๆ ตื่นเช้าเรียนโดดร่ม ตอนบ่อยเรียนดำน้ำ เย็นเข้าห้องเรียน ดึกตีเทนนิส วิ่งทุกวัน แต่อยู่มาวันหนึ่ง....ก็ตายไปเฉยๆ ท่านเป็นครูฝึกทหาร มีร่างกายที่แข็งแรงมาก ตอนเรียนเตรียมทหาร ชนะเลิศวิ่งมาราทอน 10 กิโลเมตร 3 ปีซ้อน)
ภาพลักษณ์ของพระราชินียิ่งตกต่ำลงไปอีกเมื่อมีเอกสารใต้ดินเผยแพร่เปิดโปงการเสด็จประพาสสหรัฐฯ ของพระราชินีกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์เมื่อต้นปี 2523 โดยเรียกการเดินทางครั้งนี้ว่า “67 วัน 100 ล้านบาท” สันนิษฐานว่า พคท. เป็นผู้ปล่อยเรื่องนี้ออกมา โดยมีข้อมูลวงในและรายละเอียดที่ถูกต้องแม่นยำที่น่าเชื่อถือ เอกสารนี้กล่าวหาว่าเหตุผลหลักของการเสด็จครั้งนี้คือเพื่อทำศัลยกรรมพลาสติก เหตุผลที่สองคือการหาเงินเข้ากระเป๋าของพระราชินีเองโดยอ้างการกุศลบังหน้า และเหตุผลที่สามคือการโยกย้ายสมบัติของวังไปต่างประเทศเผื่อพระราชวงศ์ต้องอพยพหนีออกนอกประเทศ เอกสารบรรยายถึงงานระดมทุนขนาดใหญ่ของพระราชินีสิริกิติ์สี่ครั้งในเมืองต่างๆ ของสหรัฐฯ ได้เงินไปหลายแสนเหรียญสหรัฐฯ แล้วก็ให้รายละเอียดการซื้อบ้านสองหลังในย่านเศรษฐีแถบแคลิฟอร์เนียใต้สำหรับพระโอรสและพระธิดาของพระนาง รถหรูหลายคันสำหรับบรรดาแฟนสาวของพระโอรสและแหวนราคา2แสนเหรียญสหรัฐฯ(หรือราว 6 ล้านบาท) สำหรับพระราชินีเอง ผู้เขียนใบปลิวอ้างการพบปะกับนายธนาคารที่นิวยอร์คส่อให้เห็นว่าพระราชวงศ์กำลังโยกย้ายทรัพย์สินมาไว้ต่างประเทศ ข้อกล่าวหาเหล่านี้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือสำหรับชนชั้นสูงและผู้มีการศึกษาของไทย ที่โน้มเอียงไปในทางที่จะเชื่อเรื่องร้ายๆต่างที่เกี่ยวกับพระราชินีสิริกิติ์
ที่น่าหนักใจมากกว่าก็คือตัวฟ้าชายวชิราลงกรณ์ สิ่งที่เจ้ายุคใหม่ทุกราชวงศ์ตระกูลในโลกนี้พากันหวาดกลัวในช่วงต้นทศวรรษที่ 2520 ก็คือตัวรัชทายาทอย่างฟ้าชายนี่แหละ ที่ถือว่าเป็นรัชทายาทที่เป็นภัยต่อราชบัลลังก์และจะเป็นเหตุให้ราชวงศ์ต้องล่มสลาย ปัญหาต่างๆ เป็นที่รับรู้ก็ดีในปลายทศวรรษ 2510 หลังเสด็จกลับจากการฝึกทหารในออสเตรเลีย ฟ้าชายก็แวดล้อมไปด้วยพวกประจบสอพลอที่จะสนองทุกอย่างที่พระองค์ต้องการ รวมถึงนักธุรกิจมือสกปรก ที่คอยประเคนหญิงสาวและจ่ายเงินให้กับทหารนักเลงที่คอยติดตามทำหน้าที่จัดการคนที่ฟ้าชายไม่สบอารมณ์ ด้วยปืนพกเหน็บเอวที่พร้อมจะมีเรื่องวิวาทได้ตลอดเวลา ฟ้าชายได้รับสมญาว่า เสี่ยโอ โดยที่พระองค์ไม่ได้เคยรู้สำนึกหรือมีความยับยั้งชั่งใจอะไรเลย ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับในหลวงผู้เป็นพระราชบิดาเลยแม้แต่น้อยและยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อพระราชินีสิริกิติ์ทรงบังคับให้ฟ้าชายอภิเษกสมรสกับม.ล.โสมสวลี ผู้คนใจชื้นขึ้นเมื่อโสมสวลีทรงพระครรภ์ในปี 2521 และประสูติพระองค์เจ้าพชรกิติยาภา พระเจ้าหลานองค์แรกของในหลวงภูมิพลในเดือนธันวาคม แต่ในระหว่างที่พระองค์เจ้าโสมสวลีตั้งพระครรภ์อยู่นั้น ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ทรงย้ายออกจากวังใจกลางเมืองไปอยู่วังใหม่ชานเมืองใกล้สนามบินน้ำจังหวัดนนทบุรี ทำนองว่าเพื่อความสะดวกในการเข้าเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารของพระองค์ แต่ก็ไม่เคยย้ายกลับมาอีกเลย เชื่อว่าในช่วงนี้เองที่นายกำพล วัชรพล เจ้าพ่อผู้เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้แนะนำให้ฟ้าชายรู้จักกับสาวกลางคืนและดาราดาวรุ่งที่กลายมาเป็นคู่ขาประจำของพระองค์ ชื่อ สุจาริณี วิวัชรวงศ์ หรือ ยุวธิดา ชื่อเดิมคือยุวธิดา ผลประเสริฐ บางที ก็เป็น ยุวธิดา สุรัสวดี ตอนหลังคือ สุจาริณี วิวัชรวงศ์ ตอนที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฟ้าชายเปิดเผยมากขึ้น เธอได้รับ
ผู้ช่วยด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศและเลขานุการองคมนตรีของในหลวงคือมรว.ทองน้อย ทองใหญ่ ก็โผล่มาในช่วงต้นทศวรรษ 2520 ในบทบาทนักทฤษฎีสมัยใหม่ของวัง มรว.ทองน้อยสร้างคำอธิบายยืดยาวสำหรับรองรับอำนาจพระมหากษัตริย์โดยอิงอยู่บนวิทยาศาสตร์ปนกับอารมณ์ความรู้สึก ด้วยการเขียนบทความบรรยายยาวเหยียดเป็นชุดลงในบางกอกโพสต์ในปี 2526 ว่า กษัตริย์ไทยปกครองโดยได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนโดยเอกฉันท์ ประชาชนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเบื้องหลังการปกครองขององค์พระมหากษัตริย์ ที่ทรงปกป้องคุ้มครองราษฎรให้พ้นจากภัยคุกคามของจักรวรรดินิยมตะวันตกและทรงดูแลทุกข์สุขให้พวกเขา นักการเมืองในประเทศไทยมีความเห็นแก่เงินและบ้าอำนาจเกินกว่าที่จะปกป้องประโยชน์ของส่วนรวม สื่อมวลชนก็พึ่งพาไม่ได้ เป็นแค่ ความบันเทิงอีกแขนงหนึ่ง มีแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่ทรงมีภูมิรู้ทางประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ ความรอบรู้และความเสียสละที่จะครองความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทั้งชาติได้
มรว.ทองน้อยบอกว่าคนไทยเข้าใจเรื่องนี้ดี เมื่อในหลวงภูมิพลทรงประชวร ทุกคนพากันตระหนกตกใจกัน แต่เวลารัฐบาลล้ม ไม่สู้มีใครใส่ใจ เพราะรัฐบาลก็เป็นแค่สิ่งบันเทิง ทัศนะนี้สะท้อนวิธีคิดของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอย่างชัดเจน ในการพระราชทานสัมภาษณ์ปี 2525 ทรงเผยพระประสงค์ออกมาว่าพระองค์น่าจะมีความพร้อมมากกว่าคือพระองค์ควรจะเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี เพราะพระองค์ทรงฉลาดกว่าใครและประชาชนก็ศรัทธาเชื่อมั่นพระองค์“รัฐธรรมนูญเขียนว่ากษัตริย์แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี นี่เป็นระบบที่ประสบการณ์ของพระมหากษัตริย์อาจเป็นประโยชน์ ประธานสภาจะมาขอคำปรึกษา แต่พระมหากษัตริย์อาจมีอำนาจมากกว่าเพราะประชาชนมีความศรัทธาในตัวกษัตริย์ ”
จากแนวคิดเรื่อง “มติเอกฉันท์”หรือการแอบอ้างฉันทานุมัติจากประชาชน นี้ มรว.ทองน้อยถึงกับสร้างหลักการขึ้นมาใหม่โดยประกาศว่ารัฐธรรมนูญไม่มีความจำเป็นเพราะมติเอกฉันท์ของประชาชน ที่รวมอยู่ในตัวพระมหากษัตริย์นั้นเท่ากับเป็นประชาธิปไตยแล้ว เขาบอกว่าอังกฤษที่เป็นประเทศประชาธิปไตยต้นแบบก็ไม่เคยมีรัฐธรรมนูญ ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่ 2475 รัฐธรรมนูญไทยก็เป็นเพียงเครื่องมือรับใช้ชนชั้นนำที่แสวงหาอำนาจ รวมทั้งกองทัพด้วย มรว.ทองน้อยอ้างได้ถึงอดีตนายกฯ ไทยสองคนที่แตกต่างกันอย่างมากแต่ก็อยู่ในคณะองคมนตรีรับใช้ในหลวงด้วยกันทั้งคู่ คือ นายสัญญา ธรรมศักดิ์นายกนักประชาธิปไตยกับนายธานินทร์ กรัยวิเชียรนายกเผด็จการขวาจัด โดยเขาอธิบายความหมายของประชาธิปไตยว่าเป็นวิธีการปกครองที่สิทธิของพลเมืองจะต้องได้รับการคุ้มครองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และมีแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่จะทำอย่างนั้นได้ แต่มรว.ทองน้อยก็ยอมรับว่าคนไทยเคยชินกับการมีรัฐธรรมนูญ แต่หากจะมีรัฐธรรมนูญก็จะมีบทบัญญิตที่จำเป็นเพียงสามมาตราเท่านั้น คือ:
1: ประเทศไทยเป็นชาติที่มีเอกราช เป็นหนึ่งเดียวและไม่อาจแบ่งแยกได้ (คือ ต้องเป็นราชอาณาจักรอย่างเดียว ห้ามเป็นสาธารณรัฐ ห้ามมีประธานาธิบบดี)
2: ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบกษัตริย์ โดยกษัตริย์มาจากราชวงศ์จักรี (คือต้องมีพระมหากษัตรย์แห่งราชวงศ์จักรีเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่ห้ามผู้ใดละเมิดโดยเด็ดขาด)
3: ประเทศไทยควรเป็นประชาธิปไตยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (คือต้องเป็นไปตามพระราชประสงค์ที่ถือความมั่นคงของชาติเป็นสิ่งสำคัญ)
มรว.ทองน้อยดูจะเห็นตรงกันข้ามกับพระเจ้าอยู่หัวเรื่องทหารเข้ามายุ่งการเมือง โดยโจมตีทหารว่าเป็นพวกกระหายอำนาจโดยสันดานที่จ้องผูกขาดการปกครองเป็นการซ้ำเติมปัญหาความยากจน ความด้อยพัฒนาและการทุจริตคอร์รัปชันที่ระบาดไปทัว แต่แล้วก็ต้องรีบกลับหลังเปลี่ยนความคิดอย่างกระทันหันโดยบอกว่าฉันทามติของประชาชนและวัฒนธรรมของชาติไทยเป็นรากฐานของทางอำนาจของทหาร เพราะคนไทยยกย่องทหารเหมือนเป็นตัวแทนของพวกเขา และต้องการให้ทหารคุ้มครองเสถียรภาพความมั่นคงของชาติและสถาบัน สำหรับการรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยๆนั้น มรว.ทองน้อยอ้างพระบรมราโชวาทของในหลวงภูมิพลว่าประชาชนจะต้องดูทหารที่เจตนา เพราะทหารก็ต้องการประชาธิปไตยเหมือนกับประชาชนนับตั้งแต่ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
แต่ความพยายามในการส่งเสริมพระบุญญาบารมีของวังในสมัยพลเอกเปรมไม่สามารถปิดปากนักวิจารณ์จำนวนมากที่กล้าตั้งคำถามถึงทิศทางของระบอบการเมืองการปกครองที่กำลังจะเป็นไป มีทั้งนักการเมืองที่ทะเยอทะยาน นักวิชาการหัวก้าวหน้า และอดีตนักศึกษาที่ยังเคลื่อนไหว หลายคนทำงานหนังสือพิมพ์ในช่วงทศวรรษ 2520 ซึ่งเป็นสื่อที่รัฐบาลกับกองทัพควบคุมไม่ได้เท่ากับโทรทัศน์และวิทยุ นิตยสารการเมืองจำนวนหนึ่งเกิดขื้นมาและวิเคราะห์การเมืองของรัฐบาลเปรม โดยพาดพิงถึงความสัมพันธ์ระหว่างพลเอกเปรมและในหลวงอย่างอ้อมๆและสะท้อนออกมาในบทความหนึ่งที่ทำให้หนังสือพิมพ์เอเชี่ยนวอลล์สตรีทเจอร์นัล Asian Wall Street Journal ถึงกับถูกห้ามเผยแพร่ในไทยตอนปลายปี 2524 เพราะไมเคิ้ล ชมิคเกอร์ Michael Schmicker เขียนตั้งคำถามแบบวอนหาเรื่องว่าสถาบันกษัตริย์จะอยู่รอดไปได้ถึง 20 ปีหรือไม่ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ จากทั่วสารทิศ นอกจากพคท.แล้ว ภัยคุกคามที่หนักหนากว่ามาจากนักศึกษาที่เคลื่อนไหวทางการเมืองกับพวกนักวิชาการเสรีนิยมในมหาวิทยาลัย ที่ถูกบีบให้ต้องเลือกระหว่างความคิดเสรีประชาธิปไตยของตนกับความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะพวกนิยมเจ้าที่กล่าวหาพวกที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยว่าเป็นพวกที่ต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เห็นได้ชัดว่าพระราชวงศ์ทรงมีความมุ่งมั่นหรือถึงกับหมกมุ่นกับการรักษาสถานภาพของตนเท่านั้น
ชมิคเกอร์ยังชี้ถึงภัยคุกคามอีกอย่างหนึ่งคือ การแบ่งพรรคแบ่งพวกในกองทัพ ดังที่เห็นในกบฏเมษาฮาวายที่จบลงแบบเจ็บตัวไปตามๆกัน “รัฐประหารที่ล้มเหลวลงไปพร้อมกับความน่าเชื่อถือของสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะที่เคยตัวกลางที่ไม่เอนเอียงเข้าข้างทหารฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด พระราชวงศ์ตอนนี้ได้เสี่ยงแสดงตนเข้าข้างทหารฝ่ายหนึ่งและจะต้องยอมรับความเสี่ยงจากการที่ได้ทรงเลือกข้างนั้น” สิ่งที่เป็นปัญหาอันสุดท้ายคือฟ้าชายวชิราลงกรณ์ “นับแต่ทรง บรรลุนิติภาวะมาเมื่อเก้าปีก่อน ฟ้าชายวชิราลงกรณ์วัย 29 ชันษาได้พยายามดิ้นรนเพื่อให้ถูกใจประชาชนสำหรับการขึ้นครองราชย์สืบต่อไป แต่พระองค์ดูจะขาดแคลนสติปัญญา บารมีและ สามัญสำนึก อันจำเป็นสำหรับการดำรงค์ไว้ซึ่งความจงรักภักดีของคนไทยที่มีต่อพระราชวงศ์จักรี และว่ากันว่ากองทัพก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อฟ้าชายนัก ภาพลักษณ์ของเสือผู้หญิงหรือเพลย์บอยของพระองค์ทำให้ฟ้าชายมีชื่อเสียงไม่ดีและทำให้ผู้คนเอาสถาบันกษัตริย์มาล้อเลียนเป็นเรื่องสนุก”
เป็นไปตามคาด รัฐบาลเปรมเดือดดาลกับบทความชิ้นนี้และกล่าวหาว่าเป็นการใส่ร้ายโกหกบิดเบือนของต่างชาติ แต่ในปี 2525 นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปัญญาชนนักวิจารณ์เจ้าได้เขียนในหนังสือ“ลอกคราบสังคมไทย” ว่า พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลกำลังมุ่งหน้าไปผิดทิศผิดทางและทรงเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเทศไทย รัฐบาลเปรมไม่ใส่ใจคำวิจารณ์จนกระทั่งปี 2527 จึงสั่งจับนายสุลักษณ์ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) กับองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอื่นๆ ตลอดจนนักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติจำนวนมากต่างพากันประณามรัฐบาลเปรมอย่างรุนแรง เมื่อในหลวงภูมิพลทรงถูกลากเข้ามาในเวทีระหว่างประเทศที่ต่อสู้ยาก พระองค์ก็ทรงยื่นมือเข้ามาแทรกแซงอย่างเงียบๆให้นายสุลักษณ์หลุดคดีไป แต่พวกชาววังก็บอกชัดเจนว่าไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลยกับการจัดการกับนายสุลักษณ์ และข้าในวังรายหนึ่งไปทัวร์ออสเตรเลียและในการประชุมปิดกับนักวิชาการในเวลาต่อมาก็ยังยืนยันชัดเจนว่านายสุลักษณ์กับพวกต้องถูกจับเพราะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสังคม และจำเป็นต้องสั่งสอนบทเรียนแก่เขา
ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์การแทรกแซงการเมืองของพระเจ้าอยู่หัวเป็นบทความภาษาอังกฤษ 69หน้า ไม่ลงชื่อผู้เขียน ชื่อ “ราชวงศ์จักรีและการเมืองของไทย 2325-2525” (The Chakri Dynasty and Thai Politics, 1782-1982)แจกจ่ายเผยแพร่ในหมู่นักวิชาการในปี 2526 เข้าใจว่าเป็นผลงานของมรว.สุขุมพันธ์ บริพัตร หลานปู่ของเจ้าฟ้าบริพัตร ผู้เคยมีสิทธิเป็นรัชทายาทคนหนึ่ง โดยบรรยายปัญหาทางการเมืองของกษัตริย์แปดรัชกาลแรกอย่างปกติธรรมดาแต่ในหน้าท้ายๆมรว.สุขุมพันธ์ซึ่งเป็นอาจารย์สอนรัฐศาสตร์ที่จุฬาฯ ก็พูดตรง ๆ ถึงอันตรายของการที่ในหลวงภูมิพลทรงเลือกข้างทางการเมืองอย่างเปิดเผย เขาอ้างถึงความขัดแย้งระหว่างวังกับข้าราชการ, พวกอนุรักษ์ที่ดื้อด้าน และการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การล่มสลายของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 2475 เขาได้เตือนว่า “สถาบันกษัตริย์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นความหวังสำหรับหลายคนในยุคเผด็จการทหารเบ็ดเสร็จ กำลังเสี่ยงต่อการถูกมองว่าแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถอยหลังเข้าคลองและขัดขวางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง...โดยขัดแย้งในตัวเองก็คือแสวงหาอำนาจเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงแต่ในที่สุดแล้วกลับเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเสียเอง สถาบันกษัตริย์กำลังพยายามแสดงบทบาทเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความสามัคคีของคนในชาติและเป็นผู้กระหายอำนาจเสียเอง โดยไม่ได้สำนึกว่าบทบาทสองอย่างนี้ขัดแย้งกันเองโดยสิ้นเชิงและเป็นอันตราย ขณะที่ความยืดหยุ่นพลิกแพลงและการเน้นที่ผลงานที่เคยเป็นจุดแข็งของราชวงศ์จักรีได้สูญหายไปแล้ว”
เนื่องจากบทความนี้ไม่ลงชื่อผู้เขียนและแจกจ่ายเฉพาะแวดวงปัญญาชน นักหนังสือพิมพ์และนักการทูต โดยไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ วังจึงทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขื้น แต่คำเตือนของมรว.สุขุมพันธ์ก็ปรากฏเป็นจริงในปีถัดมานั้นเอง
++++++++++
ขณะที่มรว.ทองน้อย ทองใหญ่(จบปริญญาตรีและโทภาษาสมัยใหม่ จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด อังกฤษ เลขาธิการคณะองคมนตรี 2515-2539) กำลังอธิบายแจกแจงเหตุผลรองรับความชอบธรรมของระบอบวังกับเปรมอยู่นั้น เสาหลักของโครงสร้างนี้คือในหลวงกับพลเอกเปรมก็กำลังเสื่อมทรุดลงใกล้พังอย่างที่มรว.สุขุมพันธ์ได้เตือนไว้ ระหว่างปี 2527-2529เกิดความแตกแยกภายในกองทัพ การพยายามก่อรัฐประหารล้มรัฐบาล เรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่น และวิกฤตอื่นๆ ทำเอาพลเอกเปรมกับในหลวงต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปตามๆกัน คงเป็นเพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นและการแตกแยกภายในกองทัพ แต่ตัวการสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือพระราชวงศ์ ซึ่งเริ่มจากพระราชินีก่อน...
พระราชินีสิริกิติ์ใช้เวลายี่สิบปีแรกในพระราชวังไปกับการเฉลิมฉลองความเป็นราชินีในเทพนิยายของพระองค์ ขณะที่ความสาวความงามของพระนางก็ซีดจางร่วงโรยไปตามอายุที่มากขึ้น พระราชินีได้สั่งสมบริวารเป็นจำนวนมากจากบรรดาผู้คนที่แข่งกันแสวงหาพึ่งพาจากพระนาง เห็นได้ชัดจากบทบาทที่ทรงพัวพันกับการเมืองปีกขวาจัดในปี 2519 ซึ่งเป็นขุมกำลังทางการเมืองของพระนางเอง นิตยสารพาเรด Parade ในสหรัฐฯ ตั้ง ฉายาให้พระราชินีว่า “นางพญามังกร” (dragon lady) ผู้เลอโฉมและทะยานอยาก แบบพระนางซูสีไทเฮาก่อนสิ้นราชวงศ์ของจักรพรรดิประเทศจีน
พระราชินีสิริกิติ์ทรงแสดงบทบทบาทหลักในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสผ่านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพที่ช่วยผู้หญิงฝึกอาชีพหัตถกรรม ทรงระดมทุนด้วยงานการกุศลและอื่นๆ ได้หลายร้อยล้านบาทต่อปีเป็นประจำเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับทีมงานส่วนพระองค์กว่า 50 คน และยังมีเจ้าหน้าที่อีกหลายคนในมูลนิธิฯ ทรงเสด็จต่างจังหวัดเป็นขบวนเอิกเกริกอยู่เป็นประจำท่ามกลางทหารคุ้มกันหนาแน่น พระราชินีก็จะปรากฏพระองค์อยู่เบื้องหน้าพสกนิกร โดยทรงเจิดจรัสในชุดแฟชั่นนำสมัย ระย้าพร่างพรายด้วยเพชร พลอย มรกตและไข่มุก ในทศวรรษ 2520 ทรงชอบสวมกางเกงแบบฮาเร็ม หมวกแบบผ้าโพก ที่ชาวบ้านคงมองดูด้วยความทึ่งและตะลึงงัน มรว.ทองน้อยได้อธิบายว่าพระราชินีกลัวว่าจะทำให้พสกนิกรผิดหวังถ้าพระราชินีไม่แต่งตัวให้ดี เพราะประชาชนมีความคิดของพวกเขาว่าพระราชินีคือนางฟ้าผู้มีบุญ และพระราชินีก็จะทรงพบปะกับผู้หญิงและเด็กเล็กในหมู่บ้านที่เจ็บป่วยที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้ว ทรงแจกจ่ายยาและบอกให้พวกเขาดูแลรักษาตัวเอง ด้วยสุ้มเสียงเนิบช้าเหมือนแม่พูดแนะนำลูกเล็กอันเป็นท่วงท่าที่พระนางใช้พูดกับทุกคนนอกวัง หลังจากนั้นขบวนเสด็จก็จะแจกจ่ายข้าวของ หยูกยา ให้การรักษาพยาบาล และจ่ายเงินแก่สมาชิกศูนย์ศิลปาชีพสำหรับงานฝีมือของพวกเขา ซึ่งจะถูกขนกลับไปขายยังตลาดที่ห่างไกล
ท่วงท่าที่เชื่อมั่นของพระราชินีนี้ได้ปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าทรงกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤตส่วนตัวเนื่องจากรูปโฉมที่กำลังร่วงโรย ความไม่ใส่พระทัยจากพระเจ้าอยู่หัวที่ยังทรงหมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับโครงการพระราชดำริและพระราชกรณียกิจที่ไม่เคยว่างเว้น พระราชโอรสสุดที่รักที่มีแต่เรื่องที่ทำให้ต้องปวดพระเศียร และคำวิจารณ์การที่พระนางเข้ามายุ่งกับการเมือง ทั้งหมดนี้ทำให้ทรงต้องดิ้นรนเอาชนะให้ได้ด้วยการใช้พระบารมีที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม รัฐบาลได้ช่วยจัดประเคนรางวัลระดับนานาชาติกับปริญญาต่างๆ เป็นชุดใหญ่ถวายแด่พระราชินี ด้วยความช่วยเหลืออนุเคราะห์จากสหรัฐอเมริกา เช่น รางวัลเหรียญเซเรสจากองค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (Ceres Medal จาก UN FAO)ในปี 2522 ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ จากโรงเรียนกฎหมายเฟลทเชอร์แห่งมหาวิทยาลัยทัฟท์ (Tufts University’s Fletcher School of Law and Diplomacy) ในปี 2523,รางวัลจากสมาคมสิทธิมนุษชนแห่งเอเซีย Asia Society’s Humanitarian Awards ปี 2523 , รางวัลสดุดีพระเกียรติคุณเป็นบุคคลดีเด่นด้านพิทักษ์เด็กจากสหพันธ์พิทักษ์เด็ก (Distinguished Service Award จาก Save the Children Federation) ปี 2524
พระราชินีทรงดิ้นรนต่อสู้กับความร่วงโรยตามธรรมชาติ ทรงคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายอย่างหนัก และทรงรับการผ่าตัดทำศัลยกรรมเป็นประจำ ทรงพระราชทานสัมภาษณ์ว่า“ข้าพเจ้าวิ่งจ็อกกิ้ง ทำโยคะ ถ้าฝนตกก็วิ่งขึ้นลงบันไดตึกสามชั้นเก้าเที่ยว ข้าพเจ้าสามารถยอมให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้บ้าง แต่สามีของข้าพเจ้าบอกว่าเขาไม่ชอบให้ข้าพเจ้าอ้วน” ทรงเสวยยาลดน้ำหนักและยาบำรุงอีกหลายขนาน พร้อมทั้งยานอนหลับเพื่อระงับผลข้างเคียง ต่อข่าวลือที่ว่าพระราชินีทรงประชวรในปี 2526 มล.ทองน้อยอธิบายว่า เป็นเพราะการโหมทุ่มเทงานของพระราชินี ทำให้ทรงเป็นโรคนอนไม่หลับ กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ตีสามตีสี่ สองชั่วโมงถัดมาก็ตื่นพระบรรทมแล้ว
ภาพลักษณ์ของพระราชินีย่ำแย่ด้วยการที่ทรงให้การสนับสนุนทหารที่ทะเยอทะยานอย่างพลเอกอาทิตย์ และเรื่องราวที่ลือกันไปทั่วว่าทรงใช้เงินบริจาคไปในการการท่องเที่ยวพักผ่อน ซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับของทั้งพระนางเองและบริวาร โครงการของพระราชินีเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์ของวังมากกว่าที่จะสร้างประโยชน์ต่อประชาชน ทรงแจกจ่ายข้าวของแต่ไม่มีผลระยะยาวต่อชีวิตของประชาชนมากนัก “พระราชินีสิริกิติ์ทรงสนพระทัยแต่งานสังคมสงเคราะห์ แต่ไม่ใช่ประเด็นการแก้ปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ”
พระราชินีสิริกิติ์ยังมีข่าวคาวเรื่องความสัมพันธ์รักๆใคร่ๆในแวดวงของทหารหนุ่มๆระดับนายพันสังกัดกองทหารพิเศษส่วนพระองค์ (คือกรมทหารราบที่21 รักษาพระองค์ที่ชลบุรี โดยเริ่มหลักสูตรทหารเสือราชินีในปี 2524 อาจจะมีสาเหตุมาจากการพยายามก่อรัฐประหารในปีนั้น) โดยพระราชินีทรงหลงไหลนายทหารหนุ่มรายหนึ่งมากเป็นพิเศษคือ พ.ท. ณรงค์เดช นันทโพธิเดช ถึงกับให้ตามเสด็จอยู่เสมอในเวลาเสด็จประพาสและในงานปาร์ตี้ นายทหารรายหนึ่งเล่าว่า“เขาเป็นเหมือนพระราชโอรสที่พระราชินีไม่เคยมี และเขามีทุกสิ่งที่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ไม่มี” ผู้คนเชื่อกันว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเป็นพิเศษ ทำให้พระราชวังตกเป็นที่นินทาของชาวบ้าน (พ.ท. ณรงค์เดช นันทโพธิเดช เกิดวันที่ 8 สิงหาคม 2490 เป็นผู้ให้กำเนิดหลักสูตรทหารเสือของกรมทหารราบที่21รักษา พระองค์ฯ หรือทหารเสือราชินี แต่งเพลงจากยอดดอย ได้รับราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทของล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ในถิ่นทุรกันดารและเต็มไปด้วยภัยสงคราม เสียชีวิตเมื่อ 21 พฤษภาคม 2528 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะไปศึกษาหลักสูตรเสนาธิการทหารบกอเมริกา และปริญญาโททางรัฐประศาสนศาสตร์ ด้วยวัยเพียง 38 ปี ด้วยโรคหัวใจล้มเหลวอย่างเป็นปริศนาเนื่องจากปกติท่านเป็นผู้ที่แข็งแรงมากๆ ตื่นเช้าเรียนโดดร่ม ตอนบ่อยเรียนดำน้ำ เย็นเข้าห้องเรียน ดึกตีเทนนิส วิ่งทุกวัน แต่อยู่มาวันหนึ่ง....ก็ตายไปเฉยๆ ท่านเป็นครูฝึกทหาร มีร่างกายที่แข็งแรงมาก ตอนเรียนเตรียมทหาร ชนะเลิศวิ่งมาราทอน 10 กิโลเมตร 3 ปีซ้อน)
ภาพลักษณ์ของพระราชินียิ่งตกต่ำลงไปอีกเมื่อมีเอกสารใต้ดินเผยแพร่เปิดโปงการเสด็จประพาสสหรัฐฯ ของพระราชินีกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์เมื่อต้นปี 2523 โดยเรียกการเดินทางครั้งนี้ว่า “67 วัน 100 ล้านบาท” สันนิษฐานว่า พคท. เป็นผู้ปล่อยเรื่องนี้ออกมา โดยมีข้อมูลวงในและรายละเอียดที่ถูกต้องแม่นยำที่น่าเชื่อถือ เอกสารนี้กล่าวหาว่าเหตุผลหลักของการเสด็จครั้งนี้คือเพื่อทำศัลยกรรมพลาสติก เหตุผลที่สองคือการหาเงินเข้ากระเป๋าของพระราชินีเองโดยอ้างการกุศลบังหน้า และเหตุผลที่สามคือการโยกย้ายสมบัติของวังไปต่างประเทศเผื่อพระราชวงศ์ต้องอพยพหนีออกนอกประเทศ เอกสารบรรยายถึงงานระดมทุนขนาดใหญ่ของพระราชินีสิริกิติ์สี่ครั้งในเมืองต่างๆ ของสหรัฐฯ ได้เงินไปหลายแสนเหรียญสหรัฐฯ แล้วก็ให้รายละเอียดการซื้อบ้านสองหลังในย่านเศรษฐีแถบแคลิฟอร์เนียใต้สำหรับพระโอรสและพระธิดาของพระนาง รถหรูหลายคันสำหรับบรรดาแฟนสาวของพระโอรสและแหวนราคา2แสนเหรียญสหรัฐฯ(หรือราว 6 ล้านบาท) สำหรับพระราชินีเอง ผู้เขียนใบปลิวอ้างการพบปะกับนายธนาคารที่นิวยอร์คส่อให้เห็นว่าพระราชวงศ์กำลังโยกย้ายทรัพย์สินมาไว้ต่างประเทศ ข้อกล่าวหาเหล่านี้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือสำหรับชนชั้นสูงและผู้มีการศึกษาของไทย ที่โน้มเอียงไปในทางที่จะเชื่อเรื่องร้ายๆต่างที่เกี่ยวกับพระราชินีสิริกิติ์
ที่น่าหนักใจมากกว่าก็คือตัวฟ้าชายวชิราลงกรณ์ สิ่งที่เจ้ายุคใหม่ทุกราชวงศ์ตระกูลในโลกนี้พากันหวาดกลัวในช่วงต้นทศวรรษที่ 2520 ก็คือตัวรัชทายาทอย่างฟ้าชายนี่แหละ ที่ถือว่าเป็นรัชทายาทที่เป็นภัยต่อราชบัลลังก์และจะเป็นเหตุให้ราชวงศ์ต้องล่มสลาย ปัญหาต่างๆ เป็นที่รับรู้ก็ดีในปลายทศวรรษ 2510 หลังเสด็จกลับจากการฝึกทหารในออสเตรเลีย ฟ้าชายก็แวดล้อมไปด้วยพวกประจบสอพลอที่จะสนองทุกอย่างที่พระองค์ต้องการ รวมถึงนักธุรกิจมือสกปรก ที่คอยประเคนหญิงสาวและจ่ายเงินให้กับทหารนักเลงที่คอยติดตามทำหน้าที่จัดการคนที่ฟ้าชายไม่สบอารมณ์ ด้วยปืนพกเหน็บเอวที่พร้อมจะมีเรื่องวิวาทได้ตลอดเวลา ฟ้าชายได้รับสมญาว่า เสี่ยโอ โดยที่พระองค์ไม่ได้เคยรู้สำนึกหรือมีความยับยั้งชั่งใจอะไรเลย ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับในหลวงผู้เป็นพระราชบิดาเลยแม้แต่น้อยและยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อพระราชินีสิริกิติ์ทรงบังคับให้ฟ้าชายอภิเษกสมรสกับม.ล.โสมสวลี ผู้คนใจชื้นขึ้นเมื่อโสมสวลีทรงพระครรภ์ในปี 2521 และประสูติพระองค์เจ้าพชรกิติยาภา พระเจ้าหลานองค์แรกของในหลวงภูมิพลในเดือนธันวาคม แต่ในระหว่างที่พระองค์เจ้าโสมสวลีตั้งพระครรภ์อยู่นั้น ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ทรงย้ายออกจากวังใจกลางเมืองไปอยู่วังใหม่ชานเมืองใกล้สนามบินน้ำจังหวัดนนทบุรี ทำนองว่าเพื่อความสะดวกในการเข้าเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารของพระองค์ แต่ก็ไม่เคยย้ายกลับมาอีกเลย เชื่อว่าในช่วงนี้เองที่นายกำพล วัชรพล เจ้าพ่อผู้เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้แนะนำให้ฟ้าชายรู้จักกับสาวกลางคืนและดาราดาวรุ่งที่กลายมาเป็นคู่ขาประจำของพระองค์ ชื่อ สุจาริณี วิวัชรวงศ์ หรือ ยุวธิดา ชื่อเดิมคือยุวธิดา ผลประเสริฐ บางที ก็เป็น ยุวธิดา สุรัสวดี ตอนหลังคือ สุจาริณี วิวัชรวงศ์ ตอนที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฟ้าชายเปิดเผยมากขึ้น เธอได้รับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)