ตามลิงค์มาเลยครับ
http://www.ziddu.com/download/11848392/PhotoScapeSetup_V3.5.rar.html
colskys@hotmail.com
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553
ข้อมูลทางเทคนิค
ข้อมูลเครื่องบิน:
ความยาว 14.1 เมตร (46 ฟุต 3 นิ้ว)
ความยาว (สำหรับเครื่องสองที่นั่ง) 14.8 เมตร (48 ฟุต 5 นิ้ว)
ความยาวปีก รวมทั้งเครื่องปล่อยขีปนาวุธ 8.4 เมตร (27 ฟุต 6 นิ้ว)
ความสูง 4.5 เมตร (14 ฟุต 8 นิ้ว)
น้ำหนักในการบินขึ้นสูงสุด14 ตัน
ความเร็วสูงสุด Mach 2 และ supersonic ในทุกความสูง
ส่วนประกอบหลัก
- ระบบ aerodynamic ที่ล้ำหน้า ร่วมกับระบบ coupled canard-delta
- โครงสร้างน้ำหนักเบา ใช้อุปกรณ์และเทคนิคในการสร้างที่ล้ำหน้า
- การเชื่อมโยงข้อมูลที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก
- Triplex ระบบควบคมการบินเป็นแบบ fly-by-wire เพื่อความคล่องตัวสูงสุดระหว่างการต่อสู้
- ระบบ avionic ซึ่งทำงานโดย 5 MIL-STD 1553B ช่องทางส่งข้อมูลดิจิตอล
- ห้องนักบินที่ก้าวหน้า พร้อมด้วย Multi-Function Displays (MFDs) สี ขนาดใหญ่ และ การควบคุม Hands-On-Throttle-And-Stick (HOTAS)
- เรดาร์ระยะยาว Ericsson PS-05/A multi-mode, pulse doppler
- เครื่องยนต์พลังสูง ใช้เชื้อเพลิง Volvo Aero Corporation RM12 turbofan
- ระบบ On Board Oxygen Generation System (OBOGS) และการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ (AAR).
- เรดาร์ Low visual และ Infra-Red (IR)
- การบรรจุอาวุธที่หลากหลาย รวมทั้งอาวุธหนักตอบสนองภารกิจได้ทุกประเภท ได้แก่ ระหว่างอากาศ จากอากาศถึงผิวพื้น จากอากาศถึงทะเล การตรวจจับและการฝึกทดสอบทางยุทธวิธี อันเป็นการผสมผสานความเรียบง่ายและความซับซ้อน
- ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานที่ต่ำกว่าคู่แข่งถึงครึ่งหนึ่ง
- การบำรุงรักษา “On-condition"
สามารถปฏิบัติการได้จากฐานทัพทั่วไป โดยต้องการการบำรุงรักษาและบุคคลากร รวมทั้งอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้นดินน้อยมาก
ห้องนักบินและระบบแสดงผล:
ห้องนักบินของกริพเพนถูกควบคุมโดย 3 Multi-Function Displays (MFDs) และ diffractive optics Head-Up Display (HUD) มุมกว้าง พร้อมกับ a holographic combiner การผสมผสานอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรนี้ เพื่อช่วยลดปริมาณงานของนักบิน โดยเฉพาะในสถานการณ์รบ ซึ่งทำให้นักบินมีการรับรู้สถานการณ์ที่ดีเยี่ยม อันจะรับประกันประสิทธิภาพในการปฏิบัติการ และยังเพิ่มเวลาสำหรับการตัดสินใจด้านยุทธวิธี ซึ่งจะทำให้นักบินสามารถใช้เครื่องบินและระบบอาวุธได้อย่างเกิดผลที่สุด
การปฏิบัติการหลักๆ ของ display ได้แก่
Head-Up Display (HUD) - แสดงภาพ FLIR และข้อมูลการเล็งเป้าหมายในทุกระดับความสูง
Flight Data Display (FDD) – แสดงข้อมูลการบินและสถานะของระบบเกี่ยวกับเครื่องยนต์ เชื้อเพลิงและสภาพภายนอก
Horizontal Situation Display (HSD) – แสดงข้อมูลการบินและภารกิจแทคทิคซึ่งแสดงบนแผนที่อิเลคโทรนิคส์ โดยสามารถเลือกอัตราส่วนได้
Multi-Sensor Display (MSD) – แสดงข้อมูลจากเรดาร์ ภาพ FLIR และเซนเซอร์อื่น นอกจากนี้ ยังแสดงข้อมูลการควบคุมการบินและไฟด้วย
เรดาร์
เซนเซอร์หลักของระบบเล็งเป้าหมาย/เล็งอาวุธของกริพเพนเป็นเรดาร์ระยะไกล Ericsson PS-05/A ซึ่งกระทัดรัดและเรดาร์ multi-mode pulse doppler คุณภาพและความแม่นยำสูง ซึ่งให้ความคมชัดและความสามารถในด้าน Electronic Counter-Counter Measures (ECCM) ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย รวมทั้งการบันทึกสัญญาณและการประมวลผลข้อมูล เรดาร์ซึ่งสามารถจัดการกับการป้องกันทางอากาศ บรรยากาศ และภารกิจลาดตระเวนได้ถูกเตรียมพร้อมได้สำหรับความต้องการในอนาคต
แหล่งพลังงาน
Volvo Aero Corporation RM12 เป็นเครื่องยนต์ใช้เชื้อเพลิง อัตรา bypass ภายหลังการเผาไหม้ต่ำ ในรุ่น 80 KN (18,000lb) โดยมีพื้นฐานจาก General Electric F-404-400 ซึ่งได้ทำการบินหลายล้านชั่วโมงระหว่างปฏิบัติการต่างๆ ทั่วโลก
ความยาว 14.1 เมตร (46 ฟุต 3 นิ้ว)
ความยาว (สำหรับเครื่องสองที่นั่ง) 14.8 เมตร (48 ฟุต 5 นิ้ว)
ความยาวปีก รวมทั้งเครื่องปล่อยขีปนาวุธ 8.4 เมตร (27 ฟุต 6 นิ้ว)
ความสูง 4.5 เมตร (14 ฟุต 8 นิ้ว)
น้ำหนักในการบินขึ้นสูงสุด14 ตัน
ความเร็วสูงสุด Mach 2 และ supersonic ในทุกความสูง
ส่วนประกอบหลัก
- ระบบ aerodynamic ที่ล้ำหน้า ร่วมกับระบบ coupled canard-delta
- โครงสร้างน้ำหนักเบา ใช้อุปกรณ์และเทคนิคในการสร้างที่ล้ำหน้า
- การเชื่อมโยงข้อมูลที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก
- Triplex ระบบควบคมการบินเป็นแบบ fly-by-wire เพื่อความคล่องตัวสูงสุดระหว่างการต่อสู้
- ระบบ avionic ซึ่งทำงานโดย 5 MIL-STD 1553B ช่องทางส่งข้อมูลดิจิตอล
- ห้องนักบินที่ก้าวหน้า พร้อมด้วย Multi-Function Displays (MFDs) สี ขนาดใหญ่ และ การควบคุม Hands-On-Throttle-And-Stick (HOTAS)
- เรดาร์ระยะยาว Ericsson PS-05/A multi-mode, pulse doppler
- เครื่องยนต์พลังสูง ใช้เชื้อเพลิง Volvo Aero Corporation RM12 turbofan
- ระบบ On Board Oxygen Generation System (OBOGS) และการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ (AAR).
- เรดาร์ Low visual และ Infra-Red (IR)
- การบรรจุอาวุธที่หลากหลาย รวมทั้งอาวุธหนักตอบสนองภารกิจได้ทุกประเภท ได้แก่ ระหว่างอากาศ จากอากาศถึงผิวพื้น จากอากาศถึงทะเล การตรวจจับและการฝึกทดสอบทางยุทธวิธี อันเป็นการผสมผสานความเรียบง่ายและความซับซ้อน
- ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานที่ต่ำกว่าคู่แข่งถึงครึ่งหนึ่ง
- การบำรุงรักษา “On-condition"
สามารถปฏิบัติการได้จากฐานทัพทั่วไป โดยต้องการการบำรุงรักษาและบุคคลากร รวมทั้งอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้นดินน้อยมาก
ห้องนักบินและระบบแสดงผล:
ห้องนักบินของกริพเพนถูกควบคุมโดย 3 Multi-Function Displays (MFDs) และ diffractive optics Head-Up Display (HUD) มุมกว้าง พร้อมกับ a holographic combiner การผสมผสานอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรนี้ เพื่อช่วยลดปริมาณงานของนักบิน โดยเฉพาะในสถานการณ์รบ ซึ่งทำให้นักบินมีการรับรู้สถานการณ์ที่ดีเยี่ยม อันจะรับประกันประสิทธิภาพในการปฏิบัติการ และยังเพิ่มเวลาสำหรับการตัดสินใจด้านยุทธวิธี ซึ่งจะทำให้นักบินสามารถใช้เครื่องบินและระบบอาวุธได้อย่างเกิดผลที่สุด
การปฏิบัติการหลักๆ ของ display ได้แก่
Head-Up Display (HUD) - แสดงภาพ FLIR และข้อมูลการเล็งเป้าหมายในทุกระดับความสูง
Flight Data Display (FDD) – แสดงข้อมูลการบินและสถานะของระบบเกี่ยวกับเครื่องยนต์ เชื้อเพลิงและสภาพภายนอก
Horizontal Situation Display (HSD) – แสดงข้อมูลการบินและภารกิจแทคทิคซึ่งแสดงบนแผนที่อิเลคโทรนิคส์ โดยสามารถเลือกอัตราส่วนได้
Multi-Sensor Display (MSD) – แสดงข้อมูลจากเรดาร์ ภาพ FLIR และเซนเซอร์อื่น นอกจากนี้ ยังแสดงข้อมูลการควบคุมการบินและไฟด้วย
เรดาร์
เซนเซอร์หลักของระบบเล็งเป้าหมาย/เล็งอาวุธของกริพเพนเป็นเรดาร์ระยะไกล Ericsson PS-05/A ซึ่งกระทัดรัดและเรดาร์ multi-mode pulse doppler คุณภาพและความแม่นยำสูง ซึ่งให้ความคมชัดและความสามารถในด้าน Electronic Counter-Counter Measures (ECCM) ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย รวมทั้งการบันทึกสัญญาณและการประมวลผลข้อมูล เรดาร์ซึ่งสามารถจัดการกับการป้องกันทางอากาศ บรรยากาศ และภารกิจลาดตระเวนได้ถูกเตรียมพร้อมได้สำหรับความต้องการในอนาคต
แหล่งพลังงาน
Volvo Aero Corporation RM12 เป็นเครื่องยนต์ใช้เชื้อเพลิง อัตรา bypass ภายหลังการเผาไหม้ต่ำ ในรุ่น 80 KN (18,000lb) โดยมีพื้นฐานจาก General Electric F-404-400 ซึ่งได้ทำการบินหลายล้านชั่วโมงระหว่างปฏิบัติการต่างๆ ทั่วโลก
ป้ายกำกับ:
เครื่องบินรบ กริพเพน
กริพเพนจะยังคงเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีต่อไปอีกอย่างน้อย 30 ปี
กริพเพนเป็นระบบอาวุธระหว่างประเทศที่มีการรวมเอาเทคโนโลยีล่าสุดจากทีมของอุตสาหกรรมการป้องกันที่สำคัญๆ เนื่องจากเป็นเครื่องบินรบรุ่นใหม่ล่าสุดที่ประจำการอยู่ในขณะนี้ กริพเพนถูกออกแบบมาให้เหนือกว่าภัยคุกคามที่มีในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยสามารถเพิ่มเซนเซอร์ให้กับระบบ avionic และอาวุธใหม่ๆ เข้าไป
การออกแบบที่ทันสมัยและโปรแกรมเพิ่มเทคโนโลยี ซึ่งเกี่ยวกับเซนเซอร์หลักๆ ทั้งหมดในระบบ avionic การสื่อสารข้อมูล การออกตัว และระบบป้องกันตนเอง ทำให้กริพเพนเหนือกว่าภัยคุกคามต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งรักษาและพัฒนาความเหนือกว่าในการปฏิบัติการ
สวีเดนให้ความสำคัญกับอนาคตของกริพเพน ซึ่งลูกค้าก็จะมีส่วนร่วมในโปรแกรมพัฒนากริพเพนในระยะยาว Gripen International ได้รวมเอาลูกค้าและผู้ปฏิบัติการเข้าไว้ในโปรแกรมพัฒนาทางเทคนิคและการสนับสนุน การพัฒนาเทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้นและรวบรวมเข้าไว้ในกรอบเวลาซึ่งผู้ปฏิบัติการร่วมกำหนดขึ้น เมื่อร่วมมือกัน เราสามารถสร้างความแตกต่างได้
การออกแบบที่ทันสมัยและโปรแกรมเพิ่มเทคโนโลยี ซึ่งเกี่ยวกับเซนเซอร์หลักๆ ทั้งหมดในระบบ avionic การสื่อสารข้อมูล การออกตัว และระบบป้องกันตนเอง ทำให้กริพเพนเหนือกว่าภัยคุกคามต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งรักษาและพัฒนาความเหนือกว่าในการปฏิบัติการ
สวีเดนให้ความสำคัญกับอนาคตของกริพเพน ซึ่งลูกค้าก็จะมีส่วนร่วมในโปรแกรมพัฒนากริพเพนในระยะยาว Gripen International ได้รวมเอาลูกค้าและผู้ปฏิบัติการเข้าไว้ในโปรแกรมพัฒนาทางเทคนิคและการสนับสนุน การพัฒนาเทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้นและรวบรวมเข้าไว้ในกรอบเวลาซึ่งผู้ปฏิบัติการร่วมกำหนดขึ้น เมื่อร่วมมือกัน เราสามารถสร้างความแตกต่างได้
ป้ายกำกับ:
เครื่องบินรบ กริพเพน
ความเชื่อถือได้และความสะดวกในการดูแลรักษา
จุดมุ่งหมายหลักในการออกแบบกริพเพนคือแนวคิดของการดูแลรักษาที่รวดเร็ว ง่ายและมีความยืดหยุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการในการปฏิบัติการที่ท้าทายของปัจจุบัน กริพเพนประกอบด้วยคุณลักษณะ อาทิ ความแน่นอน การทดสอบได้ ร่วมกับการบำรุงรักษาง่ายและการเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับบุคลากรภาคพื้นดิน
จากประสบการณ์ในด้านการบริการเป็นตัวสำคัญในการสนับสนุนแนวโน้มของตัวเลขว่ามีการพัฒนาขึ้น
กริพเพนเป็นเครื่องบินรบหลากภารกิจที่เชื่อถือได้มากที่สุดในโลกปัจจุบัน ความล้มเหลว การเสียเวลาซ่อมบำรุง และค่าใช้จ่ายต่างๆ น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องบินอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน ความยอดเยี่ยมนี้ยังขยายไปสู่การบำรุงรักษาและการตรวจสอบซึ่งนอกจากราคาของชุดสนับสนุนดั้งเดิมจะต่ำที่สุดแล้ว
กริพเพนยังมีราคาอุปกรณ์สนับสนุนตลอดชีวิตการใช้งานที่ต่ำที่สุดอีกด้วย สิ่งนี้ได้พิสูจน์แล้วผ่านการประเมินราคาโดยใช้การเปรียบเทียบระหว่างราคาในการจัดซื้อและอุปกรณ์สนับสนุน เช่น อัตราส่วนระหว่างการหยุดปฏิบัติการและชั่วโมงในการซ่อมบำรุงต่อชั่วโมงบิน กริพเพนได้ข้อมูลซึ่งได้รับจากประสบการณ์จริงเหล่านี้จากโปรแกรมการประเมินผล ดำเนินการโดยกองทัพอากาศสวีเดน
ข้อมูลของคู่แข่งได้รับจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ เช่น การสัมมนา เวปไซต์อินเทอร์เน็ต และการบรรยายสรุปของคู่สัญญา ผลลัพธ์คือค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการของกริพเพนที่ต่ำกว่าคู่แข่งขันที่ใกล้ที่สุดถึงครึ่งหนึ่ง นี่เป็นเพราะกริพเพนมีความเชื่อถือได้มากกว่าถึงสองเท่า ใช้เชื้อเพลิงน้อยกว่า ซ่อมแซมง่ายกว่า ต้องการบุคคลากร ชิ้นส่วน อุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้นดิน และการซ่อมบำรุงที่น้อยกว่า
กริพเพนถูกออกแบบมาให้ใช้การจัดการเครื่องบินแบบ “care-free” และง่ายต่อการทำการบิน ซึ่งทำให้ระบบฝึกหัดสามารถให้เวลากับการใช้ระบบมากกว่าฝึกการบิน ระบบฝึกบินของกริพเพนมอบการฝึกที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังสามารถจัดการฝึกอบรมเพิ่ม สำหรับผู้ที่เคยผ่านการอบรมมาแล้ว รวมทั้งการฝึกสำหรับลูกค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตนอีกด้วย
จากประสบการณ์ในด้านการบริการเป็นตัวสำคัญในการสนับสนุนแนวโน้มของตัวเลขว่ามีการพัฒนาขึ้น
กริพเพนเป็นเครื่องบินรบหลากภารกิจที่เชื่อถือได้มากที่สุดในโลกปัจจุบัน ความล้มเหลว การเสียเวลาซ่อมบำรุง และค่าใช้จ่ายต่างๆ น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องบินอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน ความยอดเยี่ยมนี้ยังขยายไปสู่การบำรุงรักษาและการตรวจสอบซึ่งนอกจากราคาของชุดสนับสนุนดั้งเดิมจะต่ำที่สุดแล้ว
กริพเพนยังมีราคาอุปกรณ์สนับสนุนตลอดชีวิตการใช้งานที่ต่ำที่สุดอีกด้วย สิ่งนี้ได้พิสูจน์แล้วผ่านการประเมินราคาโดยใช้การเปรียบเทียบระหว่างราคาในการจัดซื้อและอุปกรณ์สนับสนุน เช่น อัตราส่วนระหว่างการหยุดปฏิบัติการและชั่วโมงในการซ่อมบำรุงต่อชั่วโมงบิน กริพเพนได้ข้อมูลซึ่งได้รับจากประสบการณ์จริงเหล่านี้จากโปรแกรมการประเมินผล ดำเนินการโดยกองทัพอากาศสวีเดน
ข้อมูลของคู่แข่งได้รับจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ เช่น การสัมมนา เวปไซต์อินเทอร์เน็ต และการบรรยายสรุปของคู่สัญญา ผลลัพธ์คือค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการของกริพเพนที่ต่ำกว่าคู่แข่งขันที่ใกล้ที่สุดถึงครึ่งหนึ่ง นี่เป็นเพราะกริพเพนมีความเชื่อถือได้มากกว่าถึงสองเท่า ใช้เชื้อเพลิงน้อยกว่า ซ่อมแซมง่ายกว่า ต้องการบุคคลากร ชิ้นส่วน อุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้นดิน และการซ่อมบำรุงที่น้อยกว่า
กริพเพนถูกออกแบบมาให้ใช้การจัดการเครื่องบินแบบ “care-free” และง่ายต่อการทำการบิน ซึ่งทำให้ระบบฝึกหัดสามารถให้เวลากับการใช้ระบบมากกว่าฝึกการบิน ระบบฝึกบินของกริพเพนมอบการฝึกที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังสามารถจัดการฝึกอบรมเพิ่ม สำหรับผู้ที่เคยผ่านการอบรมมาแล้ว รวมทั้งการฝึกสำหรับลูกค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตนอีกด้วย
ป้ายกำกับ:
เครื่องบินรบ กริพเพน
ปฏิบัติงานได้ทั่วโลก
นอกเหนือจากข้อกำหนดของ NATO เกี่ยวกับการป้องกันร่วมกัน และการปฏิบัติการนอกสถานที่แล้ว กริพเพนพร้อมที่จะตอบสนองผู้ปฏิบัติการทุกแห่งในโลก
กริพเพนพร้อมที่จะปฏิบัติการในทุกสภาพอากาศของโลก มีมาตาฐานตาม universal MIL-STD 1760 weapons interface มีการสื่อสารที่ปลอดภัยและไว้ใจได้ เหมาะสำหรับการบังคับบัญชา การควบคุมและการรายงานตำแหน่งโดย การค้าหาอย่างครอบคลุม และ IFF บวกกับความสามารถในการเติมเชื้อเพลงกลางอากาศ โดยใช้อุปกรณ์เติมน้ำมันที่พับเก็บได้
กริพเพนถูกสร้างมาให้เหมาะกับปฏิบัติการของท่าน ความสามารถในการบินเดี่ยวจากเส้นทางปกติ โดยใช้อุปกรณ์สนับสนุนที่น้อยที่สุด ทำให้กริพเพนเป็นระบบอาวุธที่ดีที่สุดสำหรับการปฏิบัติการภายในประเทศและระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติการเดี่ยว หรือร่วมกันก็ตาม
ป้ายกำกับ:
เครื่องบินรบ กริพเพน
ความสามารถในการบรรทุกอาวุธที่หลากหลาย
กริพเพนสามารถบรรทุกอาวุธที่จำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการในเชิงปฏิบัติการและเพื่อให้สามารถร่วมปฏิบัติการกับกองทัพพันธมิตรได้
ระบบอาวุธที่ก้าวหน้าของกริพเพนทำให้สามารถประกอบอาวุธใหม่ๆ เข้าโดยง่าย เพื่อรับมือกับการคุกคามในอนาคตและความต้องการของประเทศของคุณ
กริพเพนเป็นการผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายและความซับซ้อน พร้อมด้วยระบบอาวุธที่ยืดหยุ่นได้สำหรับทุกภารกิจ ทำให้นักบินและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินสามารถใช้ได้ง่าย แต่เป็นภัยสำหรับกองกำลังอีกฝ่าย
ระบบอาวุธที่ก้าวหน้าของกริพเพนทำให้สามารถประกอบอาวุธใหม่ๆ เข้าโดยง่าย เพื่อรับมือกับการคุกคามในอนาคตและความต้องการของประเทศของคุณ
กริพเพนเป็นการผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายและความซับซ้อน พร้อมด้วยระบบอาวุธที่ยืดหยุ่นได้สำหรับทุกภารกิจ ทำให้นักบินและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินสามารถใช้ได้ง่าย แต่เป็นภัยสำหรับกองกำลังอีกฝ่าย
ป้ายกำกับ:
เครื่องบินรบ กริพเพน
สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองงบประมาณการป้องกันสมัยใหม่
ด้วยการใช้งานง่าย การดูแลรักษาที่ดี และความต้องการการสนับสนุนน้อย ทำให้กองทัพกริพเพนสามารถออกปฏิบัติการได้บ่อยครั้งกว่าเครื่องบินอื่นในรุ่นเดียวกัน หรือประกอบภารกิจเดียวกันได้ด้วยจำนวนเครื่องบินที่น้อยกว่า
นี่เป็นการเพิ่มพลังพลระหว่างสงคราม อันเป็นนการรับประกันว่าค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องบิน กริพเพนในพื้นที่ที่ห่างไกลจากฐานทัพหลักจะต่ำกว่าเครื่องบินอื่นในรุ่นเดียวกัน
เมื่อปฏิบัติการจากฐานปฏิบัติการหลัก หรือจากที่อื่นก็ตาม กริพเพนจะต้องการอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้นดินน้อยที่สุด ดังนั้น ค่าใช้จ่ายจากการปฏิบัติการของกริพเพนจะน้อยกว่าค่าใช้จ่ายของเครื่องบินอื่นที่ปฏิบัติการอยู่ในขณะนี้ หรือที่จะปฏิบัติงานในรุ่นเดียวกันถึงครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ ยังบำรุงรักษาง่ายกว่าถึง 2 เท่า
นี่เป็นการเพิ่มพลังพลระหว่างสงคราม อันเป็นนการรับประกันว่าค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องบิน กริพเพนในพื้นที่ที่ห่างไกลจากฐานทัพหลักจะต่ำกว่าเครื่องบินอื่นในรุ่นเดียวกัน
เมื่อปฏิบัติการจากฐานปฏิบัติการหลัก หรือจากที่อื่นก็ตาม กริพเพนจะต้องการอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้นดินน้อยที่สุด ดังนั้น ค่าใช้จ่ายจากการปฏิบัติการของกริพเพนจะน้อยกว่าค่าใช้จ่ายของเครื่องบินอื่นที่ปฏิบัติการอยู่ในขณะนี้ หรือที่จะปฏิบัติงานในรุ่นเดียวกันถึงครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ ยังบำรุงรักษาง่ายกว่าถึง 2 เท่า
ป้ายกำกับ:
เครื่องบินรบ กริพเพน
สงครามข้อมูล
การผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายและความซับซ้อนของเครื่องบิน เซนเซอร์และอาวุธที่มีประสิทธิภาพ กับการเชื่อมโยงข้อมูล และการร่วมมือกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรส่งผลให้มีการรับรู้สถานการณ์ที่ดีเยี่ยมและการปฏิบัติภารกิจหลายบทบาทที่มีประสิทธิภาพ
ห้องนักบินถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิด “ไม่ต้องการ ไม่แสดง” ซึ่งให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับนักบินสำหรับปฏิบัติการที่ซับซ้อนทางเทคนิค แต่นักบินจะไม่ถูกรบกวนโดยข้อมูลที่ไม่จำเป็น
ความสามารถในการสู้รบในอากาศที่เหนือกว่า beyond visual range (BVR) ซึ่งสร้างโดยการผสมผสานประสิทธิภาพของเครื่องบิน ระบบเซนเซอร์สมัยใหม่ การเชื่อมโยงข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดในโลกและความสามารถในการปล่อยจรวด BVR ซึ่งควบคุมโดยเรดาร์ ทำให้กริพเพนมีความเหนือกว่าในการต่อสู้
ในระยะใกล้ความสามารถในการต่อสู้ของกริพเพนได้รับการรับประกันด้วยการผสมผสานระหว่าง delta-canard และความมั่นคง ทำให้มีความคล่องตัวและสามารถหักเลี้ยวได้ระหว่างปฏิบัติการ นอกจากวิธีการต่อสู้ระยะใกล้ด้วยเรดาร์แล้ว helmet-mounted display (HMD) สามารถถูกนำมาใช้โดยนักบินของกริพเพนเพื่อนำทางจรวดระหว่างอากาศระยะใกล้
การควบคุมสนามรบระหว่างปฏิบัติการจากอากาศสู่ผิวพื้นจำเป็นต้องมีเครื่องบินที่สามารถรับมือกับเป้าหมายและอาวุธที่หลากหลาย ซึ่งกริพเพนสามารถบรรทุกอาวุธชนิดก้าวหน้าได้หลายชนิด ทำให้สามารถปฏิบัติการได้ทั้งเหนือผืนดินและเหนือทะเล ระบบอาวุธของกริพเพนได้รวมเอาการยิงที่แม่นยำและชาญฉลาด อาทิ ระเบิดนำทางโดยเลเซอร์ (forward looking infra-red/laser designator pod (FLIR/LDP)) เซนเซอร์สมัยใหม่เหล่านี้ ประกอบกับเรดาร์จากอากาศสู่ผิวพื้นและระบบเชื่อมโยงข้อมูลส่งผลให้กริพเพนมีความสามารถในการโจมตีที่แม่นยำ
ห้องนักบินถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิด “ไม่ต้องการ ไม่แสดง” ซึ่งให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับนักบินสำหรับปฏิบัติการที่ซับซ้อนทางเทคนิค แต่นักบินจะไม่ถูกรบกวนโดยข้อมูลที่ไม่จำเป็น
ความสามารถในการสู้รบในอากาศที่เหนือกว่า beyond visual range (BVR) ซึ่งสร้างโดยการผสมผสานประสิทธิภาพของเครื่องบิน ระบบเซนเซอร์สมัยใหม่ การเชื่อมโยงข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดในโลกและความสามารถในการปล่อยจรวด BVR ซึ่งควบคุมโดยเรดาร์ ทำให้กริพเพนมีความเหนือกว่าในการต่อสู้
ในระยะใกล้ความสามารถในการต่อสู้ของกริพเพนได้รับการรับประกันด้วยการผสมผสานระหว่าง delta-canard และความมั่นคง ทำให้มีความคล่องตัวและสามารถหักเลี้ยวได้ระหว่างปฏิบัติการ นอกจากวิธีการต่อสู้ระยะใกล้ด้วยเรดาร์แล้ว helmet-mounted display (HMD) สามารถถูกนำมาใช้โดยนักบินของกริพเพนเพื่อนำทางจรวดระหว่างอากาศระยะใกล้
การควบคุมสนามรบระหว่างปฏิบัติการจากอากาศสู่ผิวพื้นจำเป็นต้องมีเครื่องบินที่สามารถรับมือกับเป้าหมายและอาวุธที่หลากหลาย ซึ่งกริพเพนสามารถบรรทุกอาวุธชนิดก้าวหน้าได้หลายชนิด ทำให้สามารถปฏิบัติการได้ทั้งเหนือผืนดินและเหนือทะเล ระบบอาวุธของกริพเพนได้รวมเอาการยิงที่แม่นยำและชาญฉลาด อาทิ ระเบิดนำทางโดยเลเซอร์ (forward looking infra-red/laser designator pod (FLIR/LDP)) เซนเซอร์สมัยใหม่เหล่านี้ ประกอบกับเรดาร์จากอากาศสู่ผิวพื้นและระบบเชื่อมโยงข้อมูลส่งผลให้กริพเพนมีความสามารถในการโจมตีที่แม่นยำ
ป้ายกำกับ:
เครื่องบินรบ กริพเพน
การควบคุมสนามรบ
ระบบอาวุธของกริพเพน รับประกันความไว้วางใจเต็มที่ในการป้องกัน และความเป็นต่อในอากาศ ด้วยความสามารถในการสู้รบระยะใกล้ ในขณะเดียวกัน กริพเพนมีความสามารถในด้านการสนับสนุนทางอากาศสำหรับการตรวจจับเรือ และความสามารถที่ก้าวหน้าในด้านการฝึกอบรมเกี่ยวกับกลยุทธ์
ระบบข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวซึ่งควบคุมโดยระบบดิจิตอล ทำให้กริพเพนมีประสิทธิภาพ ความสามารถและความคล่องตัวในการต่อสู้กับ “สงครามข้อมูล” (information war) สำหรับทั้งนักบินและผู้บัญชาการเพื่อเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
กริพเพนได้รวมเอาระบบเชื่อมโยงข้อมูลที่พัฒนาที่สุดในโลก ซึ่งเพิ่มการระวังสถานการณ์และประสิทธิภาพในการสู้รบ โดยการลดความแตกต่างระหว่างเวลาที่รับรู้โดยเซนเซอร์และการยิงจริง
กริพเพนได้รับการออกแบบให้ใช้ส่วนประกอบที่ทำจากคาร์บอน-ไฟเบอร์และวัสดุใหม่ๆ รวมถึงเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ก้าวหน้า ควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการใช้เทคนิคการรวบรวมข้อมูล และแนวคิด aerodynamic ล่าสุด ทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถประกอบภารกิจได้หลากหลาย ราคาและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตลอดชีวิตต่ำ
ระบบข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวซึ่งควบคุมโดยระบบดิจิตอล ทำให้กริพเพนมีประสิทธิภาพ ความสามารถและความคล่องตัวในการต่อสู้กับ “สงครามข้อมูล” (information war) สำหรับทั้งนักบินและผู้บัญชาการเพื่อเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
กริพเพนได้รวมเอาระบบเชื่อมโยงข้อมูลที่พัฒนาที่สุดในโลก ซึ่งเพิ่มการระวังสถานการณ์และประสิทธิภาพในการสู้รบ โดยการลดความแตกต่างระหว่างเวลาที่รับรู้โดยเซนเซอร์และการยิงจริง
กริพเพนได้รับการออกแบบให้ใช้ส่วนประกอบที่ทำจากคาร์บอน-ไฟเบอร์และวัสดุใหม่ๆ รวมถึงเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ก้าวหน้า ควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการใช้เทคนิคการรวบรวมข้อมูล และแนวคิด aerodynamic ล่าสุด ทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถประกอบภารกิจได้หลากหลาย ราคาและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตลอดชีวิตต่ำ
ป้ายกำกับ:
เครื่องบินรบ กริพเพน
เครื่องบินรบกริพเพน
ป้ายกำกับ:
เครื่องบินรบ
การเดินทางไปวัดเขาศาลาฯ จ.สุรินทร์
วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ตั้งอยู่ที่ตำบลจรัส เป็นพุทธอุทยานแห่งแรกของประทศไทย ที่มีเนื้อที่ถึง 10,865 ไร่ และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบารมีสยามบุรีพิทักษ์ เป็นพระพุทธรูปนาคปรกอยู่บนเขา นอกจากนั้นยังมีรอยพระพุทธบาทรูปสลั กหินทรายที่อยู่บนลานหินในป่า และพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐาน ณ อริยเจดีย์ มีพระอุโบสถที่ประดิษฐานสมเด็จหลวงพ่อเมตตาเจดีย์พุทธคยา ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ ของประเทศอินเดีย และเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของจังหวัดสุรินทร์ด้วย
การเดินทาง ใช้ถนนสายสุรินทร์-อำเภอปราสาท เรื่อยมาจนถึงสี่แยกอำเภอปราสาท แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 24 ที่กิโลเมตรที่ 45 บริเวณสี่แยกอำเภอสังขะ เลี้ยวขวาเข้าถนนสาย 2124 ผ่านอำเภอบัวเชดไปตามเ ส้นทางจนถึงบ้านจรัส กิโลเมตรที่ 23 ทางเข้าวัดจะอยู่ทางขวามือ
การเดินทาง ใช้ถนนสายสุรินทร์-อำเภอปราสาท เรื่อยมาจนถึงสี่แยกอำเภอปราสาท แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 24 ที่กิโลเมตรที่ 45 บริเวณสี่แยกอำเภอสังขะ เลี้ยวขวาเข้าถนนสาย 2124 ผ่านอำเภอบัวเชดไปตามเ ส้นทางจนถึงบ้านจรัส กิโลเมตรที่ 23 ทางเข้าวัดจะอยู่ทางขวามือ
ป้ายกำกับ:
วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
พี่เอมที่รัก
ผมอายุ 26ครับ เป็นพนักงานแบงก์แห่งหนึ่ง.. เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผมเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เองครับ.. เป็นเหตุการณ์ที่ผมประทับใจมาก.. เรื่องมีอยู่ว่า ผมได้ย้ายงานจากแบงก์สาขาต่างจังหวัด เข้ามาอยู่สาขาในกรุงเทพฯ แล้วสาขาที่ผมมาอยู่นี่เอง มีผู้จัดการสาว และสวยมากๆ เธอชื่อพี่เอม พี่เอมเป็นคนผอมแบบมีหุ่น ผิวขาวผมยาว อายุประมาณ 35-38 พี่เอมแต่งงานแล้วแต่สามีเป็นผู้ตรวจสอบ ต้องเดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยๆ พี่เอมเป็นคนค่อนข้างเรียบร้อย สุภาพและออกจะไว้ตัวซะหน่อย ครั้งนึงตอนผมเข้ามาใหม่ๆ เคยหลุดปากชมพี่เอมว่า สวยและดูเซ็กซี่มาก พี่เอมหันมามองผมตั้งแต่หัวยันเท้า.. แล้วบอกว่า อย่าพูดแบบนี้อีก พี่ไม่ชอบ.. ผมงี้ซีดเลยครับ..กะจะชมแกแต่ดันโดนดุ หลังจากวันนั้น ผมก็พยายามอยู่ห่างๆ แกไว้ แกถามคำ ผมก็ตอบคำ ใช้ผมทำอะไร ผมก็ทำโดยไม่เคยปริปากคุย หรือถามแกเลย.. พี่เอมก็คงจะรู้ตัวมั้งว่าแกไว้ตัวกับลูกน้องมากไปหน่อย.. และเหตุการณ์ที่ผมไม่คิดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้น พี่เอมเดินมาบอกผมว่าจะมีการประชุมสัมมนาที่ ชะอำ วันศุกร์ ถ้าเล็กว่าง ช่วยขับรถพาพี่ไปจะสะดวกไหม วันเสาร์เย็นถึงจะกลับ.. แต่พี่ไม่ได้ให้ช่วยเปล่าๆ นะ พี่มีค่าจ้างให้.. ไอ้ผมอ่ะทีแรกก็ไม่ค่อยจะเต็มใจไปหรอกครับ.. เลยบอกแกว่า ผมนัดกะเพื่อนไว้แล้ว.. แต่พอถึงวันศุกร์ พี่เอมแกก็มาบอกแกมบังคับว่า ให้ช่วยขับรถพาแกไปหน่อย แกรู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ อะ..กุญแจรถ ผมเลยไม่กล้าปฏิเสธอีก เราออกเดินทางกันตอนสายๆ ระหว่างทางพี่เอมนั่งอยู่เบาะด้านหลัง พร้อมให้เงินผมมาสามพัน บอกว่า ไว้เติมน้ำมันแล้วก็ซื้อของกินของใช้แล้วแต่เล็กละกัน หลังจากนั้นพี่เอมก็นอนยาวจนถึง โรงแรม พอเช็คอินเสร็จสรรพ พี่เอมก็ต้องเข้าร่วมสัมมนาตลอดช่วงบ่าย ผมก็ว่างไม่รู้จะทำไร เลยเดินไปเช่าเตียงนอนผ้าใบพร้อมกับซื้อเบียร์นั่งดื่มจนถึงเย็น กะว่าคงนอนในรถนั่นแหล่ะ.. เพราะพี่เอมไม่ได้บอกผมว่าจะให้นอนที่ไหน ประมาณสักทุ่มนึง พี่เอมก็โทรศัพท์เข้ามาถามว่า ตอนนี้เล็กอยู่ไหน ทานข้าวหรือยัง ผมก็บอกว่าทานแล้วครับ ตอนนี้นอนอยู่ที่รถ พี่เอมก็ว่า อ้าว..ทำไมนอนในรถหล่ะ..ขึ้นมานอนที่ห้องซิ..อ้อ..แวะซื้อของขึ้นมาทานเล่น ด้วยนะ.. เงินยังมีเหลืออยู่ใช่เปล่า.. ผมก็ตอบกลับไปว่าได้ครับ.. สักพักผมก็ถือของกิน กะพวกเบียร์ขึ้นไปด้วย.. พี่เอมมาเปิดประตูให้ผม เธอใส่กางเกงนอนขายาวแบบผู้ชาย ใส่เสื้อยืดสีขาวมีผ้าขนหนูโพกอยู่ที่หัว..พี่เอมคงเพิ่งอาบน้ำ สระผมเสร็จ กลิ่นสบู่และแชมพูของพี่เอมหอมมากครับ..เธอขอโทษผมที่ไม่ได้บอกให้ผมอยู่รอ ในห้องได้ แล้วเธอถามผมว่าไปอยู่ไหนมา ผมก็บอกว่าไปนอนเล่นชายหาดมาครับ และเธอก็ไล่ให้ผมไปอาบน้ำ พอผมอาบเสร็จ..อ้าว..ผ้าขนหนูไม่มีทำงัยวะ ผมเลยตะโกนถามพี่เอม แต่ก็เงียบ ผมเลยแง้มประตูดูปรากฏว่าพี่เอมนอนอยู่บนเตียง แกคงจะเพลียเลยเผลอหลับ แต่ว่าผ้าขนหนูนี่ซิ มันไปอยู่ที่เตียงได้งัย.. ผมเลยต้องค่อยๆ ย่องไปหยิบ กำลังจะถึงอยู่แล้วเชียว พี่เอมดันลืมตาขึ้นมา ผมก็เลยรีบคว้าผ้ามานุ่ง แต่คงไม่ทัน เพราะผมว่าพี่เอมเห็นของผมเต็มๆ แน่ แต่พี่เอมแกก็เนียนไม่มีอาการอะไรเลย แกบอกขอโทษที พออาบน้ำแล้วรู้สึกสบายเลยเผลอหลับไป ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ชุดเนี่ยซิผมไม่ได้เตรียมมาด้วย ก็คงมีแต่กางเกงบอกเซอร์นี่แหล่ะ ก็ใส่มันเท่านั้นพร้อมกะเสื้อกล้าม เสร็จแล้วก็นั่งดื่มเบียร์กัน พร้อมทั้งพี่เอมก็ซักประวัติผมซะถี่ยิบ ว่าเป็นคนที่ไหน พ่อแม่ทำอะไร มีแฟนหรือยัง พี่เอมนั่งใกล้ผมจนได้กลิ่นกายของแก..มันหอมมากครับ หอมจนของผมแข็งโด่เลย และผมก็รู้ว่าพี่เอมก็คงเห็นเหมือนกัน เรานั่งคุย นั่งดื่มกันซักพัก พี่เอมก็ขอตัวเข้านอนก่อน และก่อนที่พี่เอมจะนอน แกยังบอกว่า ถ้านอนที่พื้นไม่สบายก็ขึ้นมานอนบนเตียงกะพี่ก็แล้วกัน.. (เตียงที่ห้องเป็นแบบ เตียงเดี่ยวคิงส์ไซด์ครับ..) ทีแรกผมก็ไม่กล้าหรอกครับ ก็นอนมันที่พื้นนี่แหล่ะ แต่ใครจะไปนอนหลับหล่ะครับ.. มีสาวสวยนอนอยู่ในห้องด้วยทั้งคน ผมนอนกระสั่บกระส่ายตลอด นึกถึงตอนที่พี่เอมเห็นผมแก้ผ้า แล้วจินตนาการไปต่างๆ นานา จนความต้องการมันมากกว่าความกลัว เลยขึ้นไปนอนบนเตียงกะพี่เอม และรอดูท่าทีของเธอ.. พี่เอมยังคงนอนหันหลังให้ผม และนิ่งมาก ผมเข้าไปนอนใกล้ๆ ยิ่งได้กลิ่นกายพี่เอม เป็นกลิ่นโลชั่นหอมอ่อนๆ เป็นกลิ่นของสาวใหญ่ ที่ทำให้ผมแทบคลั่ง ผมแกล้งนอนเอาตัวชิดพี่เอม และลองแกล้งเอาดุ้นของผมที่ตอนนี้แข็งโด่แนบกับก้นพี่เอมดู พี่เอมยังคงนอนนิ่งอยู่ ผมยิ่งได้ใจ เอามือจับก้นพี่เอมเบาๆ เป็นการหยั่งเชิง เมื่อเห็นพี่เอมยังคงนิ่งอยู่ เอาวะ..เป็นงัยเป็นกัน ความต้องการมันมากกว่าความกลัวแล้ว แถมหน้ามืดอีกต่างหาก ผมรูดกางเกงพี่เอมออก เห็นก้นขาวๆ เนียนๆ ไขร้ริวรอยใดๆ ทั้งสิ้น ผมลูบก้นขาวๆ ผ่านร่องก้นไปถึงรูหีของพี่เอม ปรากฏว่า หีพี่เอมน้ำเยิ้มเชียว แสดงว่าแกแกล้งหลับแน่ ผมเลยลูบจากรูหีผ่านมายังรูก้นของแกสักพัก พี่เอมก็แยกขาออก ให้ผมลูบได้ถนัดขึ้น พร้อมเสียงครางซิ๊ดดดเบาๆๆ พอมาถึงตอนนี้ไม่ต้องลังเลแล้วครับ ผมเลื่อนตัวลงไปใช้ลิ้นให้แก ไล่ไปตั้งแต่รูก้น จนถึงรูหี ทั้งสองรูกลิ่นหอมมากครับ.. เคยเลียของแฟนมันออกเค็มๆ แต่ของพี่เอมเนี่ย กลิ่นมันหอมหวานบอกไม่ถูก ผมบดลิ้นใส่เม็ดแตดแก ทั้งดูด ทั้งเลีย ทั้งกลืนน้ำของแก มือพี่เอมก็กุมผ้าปูเตียงไว้แน่น ร่างแกบิดส่ายไปมาด้วยความเสียว ผมยิ่งเห็นยิ่งละเลงลิ้นหนักขึ้นไปอีก.. จนแกร้องซี๊ด เสียงดังมาก แล้วแกก็เกร็งร่างกระตุก 3-4 ครั้ง พร้อมทั้งกระดกก้นขึ้นแล้วบอกว่า เล็กช่วยเลียรูก้นให้หน่อย พี่ไม่เคยมีใครเลียให้เลย มันเสียวดีมาก.. ผมก็ว่าง่ายอยู่แล้วครับ.. เลยจัดการเลียร่องก้น ทั้งผ่านรูก้น ทั้งใช้ลิ้นแยงเข้าไป ส่วนนิ้วผมก็แยงรูหีพี่เอม พี่เอมร้องโอ้ววว พี่เสียวมากเลย คลึงหีพี่แรงๆ ผมก็ทำตามสักพักร่างแกก็กระตุกอีก แล้วก็ล้มตัวนอน บอกว่าพี่ไม่เคย เสียวและเสร็จแบบนี้มาก่อนเลย เล็กไม่รังเกียจเหรอที่เลียให้พี่.. ผมบอกว่า ไม่ครับ..กลับกัน ผมต่างหากที่ชอบมากกว่า อีกอย่างของพี่เอม น่าดูดน่าเลียมาก.. พี่เอมเลยบอกว่า มา..เดี๋ยวพี่จะเป็นฝ่ายทำให้มั่ง ว่าแล้วพี่เอมก็จับเอาดุ้นของผมลูบไปมา พร้อมทั้งบอกว่า โห.. แข็งเด่เชียว คงอยากมากซินะ ของๆ เล็กนี่ไม่เล็กเหมือนชื่อเลย ใหญ่กว่าของแฟนพี่ และแข็งกว่าอีก .. พี่เอมจับดุ้นของผมอมดูด และเลียตั้งแต่หัวบาน ยันไข่เลย.. ภาพที่ผมเห็น ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า นี่เหรอผู้หญิงที่เคยดุเรา ผู้หญิงที่เรียบร้อย ไว้ตัว.. ตอนนี้กำลังใช้ปากดูดอม ดุ้นของผมอย่างเมามัน.. ผมเสียวจนเกือบจะแตกอยู่แล้ว พี่เอมก็ผลักผมลงนอน แล้วขึ้นคร่อมผมทันที แกค่อยๆ นั่งหย่อนหีแกเข้ามา ผมเสียวมาก เลยแทงสวนขึ้นไป แก่สะดุ้งโหยงเลย โอ้ววว เสียวววเล็ก ค่อยๆ ซิ พี่ชอบทำช้าๆ เนิบๆ ไม่ต้องเร่ง.. ผมเลยนอนเฉยๆ ให้แกบดคลึงของแกเอง.. ดูพี่เอมจะมีอารมณ์มากนะครับ.. แกเลยบอกว่า แฟนพี่เค้าไม่ค่อยจะแข็งเท่าไหร่ แล้วทำให้พี่ค้างบ่อยๆ แกคลึงผมอยู่นานมาก ดูแกจะพอใจที่ผมยังไม่เสร็จ แต่แกบอกว่า ท่านี้เสร็จไป 2 ครั้งติด เมื่อยแล้ว เล็กอยู่ข้างบนมั้งนะ ผมเลยจับแกเปลี่ยนท่าใหม่ จับแกโก่งโค้งแล้วแทงควยอัดเข้าไปแบบยาวๆ แล้วแช่คลึงบดไปมา แกถึงกลับเงยหน้าบอก อย่างงั้นแหล่ะ เน้นๆ นะเล็ก ผมเย็ดพี่เอมไปด้วย นิ้วก็คอยแหย่รูก้นพี่เอมไปด้วย สังเกตุว่าพี่เอมแกเป็นคนที่เสียวรูก้นเหมือนกัน เวลาผมแหย่นิ้วเข้าไป ก้นพี่เอมจะรัดนิ้วผมแน่นเลย ผมเล่นท่านี้จนเห็นร่างพี่เอมกระตุกไปแล้ว ผมเลยเปลี่ยนท่ามาแบบธรรมดา แต่ยกขาพี่เอมพาดไหล่ผมไว้ ท่านี้ทำให้ควยผมเย็ดพี่เอมได้ลึก สุดๆ พี่เอมบอกว่า ไม่ไหวแล้ว ท่านี้เสียวมาก เล็กเอากระเด่าแรงๆ เถอะ พี่ไม่ไหวแล้ว.. ผมเลยกระแทกพี่เอมอีก 5-6 ที น้ำรักผมก็พุ่งปรี๊ดเข้าไปในรูพี่เอม พร้อมกับรูหีแกขมิบตอดผมแรงมาก.. เรานอนก่ายกันซะพัก ผมก็เริ่มต่อ คืนนั้นเราเอากันเกือบตี 3 จนพี่เอมและผมหมดแรง ผมตื่นขึ้นมาตอนสาย ไม่เจอพี่เอมแล้ว แต่มีโน๊ตว่า พี่เข้าสัมนา ตอนบ่ายเจอกันนะ พร้อม ปล.ว่า เราอยู่ต่ออีกคืนกลับกันวันอาทิตย์นะเล็ก ผมงี้ดีใจสุด นั่งรอ นอนรอพี่เอมถึงบ่าย.. พอพี่เอมเข้าห้องปุ๊บก็ใส่กันเลย.. คืนนั้นผมได้ประตูหลังพั้เอมด้วยครั้งแรกเลย เสียว... สุดๆ คับ
ป้ายกำกับ:
ประสบการณ์เสียว
แอบลักเย็ดทอม
วันนี้ ของเมื่อ 5 ปีที่แล้วผมพึ่งจะได้มีโอกาสเดินทางเข้ามาในกรุงเทพครั้งแรก เพื่อเสี่ยงดวง แสวงโชค ตามคำเชื้อเชิญของบรรดาเพื่อนฝูง ที่มันเข้ามาเรียนต่อ หรือไม่ก็หางานทำ อยู่ก่อนแล้ว หลังเรียนจบมัธยม ต่างจังหวัด ..คนที่ผมติดต่อด้วยเป็นประจำก็จะมี ไอ้ขอด มันเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้าง ร้านขาย อะหลั่ยรถแถวๆ พญาไท แล้วก็ลงเรียน ที่มสธ.ไปด้วย ผมโทรนัดติดต่อกับมันอยู่หลายครั้งเพื่อดำรงการติดต่อไว้ เผื่อผม เข้ามาในกรุงเทพเมื่อไหร่ จะได้มาอาศัยนอนด้วย ในระหว่างที่กำลังหาที่เรียน หรือไม่ก็หางานทำ ......... ผมสองจิตสองใจ ระหว่างเรียน กับ งาน เพราะลำพังฐานะทางบ้าน ถ้าไม่มีรายได้เสริม คงไม่มีปัญญาพอที่จะส่งเสียให้เรียนได้ดังใจแน่ ผมเลยตัดสินใจ ที่จะหางานทำให้ได้ก่อน งานอะไรก็ได้ ไม่เกี่ยงแล้วหล่ะ ขอให้มีรายได้ พอตั้งตัวได้ แล้วค่อยหาที่เรียนต่อ หรือไม่ก็เรียนไอ้ที่ไม่แพงมาก และก็สามารถ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยก็ได้ .....อย่าง ที่ มสธ. อย่างกับไอ้ขอดมันแหล่ะ ...............9 ม.ค. ช่วงเย็นๆ ก่อนขึ้นรถ ผมโทร นัดกับไอ้ขอดไว้ ว่าจะถึง กรุงเทพประมาณ ตีห้าของวันที่ 10 ม.ค. และก็วานมันมารับ ที่หมอชิด.....เพราะผมไม่รู้ที่ทางที่จะไปหอพักของมัน.......มันรับ ปาก......ผมจึงตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง เอาเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ กะว่าพอได้ที่อยู่แน่นอนเป็นหลักแหล่งแล้ว ค่อยกับ ต่างจังหวัดไปเอามาเพิ่ม....จะได้ไม่พะรุงพะรัง .......
และแล้ว เช้ามืดของ วันที่ 10 ม.ค.ผมก็เดินทางสู่เมืองศิวิไลซ์ กรุงเทพมหานครจนได้ ... เมื่อรถถึงหมอชิด ผมเดินเล่นแถวๆ ท่ารถเมล์ ขสมก. อยู่พักนึง ก่ะว่าให้สว่างกว่านี้หน่อยค่อยโทรไปหาไอ้ขอดมัน เกรงใจมัน มันอาจจะยังไม่ตื่นก็ได้......ผมเดินอยู่แถวนั้น หาอะไรกินนิดๆหน่อย จนถึง เจ็ดโมงกว่าๆ ผมตัดสินใจ โทรหาไอ้ขอด............ “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก” เสียงผู้หญิงใสๆ ตอบจาก
โทรศัพท์ สามสี่ครั้งที่ผมโทรไป ......ผมรอเวลาอีกพัก ก่ะว่า มันคงยังไม่ตื่น เลยไม่ได้เปิดเครื่อง..... แปดโมงกว่าๆ ผมโทรอีก ก่ะว่าป่านนี้มันคงตื่นและเข้าไปทำงานที่ร้านแล้วหล่ะ.........เสียงสัญญาณ ดังขึ้น.....ผมดีใจ...ไม่ตกอับแล้วเรา.....มีเสียงผู้หญิงแก่ๆรับสาย บอกว่า “ลื้อจาโทหาคาย” ผมตอบ “ขอสายไอ้ขอดครับ ผมเป็นเพื่อมันมาจากต่างจังหวัด” อาซิ้มแก่ ตอบกลับมาว่า “ อาขอดอีม่ายอยู่แล้ว....เมื่อคืน..ตังหรวด
มา จับอีปาย บอกว่าอีอ่ะ ... เข้าไปขโมยของ ที่โรงแรมปฏิพัทธ์...มีคงจำหน้าอีได้....ป่านี้ คงนอนหงายเก๋งอยู่ในห้องขังแล้วหล่ะ” ผมตกใจพลางถามต่อไปว่า “แล้วไอ้ขอดมันถูกจับอยู่โรงพักไหนครับ” อาซิ้มตอบ “อั๊วม่ายแน่ใจ ลื้อลองไปถามที่ สน.พญาไท หรือไม่ก็ประชาชื่นก้อร่ายแค่นี้น้าอั๊วจะจัดของ” ...........สิ้นสุดเสียงอาซิ้ม ผมสับสนมากจะทำไงดี ใจหนึ่งก็เป็นห่วงไอ้ขอดมัน....อีกใจก็เป็นห่วงตัวเองว่า จะทำไงดี คนที่รู้จักที่
อยู่แถวๆ กรุงเทพ ก็ไม่ได้เตรียมที่ติดต่อสำรองไว้.....โอ้ยซวยจริงกู
ผมเดินไปเดินมาอยู่ แถวๆหมอชิด จนใกล้เที่ยง ....ไอ้การที่จะนั่งรถกลับบ้านก็กระไร....ผมตัดสินใจ นั่งรอที่ช่องทางจอดรถโดยสารขาเข้า จากจังหวัดของบ้านตัวเอง....เผื่อจะมีคนรู้จัก...เดินทางเข้ามากรุงเทพ บ้าง.....คันแล้วคันเล่า.....ไม่มีใครที่ผมรู้จักโผล่หน้ามาให้เห็น เลย.......ผมดูตังค์ในกระเป๋าซึ่งเหลืออยู่ไม่
ถึงสามร้อยบาท.....คิด กลับไปกลับมา ว่าถ้าอยู่ต่อ จนตังค์หมดจะทำไงนี่....ผมตัดสินใจ...กลับดีกว่า ค่อยมาใหม่แล้วกัน...คราวหน้าเอาตังค์มาเยอะๆ เผื่อเจอปัญหาแบบนี้ ...ดีเสียอีกจะได้เอาข่าวไอ้ขอดติดคุกไปบอกญาติๆมันที่บ้านด้วย.......ผม เดินข้ามฟากจากโซนขาเข้ามายังโซนขาออก..แล้วเดินตรงดิ่ง มาที่ช่องจำหน่ายตั๋ว....ซึ่งมีคนเข้าแถวคอยซื้อตั๋วอยู่สาม-สี่ คน....ผมยืนรอแถวขยับอยู่พักนึง ก็มีคนมาต่อแถว ต่อจากผม
ผมไม่ได้หันไป มองแต่ได้ยินเสียงเธอคุยโทรศัพท์ เป็นเสียงผู้หญิงห้าวๆ ห้วนๆ สำเนียงคุ้นๆ...... ผมหันไปมอง....ผมต้องตกใจปนดีใจ...เพราะไอ้เจ้าของเสียงนั้นคือ อีอ้อม สาวทอม บ้านเดียวกันกับผม ผมเพ่งดูเธออยู่นาน เห็นเธอเปลี่ยนไปเยอะมาก ดูแต่งตัวดีขึ้น ขาวสะอาดขึ้น ไว้ผมทรงบ๊อบ สั้น แล้วรวบปลายผมทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง จนเห็นใบหูขาวนวลได้อย่างชัดเจน ข้างๆตัวเธอผมเห็นน้อง นิด เด็กสาวรุ่นน้องบ้าน
เดียวกัน จริงๆแล้วเธอเป็นญาติห่างๆกับผมแหล่ะ ยืนจับมืออยู่กับอีอ้อมแน่น ผมจำไม่ผิดแน่ ........ ผมตัดสินใจรอให้อีอ้อมวางหูโทรศัพท์แล้วหันกลับไปทักทั้งสองว่า ..... “นี่อ้อม รึเปล่า ....เรา มด น่ะ จำได้ป่ะ ...” อีอ้อม พยักหน้าขึ้นลงสองสามครั้ง แล้วถามว่า “มึงไปไหนมาเหรอ ไม่รู้น่ะว่ามึงอยู่กรุงเทพ” เราทั้งสามพากันออกมาจากแถว แล้วสนทนากันอยู่พักนึง จนรู้ว่า อีอ้อมมันมาส่งน้องนิดกลับบ้านเพราะต้องกลับไปดูแลพ่อที่ป่วยหนัก ส่วนตัวผมก็เล่าเรื่องราวให้อีอ้อมฟัง และ ก็ขอไปอาศัย หอของมันนอน สักคืนสอง คืน ในระหว่างหางานทำ .....มันก็โอเค..... มันบอกว่า อยู่ได้ เพราะช่วงนี้ น้องนิดของมันไม่อยู่ และก็คงอีกหลายวันกว่าจะกลับ
ผมดีใจ สุดชีวิต เหมือนฟ้าประทาน ที่พึ่งยามยาก มาให้พบ ผมนั่งแทกซี่กลับพร้อมอีอ้อม ในระหว่างนั่งรถกลับ ผมว่าอีนี่เป็นเอามาก ประมาณว่า ตัวมันเป็นหญิง...แต่ใจ และนิสัย มันยิ่งกว่าชายเสียอีก มันเล่าให้ฟังว่า มัน ทำงานเป็นการด (คงประมาณ รปภ.) อยู่ผับแถว ๆ รัชดา คอยเก็บแขกผู้หญิง ที่ทำท่าจะมีปัญหา ไม่ยอมจ่าย เมาเพี้ยน หรือตบตีกัน ...... รายได้ก็นิดๆหน่อยๆ ไม่มาก แต่ที่ได้มากก็ทิปพิเศษ จากแขก ประจำ...ที่วันๆหนึ่งได้ไม่ต่ำกว่า เจ็ด แปด ร้อยบาท ....... ผมสนใจงานที่มันทำอยู่มาก ....และมันก็รับปากว่าจะลองถามๆ ดูให้ ว่าเค๊าต้องการบ๋อย หรือ คนโบกรถแขก รึเปล่า งานแบบนี้ มันต้องค่อยๆไต่เต้าไป ขอให้ตั้งใจทำงาน ซื่อสัตย์ เอาใจแขกเก่งๆ เดี๋ยวก็ดีเอง ...........ผมยิ้มอยู่ในใจ........แล้วก็ฝันหวานถึงรายได้งามๆ วันละ ซัก ห้า- หกร้อย แค่นี้ก็สุดยอดของผมแล้ว แทกซี่วิ่ง มาได้เกือบๆชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงที่พัก ...... มันเป็นคอนโดสูง ประมาณ 5 ชั้นได้ อยู่ย่านรัชดานั่นแหล่ะ......ขณะ ที่เดินขึ้นบันไดเพื่อจะไปยังห้องพัก ซึ่งอยู่ชั้น สาม อีอ้อมก็ชี้ให้ผมดูผับ...ที่ทำงานของมัน...มันอยู่ไม่ไกลจากที่พักมาก นัก.............แล้วก็คอนโดนี้ คนที่พักที่นี่ ส่วนใหญ่ก็จะทำงานที่ผับนั่น...มีทั้งการด บ๋อย เด็กเสริฟ สาวออฟ คนเชียร์แขก นักดนตรี นักร้อง พ่อครัว แม่ครัว ภารโรง ยันถึงเจ้าของเลยหล่ะ ที่เค๊าอาศัยกันอยู่บนนี้ ......... เราทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมา และ ผ่านมาตามทางเดิน แต่ละห้องที่เดินผ่านดูเงียบยังก่ะไม่มีคนอยู่ ..อีอ้อมหันมาบอก “ยังงี้แหล่ะ ที่นี่อ่ะ มันก็แค่ที่ซุกหัวนอน .............กลางคืนทำงาน กว่าจะเลิกก็ตีสาม ตีสี่ กลางวันก็นอนกัน....จะตื่นกันอีกทีก็ ห้าโมงเย็นกว่าๆ เตรียมเข้างานประมาณทุ่ม .....กลางวันยังงี้เลยดูเงียบๆ.....นี่ถึงห้องแล้ว...” อีอ้อมพาผมเข้าห้อง อย่างไม่เคอะเขิน สภาพห้องดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี “ นี่ยายนิดไม่อยู่หลายวัน ไม่รู้..กว่ามันจะกลับมา สภาพห้องจะสะอาดเรียบร้อยแบบนี้หรือเปล่า ก็ไม่รู้ ยังไงก็ช่วยๆกันรักษาความสะอาดแล้วกัน กูขี้กียจ ให้เมียกลับมาด่า” อีอ้อมมันบ่นให้ฟัง แล้วชี้ไปที่มุมโซฟา แล้วบอกว่า “มึงนอนตรงนั้นแล้วกัน นอนพักก่อน ตามสบายน่ะ ห้องน้ำอยู่ตรงโน้น ที่ม่านกั้นน่ะที่นอนกูกับเมีย ตอนนี้กูขอนอนพักก่อน มีเวลาอีกสองสามชั่วโมง ก่อนเข้างาน อยากกินอะไรก็ ในตู้เย็นมี หรือถ้ามึงอยากกินข้าวก็ลงไปใต้คอนโด เค๊ามีขาย กุญแจห้องแขวนอยู่ที่ประตู ถ้าออก ไปก็ล๊อคกุญแจให้กูด้วย เดี๋ยวของหาย กูไปนอนหล่ะ” .......... พูดเสร็จอี
อ้อมก็ มุดตัวเข้าไปในม่าน ซึ่งมีเตียงนุ่มๆ อยู่ด้านใน ไม่เกินห้านาที ผมก็ได้ยินเสียงมันกรน ดัง คร๊อก...ฟี๊....เฮ้อ หลับง่ายจังอี่นี่ ....ส่วนผม เดินทางมา วุ่นๆ ทั้งคืน รู้สึกง่วงเหมือนกัน เลยล้มตัวนอน ตรงโซฟา แล้วเปิดทีวีดูรายการข่าวได้พักนึงก็เผลอหลับไป.........................
ผม มารู้สึกตัวตื่นอีกที...ก็อีตอนที่อีอ้อม มันเอาเท้า มาเขี่ย แถวขาผม ......ประมาณว่าจะสะกิดให้ผมตื่น ...ผมลืมตาขึ้นและผลักตัวเองลุกขึ้นนั่ง เห็นอีอ้อม กำลัง ก้มๆเงยๆอยู่เก้าอี้ข้างโซฟาที่ผมนอน มันกำลังผูก
เชือก รองเท้า แล้วก็บ่นว่า “กูสายแล้วเนี่ยะ.....ยังไงมึงหาอะไรกินก่อนน่ะ ข้างล่างมีขาย....ไม่ได้ดูแลเลยหว่ะ....ฝากห้องด้วยน่ะ.....” พูดเสร็จอีอ้อม ก็ พรวดออกห้องไป ผมหันไปมองที่นาฬิกา เห็นว่ามันคงสายของมันจริงอ่ะ เพราะนี่มัน จะสองทุ่มแล้วหล่ะ........ ผมใช้ชีวิตคืนแรกในกรุงเทพแบบคนเดียวเปล่าเปลี่ยว ใจ ภายในห้องพักของ อีทอม คนบ้านเดียวกัน หลัง จากที่ลงไปหาอะไรกิน เป็นมื้อค่ำ ด้านล่างคอนโด ผมกลับขึ้นมานอนเล่นต่อ บนห้อง ดูทีวี ไป นอนเล่นไป ...... แล้วก็เผลอหลับไป....อีก ......มาตื่นอีกทีก็ตอนที่อีอ้อมมันเลิกงานแล้ว.......มันกลับมาพร้อมกับคำ บ่นตามประสามันตามเคย “ไอ้ห่าเตี้ยเอ้ย....ชอบทำลายบรรยากาศ คนกำลังมีความสุข คนเค๊าจะหากินอย่างบริสุทธิ์ .... มัน จะมาตรวจอะไรนักหนาว่ะ...แย่ ...ๆ....ๆ ตรวจอย่างงี้ แขกหนีหมด” ผมตกใจตื่นขึ้น
หันไปถามมันว่า “อะไรของมึงว่ะ” มันตอบ “ก็พ่อมึงสิ มาตรวจฉี่ ตรวจบัตรอีกแล้ว อาทิตย์นี้ มันมาสามหนแล้วน่ะว้อย ยังงี้ ต่อไปแขกไม่มาแน่” พูดเสร็จมันก็มาจับผมลุกขึ้น แล้วบอก “ ป่ะ ป่ะ แต่งตัว ไปกินเหล้ากันข้างล่าง ที่ห้องกัปตัน จะได้แนะนำให้รู้จัก จะฝากงานให้” ผมดีใจเมื่อได้ยินเรื่องฝากงาน รีบเปลี่ยนจากกางเกงขาสั้นเป็นกางเกงยีนส์ ขายาวสีดำตัวโปรด ............. อีอ้อมแนะนำผมให้เพื่อนๆที่ทำงานได้รู้จัก มีทั้งที่เป็น บ๋อย นักดนตรี สาวออฟ รปภ. และก็ที่สำคัญคือกัปตัน ....ซึ่งแกคุยกับผมดีมาก...แนะนำทุกเรื่องประมาณว่าจะรับผมเข้าลองงานประมาณ นั้น ...ซึ่งผมก็เชื่อตามที่แกแนะนำทุกอย่าง ..... เรานั่งกินกันตั้งแต่ ตีหนึ่งเศษๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเมาเลย คุยสนุกสนานเฮฮา แซวกันไป แซวกันมา จนผมเริ่มเห็นถึงทางสว่าง ในการเข้าทำงานที่นี่ เพราะผมเข้ากับพี่ๆ ได้ทุกคน นี่ต้องขอ ขอบคุณ อีอ้อม คนดีของผม ที่ตอนนี้ดูมันจะดื่มมากกว่าเพื่อน คงจะถือโอกาสปลดปล่อย เพราะเห็นพี่ๆ เค๊าแซวกันว่า ช่วงที่ยายนิดอยู่อ่ะน่ะ ไม่เคยไปสังสรร กับเพื่อนๆเลย นอนกกเมียอยู่แต่ในห้อง ซึ่งถ้าจะจริงของพี่ๆเค๊าหล่ะ ........ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ...หลังจากที่หลายๆคน ขอตัวแยกย้ายกลับห้องไปนอน ..... เหลือเพียงผมกับพี่กัปตันนั่งดริ้งกันต่ออย่างอืดๆ ช้าๆ ( เพราะเมากันมากแล้วทั้งคู่ ) โดยมีอีอ้อม เมาฟุ๊บ อยู่ข้างๆวง ...ผมจึงถือโอกาสลาพี่กัปตัน บอกว่า เผื่อพี่จะพักผ่อน .....แล้วพยุงอีอ้อมลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลพอควร ........ เมื่อถึงห้อง.......ผมประครองอีอ้อมซึ่งตอนนี้เมาไม่ได้สติ เข้าไปวางบนเตียงของมัน ... ตัวมันหนักพอดูเลย ก็คิดดู คนสูงเกือบๆ 165 ซม.อวบนิดๆ แล้วก็ไม่มีสติออกอย่างงี้ .... กว่าจะวางตัวมันบนเตียงได้ อย่างไม่ล้มทั้งคู่ ผมคิดอยู่ตั้งนาน ว่าจะวางมันท่าไหนดี สุดท้ายก็มาจบเอาอีท่า หงายหลังนี่หล่ะ ผมเลือกวางหลังมันลงไปตรงๆ บนขอบเตียง ซึ่งท่านี้เองที่มันเป็นเหตุ ให้ไอ้เด็กบ้านนอกอารมณ์เปลี่ยวอย่างผมเกิดอารมณ์ หงี่ขึ้นมา ....คุณคิดดูว่า การที่ผู้หญิง ทำท่าแอ่นเหมือนๆ กับท่าสะพานโค้งอ่ะ ไม่ว่าจะเป็นทอม หรือ ดี้ หรือ สาวสดแบบไหน มันแน่นอนว่า ส่วนโค้งส่วนเว้า ต่างๆมันย่อม นำเสนอตัวมันเองโดยธรรมชาติ ผมเพ่งดูอยู่พักนึง โดยเฉพาะตรงจิ๋มของมัน มันอูมมาก ประมาณฝ่ามือผมได้ .... ใจผมเต้นเหลือเกิน.......ผมหันไปที่ประตูซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ปิด......แล้ว วางอีอ้อมไว้บนเตียง โดยให้นอนตั้งฉากกับแนวยาวของเตียง แล้วปล่อยขาห้อยลง ..... ผมเดินไปปิดล๊อคประตู..........แล้วเดินกลับมาที่เตียง......ผมตั้งสติ เขย่าตัวอีอ้อม.....แล้วเรียก.....เพื่อทดสอบว่ามันเมาหลับสนิทแคไหน..... มันไม่ตื่น ไม่ตอบสนอง.......ผมจัดแจงถอดเสื่อผ้าตัวเองออก.....ท่อนเนื้อของผมเริ่ม สู้....เมื่อมองเห็นเนินเนื้อตรงส่วนจิ๋มของอีอ้อม แม้มันจะถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงผ้ายืดสีดำ แต่ด้วยท่านอน แบบนั้น มันทั้งรั้ง ทั้งรัด ให้เห็น รอยแยกของเนินจิ๋มได้อย่างชัดเจน.......ผมไม่รอช้า.......มือขวาของผม เอื้อมมาจับสาว ท่อนเนื้อของตัวเอง อย่างอัตโนมัติ ราวกับ เป็นการปลอบประโลมให้รู้ว่า อีกไม่นาน เจ้าจะได้ลิ้มลอง อาหารโปรดที่เจ้าชื่นชอบ.....ส่วนมือซ้าย...ผมเอื้อมไปปลดตะขอที่กางเกงผ้า ยืดของอีอ้อม....แล้วรูดซิบลงอย่างช้าๆ...จนสุด...หลังจากนั้นผมล่ะมือขวา จากท่อนเนื้อ มายังขอบกางเกงผ้าของอีอ้อม แล้วบรรจงถอดมันออกเบาๆ มันหลุดออกมาไม่ยากมากนัก แล้วหันเหวี่ยงมันไปที่โซฟา.....แล้วใจผมก็ต้องเต้นระทึกอีกครั้งเมื่อ สังเกตเห็นเนินเนื้ออูม ภาย ใต้กางเกงในลายดอกไม้สีขาว ภายหลังจากถอดพันธนาการชั้นนอกออกแล้ว มันช่างสวยงามเหลือเกิน ความอูมใหญ่ ที่ถูกบดบังด้วยกางเกงผ้า และ จริตอย่างผู้ชายของอีอ้อม มันเผยโฉมที่แท้จริงของมันออกมาแล้ว ผมก้มลง เอาปลายจมูกสัมผัส ตรงล่องเนินเนื้อสวรรค์ เบาๆ เพื่อสัมผัสกลิ่นไอ ที่แท้จริงของมัน มันช่างหอมหวนเย้ายวนให้ลิ้มลองเหลือเกิน ถึงตอนนี้ผมไม่สนใจ เต้าเนื้อด้านบนของอีอ้อมเลย เพราะ มันดูแบนราบ และคงจะถูบบีบรัดด้วยยางยืด อยู่ทุกวันจนไม่มีสิทธิ์โผล่ ชู ชัน ให้โลกได้เห็น .......ผมสารวนอยู่กับการสูดดมอยู่ตรงเป้ากางเกงในของอีอ้อมอยู่พักใหญ่ ..... แล้วตัดสินใจถอดมันออก.....เพื่อให้ประตูสวรรค์ ได้คลายตัว และแง้มเปิด...รอรับ การแทรกตัวเข้าไปของท่อนเนื้อของผม.....ผมพยายาม ใช้ลิ้น กระตุ้นเขี่ย กลีบเนื้อที่ปกคุมไปด้วยไร ขนสีน้ำตาล ดำ ทั้งสองข้าง และควานหาเม็ดสวรรค์ ... ผมเจอมันแล้ว ... ผมใช้ปลายลิ้นทักทายกับเม็ดนั้นเบา ....อีอ้อมกระตุกตัวเองนิดนึงจังหวะนี้.....ตัวมันแอ่นขึ้นทุกครั้งที่ปลาย ลิ้นของผมสัมผัสโดนเม็ดของมัน........ผมเล่นลิ้นอยู่กับเม็ดของอีอ้อมนานพอ ควร.......จนรู้สึกได้ว่า น้ำเมือกใสๆ ของอ้อม มันเจิ่งนอง เต็มปลายคางของผม ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณว่า เราสองคนพร้อม
แล้ว สำหรับการ ปฏิสนธิ ...ท่อนเนื้อของผม ซึ่งตอนนี้ ถูกสาวขึ้นลง ขึ้นลง จนหัวบานได้ที่ ........ผมไม่รอช้า.....มือทั้งสองข้างของผม จับขาของอีอ้อม แบะออก ให้กว้างมากขึ้น แล้วปล่อยมันห้อยลงที่พื้น ผมขยับตัวเองเข้าใกล้เป้าหมาย....แล้ววางทาบท่อนเนื้อของตัวเอง ตรงร่องแฉะๆ ของอีอ้อม ใช้หัวแม่มือขวา กดหัวท่อนเนื้อลงไปในร่อง แล้วโยก เอวช่วย มันช่างรู้สึกได้ถึงไออุ่น ของกลีบเนื้อ ที่บีบรัดหัวท่อนเนื้อของผม...อย่างที่จะหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว ......อีอ้อมมันคราง.....แล้วยกสะโพก ลอยขึ้นจากเตียงเล็กน้อย....มันเป็นปฏิกิริยา ตอบสนอง ทางสรีระ ของกลีบเนื้อ ที่ส่งไปยังประสาท แล้วสั่งการมาที่สะโพก ให้สนองตอบความต้องการ ความลึก ที่มากกว่า ผมไม่รอช้า ช่วยสนองตอบเธอทันที ผมชักเข้า ดึงออก ชักเข้า ดึงออก ยาวขึ้นๆ อีอ้อมยังคงคราง คราง แม้มันจะเป็นเสียง ที่เกิดขึ้นภายในลำคอ ที่ดูเหมือนความ เจ็บปวด แต่ผมเข้าใจดี ว่า นี่มันบ่งบอกถึงความสุข ผมก้มหน้าก้มตาทำต่อ.......จนท่อนเนื้อของผม ได้ฝังมิดไปในกลีบเนื้อของอีอ้อม จนหัวเหน่าของผม บี้อยู่กับ กลีบทั้งสองของอีอ้อม แทบจะเป็นเนื้อแผ่นเดียวกันแล้ว....ผมเอื้อมมือทั้งสอง สอดเข้าไปตรงแผ่นหลังของอีอ้อม ออกแรงรวบ ยกตัวมันขึ้นมา แล้ว พลิก ตัวเองนั่งบนขอบเตียง โดยมีอีอ้อม นั่งอยู่บนตัก มันช่าง ทะลวงเข้าไปลึกเหลือเกิน ผมสังเกตอาการเก็งที่ เกิดขึ้นจากความลึก ของอีอ้อมได้ เนินก้น ที่แอ่นงอนขึ้นทันทีที่ผม กระดก ดัน ท่อนเนื้อขึ้น มันช่างบ่งบอกได้ถึงความลึกที่แสนวิเศษจริงๆ .....ผมโยกอยู่ท่านั้นนานพอควร...สลับกับการกระซิบเบาๆ ถามอ้อม......อ้..อ..มจ๋า...อ้..อ..ม...จ๋า.....เธอไม่ตอบ แต่หลับตาปี๋.... หน้าตาบิดเบี้ยว....เลียริมฝีปากเป็นระยะ..ๆ .......ผมขยับตัวเองเข้ามากลางเตียง แล้วค่อยๆ หมุนอ้อม ให้หันหน้าไปทางเดียวกับผม พร้อมๆ กับ ...พยายามประครอง ให้ท่อนเนื้อ ฝังอยู่ในกลีบเนื้อของอ้อม ....ด้วยการชักเข้า ชักออก อย่างช้าๆ ระหว่างการหมุนอย่างต่อเนื่อง .....แล้วผม ค่อยๆประครองเธอให้นอนคว่ำ ตั้งเข่าขึ้นทั้งสองข้าง เพื่อให้ใกล้เคียงกับท่าคลานมากที่สุด ทันใดนั้นเองมือทั้งสองข้างของเธอ ก็เอื้อมไปดันพื้นไว้ ผมรู้ได้ทันทีแล้วว่า เธอรู้ตัวแล้วหล่ะตอนนี้.....ผมไม่สนใจอะไรแล้ว มัน เลยเถิด เข้าไปป่านนี้แล้ว จะกลัวอะไรหล่ะ ......เมื่อได้ ท่าที่ต้องการแล้ว ผมเอนตัวนอนทาบทับเบาๆ ไปกับแผ่นหลังของเธอทันที ลิ้นผมเริ่มทำงานอีกครั้ง ที่ซอกคอ รูหู เธอไม่พูด แต่ ครางในลำคอเบาๆ....ท่อนเนื้อยังคงทำงานไม่หยุดหย่อน....ความแฉะ ของกลีบเนื้อของเธอ ยังคงมีอยู่ไม่จืดจาง ... จากท่านั้นผมตั้ง ตัวขึ้น ใช้มือขวา เลื่อนไปขยับ ขาท่อนบนทั้งสองข้างของอ้อม ให้แบะกว้างขึ้น เพื่อให้ เหมาะสมกับ ตำแหน่งของท่อนเนื้อของผม กับร่องกลีบของอ้อม เธอยอมทำตามโดยไม่มีการขืนเกรง แต่ประการใด ....หลังจากได้ตำแหน่งที่เหมาะสม ผมใช้มือทั้งสองข้าง รวบจับ บริเวณเอว ของเธอ เพื่อ โยก เข้า ออก ตามจังหวะการกระแทกท่อนเนื้อของผม ......ก้นเธองอนรับได้ สวยงามมาก ทุกครั้งที่ผมกระแทก ผมจะได้ยินเสียงซีดส์ ของเธอดังออกมาเป็นจังหวะๆ.....และในจังหวะสุดท้าย ของทุกๆการโยกกระแทก ผมอัดท่อนเนื้อ เต็มแรง เข้าไปในร่องกลีบ แล้ว คามันไว้ จน...จน...ก้นเธองอน ...กล้ามเนื้อท้อง เธอเกรง.....เสียงครางดังขึ้น... ยาวขึ้น...... จนผมชักกลับ .....เธอจึงถอนหายใจ ดัง ........ยัง..ยัง...ยังเราสองคนยังคงเล่นลีลาสวาทกันต่อ ไม่มีเบื่อ ผมไม่อยากให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปเลย ..............ก่อนเปลี่ยนท่าใหม่ ผมเอื้อมมือไปรวบจับมือของอีอ้อม ทั้งสองข้าง แล้วดึงมันเข้ามาหาตัว อย่างแรง พร้อมๆกับการออกแรงกด ท่อนเนื้อให้เข้าไปในกลีบของอีอ้อมให้ลึกสุดสุด......จนผมว่า อีอ้อม มันเสร็จ ก็อีท่านี้แหล่ะ เพราะผมรู้สึกได้ถึงการบีบ ตอด เป็นจังหวะถี่ๆ ตุ๊บ...ตุ๊บ...ตุ๊บ.. ของกล้ามเนื้อ ภายในกลีบ ประกอบกับเสียงร้องออกมา นอกลำคอ “อ๊อย........ ซีดส์..........” และอาการเก็งค้าง หน้าหงายขึ้นด้านบน รวมถึงนิ้วมือทั้งสองข้าง ที่จิก เกาะ แขนผม เสียะแน่ะ แทบจะแกะไม่ออก.....................................ผมค้างอยู่ท่านั้นไว้ พักหนึ่ง เพื่อให้อีอ้อมมันได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อตัว เอง......................................................แล้วโยกท่อน เนื้อ ต่อ .....ผมพึ่งสังเกตเห็นว่า ตรงโคนท่อนเนื้อของผม ตอนนี้มันเจิ่งนองไปด้วยเมือกขาวๆ ของอีอ้อมเต็มไปหมด ......ผมโยกต่อ โดยไม่สนใจ ความแฉะ ที่มันเกิดขึ้นจากความ เงี่ยน กำหนัดของอีอ้อม ............. ผมค่อยๆหย่อนตัวเองลงบนพื้นเตียง โดยรั้งอีอ้อม เข้ามาด้วย ไม่ให้ ท่อนเนื้อหลุดออกจากกลีบ ....... อีอ้อมก็เอนตามมา ราวกับ ยังตราตรึงอยู่กับรxxxวาทที่พึ่งผ่านไปเมื่อสักครู่ และไม่ต้องการให้เวลาแห่งความสุข ผ่านไปอย่างงั้นแหล่ะ ผมโยกต่ออีกสองสามครั้ง เพราะผมรู้ว่ามันเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้ร่องกลีบ กับ ท่อนเนื้อ ไม่พรากออกจากกัน ....ผมสะกิดให้อีอ้อมพลิกหมุน แล้วหันหน้าเข้ามาหาผม เธอทำตามด้วยแรง และสติของเธอเอง ผมสังเกตได้ .....ตอนนี้....ตาเธอยังคงหลับ หน้าเธอนิ่งเฉย จมูกเธอ บานเปิดขึ้นเพราะความเหนื่อย อาการหายใจหอบ ยังคงมีอยู่ ไม่จางหาย.....ผมบรรจงประกบริมฝีปาก แล้วใช้ลิ้นชอนไชเข้าไปในปากเธอ เธอหายใจถี่ขึ้น ....ด้านล่างผมยังทำงานไม่มีหยุด.....ผมพลิกเธอนอนหงาย...แล้วขึ้นคร่อม ประกบ ทั้งบนและล่าง...เธอคราง ในลำคอ....ผมถลกเสื้อเธอขึ้น ตอนนี้ ผมอยากทำอะไรก็ทำได้หมดทุกอย่างแล้ว ... เธอ อีอ้อม เป็นเมียของผม....แล้วผมว่าเธอก็ยอมรับในข้อนี้แล้ว ..........ผมสอดมือไปด้านหลังเพื่อปลดตะขอ ของยางรัดหน้าอก และ ตะขอยกทรง ที่เธอรัดปิดบังมันไว้.......ท่อนเนื้อยังโยกต่ออย่างเมามัน ขาทั้งสองข้าง ของเธอตอนนี้ ช่วยรั้งเอวผมไว้ไม่ให้มันหลุดไปจากตัวเธอ.......เธอติดใจแล้ว หล่ะ.............ผมใช้ลิ้นต่อ จากปาก สู่รูหู จากหูสู่ซอกคอ แล้วลงมาที่เต้าเล็กๆทั้งสองข้าง ผมเม้มดูดนมเธออย่างเมามัน เธอครางไม่เป็นศัพท์อีกแล้ว.........ผมล่ะจากทุกอย่าง และตั้งใจ จะให้เสร็จคราวนี้แล้ว โดยดันตัวเองขึ้น แล้วจัดท่าทาง ให้เหมาะสมที่สุด ด้วยการใช้มือทั้งสองข้างแบะขาของอีอ้อมให้กว้างที่สุด แล้วค้ำขาท่อนบนของอีอ้อมไว้ ผมขยับตัวเข้าใกล้อีก สะโพกผมเริ่มทำงาน เต็มที่ ตอนนี้ท่อนเนื้อผมซึ่งอิ่มน้ำเต็มที่จนพร้อมสำหรับการปลดปล่อย ได้ เคลื่อนไหว เข้าออก เข้าออก เข้าออก เป็นจังหวะอยู่ในรูร่องกลีบอุ่นๆ ของอีอ้อม ผมซอย ถี่ขึ้น ลึกขึ้น ถี่ขึ้น ลึกขึ้น ........แล้ว......ก็ปลดปล่อยน้ำรักออกมาสุดแรง ในรูร่องกลีบ ของอีอ้อมที่ตอดรับอีกครั้ง แม้ จำนวนครั้งในการตอดครั้งนี้ จะดูน้อยกว่าครั้งแรกก็ตาม......แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกได้ถึง ความสุข ที่ผมและอีอ้อม มีความสุข ที่ยากจะลืมได้....................................โอยส์ ซีดส์..........................ผมและอ้อมหมดแรง พร้อมๆกัน เราทั้งสองนอนทาบทับกันอยู่อย่างงั้นจนฟ้าสาง....................
และแล้ว เช้ามืดของ วันที่ 10 ม.ค.ผมก็เดินทางสู่เมืองศิวิไลซ์ กรุงเทพมหานครจนได้ ... เมื่อรถถึงหมอชิด ผมเดินเล่นแถวๆ ท่ารถเมล์ ขสมก. อยู่พักนึง ก่ะว่าให้สว่างกว่านี้หน่อยค่อยโทรไปหาไอ้ขอดมัน เกรงใจมัน มันอาจจะยังไม่ตื่นก็ได้......ผมเดินอยู่แถวนั้น หาอะไรกินนิดๆหน่อย จนถึง เจ็ดโมงกว่าๆ ผมตัดสินใจ โทรหาไอ้ขอด............ “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก” เสียงผู้หญิงใสๆ ตอบจาก
โทรศัพท์ สามสี่ครั้งที่ผมโทรไป ......ผมรอเวลาอีกพัก ก่ะว่า มันคงยังไม่ตื่น เลยไม่ได้เปิดเครื่อง..... แปดโมงกว่าๆ ผมโทรอีก ก่ะว่าป่านนี้มันคงตื่นและเข้าไปทำงานที่ร้านแล้วหล่ะ.........เสียงสัญญาณ ดังขึ้น.....ผมดีใจ...ไม่ตกอับแล้วเรา.....มีเสียงผู้หญิงแก่ๆรับสาย บอกว่า “ลื้อจาโทหาคาย” ผมตอบ “ขอสายไอ้ขอดครับ ผมเป็นเพื่อมันมาจากต่างจังหวัด” อาซิ้มแก่ ตอบกลับมาว่า “ อาขอดอีม่ายอยู่แล้ว....เมื่อคืน..ตังหรวด
มา จับอีปาย บอกว่าอีอ่ะ ... เข้าไปขโมยของ ที่โรงแรมปฏิพัทธ์...มีคงจำหน้าอีได้....ป่านี้ คงนอนหงายเก๋งอยู่ในห้องขังแล้วหล่ะ” ผมตกใจพลางถามต่อไปว่า “แล้วไอ้ขอดมันถูกจับอยู่โรงพักไหนครับ” อาซิ้มตอบ “อั๊วม่ายแน่ใจ ลื้อลองไปถามที่ สน.พญาไท หรือไม่ก็ประชาชื่นก้อร่ายแค่นี้น้าอั๊วจะจัดของ” ...........สิ้นสุดเสียงอาซิ้ม ผมสับสนมากจะทำไงดี ใจหนึ่งก็เป็นห่วงไอ้ขอดมัน....อีกใจก็เป็นห่วงตัวเองว่า จะทำไงดี คนที่รู้จักที่
อยู่แถวๆ กรุงเทพ ก็ไม่ได้เตรียมที่ติดต่อสำรองไว้.....โอ้ยซวยจริงกู
ผมเดินไปเดินมาอยู่ แถวๆหมอชิด จนใกล้เที่ยง ....ไอ้การที่จะนั่งรถกลับบ้านก็กระไร....ผมตัดสินใจ นั่งรอที่ช่องทางจอดรถโดยสารขาเข้า จากจังหวัดของบ้านตัวเอง....เผื่อจะมีคนรู้จัก...เดินทางเข้ามากรุงเทพ บ้าง.....คันแล้วคันเล่า.....ไม่มีใครที่ผมรู้จักโผล่หน้ามาให้เห็น เลย.......ผมดูตังค์ในกระเป๋าซึ่งเหลืออยู่ไม่
ถึงสามร้อยบาท.....คิด กลับไปกลับมา ว่าถ้าอยู่ต่อ จนตังค์หมดจะทำไงนี่....ผมตัดสินใจ...กลับดีกว่า ค่อยมาใหม่แล้วกัน...คราวหน้าเอาตังค์มาเยอะๆ เผื่อเจอปัญหาแบบนี้ ...ดีเสียอีกจะได้เอาข่าวไอ้ขอดติดคุกไปบอกญาติๆมันที่บ้านด้วย.......ผม เดินข้ามฟากจากโซนขาเข้ามายังโซนขาออก..แล้วเดินตรงดิ่ง มาที่ช่องจำหน่ายตั๋ว....ซึ่งมีคนเข้าแถวคอยซื้อตั๋วอยู่สาม-สี่ คน....ผมยืนรอแถวขยับอยู่พักนึง ก็มีคนมาต่อแถว ต่อจากผม
ผมไม่ได้หันไป มองแต่ได้ยินเสียงเธอคุยโทรศัพท์ เป็นเสียงผู้หญิงห้าวๆ ห้วนๆ สำเนียงคุ้นๆ...... ผมหันไปมอง....ผมต้องตกใจปนดีใจ...เพราะไอ้เจ้าของเสียงนั้นคือ อีอ้อม สาวทอม บ้านเดียวกันกับผม ผมเพ่งดูเธออยู่นาน เห็นเธอเปลี่ยนไปเยอะมาก ดูแต่งตัวดีขึ้น ขาวสะอาดขึ้น ไว้ผมทรงบ๊อบ สั้น แล้วรวบปลายผมทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง จนเห็นใบหูขาวนวลได้อย่างชัดเจน ข้างๆตัวเธอผมเห็นน้อง นิด เด็กสาวรุ่นน้องบ้าน
เดียวกัน จริงๆแล้วเธอเป็นญาติห่างๆกับผมแหล่ะ ยืนจับมืออยู่กับอีอ้อมแน่น ผมจำไม่ผิดแน่ ........ ผมตัดสินใจรอให้อีอ้อมวางหูโทรศัพท์แล้วหันกลับไปทักทั้งสองว่า ..... “นี่อ้อม รึเปล่า ....เรา มด น่ะ จำได้ป่ะ ...” อีอ้อม พยักหน้าขึ้นลงสองสามครั้ง แล้วถามว่า “มึงไปไหนมาเหรอ ไม่รู้น่ะว่ามึงอยู่กรุงเทพ” เราทั้งสามพากันออกมาจากแถว แล้วสนทนากันอยู่พักนึง จนรู้ว่า อีอ้อมมันมาส่งน้องนิดกลับบ้านเพราะต้องกลับไปดูแลพ่อที่ป่วยหนัก ส่วนตัวผมก็เล่าเรื่องราวให้อีอ้อมฟัง และ ก็ขอไปอาศัย หอของมันนอน สักคืนสอง คืน ในระหว่างหางานทำ .....มันก็โอเค..... มันบอกว่า อยู่ได้ เพราะช่วงนี้ น้องนิดของมันไม่อยู่ และก็คงอีกหลายวันกว่าจะกลับ
ผมดีใจ สุดชีวิต เหมือนฟ้าประทาน ที่พึ่งยามยาก มาให้พบ ผมนั่งแทกซี่กลับพร้อมอีอ้อม ในระหว่างนั่งรถกลับ ผมว่าอีนี่เป็นเอามาก ประมาณว่า ตัวมันเป็นหญิง...แต่ใจ และนิสัย มันยิ่งกว่าชายเสียอีก มันเล่าให้ฟังว่า มัน ทำงานเป็นการด (คงประมาณ รปภ.) อยู่ผับแถว ๆ รัชดา คอยเก็บแขกผู้หญิง ที่ทำท่าจะมีปัญหา ไม่ยอมจ่าย เมาเพี้ยน หรือตบตีกัน ...... รายได้ก็นิดๆหน่อยๆ ไม่มาก แต่ที่ได้มากก็ทิปพิเศษ จากแขก ประจำ...ที่วันๆหนึ่งได้ไม่ต่ำกว่า เจ็ด แปด ร้อยบาท ....... ผมสนใจงานที่มันทำอยู่มาก ....และมันก็รับปากว่าจะลองถามๆ ดูให้ ว่าเค๊าต้องการบ๋อย หรือ คนโบกรถแขก รึเปล่า งานแบบนี้ มันต้องค่อยๆไต่เต้าไป ขอให้ตั้งใจทำงาน ซื่อสัตย์ เอาใจแขกเก่งๆ เดี๋ยวก็ดีเอง ...........ผมยิ้มอยู่ในใจ........แล้วก็ฝันหวานถึงรายได้งามๆ วันละ ซัก ห้า- หกร้อย แค่นี้ก็สุดยอดของผมแล้ว แทกซี่วิ่ง มาได้เกือบๆชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงที่พัก ...... มันเป็นคอนโดสูง ประมาณ 5 ชั้นได้ อยู่ย่านรัชดานั่นแหล่ะ......ขณะ ที่เดินขึ้นบันไดเพื่อจะไปยังห้องพัก ซึ่งอยู่ชั้น สาม อีอ้อมก็ชี้ให้ผมดูผับ...ที่ทำงานของมัน...มันอยู่ไม่ไกลจากที่พักมาก นัก.............แล้วก็คอนโดนี้ คนที่พักที่นี่ ส่วนใหญ่ก็จะทำงานที่ผับนั่น...มีทั้งการด บ๋อย เด็กเสริฟ สาวออฟ คนเชียร์แขก นักดนตรี นักร้อง พ่อครัว แม่ครัว ภารโรง ยันถึงเจ้าของเลยหล่ะ ที่เค๊าอาศัยกันอยู่บนนี้ ......... เราทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมา และ ผ่านมาตามทางเดิน แต่ละห้องที่เดินผ่านดูเงียบยังก่ะไม่มีคนอยู่ ..อีอ้อมหันมาบอก “ยังงี้แหล่ะ ที่นี่อ่ะ มันก็แค่ที่ซุกหัวนอน .............กลางคืนทำงาน กว่าจะเลิกก็ตีสาม ตีสี่ กลางวันก็นอนกัน....จะตื่นกันอีกทีก็ ห้าโมงเย็นกว่าๆ เตรียมเข้างานประมาณทุ่ม .....กลางวันยังงี้เลยดูเงียบๆ.....นี่ถึงห้องแล้ว...” อีอ้อมพาผมเข้าห้อง อย่างไม่เคอะเขิน สภาพห้องดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี “ นี่ยายนิดไม่อยู่หลายวัน ไม่รู้..กว่ามันจะกลับมา สภาพห้องจะสะอาดเรียบร้อยแบบนี้หรือเปล่า ก็ไม่รู้ ยังไงก็ช่วยๆกันรักษาความสะอาดแล้วกัน กูขี้กียจ ให้เมียกลับมาด่า” อีอ้อมมันบ่นให้ฟัง แล้วชี้ไปที่มุมโซฟา แล้วบอกว่า “มึงนอนตรงนั้นแล้วกัน นอนพักก่อน ตามสบายน่ะ ห้องน้ำอยู่ตรงโน้น ที่ม่านกั้นน่ะที่นอนกูกับเมีย ตอนนี้กูขอนอนพักก่อน มีเวลาอีกสองสามชั่วโมง ก่อนเข้างาน อยากกินอะไรก็ ในตู้เย็นมี หรือถ้ามึงอยากกินข้าวก็ลงไปใต้คอนโด เค๊ามีขาย กุญแจห้องแขวนอยู่ที่ประตู ถ้าออก ไปก็ล๊อคกุญแจให้กูด้วย เดี๋ยวของหาย กูไปนอนหล่ะ” .......... พูดเสร็จอี
อ้อมก็ มุดตัวเข้าไปในม่าน ซึ่งมีเตียงนุ่มๆ อยู่ด้านใน ไม่เกินห้านาที ผมก็ได้ยินเสียงมันกรน ดัง คร๊อก...ฟี๊....เฮ้อ หลับง่ายจังอี่นี่ ....ส่วนผม เดินทางมา วุ่นๆ ทั้งคืน รู้สึกง่วงเหมือนกัน เลยล้มตัวนอน ตรงโซฟา แล้วเปิดทีวีดูรายการข่าวได้พักนึงก็เผลอหลับไป.........................
ผม มารู้สึกตัวตื่นอีกที...ก็อีตอนที่อีอ้อม มันเอาเท้า มาเขี่ย แถวขาผม ......ประมาณว่าจะสะกิดให้ผมตื่น ...ผมลืมตาขึ้นและผลักตัวเองลุกขึ้นนั่ง เห็นอีอ้อม กำลัง ก้มๆเงยๆอยู่เก้าอี้ข้างโซฟาที่ผมนอน มันกำลังผูก
เชือก รองเท้า แล้วก็บ่นว่า “กูสายแล้วเนี่ยะ.....ยังไงมึงหาอะไรกินก่อนน่ะ ข้างล่างมีขาย....ไม่ได้ดูแลเลยหว่ะ....ฝากห้องด้วยน่ะ.....” พูดเสร็จอีอ้อม ก็ พรวดออกห้องไป ผมหันไปมองที่นาฬิกา เห็นว่ามันคงสายของมันจริงอ่ะ เพราะนี่มัน จะสองทุ่มแล้วหล่ะ........ ผมใช้ชีวิตคืนแรกในกรุงเทพแบบคนเดียวเปล่าเปลี่ยว ใจ ภายในห้องพักของ อีทอม คนบ้านเดียวกัน หลัง จากที่ลงไปหาอะไรกิน เป็นมื้อค่ำ ด้านล่างคอนโด ผมกลับขึ้นมานอนเล่นต่อ บนห้อง ดูทีวี ไป นอนเล่นไป ...... แล้วก็เผลอหลับไป....อีก ......มาตื่นอีกทีก็ตอนที่อีอ้อมมันเลิกงานแล้ว.......มันกลับมาพร้อมกับคำ บ่นตามประสามันตามเคย “ไอ้ห่าเตี้ยเอ้ย....ชอบทำลายบรรยากาศ คนกำลังมีความสุข คนเค๊าจะหากินอย่างบริสุทธิ์ .... มัน จะมาตรวจอะไรนักหนาว่ะ...แย่ ...ๆ....ๆ ตรวจอย่างงี้ แขกหนีหมด” ผมตกใจตื่นขึ้น
หันไปถามมันว่า “อะไรของมึงว่ะ” มันตอบ “ก็พ่อมึงสิ มาตรวจฉี่ ตรวจบัตรอีกแล้ว อาทิตย์นี้ มันมาสามหนแล้วน่ะว้อย ยังงี้ ต่อไปแขกไม่มาแน่” พูดเสร็จมันก็มาจับผมลุกขึ้น แล้วบอก “ ป่ะ ป่ะ แต่งตัว ไปกินเหล้ากันข้างล่าง ที่ห้องกัปตัน จะได้แนะนำให้รู้จัก จะฝากงานให้” ผมดีใจเมื่อได้ยินเรื่องฝากงาน รีบเปลี่ยนจากกางเกงขาสั้นเป็นกางเกงยีนส์ ขายาวสีดำตัวโปรด ............. อีอ้อมแนะนำผมให้เพื่อนๆที่ทำงานได้รู้จัก มีทั้งที่เป็น บ๋อย นักดนตรี สาวออฟ รปภ. และก็ที่สำคัญคือกัปตัน ....ซึ่งแกคุยกับผมดีมาก...แนะนำทุกเรื่องประมาณว่าจะรับผมเข้าลองงานประมาณ นั้น ...ซึ่งผมก็เชื่อตามที่แกแนะนำทุกอย่าง ..... เรานั่งกินกันตั้งแต่ ตีหนึ่งเศษๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเมาเลย คุยสนุกสนานเฮฮา แซวกันไป แซวกันมา จนผมเริ่มเห็นถึงทางสว่าง ในการเข้าทำงานที่นี่ เพราะผมเข้ากับพี่ๆ ได้ทุกคน นี่ต้องขอ ขอบคุณ อีอ้อม คนดีของผม ที่ตอนนี้ดูมันจะดื่มมากกว่าเพื่อน คงจะถือโอกาสปลดปล่อย เพราะเห็นพี่ๆ เค๊าแซวกันว่า ช่วงที่ยายนิดอยู่อ่ะน่ะ ไม่เคยไปสังสรร กับเพื่อนๆเลย นอนกกเมียอยู่แต่ในห้อง ซึ่งถ้าจะจริงของพี่ๆเค๊าหล่ะ ........ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ...หลังจากที่หลายๆคน ขอตัวแยกย้ายกลับห้องไปนอน ..... เหลือเพียงผมกับพี่กัปตันนั่งดริ้งกันต่ออย่างอืดๆ ช้าๆ ( เพราะเมากันมากแล้วทั้งคู่ ) โดยมีอีอ้อม เมาฟุ๊บ อยู่ข้างๆวง ...ผมจึงถือโอกาสลาพี่กัปตัน บอกว่า เผื่อพี่จะพักผ่อน .....แล้วพยุงอีอ้อมลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลพอควร ........ เมื่อถึงห้อง.......ผมประครองอีอ้อมซึ่งตอนนี้เมาไม่ได้สติ เข้าไปวางบนเตียงของมัน ... ตัวมันหนักพอดูเลย ก็คิดดู คนสูงเกือบๆ 165 ซม.อวบนิดๆ แล้วก็ไม่มีสติออกอย่างงี้ .... กว่าจะวางตัวมันบนเตียงได้ อย่างไม่ล้มทั้งคู่ ผมคิดอยู่ตั้งนาน ว่าจะวางมันท่าไหนดี สุดท้ายก็มาจบเอาอีท่า หงายหลังนี่หล่ะ ผมเลือกวางหลังมันลงไปตรงๆ บนขอบเตียง ซึ่งท่านี้เองที่มันเป็นเหตุ ให้ไอ้เด็กบ้านนอกอารมณ์เปลี่ยวอย่างผมเกิดอารมณ์ หงี่ขึ้นมา ....คุณคิดดูว่า การที่ผู้หญิง ทำท่าแอ่นเหมือนๆ กับท่าสะพานโค้งอ่ะ ไม่ว่าจะเป็นทอม หรือ ดี้ หรือ สาวสดแบบไหน มันแน่นอนว่า ส่วนโค้งส่วนเว้า ต่างๆมันย่อม นำเสนอตัวมันเองโดยธรรมชาติ ผมเพ่งดูอยู่พักนึง โดยเฉพาะตรงจิ๋มของมัน มันอูมมาก ประมาณฝ่ามือผมได้ .... ใจผมเต้นเหลือเกิน.......ผมหันไปที่ประตูซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ปิด......แล้ว วางอีอ้อมไว้บนเตียง โดยให้นอนตั้งฉากกับแนวยาวของเตียง แล้วปล่อยขาห้อยลง ..... ผมเดินไปปิดล๊อคประตู..........แล้วเดินกลับมาที่เตียง......ผมตั้งสติ เขย่าตัวอีอ้อม.....แล้วเรียก.....เพื่อทดสอบว่ามันเมาหลับสนิทแคไหน..... มันไม่ตื่น ไม่ตอบสนอง.......ผมจัดแจงถอดเสื่อผ้าตัวเองออก.....ท่อนเนื้อของผมเริ่ม สู้....เมื่อมองเห็นเนินเนื้อตรงส่วนจิ๋มของอีอ้อม แม้มันจะถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงผ้ายืดสีดำ แต่ด้วยท่านอน แบบนั้น มันทั้งรั้ง ทั้งรัด ให้เห็น รอยแยกของเนินจิ๋มได้อย่างชัดเจน.......ผมไม่รอช้า.......มือขวาของผม เอื้อมมาจับสาว ท่อนเนื้อของตัวเอง อย่างอัตโนมัติ ราวกับ เป็นการปลอบประโลมให้รู้ว่า อีกไม่นาน เจ้าจะได้ลิ้มลอง อาหารโปรดที่เจ้าชื่นชอบ.....ส่วนมือซ้าย...ผมเอื้อมไปปลดตะขอที่กางเกงผ้า ยืดของอีอ้อม....แล้วรูดซิบลงอย่างช้าๆ...จนสุด...หลังจากนั้นผมล่ะมือขวา จากท่อนเนื้อ มายังขอบกางเกงผ้าของอีอ้อม แล้วบรรจงถอดมันออกเบาๆ มันหลุดออกมาไม่ยากมากนัก แล้วหันเหวี่ยงมันไปที่โซฟา.....แล้วใจผมก็ต้องเต้นระทึกอีกครั้งเมื่อ สังเกตเห็นเนินเนื้ออูม ภาย ใต้กางเกงในลายดอกไม้สีขาว ภายหลังจากถอดพันธนาการชั้นนอกออกแล้ว มันช่างสวยงามเหลือเกิน ความอูมใหญ่ ที่ถูกบดบังด้วยกางเกงผ้า และ จริตอย่างผู้ชายของอีอ้อม มันเผยโฉมที่แท้จริงของมันออกมาแล้ว ผมก้มลง เอาปลายจมูกสัมผัส ตรงล่องเนินเนื้อสวรรค์ เบาๆ เพื่อสัมผัสกลิ่นไอ ที่แท้จริงของมัน มันช่างหอมหวนเย้ายวนให้ลิ้มลองเหลือเกิน ถึงตอนนี้ผมไม่สนใจ เต้าเนื้อด้านบนของอีอ้อมเลย เพราะ มันดูแบนราบ และคงจะถูบบีบรัดด้วยยางยืด อยู่ทุกวันจนไม่มีสิทธิ์โผล่ ชู ชัน ให้โลกได้เห็น .......ผมสารวนอยู่กับการสูดดมอยู่ตรงเป้ากางเกงในของอีอ้อมอยู่พักใหญ่ ..... แล้วตัดสินใจถอดมันออก.....เพื่อให้ประตูสวรรค์ ได้คลายตัว และแง้มเปิด...รอรับ การแทรกตัวเข้าไปของท่อนเนื้อของผม.....ผมพยายาม ใช้ลิ้น กระตุ้นเขี่ย กลีบเนื้อที่ปกคุมไปด้วยไร ขนสีน้ำตาล ดำ ทั้งสองข้าง และควานหาเม็ดสวรรค์ ... ผมเจอมันแล้ว ... ผมใช้ปลายลิ้นทักทายกับเม็ดนั้นเบา ....อีอ้อมกระตุกตัวเองนิดนึงจังหวะนี้.....ตัวมันแอ่นขึ้นทุกครั้งที่ปลาย ลิ้นของผมสัมผัสโดนเม็ดของมัน........ผมเล่นลิ้นอยู่กับเม็ดของอีอ้อมนานพอ ควร.......จนรู้สึกได้ว่า น้ำเมือกใสๆ ของอ้อม มันเจิ่งนอง เต็มปลายคางของผม ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณว่า เราสองคนพร้อม
แล้ว สำหรับการ ปฏิสนธิ ...ท่อนเนื้อของผม ซึ่งตอนนี้ ถูกสาวขึ้นลง ขึ้นลง จนหัวบานได้ที่ ........ผมไม่รอช้า.....มือทั้งสองข้างของผม จับขาของอีอ้อม แบะออก ให้กว้างมากขึ้น แล้วปล่อยมันห้อยลงที่พื้น ผมขยับตัวเองเข้าใกล้เป้าหมาย....แล้ววางทาบท่อนเนื้อของตัวเอง ตรงร่องแฉะๆ ของอีอ้อม ใช้หัวแม่มือขวา กดหัวท่อนเนื้อลงไปในร่อง แล้วโยก เอวช่วย มันช่างรู้สึกได้ถึงไออุ่น ของกลีบเนื้อ ที่บีบรัดหัวท่อนเนื้อของผม...อย่างที่จะหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว ......อีอ้อมมันคราง.....แล้วยกสะโพก ลอยขึ้นจากเตียงเล็กน้อย....มันเป็นปฏิกิริยา ตอบสนอง ทางสรีระ ของกลีบเนื้อ ที่ส่งไปยังประสาท แล้วสั่งการมาที่สะโพก ให้สนองตอบความต้องการ ความลึก ที่มากกว่า ผมไม่รอช้า ช่วยสนองตอบเธอทันที ผมชักเข้า ดึงออก ชักเข้า ดึงออก ยาวขึ้นๆ อีอ้อมยังคงคราง คราง แม้มันจะเป็นเสียง ที่เกิดขึ้นภายในลำคอ ที่ดูเหมือนความ เจ็บปวด แต่ผมเข้าใจดี ว่า นี่มันบ่งบอกถึงความสุข ผมก้มหน้าก้มตาทำต่อ.......จนท่อนเนื้อของผม ได้ฝังมิดไปในกลีบเนื้อของอีอ้อม จนหัวเหน่าของผม บี้อยู่กับ กลีบทั้งสองของอีอ้อม แทบจะเป็นเนื้อแผ่นเดียวกันแล้ว....ผมเอื้อมมือทั้งสอง สอดเข้าไปตรงแผ่นหลังของอีอ้อม ออกแรงรวบ ยกตัวมันขึ้นมา แล้ว พลิก ตัวเองนั่งบนขอบเตียง โดยมีอีอ้อม นั่งอยู่บนตัก มันช่าง ทะลวงเข้าไปลึกเหลือเกิน ผมสังเกตอาการเก็งที่ เกิดขึ้นจากความลึก ของอีอ้อมได้ เนินก้น ที่แอ่นงอนขึ้นทันทีที่ผม กระดก ดัน ท่อนเนื้อขึ้น มันช่างบ่งบอกได้ถึงความลึกที่แสนวิเศษจริงๆ .....ผมโยกอยู่ท่านั้นนานพอควร...สลับกับการกระซิบเบาๆ ถามอ้อม......อ้..อ..มจ๋า...อ้..อ..ม...จ๋า.....เธอไม่ตอบ แต่หลับตาปี๋.... หน้าตาบิดเบี้ยว....เลียริมฝีปากเป็นระยะ..ๆ .......ผมขยับตัวเองเข้ามากลางเตียง แล้วค่อยๆ หมุนอ้อม ให้หันหน้าไปทางเดียวกับผม พร้อมๆ กับ ...พยายามประครอง ให้ท่อนเนื้อ ฝังอยู่ในกลีบเนื้อของอ้อม ....ด้วยการชักเข้า ชักออก อย่างช้าๆ ระหว่างการหมุนอย่างต่อเนื่อง .....แล้วผม ค่อยๆประครองเธอให้นอนคว่ำ ตั้งเข่าขึ้นทั้งสองข้าง เพื่อให้ใกล้เคียงกับท่าคลานมากที่สุด ทันใดนั้นเองมือทั้งสองข้างของเธอ ก็เอื้อมไปดันพื้นไว้ ผมรู้ได้ทันทีแล้วว่า เธอรู้ตัวแล้วหล่ะตอนนี้.....ผมไม่สนใจอะไรแล้ว มัน เลยเถิด เข้าไปป่านนี้แล้ว จะกลัวอะไรหล่ะ ......เมื่อได้ ท่าที่ต้องการแล้ว ผมเอนตัวนอนทาบทับเบาๆ ไปกับแผ่นหลังของเธอทันที ลิ้นผมเริ่มทำงานอีกครั้ง ที่ซอกคอ รูหู เธอไม่พูด แต่ ครางในลำคอเบาๆ....ท่อนเนื้อยังคงทำงานไม่หยุดหย่อน....ความแฉะ ของกลีบเนื้อของเธอ ยังคงมีอยู่ไม่จืดจาง ... จากท่านั้นผมตั้ง ตัวขึ้น ใช้มือขวา เลื่อนไปขยับ ขาท่อนบนทั้งสองข้างของอ้อม ให้แบะกว้างขึ้น เพื่อให้ เหมาะสมกับ ตำแหน่งของท่อนเนื้อของผม กับร่องกลีบของอ้อม เธอยอมทำตามโดยไม่มีการขืนเกรง แต่ประการใด ....หลังจากได้ตำแหน่งที่เหมาะสม ผมใช้มือทั้งสองข้าง รวบจับ บริเวณเอว ของเธอ เพื่อ โยก เข้า ออก ตามจังหวะการกระแทกท่อนเนื้อของผม ......ก้นเธองอนรับได้ สวยงามมาก ทุกครั้งที่ผมกระแทก ผมจะได้ยินเสียงซีดส์ ของเธอดังออกมาเป็นจังหวะๆ.....และในจังหวะสุดท้าย ของทุกๆการโยกกระแทก ผมอัดท่อนเนื้อ เต็มแรง เข้าไปในร่องกลีบ แล้ว คามันไว้ จน...จน...ก้นเธองอน ...กล้ามเนื้อท้อง เธอเกรง.....เสียงครางดังขึ้น... ยาวขึ้น...... จนผมชักกลับ .....เธอจึงถอนหายใจ ดัง ........ยัง..ยัง...ยังเราสองคนยังคงเล่นลีลาสวาทกันต่อ ไม่มีเบื่อ ผมไม่อยากให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปเลย ..............ก่อนเปลี่ยนท่าใหม่ ผมเอื้อมมือไปรวบจับมือของอีอ้อม ทั้งสองข้าง แล้วดึงมันเข้ามาหาตัว อย่างแรง พร้อมๆกับการออกแรงกด ท่อนเนื้อให้เข้าไปในกลีบของอีอ้อมให้ลึกสุดสุด......จนผมว่า อีอ้อม มันเสร็จ ก็อีท่านี้แหล่ะ เพราะผมรู้สึกได้ถึงการบีบ ตอด เป็นจังหวะถี่ๆ ตุ๊บ...ตุ๊บ...ตุ๊บ.. ของกล้ามเนื้อ ภายในกลีบ ประกอบกับเสียงร้องออกมา นอกลำคอ “อ๊อย........ ซีดส์..........” และอาการเก็งค้าง หน้าหงายขึ้นด้านบน รวมถึงนิ้วมือทั้งสองข้าง ที่จิก เกาะ แขนผม เสียะแน่ะ แทบจะแกะไม่ออก.....................................ผมค้างอยู่ท่านั้นไว้ พักหนึ่ง เพื่อให้อีอ้อมมันได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อตัว เอง......................................................แล้วโยกท่อน เนื้อ ต่อ .....ผมพึ่งสังเกตเห็นว่า ตรงโคนท่อนเนื้อของผม ตอนนี้มันเจิ่งนองไปด้วยเมือกขาวๆ ของอีอ้อมเต็มไปหมด ......ผมโยกต่อ โดยไม่สนใจ ความแฉะ ที่มันเกิดขึ้นจากความ เงี่ยน กำหนัดของอีอ้อม ............. ผมค่อยๆหย่อนตัวเองลงบนพื้นเตียง โดยรั้งอีอ้อม เข้ามาด้วย ไม่ให้ ท่อนเนื้อหลุดออกจากกลีบ ....... อีอ้อมก็เอนตามมา ราวกับ ยังตราตรึงอยู่กับรxxxวาทที่พึ่งผ่านไปเมื่อสักครู่ และไม่ต้องการให้เวลาแห่งความสุข ผ่านไปอย่างงั้นแหล่ะ ผมโยกต่ออีกสองสามครั้ง เพราะผมรู้ว่ามันเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้ร่องกลีบ กับ ท่อนเนื้อ ไม่พรากออกจากกัน ....ผมสะกิดให้อีอ้อมพลิกหมุน แล้วหันหน้าเข้ามาหาผม เธอทำตามด้วยแรง และสติของเธอเอง ผมสังเกตได้ .....ตอนนี้....ตาเธอยังคงหลับ หน้าเธอนิ่งเฉย จมูกเธอ บานเปิดขึ้นเพราะความเหนื่อย อาการหายใจหอบ ยังคงมีอยู่ ไม่จางหาย.....ผมบรรจงประกบริมฝีปาก แล้วใช้ลิ้นชอนไชเข้าไปในปากเธอ เธอหายใจถี่ขึ้น ....ด้านล่างผมยังทำงานไม่มีหยุด.....ผมพลิกเธอนอนหงาย...แล้วขึ้นคร่อม ประกบ ทั้งบนและล่าง...เธอคราง ในลำคอ....ผมถลกเสื้อเธอขึ้น ตอนนี้ ผมอยากทำอะไรก็ทำได้หมดทุกอย่างแล้ว ... เธอ อีอ้อม เป็นเมียของผม....แล้วผมว่าเธอก็ยอมรับในข้อนี้แล้ว ..........ผมสอดมือไปด้านหลังเพื่อปลดตะขอ ของยางรัดหน้าอก และ ตะขอยกทรง ที่เธอรัดปิดบังมันไว้.......ท่อนเนื้อยังโยกต่ออย่างเมามัน ขาทั้งสองข้าง ของเธอตอนนี้ ช่วยรั้งเอวผมไว้ไม่ให้มันหลุดไปจากตัวเธอ.......เธอติดใจแล้ว หล่ะ.............ผมใช้ลิ้นต่อ จากปาก สู่รูหู จากหูสู่ซอกคอ แล้วลงมาที่เต้าเล็กๆทั้งสองข้าง ผมเม้มดูดนมเธออย่างเมามัน เธอครางไม่เป็นศัพท์อีกแล้ว.........ผมล่ะจากทุกอย่าง และตั้งใจ จะให้เสร็จคราวนี้แล้ว โดยดันตัวเองขึ้น แล้วจัดท่าทาง ให้เหมาะสมที่สุด ด้วยการใช้มือทั้งสองข้างแบะขาของอีอ้อมให้กว้างที่สุด แล้วค้ำขาท่อนบนของอีอ้อมไว้ ผมขยับตัวเข้าใกล้อีก สะโพกผมเริ่มทำงาน เต็มที่ ตอนนี้ท่อนเนื้อผมซึ่งอิ่มน้ำเต็มที่จนพร้อมสำหรับการปลดปล่อย ได้ เคลื่อนไหว เข้าออก เข้าออก เข้าออก เป็นจังหวะอยู่ในรูร่องกลีบอุ่นๆ ของอีอ้อม ผมซอย ถี่ขึ้น ลึกขึ้น ถี่ขึ้น ลึกขึ้น ........แล้ว......ก็ปลดปล่อยน้ำรักออกมาสุดแรง ในรูร่องกลีบ ของอีอ้อมที่ตอดรับอีกครั้ง แม้ จำนวนครั้งในการตอดครั้งนี้ จะดูน้อยกว่าครั้งแรกก็ตาม......แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกได้ถึง ความสุข ที่ผมและอีอ้อม มีความสุข ที่ยากจะลืมได้....................................โอยส์ ซีดส์..........................ผมและอ้อมหมดแรง พร้อมๆกัน เราทั้งสองนอนทาบทับกันอยู่อย่างงั้นจนฟ้าสาง....................
ป้ายกำกับ:
ประสบการณ์เสียว
วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553
หุบป่าตาด จังหวัดอุทัยธานี
• ถ้ำหุบป่าตาด อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี การเดินทางไปหุบป่าตาด เข้าทางเดียวกับกับเขาปลาร้า อยู่ก่อนถึงเขาปลาร้าประมาณ 1 กิโลเมตร ถ้ำนี้ถูกค้นพบโดยพระครูสันติธรรมโกศล (หลวงพ่อทองหยด) เจ้าอาวาสวัดถ้ำทอง เมื่อปี พ.ศ. 2522 พระครูได้ปีนลงไปในหุบเขานี้ จึงพบว่ามีต้นตาดเต็มไปหมด (ต้นตาดเป็นไม้ดึกดำบรรพ์ตระกูลเดียวกับปาล์ม) จึงเจาะถ้ำเพื่อเป็นทางเข้าในปี พ.ศ. 2527 ต่อมากรมป่าไม้ได้ประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์ เพราะที่นี่มีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แปลกและมีพันธุ์ไม้หายาก ถ้ำที่เป็นทางเดินเข้าหุบป่าตาดนั้นมืดสนิท แต่เดินไม่นานจะถึงบริเวณปล่องขนาดใหญ่ที่แสงส่องลงมาได้และจะพบป่าตาด ให้ความรู้สึกเหมือนว่าได้มาอยู่ในโลกยุคดึกดำบรรพ์ นอกจากต้นตาดแล้วที่นี่ยังพบไม้หายากพันธุ์อื่นๆเช่น เต่าร้าง เปล้า คัดค้าวเล็ก เป็นต้น ในบริเวณหุบเขานี้มีลักษณะคล้ายป่าดงดิบและยังมีความชุ่มชื้นสูง แสงจะส่องถึงพื้นได้เฉพาะตอนเที่ยงวันเพราะมีเขาหินปูนสูงชันล้อมรอบ มีความร่มรื่นเหมาะแก่การเดินชมธรรมชาติ
เยี่ยมชมหุบป่าตาด
• Unseen in Thailand ที่หุบป่าบ้านตาด ซึ่งต้องลอดอุโมงค์ภูเขาเข้าไปเพื่อชมผืนป่ากลางหุบเขา ก็เป็นผืนป่าที่แปลกตาครับ ระหว่างที่ลอดอุโมงค์ มีค้างคาวอาศัยอยู่เยอะมาก และภายในหุบป่าก็มีนกให้ดูด้วย
• การเตรียมตัว ควรเตรียมไฟฉายและยาทากันยุงไปด้วย
เยี่ยมชมหุบป่าตาด
• Unseen in Thailand ที่หุบป่าบ้านตาด ซึ่งต้องลอดอุโมงค์ภูเขาเข้าไปเพื่อชมผืนป่ากลางหุบเขา ก็เป็นผืนป่าที่แปลกตาครับ ระหว่างที่ลอดอุโมงค์ มีค้างคาวอาศัยอยู่เยอะมาก และภายในหุบป่าก็มีนกให้ดูด้วย
• การเตรียมตัว ควรเตรียมไฟฉายและยาทากันยุงไปด้วย
ป้ายกำกับ:
ข้อมูลท่องเที่ยว จังหวัดอุทัยธานี
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
จบ
เจ้าอยู่หัว-พลเอกเปรม-และกองทัพกลายมาเป็นประเด็นหลักในการหาเสียง ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง พลเอกเปรมผูกการกลับมาเป็นนายกฯ ของเขากับงานเฉลิมฉลองการครองราชย์นานที่สุด แทนที่จะลงเลือกตั้ง เขากลับทึกทักว่าการจัดงานเฉลิมฉลองโดยผูกตัวเขากับบารมีของวัง เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้ว แต่ในเดือนมิถุนายน นักวิชาการชั้นนำ 99 คนได้ลงชื่อถวายฎีการ้องเรียนไปยังพระเจ้าอยู่หัว กล่าวหาพลเอกเปรมว่าแอบอ้างวังและใช้กองทัพข่มขู่เพื่อรักษาอำนาจของตนต่อไป พวกเขาใช้ภาษาอย่างระมัดระวัง และอธิบายว่าการกระทำของพวกเขาเป็นไปเพื่อปกป้องพระเกียรติยศของพระเจ้าอยู่หัว และพวกเขากลัวว่ากองทัพกำลังทำลายกระบวนการประชาธิปไตย แต่เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาอยู่ที่การที่วังอนุญาตให้เปรมอ้างการสนับสนุนจากพระเจ้าอยู่หัว พวกเขาหาญกล้าเรียกร้องให้พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลหยุดแทรกแซงระบอบประชาธิปไตย พลเอกเปรมปัดพวกเขาออกไปชั่วครู่ขณะนำการเฉลิมฉลองสถิติการครองราชย์นาน 42 ปี 23 วันของในหลวงภูมิพล ซึ่งนานกว่าใครทั้งในต้นโกสินทร์ อยุธยาหรือสุโขทัย หลังจากพิธีรำลึกบุรพกษัตริย์ราชวงศ์จักรีในพระบรมมหาราชวังแล้ว พลเอกเปรมก็ตามเสด็จพระราชวงศ์ไปอยุธยาเพื่อสักการะพระมหากษัตริย์อยุธยาทั้ง 33 พระองค์ ผลการเลือกตั้งออกมาอย่างเคย ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมาก พลเอกเปรมวางตัวเองอยู่ในตำแหน่งประสานงานพรรคต่างๆ เพื่อนั่งเก้าอี้นายกฯ อีกครั้ง แต่การที่เขาปฏิเสธที่จะลงเลือกตั้งกับประเด็นหลักการประชาธิปไตยทั่วไปกลายเป็นประเด็นสำคัญต่อสาธารณะ และความคิดที่นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้งก็จุดติดในหมู่นักการเมืองและผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ผู้ประท้วงราวหนึ่งพันคนเดินขบวนไปที่หน้าบ้านพลเอกเปรม ผู้นำพรรคการเมืองและคนอื่นๆ ก็เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้นายกฯ มาจากสส.ที่ได้รับการเลือกตั้ง ขณะที่ทั้งประเทศกำลังจดจ่อรอดูว่าในหลวงภูมิพลจะเสด็จลงมาอุ้มพลเอกเปรมอีกหรือไม่ พลเอกเปรมตัดสินใจถอนตัว ทำให้ในหลวงภูมิพลไม่ต้องเปลืองตัวในการเลือกระหว่างประชาชนกับผู้นำกองทัพ นายกฯ ส้มหล่นได้แก่พลตรีชาติชาย ชุณหวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทยที่ได้ที่นั่งมากที่สุด เขาเป็นอดีตทหารม้า นักการทูตนักธุรกิจที่ลื่นไหล และลูกชายของจอมพลผิณ ชุณหะว้ณผู้อื้อฉาวในยุคทศวรรษ 2490
ทำไมประชาชนจึงไม่เห็นคุณค่าของรัฐบาลทหารพระราชทานของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล คำตอบที่เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วก็คือ พลเอกเปรมนั้น แทบไม่ทำอะไรเลยตลอดแปดปี นอกจากปกป้องเก้าอี้ของตนและราชบัลลังก์ของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล รัฐบาลพลเอกเปรมได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้เลวน้อยไปกว่ารัฐบาลพลเรือนเลยในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น การใช้อำนาจบาตรใหญ่และเช้าชามเย็นชาม ปัญหาสังคมอาจเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ กรุงเทพฯที่กำลังเติบโตเนื่องมาจากการลงทุนของต่างชาติ แต่ในชนบท ความยากจนยังปรากฏอยู่ที่ไป ในปี 2531 ครอบครัวไทยมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์มีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจนที่เป็นทางการ แทบไม่มีอะไรกระเตื้องขึ้นจากทศวรรษก่อนหน้า คนรวยรวยขึ้น คนจนจนลง ในปี2531 คนไทยที่รวยที่สุด 20เปอร์เซ็นต์แรกมีรายได้ 56 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่ 20เปอร์เซ็นต์ที่จนที่สุดมีส่วนแบ่งรายได้แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตัวเลขในปี 2519 ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม คือ 49 เปอร์เซ็นต์ที่จนที่สุดมีส่วนแบ่งรายได้แค่ 6 เปอร์เซ็นต์ ปัญหาชาวนาไร้ที่ทำกินยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ในปี 2531 ครอบครัวชาวนาห้าแสนครอบครัวไม่มีที่ทำกิน คิดเป็นสัดส่วนราวสิบเปอร์เซ็นต์ของครอบครัวชาวนาทั้งหมด และอีกห้าแสนครอบครัวที่มีที่ทำกินไม่ถึง 10 ไร่ ส่วนใหญ่แล้วไม่พอกิน นอกจากนี้คนไทยหลายล้านคนอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมายในเขตป่าเสื่อมโทรม ขณะที่มีการทุ่มเทเงินงบประมาณให้กองทัพ
แต่บริการสาธารณสุขและการศึกษาก็ตามไม่ทันการเติบโตของจำนวนประชากร ระดับประถมและมัธยมมีอัตราเลิกเรียนสูง การศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยต่ำ คนไทยมากกว่าหนึ่งในห้าจบไม่เกินประถมสี่ เรียนแค่เพียงให้รู้ว่าต้องเคารพพระเจ้าอยู่หัวและข้าราชการเท่านั้น ความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อมเริ่มเป็นหายนะ พื้นที่ที่ควรเป็นป่าสงวนหลายล้านไร่ถูกตัดขายด้วยอิทธิพลทางการเมืองและการทหาร ขณะที่แหล่งน้ำและอากาศก็เกิดมลภาวะอย่างรุนแรง อาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น การค้ายาเสพติดสร้างรายได้มากกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งๆที่มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าพลเอกเปรมเป็นคนมือสะอาด แต่ก็ต้องเลี้ยงสมุนและบริวารที่เอาแต่ทุจริตคอรัปชั่นเพื่อความอยู่รอดของตนเอง มีรัฐมนตรีขี้โกงอย่างนายบรรหารที่เป็นคนโปรดแล้ว พลเอกเปรมยังให้พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลามือขวาด้านความมั่นคงของเขาเข้ายึดครองพรรคกิจสังคมโดยไปเป็นพวกกับเจ้าพ่อชั้นนำของประเทศสองคนคือ กำนั้นเป๊าะแห่งชลบุรีกับชัช เตาปูนเจ้าของบ่อนเตาปูน ซึ่งมีตำแหน่งในพรรคทั้งคู่ ที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นการแตกแยกและการทุจริตในกองทัพภายใต้การดูแลของพลเอกเปรม แทนที่กองทัพจะเล็กลงและเป็นมืออาชีพมากขึ้น บรรดานายทหารเอาแต่ทุจริตคอรัปชั่นจนพากันอิ่มหมีพีมันและย่อหย่อนความสามารถในการทหารสมัยใหม่ ทหารเข้าแทรกแซงการเมือง วงการธุรกิจและแม้แต่วงการอาชญากรรมมากขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งขยายความแตกแยกและความหย่อนยานทางวินัยซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา โดยรวมแล้ว สังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปมากกำลังตั้งข้อเรียกร้องที่นักการเมืองพันธุ์เก่าไม่คุ้นเคย การที่ในหลวงภูมิพลจะทรงมองเรื่องนี้ไม่ออกนั้นเป็นที่เข้าใจได้ เพราะบรรดาที่ปรึกษาของพระองค์ส่วนใหญ่มีอายุน้อยกว่าและมีประสบการณ์น้อยกว่า พระองค์จึงต้องพึ่งพาอาศัยพระองค์ในการวิเคราะห์ ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามหรือแย้งพระเจ้าอยู่หัว ส่วนใหญ่หมอบกราบแซ่ซร้องสดุดีความคิดของในหลวงอย่างเดียว บริวารใกล้ชิดกราบทูลพระองค์ว่าพลังประชาชนใหม่นี้ก็เป็นเหมือนพคท. เป็นภัยคุกคามต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มนฟังดูแท้จริงอย่างมากสำหรับพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ที่ยังคงให้ท้ายกองทัพในการอ้างอำนาจครอบงำเหนือการเมืองต่อไป
++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++
ต่อ
ถางป่าสงวนบนยอดดอยอินทนนท์เพื่อสร้างพระเจดีย์ถวายในหลวงและพระราชินีพระองค์ละหนึ่งแห่ง ปลายปี 2529 พลเอกเปรมประกาศอย่างเป็นทางการถวายพระเกียรติยศให้ในหลวงภูมิพลเป็น “อัครศิลปิน” เป็นการโหมโรงก่อนที่จะประกาศถวายพระเกียรติเป็น“มหาราช”ในเดือนธันวาคม 2530 โดยทำเหมือนว่าประชาชนไทยทั้ง 41 ล้านคนพร้อมใจกันถวายตำแหน่งมหาราชเพื่อยกระดับพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลให้เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เทียบเท่าพ่อขุนรามคำแหง พระนเรศวรและรัชกาลที่ 5 โดยทุกพระองค์ที่ล้วนได้ตำแหน่งมหาราชหลังสิ้นพระชนม์ไปแล้วทั้งสิ้น (ในปี 2526 มรว.ทองน้อยเขียนแก้ตัวให้ในหลวงภูมิพลว่า ทรงยืนกรานปฏิเสธการยกย่องพระองค์เป็นมหาราช เพราะควรปล่อยให้ประวัติศาสตร์เป็นผู้ตัดสิน) ไม่กี่เดือนต่อมา ฟ้าหญิงสิรินธรก็ทรงได้รับขนานพระนามเป็น อัครอุปถัมภ์แห่งมรดกวัฒนธรรมไทย
การสรรเสริญสดุดีทั้งหมดนี้คือความพยายามแสดงว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลได้ทรงบรรลุถึงขั้นเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว พระสงฆ์สวดภาวนาถวายให้พระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ และมีการโหมโฆษณาพระราชกรณียกิจที่ทรงอุทิศพระองค์ต่อพระพุทธศาสนา กรมการศาสนาทำการสังคายนาพระไตรปิฎกเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าอยู่หัว การสังคายนาพระไตรปิฎกถือเป็นงานใหญ่และไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก เป็นเครื่องบ่งบอกถึงพระอัจฉริยภาพของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลที่ได้ทรงเล็งเห็นและจัดการแก้ไขความบกพร่องในพระธรรมคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรว.คึกฤทธิ์ ได้บรรยายแก่สโมสรนักข่าวต่างชาติประจำประเทศไทย เมื่อ 22 มิถุนายน 2531 โดยป่าวประกาศถึงสภาวะเข้าใกล้ความเป็นเทพเจ้าของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล เขาเล่าถึงโครงการพระราชดำริต่างๆ อันวิเศษมหัศจรรย์ของพระองค์ซึ่งหากตกอยู่ในมือของรัฐบาลแล้วก็มีแต่จะล้มเหลวไม่ได้เรื่อง เขายกความดีให้เป็นผลมาจากการที่ในหลวงภูมิพลทรงเป็นทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ไปพร้อมๆก้น แม้จะดูขัดๆกันเองก็ตาม ว่า...
พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นอะไรที่ใกล้ชิดและเป็นที่รักของประชาชน ทรงถูกถือเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวและในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ยังเชื่อว่า ในหลวงคือพระเจ้า บางทีก็เป็นการยากที่ประชาชนจะหาสมดุลระหว่างความใกล้ชิดที่พวกเขารู้สึกต่อพระเจ้าอยู่หัวกับความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งที่พวกเขาเชื่อว่าพระองค์มี ในขณะเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวก็ต้องทรงรู้สึกว่าลำบากที่จะหาสมดุลระหว่างการเป็นมิตรของครอบครัวกับข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงสูงส่งอย่างยิ่ง ในงานพระราชพิธีและในวาระที่เป็นทางการ พระเจ้าอยู่หัวจะต้องทรงแสดงแง่มุมความศักดิ์สิทธิ์ออกมาในปริมาณหนึ่ง พระองค์ไม่สามารถเป็นมนุษย์ได้ล้วนๆ และในเวลาเดียวกันก็ต้องพยายามเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างมากเวลาเสด็จเดินสายต่างจังหวัด ทรงต้องเยี่ยมเยียนชาวบ้านถึงกระไดบ้าน เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าอยู่หัวนี่แหล่ะที่ได้ทำให้ประเทศชาติมีเสถืยรภาพมั่นคง
มรว.คึกฤทธิ์ได้สนับสนุนคำอ้างนี้ด้วยการเล่าถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า “ปาฏิหาริย์ที่เป็นจริง” นั่นคือการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ที่อยู่ในเขตลุ่มน้ำห้วยฮ่องไคร้ จากเดิมที่มีสภาพเป็นป่าเต็งรังเสื่อมโทรม ว่าเพียงหลังจากในหลวงทรงนำน้ำและสหกรณ์เข้ามาเท่านั้น ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นั่นก็ดีขึ้นทันตาเห็น “ถ้าคุณไปที่นั่นตอนนี้ คุณก็จะพบสวนแห่งอีเดน(หรือสวนสวรรค์บนดิน) นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในรัชกาลนี้”
นักข่าวต่างชาติต่างพากันหัวเราะคิกคักกับเรื่องความเป็นเทพเจ้าของพระเจ้าอยู่หัว เหมือนฟังเรื่องอภินิหารของพ่อมดหมอผีแห่งชนเผ่ามนุษย์กินคนในทวีปอัฟริกา แต่พวกเขาก็พร้อมใจกันก้มหน้าก้มตารายงานว่าความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับการพัฒนาประเทศล้วนเกิดจากพระเจ้าอยู่หัวอย่างน่าอัศจรรย์ นิวยอร์คไทมส์เขียนว่า “พระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ประจักษ์ในโครงการพัฒนาในพระราชดำริต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงริเริ่มและดูแลมาตั้งแต่ปีแรกๆ ที่ขึ้นครองราชย์ การใช้โครงการพระราชดำริหรือพระนามของพระองค์ย่อมเป็นหลักประกันว่าโครงการนั้นจะได้รับการปฏิบัติอย่างทุ่มเทและไม่มีข้าราชการหน้าไหนที่จะกล้าเฉื่อยชาหรือทำตัวเป็นอุปสรรค”
แต่การเชิดชูสดุดีพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้ช่วยปกป้องรัฐบาลเปรมเสมอไป ในปี 2530 พลเอกเปรมต้องเผชิญการท้าทายและการโจมตีที่หนักข้อขึ้นโดยบางส่วนมาจากองค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอที่กำลังเริ่มก่อตัวท้าทายรัฐบาลด้วยประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเด็นหนึ่งคือการรณรงค์ต่อต้านการสร้างเขื่อนน้ำโจนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้มีความกล้าหาญและมีพลัง งานนี้รวมคนได้กว้างขวางอย่างน่าทึ่ง คือมีทั้งเกษตรกร พ่อค้าในเมือง นักวิชาการและปัญญาชนกับนักสิ่งแวดล้อม ต่างพากันคัดค้านเขื่อนเพราะมันจะทำให้เกิดน้ำท่วมเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่กินพื้นที่กว้างใหญ่บริเวณชายเเดนภาคตะวันตกและทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องไร้ที่อยู่ที่ทำกิน พวกเขาโจมตีพลเอกเปรมที่ตัดสินใจเดินหน้าโครงการโดยไม่มีการปรึกษาหารือประชาชน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่มีผู้ว่าการคือนายเกษม จาติกวนิชย์ ซึ่งเป็นคนโปรดของพระเจ้าอยู่หัว ที่มีประวัติอันยาวนานในการทำลายสิ่งเเวดล้อมและการละเลยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ การประท้วงครั้งนี้ทำให้ในหลวงภูมิพลพลอยเสียชื่อไปด้วยอย่างอ้อมๆ เพราะการสร้างเขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตถูกยกให้เป็นผลงานของพระองค์ในการจัดการเรื่องแหล่งน้ำ ศึกครั้งนี้ยืดเยื้อข้ามปี 2530 และในที่สุด พลเอกเปรมกับกฟผ.ก็ยอมยกเลิกโครงการในต้นปี 2531 อย่างไม่เป็นท่า
การท้าทายต่อระบอบเปรมที่มีเจ้าหนุนหลังอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในการสังคายนาพระไตรปิฎก โดยพระสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายมองเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงเบื้องหลังงานใหญ่นี้คือการหาเรื่องเฉลิมฉลองวโรกาศพระชนมพรรษา 60 ปี ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่า เนื่องจากการกำหนดเส้นตายให้เสร็จภายในสองปีนั้นเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่ยอมเร่งมือและปล่อยให้กำหนดการนั้นถูกยกเลิกไป
พระราชวังและพลเอกเปรมได้พยายามสร้างระบอบวังร่วมกับกองทัพให้มั่นคงถาวร พระเจ้าอยู่หัวทรงบรรยายแก่กลุ่มนักข่าวไทยที่ไปเยี่ยมชมศูนย์โครงการพัฒนาในพระราชดำริที่เชียงใหม่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2530 โดยทรงเน้นว่าพระราชดำริของพระองค์มีความเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบท และระบบการเมืองก็ต้องมีความสอดคล้องกับบุคลิกความเป็นไทย พระราชดำรัสนี้เปิดให้มีการตีความไปได้หลายทาง สัปดาห์ต่อมาพลเอกเปรมก็บอกแก่คณะรัฐมนตรีของเขาว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนให้กองทัพมีบทบาทครอบงำการเมืองอย่างเป็นทางการ คนรับนโยบายของพลเอกเปรมคือผบ.ทบ.คนใหม่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้มีบทบาทในการร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523ประกาศใช้เมื่อ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 เพื่อเป็นแนวทางในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ สาระสำคัญของคำสั่งนี้ คือ การใช้หลักการเมืองนำการทหาร ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ได้ระบุถึงสาเหตุของการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ว่าเป็นเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยพลเอกชวลิตได้มีบทบาทในการดำเนินนโยบายทางสังคมและการเมืองของกองทัพในเขตชนบท โดยให้กองทัพเป็นผู้ควบคุมบางจังหวัด พลเอกชวลิตได้ช่วยพลเอกเปรมปราบปรามความพยายามก่อรัฐประหารมาหลายครั้ง เมื่อพลเอกอาทิตย์กระเด็นไปแล้ว พลเอกชวลิตก็มองว่าตนเองจะเป็นผู้ที่จะสืบทอดอำนาจต่อจากพลเอกเปรม
พลเอกชวลิตย้ำว่ามันคือพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัว เขาประกาศว่ากองทัพคือพลังหลักของประเทศในการพัฒนาและการบรรเทาความยากจน ภายใต้การชี้แนะของพระเจ้าอยู่หัว เรามีที่ดิน แหล่งน้ำ แรงงานที่มีวินัยและอุปกรณ์เครื่องมือมหาศาล ส่วนวิธีการนั้นเราหาได้จากหน่วยงานอื่นๆ กำลังพลได้เข้ารับการอบรมเรื่องการพัฒนาเพื่อรับดำเนินงานในโครงการในพระราชดำริจำนวนมากที่ใหญ่โตที่สุดคือโครงการอีสานเขียวอันโด่งดังของพลเอกชวลิต ที่จะพลิกแผ่นดินแห้งแล้งของอีสานให้เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาให้ได้ ใช้งบประมาณกว่า 13,500 ล้านบาท โดยถูกจัดสรรผ่านหน่วยงานต่างๆ ภายใต้การกำกับดูแลของกองทัพ และทหารจำนวนมากได้ออกไปสร้างอ่างเก็บน้ำ ถังน้ำ และขยายโครงการผันน้ำต่างๆ และยังได้ปลูกป่ายูคาลิปตัสเพื่อป้อนโรงงานเยื่อกระดาษโดยอ้างว่าเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่า แต่กองทัพกลับถูกโจมตีว่าแย่งบทบาทการทำงานของรัฐบาลโดยใช้โครงการพระราชดำริเป็นข้ออ้าง กองทัพถูกวิจารณ์ว่าได้ผลาญเงินงบประมาณประเทศไปกว่าหนึ่งในสี่ ซึ่งมากกว่างบสาธารณสุขและการศึกษามากนัก นักวิจารณ์เรียกกองทัพว่าเป็นเพียงอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่รับใช้แต่ตัวเองเท่านั้น โดยใช้งบประมาณของรัฐบาลสร้างอำนาจให้ตนเอง พวกเขาชี้ถึงการใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยของบรรดานายพลเศรษฐีนับสิบรายว่าเป็นหลักฐานแสดงถึงการทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างมโหฬาร และนักวิจารณ์บางคนก็ถามอย่างกวนๆ ว่าอีสานเขียวหมายถึงพืชพันธุ์ธัญญาหารหรือแค่เครื่องแบบทหารกันแน่ บรรดานายทหารก็แก้ตัวแบบเดียวกับที่วังได้ใช้โต้มาก่อนหลายปีแล้ว ว่านักการเมืองกับนักธุรกิจนายทุนนั้นฉ้อฉลและเห็นแก่ตัว เรื่องนี้ถึงกับมีการสอนในวิชาปรัชญาการเมืองที่โรงเรียนนายร้อยจปร. โดยกองทัพเผยแพร่ทัศนะนี้ผ่านสื่อด้วยคำขวัญอย่างเช่น “มีแต่กองทัพเท่านั้นที่ไม่เคยทอดทิ้งประชาชนและจริงใจต่อประชาชน มีแต่กองทัพเท่านั้นที่เป็นความหวังให้กับประชาชนได้”
แต่ว่ากองทัพก็ไม่สามารถอ้างว่าพวกตนมีมาตรฐานทางคุณธรรมสูงกว่าคนอื่นอีกต่อไปแล้ว เพราะฝ่ายค้านในสภาได้เตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกเปรมในเดือนเมษายน 2530 แต่ว่าพลเอกเปรมใช้เล่ห์กลตัดแข้งตัดขาและซื้อตัวสส.กันอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้ญัตติต้องตกไปเพราะคะแนนเสียงไม่พอ แต่ประชาชนก็ได้เห็นทางโทรทัศน์ว่าสส.ได้เยาะเย้ยหยามหยันรัฐบาลพลเอกเปรมที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุน และยังได้ยินถ้อยคำโจมตีพลเอกเปรมอย่างที่ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน อย่างเช่น มรว.คึกฤทธิ์กล่าวหาว่า ”พลเอกเปรมทำตัวยังกับเป็นพระเจ้าอยู่หัวเสียเอง การที่ผู้นำรัฐบาลไปเยี่ยมชาวบ้านและเอาแต่พูดถึงความจงรักภักดีของตนนั้นเป็นแค่ลูกไม้เพื่อสร้างความนิยมให้กับตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในอนาคต เผื่อว่าเกิดมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมา ประชาชนก็ต้องเลือกเขา เพราะชาวบ้านก็จงรักภักดีเหมือนกัน ผมรู้สึกน่าอับอายในฐานะคนไทยที่ต้องยอมให้คนๆ หนึ่งอยู่เหนือการเมืองและการวิพากษ์วิจารณ์ คนที่กลายมาเป็นเหมือนกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ว่าประพฤติตัวราวกับว่าตนเองมีความสำคัญมากกว่าพระมหากษัตริย์จริงๆ เสียอีก” มรว.สุขุมพันธ์ บริพัตรเขียนบทความที่โจมตีพลเอกเปรมอย่างรุนแรงในแนวเดียวกัน โดยบอกว่าพลเอกเปรมแทบไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยตลอดระยะเวลาเจ็ดปีและเป็นคนที่รังเกียจวิถีทางประชาธิปไตย “เนื้อหาสาระผลงานของพลเอกเปรมก็คือการถ่วงดุลทหารกลุ่มหนึ่งให้คุมเชิงทหารอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเอง ลีลาการเป็นผู้นำของพลเอกเปรมคือลอยตัวแบบเจ้า ลอยตัวจากปัญหาการเมืองทั้งหมด และคอยจัดการไม่ให้การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเขาลุกลามบานปลายออกไป” มรว.สุขุมพันธ์บอกว่าพลเอกเปรมไม่ได้เตรียมการใดๆ ให้ประเทศสำหรับการสละราชบัลลังก์ของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนล้วนพากันกังวลเรื่องข่าวลือการสละราชบัลลังก์... ในเรื่องล่อแหลมที่ถือเป็นวิกฤตต่อความเชื่อมั่นในสถาบันการเมืองของประเทศที่กำลังลุกลามเรื่องการสละราชบัลลังก์ก่อนเวลาจะส่งผลลบที่รุนแรงต่อระบบการเมืองไทย เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญและทรงอิทธิพลมากที่สุด ส่วนฟ้าชายวชิราลงกรณ์ไม่สามารถที่จะรับช่วงสืบทอดราชบัลลังก์ดำเนินรอยตามแบบที่พระราชบิดาได้ทรงวางไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างที่เป็นอันตรายมาก”
ปลายปี 2530 ได้เกิดแรงกดดันเพิ่มขึ้นเมื่อพลเอกเปรมและพลเอกชวลิตพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจของกองทัพบกแต่ต้องมาเจอเรื่องทุจริตอื้อฉาวหลายกรณีและความประพฤติที่เป็นวีรกรรมใหม่ๆ ของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ในระหว่างช่วงของการเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาที่กำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดยอดของเทศกาล ฟ้าชายที่พยายามประพฤติตัวดีมาตลอดเกือบทั้งปี แต่ในปลายปี 2530 พระองค์ดูจะอดพระทัยไม่ไหวและทรงรีบเร่งที่จะให้หม่อมสุจาริณีได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการเสียที ต้นเดือนมกราคม เธอได้คลอดลูกคนที่ห้า เป็นผู้หญิงได้ชื่อว่า บุษยาน้ำเพชร ภายหลังเปลี่ยนเป็น สิริวัณวรี มหิดล เธอได้ติดตามฟ้าชายพระสวามีออกงานไปทั่วประเทศ ปรากฏในข่าวชาววัง หนังสือพิมพ์ลงรูปหม่อมสุจาริณีในขณะที่ไม่ลงรูปรูปโสมสวลี ในเดือนพฤศจิกายนหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานว่าหม่อมสุจาริณีสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้วยคะแนนสูงสุดจากมหาวิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร หนังสือพิมพ์กับข่าวชาววังเผยแพร่ภาพพระสวามีพระราชทานปริญญาบัตรให้พระชายา ทำให้ประชาชนบางคนแอบเยาะหยันอย่างเงียบๆพร้อมทั้งข่าวอกุศลของหม่อมสุจารณีที่เผยแพร่โดยฝ่ายโสมสวลี
ด้วยกระแสเรื่องการสละราชบัลลังก์ ดูเหมือนว่าหม่อมสุจาริณีกำลังถูกเตรียมตัวให้เป็นราชินี แต่เธอยังไม่ได้มีสถานะที่เป็นทางการ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ที่สร้างปัญหาทางการทูตกับญี่ปุ่น ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน 2530 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเป็นเวลาแปดวัน ก่อนไปทรงยืนกรานให้โตเกียวถวายการต้อนรับพระองค์กับหม่อมสุจาริณีอย่างเป็นทางการ แต่ฝ่ายญี่ปุ่นปฏิเสธด้วยเหตุผลทางพิธีการทูต คือมีแต่พระชายาที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้นที่จะสามารถออกงานร่วมกับพระองค์ในการพบปะอย่างเป็นทางการกับนายกรัฐมนตรี และราชวงศ์ญี่ปุ่น ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงโกรธเคืองเป็นอย่างมากเมื่อต้องเสด็จญี่ปุ่นตามลำพัง ทรงปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียมิได้ และฟ้าชายก็ระเบิดอารมณ์โดยเสด็จกลับก่อนกำหนดสามวัน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานว่าทางการญี่ปุ่นได้ทำการดูหมิ่นฟ้าชายและพระราชวงศ์ในหลายๆเหตุการณ์ ทำให้ลูกเสือชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไปชุมนุมที่หน้าสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ จะก่อความรุนแรงหากไม่มีการขอโทษ ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งในโตเกียวและกรุงเทพฯพากันตกอกตกใจ พลเอกเปรมก็มีกำหนดจะไปเยือนญี่ปุ่นภายในสิบวัน และก็ต้องกุเรื่องกล่าวหาว่าญี่ปุ่นทำให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสียหน้าเพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่ไม่สามารถบอกใครได้ พลเอกเปรมที่ทำหน้าที่หลักในการปกป้องพระเกียรติยศของพระราชวงศ์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำการประท้วงอย่างเป็นทางการ โดยที่วังต้องรีบจัดการไม่ให้เรื่องราวลุกลามบานปลาย เชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงกดดันให้ฟ้าชายต้องยอมสั่งให้ยุติการโจมตีญี่ปุ่นโดยเห็นแก่สัมพันธไมตรีในวันที่ 6 ตุลาคม 2530 และเมื่อพลเอกเปรมไปถึงโตเกียวหลายวันถัดมา นายกฯยาสุฮิโรนากาโซเนะก็แสดงความเสียใจและซาบซึ้งที่ฟ้าชายยอมแก้ไขสถานการณ์ ขณะที่พลเอกเปรมรับมือกับเรื่องของวัง ก็ยังต้องเจอปัญหาทางการเมืองที่ตนเองเป็นต้นเหตุ ในเดือนตุลาคมพลเอกเปรมนั่งเป็นประธานการประชุมกอรมน.เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มอำนาจแก่ฝ่ายบริหารและกองทัพ โดยประกาศว่าการปฏิรูปประชาธิปไตย ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดของประเทศชาติ โดยไม่มีหลักการและเหตุผลอย่างเป็นทางการ นอกจากเรื่องการเปลี่ยนตัวพระมหากษัตริย์ที่อาจเกิดขึ้นกับข้ออ้างเรื่องภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ในขณะเดียวกัน บารมีส่วนตัวของพลเอกเปรมก็เสื่อมลงจากการเปิดโปงการทุจริตคอรัปชั่นถึงสามเรื่องต่อเนื่องกัน กรณีแรกนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยาเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2530 ขณะดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกฝ่ายค้าน นำโดย นายสมัครอภิปรายกล่าวหาว่า นายจิรายุรับสินบน โดยนำสำเนาสเตตเมนต์ แสดงการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเฟิสต์ อินเตอร์สเตตในสหรัฐอเมริกา มาแสดงในสภาว่ามีชื่อของนายจิรายุ เป็นเจ้าของบัญชีดังกล่าว ซึ่งมีรายการโอนเงินค่าสินบน เป็นจำนวนเงิน 92 ล้านบาท หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายจิรายุลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และรองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 มาจนถึงปัจจุบัน
กรณีที่สองรัฐมนตรีคมนาคม นายบรรหาร ศิลปอาชาถูกกล่าวหาว่าโกงกินอย่างมโหฬารและซื้อเสียง ใช้อำนาจหน้าที่ในทางไม่สุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้งทำให้รัฐบาลสูญเสียเงินงบประมาณเพื่อประโยชน์ของบริษัทของตน เบื้องหลังคำกล่าวหาก็คือการเชื่อกันว่าพลเอกเปรมปล่อยให้บรรหารทุจริตโกงกินอย่างเสรี เนื่องจากพลเอกเปรมต้องอาศัยการสนับสนุนทางการเมืองจากนายบรรหาร
กรณีที่สามเป็นเรื่องการทุจริตในการซื้ออาวุธของกองทัพ ที่เกี่ยวพันกับพลเอกชวลิตและภรรยาในการจัดซื้อรถถังสติงเรย์ของอเมริกา รถถังรุ่นนี้กระทั่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก็ยังปฏิเสธเนื่องจากราคาแพงและคุณภาพต่ำ แต่ถึงกระนั้นพลเอกเปรมก็ยังปล่อยให้ดำเนินการต่อไป ทั้งๆที่ข้าราชการพลเรือนและทหารระดับสูงบางส่วนได้คัดค้านไว้แล้วก็ตาม ปรากฏว่าไทยเป็นประเทศเดียวที่ซื้อรถถังสติงเรย์ ซึ่งมีคุณภาพแย่ยิ่งกว่าที่ถูกวิจารณ์เสียอีก เรื่องอื้อฉาวเหล่านี้หนักหนาสาหัสพอที่จะทำให้รัฐบาลล้มพังพาบได้ ทำให้ต้องยกเลิกการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อน (ความคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อขจัดระบบพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยวิธีปิดทาง ส.ส.มิให้มีโอกาสเข้าสู่ฝ่ายบริหาร ที่ให้ประชาชนไม่มีอำนาจสูงสุดโดยผ่านการจัดตั้งพรรคเข้ามาบริหารประเทศ และจงใจเปิดโอกาสให้ข้าราชการประจำโดยเฉพาะจากกระทรวงมหาดไทยและกลาโหมเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง คือห้าม ส.ส. เป็นรัฐมนตรี รวมทั้งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง เพื่อสืบทอดประเพณีที่ว่า นายกฯคือมรดกของทหาร)
และทำให้การเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบห้ารอบของพระเจ้าอยู่หัวต้องพลอยเสียบรรยากาศไป ทหารตอบโต้ด้วยการบอกว่าความไร้เสถียรภาพทางการเมืองเป็นข้อพิสูจน์ว่าประชาธิปไตยใช้ไม่ได้ผล และพลเอกชวลิตก็พึมพำว่าประชาชนกำลังร้องขอให้เขาก่อการรัฐประหารเพื่อพลเอกเปรม การทะเลาะวิวาททางการเมืองเงียบเสียงลงไปในช่วงต้นเดือนธันวาคมก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 ปี ขณะที่มีการจุดพลุดอกไม้ไฟที่ญี่ปุ่นจัดให้พุ่งกระจายเต็มท้องฟ้า พลเอกเปรมก็กราบบังคมทูลถวายพระราชสมัญนามพระมหาราชแด่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอย่างเป็นทางการ ประชาชนก็แซ่ซร้องไปทั่วพระราชอาณาจักร โอรสองค์โตของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่ชื่อจุฑาวัชร ซึ่งอาจมีโอกาสได้เป็นกษัตริย์ในอนาคต ก็บวชเณรที่วัดบวรฯ เมื่อการเฉลิมฉลองเริ่มต้น ใบปลิวโจมตีพระราชวงศ์ก็ถูกแจกจ่ายอย่างเปิดเผยตามสี่แยกต่างๆ โดยถูกสอดไว้ในกล่องไปรษณีย์ในรัฐสภา ถูกถ่ายเอกสารและแฟ็กซ์ไปทั่วประเทศ บางคนวิจารณ์ในหลวงกับพระราชินีสิริกิติ์ตรงๆว่าทรงหวงอำนาจ ส่วนใหญ่มุ่งโจมตีฟ้าชายในเรื่องความประพฤติและเรื่องการเสด็จญี่ปุ่น รวมทั้งการปฏิบัติต่อโสมสวลี และประกาศว่าฟ้าชายไม่เหมาะที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ ฟ้าชายทรงนำความเสื่อมเสียและขาดสำนึกผิดชอบชั่วดีโดยสิ้นเชิง ถ้าเลือกฟ้าชายประเทศชาติก็จะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และยังโจมตีหม่อมสุจาริณีเรื่องปริญญาปลอมโดยบอกว่ามีการรีบพระราชทานใบปริญญาให้เธออย่างเร่งรีบโดยหวังว่าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงโปรดฯแต่งตั้งเธอเป็นเจ้าเต็มตัวในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ใบปลิวเหล่านี้ไม่มีการพูดถึงอย่างเป็นทางการจนกระทั่ง 8 ธันวาคม 2530 ก็ถูกระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามล้มล้างของพวกคอมมิวนิสต์ กองทัพและตำรวจประกาศว่าเป็นหลักฐานแสดงถึง ศัตรูกลุ่มหนึ่งของชาติที่เป็นส่วนหนึ่งใน ขบวนการที่จ้องล้มล้างสถาบันกษัตริย์ จริงๆแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีหลายกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์ที่เป็นผู้ผลิตใบปลิวเหล่านี้ เชื่อกันว่ามีกลุ่มหนึ่งในนั้นอยู่ในฝ่ายโสมสวลี ตำรวจตามล่าจับตัวคนพิมพ์ใบปลิวรายหนึ่ง นักศึกษากลุ่มหนึ่งและพระรูปหนึ่ง ที่ถูกไต่สวนพิจารณาคดีอย่างรวดเร็วและถูกตัดสินจำคุกด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
พระเจ้าอยู่หัวทรงปิดฉากปีแห่งความวุ่นวายนั้นด้วยพระราชพิธีชุมนุมพระบรมวงศานุวงศ์ครั้งใหญ่อย่างพร้อมเพรียงที่เสด็จมากันหมดเพื่อเฉลิมฉลองวาระอันสำคัญ ทรงมีพระบรมราโชวาทย้ำว่าสถาบันกษัตริย์มีความเป็นประชาธิปไตยและพระองค์ทรงเป็นตัวแทนมติเอกฉันท์ (consensus) ของปวงชน “สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่สร้างโดยประชาชนเพื่อเป็นที่พึ่งพาของประชาชน และกระทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน”
มรว.สุขุมพันธ์เขียนบทความลงในนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง กล่าวถึงความกังวลของประชาชนต่อการที่พระเจ้าอยู่หัวทรงทำท่าจะสละราชบัลลังก์ และพูดถึงใบปลิวที่ออกมาในเดือนธันวาคมว่าทำให้ประชาชนวิตกกังวล ไม่ใช่แค่เรื่องฟ้าชายเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการขยายอำนาจมากเกินไปของพระเจ้าอยู่หัวและกองทัพ เขาพูดถึงปัญหาอย่างระมัดระวัง ว่า...
ด้วยบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในพัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทย ตลอดจนการเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ความไม่แน่นอนใดๆ เกี่ยวกับอนาคตของกษัตริย์ก่อให้เกิดความหวั่นวิตกอย่างเลี่ยงไม่พ้น ผู้คนเกิดความสงสัย โดยมากเป็นการพูดคุยส่วนตัว แต่ตอนนี้เริ่มเปิดเผยมากขึ้นเกี่ยวกับศักยภาพของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ว่าจะสามารถสร้างความจงรักภักดีจากประชาชนและกลุ่มการเมืองต่างๆ ดังที่พระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำได้หรือไม่และยังคงสงสัยว่า ฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะสามารถเทียบชั้นกับพระราชบิดาของพระองค์ได้หรือไม่ สำหรับบทบาทอันแยบยลในทางการเมือง พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นสำหรับพระราชอาณาจักรของพระองค์และราชบัลลังก์ที่พระองค์ทรงสืบราชสันตติวงศ์มาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ด้วยการที่ได้ทรงปฏิบัติอย่างนั้น พระองค์ได้ทรงสร้างมาตรฐานที่อาจสูงเกินเอื้อมไว้สำหรับผู้ที่จะมารับช่วงต่อ หากการนำโดยสถาบันพระมหากษัตริย์จะย่อหย่อนหรือด้อยลงด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งในอนาคต ก็จะเกิดผลสะเทือนทางการเมืองอย่างรุนแรง ดุลอำนาจอันง่อนแง่นระหว่างกลุ่มนักการเมืองต่างๆก็จะถูกทำลายไป สุญญากาศที่จะเกิดขึ้นนี้มีแต่กองทัพเท่านั้นที่จะสามารถเติมเต็มได้ ด้วยการที่กองทัพผูกขาดอำนาจปืนความเป็นปึกแผ่น การควบคุมสื่อและการเมืองมวลชนรากหญ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว สำหรับคนไทยจำนวนมากแล้ว นี่คือสาเหตุเบื้องลึกที่สุดสำหรับการวิตกกังวล ... แต่ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวและพลเอกเปรมเปรมต่างก็ไม่ได้ยอมรับการวิเคราะห์ของมรว.สุขุมพันธ์ กระนั้นเมื่อคำวิจารณ์ของเขาถูกตีพิมพ์ เจ้าหน้าที่วังก็เริ่มพูดว่าในหลวงจะไม่สละราชบัลลังก์อย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าพระเจ้าอยู่หัวจะเปลี่ยนพระทัยซึ่งคงเป็นเพราะพฤติกรรมฉาวโฉ่ไม่เอาไหนของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ และปัจจัยหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าพลเอกเปรมกำลังถูกท้าทายอีกรอบหนึ่ง พอคล้อยหลังงานเฉลิมพระชนมพรรษา เรื่องทุจริตคอรัปชั่นก็โผล่มาอีกเป็นชุด อธิบดีและข้าราชการระดับสูงในกรมศุลกากรกับสรรพากรที่ควรจะเป็นข้าแผ่นดินที่ซื่อสัตย์สุจริต ก็ดันถูกจับได้ว่าพัวพันกับการลักลอบนำเข้ารถหรู พลเอกเปรมยอมรับใบลาออกของพวกเขา แต่เกิดความสงสัยไปทั่วว่าเขาทำเพียงเพื่อปิดบังเพื่อปกป้องแก๊งค์ลักลอบขนของเถื่อนในกองทัพ เขาไม่ได้จัดการปราบปรามการทุจริต เขาเพียงแต่ขยับตัวไปตามรายงานข่าวแย่ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น รัฐมนตรีบรรหารกลายเป็นประเด็นฉาวโฉ่อีกครั้งด้วยการกินรวบสัญญาโครงการต่างๆของรัฐบาลเข้ากระเป๋าตัวเอง เมื่อเศรษฐกิจส่อแววจะเสียหายจากการงุบงิบกรณีหนึ่ง กระทั่งภาคธุรกิจเอกชนก็ออกมาโจมตีพลเอกเปรม ที่อับอายขายหน้ามากที่สุดคือเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวพันกับวังและรัฐบาลเปรมเอง แก๊งค์ข้าราชการระดับสูงและพระชั้นผู้ใหญ่ถูกเปิดโปงว่าขายเครื่องราชย์ เรื่องนี้ตั้งเค้ามานาน การมอบเครื่องราชย์ เป็นกิจกรรมสำคัญที่ยาวนานในการสร้างชนชั้นสูงแวดล้อมวังและขยายวัฒนธรรมวังในแวดวงราชการและธุรกิจ และมันยังเป็นช่องทางการหารายได้สำหรับงานการกุศลของวังด้วย เนื่องด้วยอุปสงค์หรือความต้องการในการบริจาคและความอยากได้เครื่องราชย์มีเพิ่มมากขึ้นวังจึงแบ่งงานการจัดการในเรื่องนี้แก่รัฐบาลและคณะสงฆ์ โดยวัด องค์กรการกุศลและหน่วยงานราชการต่างๆ จะทำหน้าที่รายงานการบริจาคและรายชื่อผู้สมควรได้รับเครื่องราชย์แก่กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะทาหน้าที่ตรวจสอบรายชื่อและส่งต่อไปยังสานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามารถเพิ่มเติมรายชื่อได้ และบัญชีรายชื่อสุดท้ายจะถูกส่งไปยังสำนักราชเลขาธิการและปกติก็จะได้รับการยอมรับโดยไม่มีคำถามใดๆ โดยที่การมอบเครื่องราชย์ ไม่ได้มีแต่ข้อพิจารณาทางด้านสังคม หากแต่มีด้านเศรษฐกิจด้วยคือดูจากจำนวนเงินที่บริจาค ช่วงต้นทศวรรษ 2520 กระบวนการพิจารณาเรื่องนี้จึงมีความทุจริตคอรัปชั่น สามารถใช้เงินติดสินบนพระและข้าราชการเพื่อปลอมแปลงรายงานการบริจาค เรื่องนี้ถูกเปิดเผยในเดือนธันวาคม 2530 เมื่อข้าราชการชั้นสูงรายหนึ่งในสำนักเลขาธิการนายกฯของพลเอกเปรมฆ่าตัวตาย เขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลตราประทับของวังกับลายเซ็นของนายกฯ และได้ใช้ช่องทางนี้ช่วยให้คนได้รับเครื่องราชย์ การสืบสวนต่อมาพบว่ามีแก๊งค์เครื่องราชย์ อยู่อย่างน้อยสองกลุ่ม ซึ่งพัวพันกับเจ้าหน้าที่ในสำนักเลขาธิการ ของพลเอกเปรมและพระดังรูปหนึ่งของวัดเทพศิรินทร์ อันเป็นวัดหลวงที่อยู่ในแถวหน้าสุด ตำรวจประมาณการว่าเกือบครึ่งหนึ่งของรายชื่อผู้จะได้รับเครื่องราชฯ ในปีนั้นๆเป็นของปลอม โดยแอบอ้างเงินบริจาคมากกว่า 1,500 ล้านบาท งานนี้เปิดเผยให้เห็นว่าการมอบเครื่องราชย์กับวงจรการทำบุญของวังที่เรียกว่าโดยเสด็จพระราชกุศลนั้นตกต่ำเสื่อมถอยเพียงใด และยังชี้ให้เห็นว่าพลเอกเปรมผู้เป็นนายกฯพระราชทานไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนเลยกับการทุจริตคอรัปชั่น (คดีทุจริตเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ใช้เวลาพิจารณาคดีกันนานถึง17 ปี จาก 2531 มาตัดสินฎีกาเมื่อ 27 เมษายน 2548 โดยถูกพิพากษาจำคุก 5 คน ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1,130 ปี จนถึง 2,660 ปี แต่ตามกฎหมายให้จำคุกไม่เกิน 50 ปี จำเลยสำคัญ นายเมธี บริสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีถูกตัดสินจำคุกถึง 1,148 ปี จำเลยที่ 1 พระราชปัญญาโกศลหรือเจ้าคุณอุดมอดีตรองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ที่ลาสิกขาบทออกมาสู้คดีในนามนายผาสุก ขาวผ่องไม่ติดคุก เพราะศาลจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยถึงแก่กรรมเสียก่อน แสดงว่าวังก็ไม่ได้มุ่งมั่นที่จะดำเนินคดีนัก ส่วนใหญ่พ้นผิดไปเนื่องจากขาดหลักฐาน แต่มีจำนวนหนึ่งที่ถูกตัดสินจำคุกนานถึงสิบปืเนื่องจากสร้างความเสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์) บารมีของพลเอกเปรมถดถอยลงไปทุกที หลังจากผู้ประท้วงเขื่อนน้ำโจนบีบให้รัฐบาลต้องยอมยกเลิกโครงการเป็นผลสำเร็จ เมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2531 คณะรัฐมนตรี มีมติระงับการสร้าง เขื่อนน้ำโจน บริเวณเขาน้ำโจน เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จ. กาญจนบุรี โดยฝ่ายนักอนุรักษ์คนสำคัญ เช่น นายสืบ นาคะเสถียร หมอบุญส่ง เลขะกุล ได้เข้าคัดค้านอย่างเต็มที่ เนื่องจากน้ำจะท่วมใจกลางป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นพื้นที่ประมาณ 80,000 ไร่ นับเป็นผืนป่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งได้รับการประกาศจากองการณ์ยูเนสโกให้เป็น พื้นที่มรดกโลก
ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนกับลาวที่คุกรุ่นก็ระเบิดเป็นการสู้รบที่ร่มเกล้า ระหว่างวันที่ 1-19 กุมภาพันธ์ 2531 ที่บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อพล.อ.ชวลิต ผบ.ทบ. ประกาศจะผลักดันกองกำลังต่างชาติที่เข้ามายึดครองพื้นที่ในเขตไทยทุกรูปแบบด้วยการใช้กำลังทหาร จึงทำให้เกิดการสู้รบอย่างดุเดือดอย่างหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการสูญเสียอย่างมากทั้งฝ่ายไทยและลาว และนับเป็นการสูญเสียชีวิตทหารมากที่สุดในการรบของไทยเท่าที่เคยมีมา จากความขัดแย้งเรื่องพรมแดนไทย-ลาว ในบริเวณดังกล่าวเนื่องมาจากยึดถือเส้นพรมแดนในสนธิสัญญาคนละฉบับการเจรจายุติศึกแยกกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายออกจากกันฝ่ายละ 3 กิโลเมตร และทหารไทยก็พ่ายแพ้ทั้งที่ได้เปรียบในเชิงอาวุธยุทโธปกรณ์ พลเอกชวลิตโดนตำหนิไปเต็มๆ และยังเผื่อแผ่ไปถึงลูกพี่คือพลเอกเปรมด้วย ก่อนที่จะถูกถล่มยับเยินในสภา พลเอกเปรมชิงยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้ง 24 กรกฎาคม 2531 อย่างน้อยก็ทำให้เขายังได้เป็นประธานในงานเฉลิมฉลองการทำครองราชย์ยาวนานที่สุดกว่าพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ใด(โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 ผู้เป็นปู่ที่ครองราชย์ถึง 42 ปี 22วัน)ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2531 ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมในการสนับสนุนจากวังและกองทัพ พลเอกเปรมได้แสดงเจตนาชัดเจนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปโดยไม่ลงเลือกตั้ง แต่คราวนี้ความสัมพันธ์สามฝ่ายระหว่างพระ
การสรรเสริญสดุดีทั้งหมดนี้คือความพยายามแสดงว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลได้ทรงบรรลุถึงขั้นเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว พระสงฆ์สวดภาวนาถวายให้พระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ และมีการโหมโฆษณาพระราชกรณียกิจที่ทรงอุทิศพระองค์ต่อพระพุทธศาสนา กรมการศาสนาทำการสังคายนาพระไตรปิฎกเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระเจ้าอยู่หัว การสังคายนาพระไตรปิฎกถือเป็นงานใหญ่และไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก เป็นเครื่องบ่งบอกถึงพระอัจฉริยภาพของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลที่ได้ทรงเล็งเห็นและจัดการแก้ไขความบกพร่องในพระธรรมคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรว.คึกฤทธิ์ ได้บรรยายแก่สโมสรนักข่าวต่างชาติประจำประเทศไทย เมื่อ 22 มิถุนายน 2531 โดยป่าวประกาศถึงสภาวะเข้าใกล้ความเป็นเทพเจ้าของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล เขาเล่าถึงโครงการพระราชดำริต่างๆ อันวิเศษมหัศจรรย์ของพระองค์ซึ่งหากตกอยู่ในมือของรัฐบาลแล้วก็มีแต่จะล้มเหลวไม่ได้เรื่อง เขายกความดีให้เป็นผลมาจากการที่ในหลวงภูมิพลทรงเป็นทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ไปพร้อมๆก้น แม้จะดูขัดๆกันเองก็ตาม ว่า...
พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นอะไรที่ใกล้ชิดและเป็นที่รักของประชาชน ทรงถูกถือเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวและในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ยังเชื่อว่า ในหลวงคือพระเจ้า บางทีก็เป็นการยากที่ประชาชนจะหาสมดุลระหว่างความใกล้ชิดที่พวกเขารู้สึกต่อพระเจ้าอยู่หัวกับความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งที่พวกเขาเชื่อว่าพระองค์มี ในขณะเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวก็ต้องทรงรู้สึกว่าลำบากที่จะหาสมดุลระหว่างการเป็นมิตรของครอบครัวกับข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงสูงส่งอย่างยิ่ง ในงานพระราชพิธีและในวาระที่เป็นทางการ พระเจ้าอยู่หัวจะต้องทรงแสดงแง่มุมความศักดิ์สิทธิ์ออกมาในปริมาณหนึ่ง พระองค์ไม่สามารถเป็นมนุษย์ได้ล้วนๆ และในเวลาเดียวกันก็ต้องพยายามเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างมากเวลาเสด็จเดินสายต่างจังหวัด ทรงต้องเยี่ยมเยียนชาวบ้านถึงกระไดบ้าน เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าอยู่หัวนี่แหล่ะที่ได้ทำให้ประเทศชาติมีเสถืยรภาพมั่นคง
มรว.คึกฤทธิ์ได้สนับสนุนคำอ้างนี้ด้วยการเล่าถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า “ปาฏิหาริย์ที่เป็นจริง” นั่นคือการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ที่อยู่ในเขตลุ่มน้ำห้วยฮ่องไคร้ จากเดิมที่มีสภาพเป็นป่าเต็งรังเสื่อมโทรม ว่าเพียงหลังจากในหลวงทรงนำน้ำและสหกรณ์เข้ามาเท่านั้น ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นั่นก็ดีขึ้นทันตาเห็น “ถ้าคุณไปที่นั่นตอนนี้ คุณก็จะพบสวนแห่งอีเดน(หรือสวนสวรรค์บนดิน) นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในรัชกาลนี้”
นักข่าวต่างชาติต่างพากันหัวเราะคิกคักกับเรื่องความเป็นเทพเจ้าของพระเจ้าอยู่หัว เหมือนฟังเรื่องอภินิหารของพ่อมดหมอผีแห่งชนเผ่ามนุษย์กินคนในทวีปอัฟริกา แต่พวกเขาก็พร้อมใจกันก้มหน้าก้มตารายงานว่าความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับการพัฒนาประเทศล้วนเกิดจากพระเจ้าอยู่หัวอย่างน่าอัศจรรย์ นิวยอร์คไทมส์เขียนว่า “พระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ประจักษ์ในโครงการพัฒนาในพระราชดำริต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงริเริ่มและดูแลมาตั้งแต่ปีแรกๆ ที่ขึ้นครองราชย์ การใช้โครงการพระราชดำริหรือพระนามของพระองค์ย่อมเป็นหลักประกันว่าโครงการนั้นจะได้รับการปฏิบัติอย่างทุ่มเทและไม่มีข้าราชการหน้าไหนที่จะกล้าเฉื่อยชาหรือทำตัวเป็นอุปสรรค”
แต่การเชิดชูสดุดีพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้ช่วยปกป้องรัฐบาลเปรมเสมอไป ในปี 2530 พลเอกเปรมต้องเผชิญการท้าทายและการโจมตีที่หนักข้อขึ้นโดยบางส่วนมาจากองค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอที่กำลังเริ่มก่อตัวท้าทายรัฐบาลด้วยประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเด็นหนึ่งคือการรณรงค์ต่อต้านการสร้างเขื่อนน้ำโจนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้มีความกล้าหาญและมีพลัง งานนี้รวมคนได้กว้างขวางอย่างน่าทึ่ง คือมีทั้งเกษตรกร พ่อค้าในเมือง นักวิชาการและปัญญาชนกับนักสิ่งแวดล้อม ต่างพากันคัดค้านเขื่อนเพราะมันจะทำให้เกิดน้ำท่วมเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่กินพื้นที่กว้างใหญ่บริเวณชายเเดนภาคตะวันตกและทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องไร้ที่อยู่ที่ทำกิน พวกเขาโจมตีพลเอกเปรมที่ตัดสินใจเดินหน้าโครงการโดยไม่มีการปรึกษาหารือประชาชน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่มีผู้ว่าการคือนายเกษม จาติกวนิชย์ ซึ่งเป็นคนโปรดของพระเจ้าอยู่หัว ที่มีประวัติอันยาวนานในการทำลายสิ่งเเวดล้อมและการละเลยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ การประท้วงครั้งนี้ทำให้ในหลวงภูมิพลพลอยเสียชื่อไปด้วยอย่างอ้อมๆ เพราะการสร้างเขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตถูกยกให้เป็นผลงานของพระองค์ในการจัดการเรื่องแหล่งน้ำ ศึกครั้งนี้ยืดเยื้อข้ามปี 2530 และในที่สุด พลเอกเปรมกับกฟผ.ก็ยอมยกเลิกโครงการในต้นปี 2531 อย่างไม่เป็นท่า
การท้าทายต่อระบอบเปรมที่มีเจ้าหนุนหลังอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในการสังคายนาพระไตรปิฎก โดยพระสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายมองเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงเบื้องหลังงานใหญ่นี้คือการหาเรื่องเฉลิมฉลองวโรกาศพระชนมพรรษา 60 ปี ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่า เนื่องจากการกำหนดเส้นตายให้เสร็จภายในสองปีนั้นเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่ยอมเร่งมือและปล่อยให้กำหนดการนั้นถูกยกเลิกไป
พระราชวังและพลเอกเปรมได้พยายามสร้างระบอบวังร่วมกับกองทัพให้มั่นคงถาวร พระเจ้าอยู่หัวทรงบรรยายแก่กลุ่มนักข่าวไทยที่ไปเยี่ยมชมศูนย์โครงการพัฒนาในพระราชดำริที่เชียงใหม่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2530 โดยทรงเน้นว่าพระราชดำริของพระองค์มีความเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบท และระบบการเมืองก็ต้องมีความสอดคล้องกับบุคลิกความเป็นไทย พระราชดำรัสนี้เปิดให้มีการตีความไปได้หลายทาง สัปดาห์ต่อมาพลเอกเปรมก็บอกแก่คณะรัฐมนตรีของเขาว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนให้กองทัพมีบทบาทครอบงำการเมืองอย่างเป็นทางการ คนรับนโยบายของพลเอกเปรมคือผบ.ทบ.คนใหม่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้มีบทบาทในการร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523ประกาศใช้เมื่อ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 เพื่อเป็นแนวทางในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ สาระสำคัญของคำสั่งนี้ คือ การใช้หลักการเมืองนำการทหาร ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ได้ระบุถึงสาเหตุของการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ว่าเป็นเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยพลเอกชวลิตได้มีบทบาทในการดำเนินนโยบายทางสังคมและการเมืองของกองทัพในเขตชนบท โดยให้กองทัพเป็นผู้ควบคุมบางจังหวัด พลเอกชวลิตได้ช่วยพลเอกเปรมปราบปรามความพยายามก่อรัฐประหารมาหลายครั้ง เมื่อพลเอกอาทิตย์กระเด็นไปแล้ว พลเอกชวลิตก็มองว่าตนเองจะเป็นผู้ที่จะสืบทอดอำนาจต่อจากพลเอกเปรม
พลเอกชวลิตย้ำว่ามันคือพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัว เขาประกาศว่ากองทัพคือพลังหลักของประเทศในการพัฒนาและการบรรเทาความยากจน ภายใต้การชี้แนะของพระเจ้าอยู่หัว เรามีที่ดิน แหล่งน้ำ แรงงานที่มีวินัยและอุปกรณ์เครื่องมือมหาศาล ส่วนวิธีการนั้นเราหาได้จากหน่วยงานอื่นๆ กำลังพลได้เข้ารับการอบรมเรื่องการพัฒนาเพื่อรับดำเนินงานในโครงการในพระราชดำริจำนวนมากที่ใหญ่โตที่สุดคือโครงการอีสานเขียวอันโด่งดังของพลเอกชวลิต ที่จะพลิกแผ่นดินแห้งแล้งของอีสานให้เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาให้ได้ ใช้งบประมาณกว่า 13,500 ล้านบาท โดยถูกจัดสรรผ่านหน่วยงานต่างๆ ภายใต้การกำกับดูแลของกองทัพ และทหารจำนวนมากได้ออกไปสร้างอ่างเก็บน้ำ ถังน้ำ และขยายโครงการผันน้ำต่างๆ และยังได้ปลูกป่ายูคาลิปตัสเพื่อป้อนโรงงานเยื่อกระดาษโดยอ้างว่าเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่า แต่กองทัพกลับถูกโจมตีว่าแย่งบทบาทการทำงานของรัฐบาลโดยใช้โครงการพระราชดำริเป็นข้ออ้าง กองทัพถูกวิจารณ์ว่าได้ผลาญเงินงบประมาณประเทศไปกว่าหนึ่งในสี่ ซึ่งมากกว่างบสาธารณสุขและการศึกษามากนัก นักวิจารณ์เรียกกองทัพว่าเป็นเพียงอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่รับใช้แต่ตัวเองเท่านั้น โดยใช้งบประมาณของรัฐบาลสร้างอำนาจให้ตนเอง พวกเขาชี้ถึงการใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยของบรรดานายพลเศรษฐีนับสิบรายว่าเป็นหลักฐานแสดงถึงการทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างมโหฬาร และนักวิจารณ์บางคนก็ถามอย่างกวนๆ ว่าอีสานเขียวหมายถึงพืชพันธุ์ธัญญาหารหรือแค่เครื่องแบบทหารกันแน่ บรรดานายทหารก็แก้ตัวแบบเดียวกับที่วังได้ใช้โต้มาก่อนหลายปีแล้ว ว่านักการเมืองกับนักธุรกิจนายทุนนั้นฉ้อฉลและเห็นแก่ตัว เรื่องนี้ถึงกับมีการสอนในวิชาปรัชญาการเมืองที่โรงเรียนนายร้อยจปร. โดยกองทัพเผยแพร่ทัศนะนี้ผ่านสื่อด้วยคำขวัญอย่างเช่น “มีแต่กองทัพเท่านั้นที่ไม่เคยทอดทิ้งประชาชนและจริงใจต่อประชาชน มีแต่กองทัพเท่านั้นที่เป็นความหวังให้กับประชาชนได้”
แต่ว่ากองทัพก็ไม่สามารถอ้างว่าพวกตนมีมาตรฐานทางคุณธรรมสูงกว่าคนอื่นอีกต่อไปแล้ว เพราะฝ่ายค้านในสภาได้เตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกเปรมในเดือนเมษายน 2530 แต่ว่าพลเอกเปรมใช้เล่ห์กลตัดแข้งตัดขาและซื้อตัวสส.กันอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้ญัตติต้องตกไปเพราะคะแนนเสียงไม่พอ แต่ประชาชนก็ได้เห็นทางโทรทัศน์ว่าสส.ได้เยาะเย้ยหยามหยันรัฐบาลพลเอกเปรมที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุน และยังได้ยินถ้อยคำโจมตีพลเอกเปรมอย่างที่ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน อย่างเช่น มรว.คึกฤทธิ์กล่าวหาว่า ”พลเอกเปรมทำตัวยังกับเป็นพระเจ้าอยู่หัวเสียเอง การที่ผู้นำรัฐบาลไปเยี่ยมชาวบ้านและเอาแต่พูดถึงความจงรักภักดีของตนนั้นเป็นแค่ลูกไม้เพื่อสร้างความนิยมให้กับตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในอนาคต เผื่อว่าเกิดมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมา ประชาชนก็ต้องเลือกเขา เพราะชาวบ้านก็จงรักภักดีเหมือนกัน ผมรู้สึกน่าอับอายในฐานะคนไทยที่ต้องยอมให้คนๆ หนึ่งอยู่เหนือการเมืองและการวิพากษ์วิจารณ์ คนที่กลายมาเป็นเหมือนกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ว่าประพฤติตัวราวกับว่าตนเองมีความสำคัญมากกว่าพระมหากษัตริย์จริงๆ เสียอีก” มรว.สุขุมพันธ์ บริพัตรเขียนบทความที่โจมตีพลเอกเปรมอย่างรุนแรงในแนวเดียวกัน โดยบอกว่าพลเอกเปรมแทบไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยตลอดระยะเวลาเจ็ดปีและเป็นคนที่รังเกียจวิถีทางประชาธิปไตย “เนื้อหาสาระผลงานของพลเอกเปรมก็คือการถ่วงดุลทหารกลุ่มหนึ่งให้คุมเชิงทหารอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเอง ลีลาการเป็นผู้นำของพลเอกเปรมคือลอยตัวแบบเจ้า ลอยตัวจากปัญหาการเมืองทั้งหมด และคอยจัดการไม่ให้การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเขาลุกลามบานปลายออกไป” มรว.สุขุมพันธ์บอกว่าพลเอกเปรมไม่ได้เตรียมการใดๆ ให้ประเทศสำหรับการสละราชบัลลังก์ของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนล้วนพากันกังวลเรื่องข่าวลือการสละราชบัลลังก์... ในเรื่องล่อแหลมที่ถือเป็นวิกฤตต่อความเชื่อมั่นในสถาบันการเมืองของประเทศที่กำลังลุกลามเรื่องการสละราชบัลลังก์ก่อนเวลาจะส่งผลลบที่รุนแรงต่อระบบการเมืองไทย เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญและทรงอิทธิพลมากที่สุด ส่วนฟ้าชายวชิราลงกรณ์ไม่สามารถที่จะรับช่วงสืบทอดราชบัลลังก์ดำเนินรอยตามแบบที่พระราชบิดาได้ทรงวางไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างที่เป็นอันตรายมาก”
ปลายปี 2530 ได้เกิดแรงกดดันเพิ่มขึ้นเมื่อพลเอกเปรมและพลเอกชวลิตพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจของกองทัพบกแต่ต้องมาเจอเรื่องทุจริตอื้อฉาวหลายกรณีและความประพฤติที่เป็นวีรกรรมใหม่ๆ ของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ในระหว่างช่วงของการเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาที่กำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดยอดของเทศกาล ฟ้าชายที่พยายามประพฤติตัวดีมาตลอดเกือบทั้งปี แต่ในปลายปี 2530 พระองค์ดูจะอดพระทัยไม่ไหวและทรงรีบเร่งที่จะให้หม่อมสุจาริณีได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการเสียที ต้นเดือนมกราคม เธอได้คลอดลูกคนที่ห้า เป็นผู้หญิงได้ชื่อว่า บุษยาน้ำเพชร ภายหลังเปลี่ยนเป็น สิริวัณวรี มหิดล เธอได้ติดตามฟ้าชายพระสวามีออกงานไปทั่วประเทศ ปรากฏในข่าวชาววัง หนังสือพิมพ์ลงรูปหม่อมสุจาริณีในขณะที่ไม่ลงรูปรูปโสมสวลี ในเดือนพฤศจิกายนหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานว่าหม่อมสุจาริณีสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้วยคะแนนสูงสุดจากมหาวิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร หนังสือพิมพ์กับข่าวชาววังเผยแพร่ภาพพระสวามีพระราชทานปริญญาบัตรให้พระชายา ทำให้ประชาชนบางคนแอบเยาะหยันอย่างเงียบๆพร้อมทั้งข่าวอกุศลของหม่อมสุจารณีที่เผยแพร่โดยฝ่ายโสมสวลี
ด้วยกระแสเรื่องการสละราชบัลลังก์ ดูเหมือนว่าหม่อมสุจาริณีกำลังถูกเตรียมตัวให้เป็นราชินี แต่เธอยังไม่ได้มีสถานะที่เป็นทางการ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ที่สร้างปัญหาทางการทูตกับญี่ปุ่น ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน 2530 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเป็นเวลาแปดวัน ก่อนไปทรงยืนกรานให้โตเกียวถวายการต้อนรับพระองค์กับหม่อมสุจาริณีอย่างเป็นทางการ แต่ฝ่ายญี่ปุ่นปฏิเสธด้วยเหตุผลทางพิธีการทูต คือมีแต่พระชายาที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้นที่จะสามารถออกงานร่วมกับพระองค์ในการพบปะอย่างเป็นทางการกับนายกรัฐมนตรี และราชวงศ์ญี่ปุ่น ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงโกรธเคืองเป็นอย่างมากเมื่อต้องเสด็จญี่ปุ่นตามลำพัง ทรงปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียมิได้ และฟ้าชายก็ระเบิดอารมณ์โดยเสด็จกลับก่อนกำหนดสามวัน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานว่าทางการญี่ปุ่นได้ทำการดูหมิ่นฟ้าชายและพระราชวงศ์ในหลายๆเหตุการณ์ ทำให้ลูกเสือชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไปชุมนุมที่หน้าสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ จะก่อความรุนแรงหากไม่มีการขอโทษ ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งในโตเกียวและกรุงเทพฯพากันตกอกตกใจ พลเอกเปรมก็มีกำหนดจะไปเยือนญี่ปุ่นภายในสิบวัน และก็ต้องกุเรื่องกล่าวหาว่าญี่ปุ่นทำให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสียหน้าเพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่ไม่สามารถบอกใครได้ พลเอกเปรมที่ทำหน้าที่หลักในการปกป้องพระเกียรติยศของพระราชวงศ์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำการประท้วงอย่างเป็นทางการ โดยที่วังต้องรีบจัดการไม่ให้เรื่องราวลุกลามบานปลาย เชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงกดดันให้ฟ้าชายต้องยอมสั่งให้ยุติการโจมตีญี่ปุ่นโดยเห็นแก่สัมพันธไมตรีในวันที่ 6 ตุลาคม 2530 และเมื่อพลเอกเปรมไปถึงโตเกียวหลายวันถัดมา นายกฯยาสุฮิโรนากาโซเนะก็แสดงความเสียใจและซาบซึ้งที่ฟ้าชายยอมแก้ไขสถานการณ์ ขณะที่พลเอกเปรมรับมือกับเรื่องของวัง ก็ยังต้องเจอปัญหาทางการเมืองที่ตนเองเป็นต้นเหตุ ในเดือนตุลาคมพลเอกเปรมนั่งเป็นประธานการประชุมกอรมน.เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มอำนาจแก่ฝ่ายบริหารและกองทัพ โดยประกาศว่าการปฏิรูปประชาธิปไตย ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดของประเทศชาติ โดยไม่มีหลักการและเหตุผลอย่างเป็นทางการ นอกจากเรื่องการเปลี่ยนตัวพระมหากษัตริย์ที่อาจเกิดขึ้นกับข้ออ้างเรื่องภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ในขณะเดียวกัน บารมีส่วนตัวของพลเอกเปรมก็เสื่อมลงจากการเปิดโปงการทุจริตคอรัปชั่นถึงสามเรื่องต่อเนื่องกัน กรณีแรกนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยาเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2530 ขณะดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกฝ่ายค้าน นำโดย นายสมัครอภิปรายกล่าวหาว่า นายจิรายุรับสินบน โดยนำสำเนาสเตตเมนต์ แสดงการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเฟิสต์ อินเตอร์สเตตในสหรัฐอเมริกา มาแสดงในสภาว่ามีชื่อของนายจิรายุ เป็นเจ้าของบัญชีดังกล่าว ซึ่งมีรายการโอนเงินค่าสินบน เป็นจำนวนเงิน 92 ล้านบาท หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายจิรายุลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และรองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 มาจนถึงปัจจุบัน
กรณีที่สองรัฐมนตรีคมนาคม นายบรรหาร ศิลปอาชาถูกกล่าวหาว่าโกงกินอย่างมโหฬารและซื้อเสียง ใช้อำนาจหน้าที่ในทางไม่สุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้งทำให้รัฐบาลสูญเสียเงินงบประมาณเพื่อประโยชน์ของบริษัทของตน เบื้องหลังคำกล่าวหาก็คือการเชื่อกันว่าพลเอกเปรมปล่อยให้บรรหารทุจริตโกงกินอย่างเสรี เนื่องจากพลเอกเปรมต้องอาศัยการสนับสนุนทางการเมืองจากนายบรรหาร
กรณีที่สามเป็นเรื่องการทุจริตในการซื้ออาวุธของกองทัพ ที่เกี่ยวพันกับพลเอกชวลิตและภรรยาในการจัดซื้อรถถังสติงเรย์ของอเมริกา รถถังรุ่นนี้กระทั่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก็ยังปฏิเสธเนื่องจากราคาแพงและคุณภาพต่ำ แต่ถึงกระนั้นพลเอกเปรมก็ยังปล่อยให้ดำเนินการต่อไป ทั้งๆที่ข้าราชการพลเรือนและทหารระดับสูงบางส่วนได้คัดค้านไว้แล้วก็ตาม ปรากฏว่าไทยเป็นประเทศเดียวที่ซื้อรถถังสติงเรย์ ซึ่งมีคุณภาพแย่ยิ่งกว่าที่ถูกวิจารณ์เสียอีก เรื่องอื้อฉาวเหล่านี้หนักหนาสาหัสพอที่จะทำให้รัฐบาลล้มพังพาบได้ ทำให้ต้องยกเลิกการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อน (ความคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อขจัดระบบพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยวิธีปิดทาง ส.ส.มิให้มีโอกาสเข้าสู่ฝ่ายบริหาร ที่ให้ประชาชนไม่มีอำนาจสูงสุดโดยผ่านการจัดตั้งพรรคเข้ามาบริหารประเทศ และจงใจเปิดโอกาสให้ข้าราชการประจำโดยเฉพาะจากกระทรวงมหาดไทยและกลาโหมเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง คือห้าม ส.ส. เป็นรัฐมนตรี รวมทั้งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง เพื่อสืบทอดประเพณีที่ว่า นายกฯคือมรดกของทหาร)
และทำให้การเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบห้ารอบของพระเจ้าอยู่หัวต้องพลอยเสียบรรยากาศไป ทหารตอบโต้ด้วยการบอกว่าความไร้เสถียรภาพทางการเมืองเป็นข้อพิสูจน์ว่าประชาธิปไตยใช้ไม่ได้ผล และพลเอกชวลิตก็พึมพำว่าประชาชนกำลังร้องขอให้เขาก่อการรัฐประหารเพื่อพลเอกเปรม การทะเลาะวิวาททางการเมืองเงียบเสียงลงไปในช่วงต้นเดือนธันวาคมก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 ปี ขณะที่มีการจุดพลุดอกไม้ไฟที่ญี่ปุ่นจัดให้พุ่งกระจายเต็มท้องฟ้า พลเอกเปรมก็กราบบังคมทูลถวายพระราชสมัญนามพระมหาราชแด่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอย่างเป็นทางการ ประชาชนก็แซ่ซร้องไปทั่วพระราชอาณาจักร โอรสองค์โตของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่ชื่อจุฑาวัชร ซึ่งอาจมีโอกาสได้เป็นกษัตริย์ในอนาคต ก็บวชเณรที่วัดบวรฯ เมื่อการเฉลิมฉลองเริ่มต้น ใบปลิวโจมตีพระราชวงศ์ก็ถูกแจกจ่ายอย่างเปิดเผยตามสี่แยกต่างๆ โดยถูกสอดไว้ในกล่องไปรษณีย์ในรัฐสภา ถูกถ่ายเอกสารและแฟ็กซ์ไปทั่วประเทศ บางคนวิจารณ์ในหลวงกับพระราชินีสิริกิติ์ตรงๆว่าทรงหวงอำนาจ ส่วนใหญ่มุ่งโจมตีฟ้าชายในเรื่องความประพฤติและเรื่องการเสด็จญี่ปุ่น รวมทั้งการปฏิบัติต่อโสมสวลี และประกาศว่าฟ้าชายไม่เหมาะที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ ฟ้าชายทรงนำความเสื่อมเสียและขาดสำนึกผิดชอบชั่วดีโดยสิ้นเชิง ถ้าเลือกฟ้าชายประเทศชาติก็จะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และยังโจมตีหม่อมสุจาริณีเรื่องปริญญาปลอมโดยบอกว่ามีการรีบพระราชทานใบปริญญาให้เธออย่างเร่งรีบโดยหวังว่าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงโปรดฯแต่งตั้งเธอเป็นเจ้าเต็มตัวในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ใบปลิวเหล่านี้ไม่มีการพูดถึงอย่างเป็นทางการจนกระทั่ง 8 ธันวาคม 2530 ก็ถูกระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามล้มล้างของพวกคอมมิวนิสต์ กองทัพและตำรวจประกาศว่าเป็นหลักฐานแสดงถึง ศัตรูกลุ่มหนึ่งของชาติที่เป็นส่วนหนึ่งใน ขบวนการที่จ้องล้มล้างสถาบันกษัตริย์ จริงๆแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีหลายกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์ที่เป็นผู้ผลิตใบปลิวเหล่านี้ เชื่อกันว่ามีกลุ่มหนึ่งในนั้นอยู่ในฝ่ายโสมสวลี ตำรวจตามล่าจับตัวคนพิมพ์ใบปลิวรายหนึ่ง นักศึกษากลุ่มหนึ่งและพระรูปหนึ่ง ที่ถูกไต่สวนพิจารณาคดีอย่างรวดเร็วและถูกตัดสินจำคุกด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
พระเจ้าอยู่หัวทรงปิดฉากปีแห่งความวุ่นวายนั้นด้วยพระราชพิธีชุมนุมพระบรมวงศานุวงศ์ครั้งใหญ่อย่างพร้อมเพรียงที่เสด็จมากันหมดเพื่อเฉลิมฉลองวาระอันสำคัญ ทรงมีพระบรมราโชวาทย้ำว่าสถาบันกษัตริย์มีความเป็นประชาธิปไตยและพระองค์ทรงเป็นตัวแทนมติเอกฉันท์ (consensus) ของปวงชน “สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่สร้างโดยประชาชนเพื่อเป็นที่พึ่งพาของประชาชน และกระทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน”
มรว.สุขุมพันธ์เขียนบทความลงในนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง กล่าวถึงความกังวลของประชาชนต่อการที่พระเจ้าอยู่หัวทรงทำท่าจะสละราชบัลลังก์ และพูดถึงใบปลิวที่ออกมาในเดือนธันวาคมว่าทำให้ประชาชนวิตกกังวล ไม่ใช่แค่เรื่องฟ้าชายเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการขยายอำนาจมากเกินไปของพระเจ้าอยู่หัวและกองทัพ เขาพูดถึงปัญหาอย่างระมัดระวัง ว่า...
ด้วยบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในพัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทย ตลอดจนการเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ความไม่แน่นอนใดๆ เกี่ยวกับอนาคตของกษัตริย์ก่อให้เกิดความหวั่นวิตกอย่างเลี่ยงไม่พ้น ผู้คนเกิดความสงสัย โดยมากเป็นการพูดคุยส่วนตัว แต่ตอนนี้เริ่มเปิดเผยมากขึ้นเกี่ยวกับศักยภาพของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ว่าจะสามารถสร้างความจงรักภักดีจากประชาชนและกลุ่มการเมืองต่างๆ ดังที่พระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำได้หรือไม่และยังคงสงสัยว่า ฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะสามารถเทียบชั้นกับพระราชบิดาของพระองค์ได้หรือไม่ สำหรับบทบาทอันแยบยลในทางการเมือง พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นสำหรับพระราชอาณาจักรของพระองค์และราชบัลลังก์ที่พระองค์ทรงสืบราชสันตติวงศ์มาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ด้วยการที่ได้ทรงปฏิบัติอย่างนั้น พระองค์ได้ทรงสร้างมาตรฐานที่อาจสูงเกินเอื้อมไว้สำหรับผู้ที่จะมารับช่วงต่อ หากการนำโดยสถาบันพระมหากษัตริย์จะย่อหย่อนหรือด้อยลงด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งในอนาคต ก็จะเกิดผลสะเทือนทางการเมืองอย่างรุนแรง ดุลอำนาจอันง่อนแง่นระหว่างกลุ่มนักการเมืองต่างๆก็จะถูกทำลายไป สุญญากาศที่จะเกิดขึ้นนี้มีแต่กองทัพเท่านั้นที่จะสามารถเติมเต็มได้ ด้วยการที่กองทัพผูกขาดอำนาจปืนความเป็นปึกแผ่น การควบคุมสื่อและการเมืองมวลชนรากหญ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว สำหรับคนไทยจำนวนมากแล้ว นี่คือสาเหตุเบื้องลึกที่สุดสำหรับการวิตกกังวล ... แต่ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวและพลเอกเปรมเปรมต่างก็ไม่ได้ยอมรับการวิเคราะห์ของมรว.สุขุมพันธ์ กระนั้นเมื่อคำวิจารณ์ของเขาถูกตีพิมพ์ เจ้าหน้าที่วังก็เริ่มพูดว่าในหลวงจะไม่สละราชบัลลังก์อย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าพระเจ้าอยู่หัวจะเปลี่ยนพระทัยซึ่งคงเป็นเพราะพฤติกรรมฉาวโฉ่ไม่เอาไหนของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ และปัจจัยหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าพลเอกเปรมกำลังถูกท้าทายอีกรอบหนึ่ง พอคล้อยหลังงานเฉลิมพระชนมพรรษา เรื่องทุจริตคอรัปชั่นก็โผล่มาอีกเป็นชุด อธิบดีและข้าราชการระดับสูงในกรมศุลกากรกับสรรพากรที่ควรจะเป็นข้าแผ่นดินที่ซื่อสัตย์สุจริต ก็ดันถูกจับได้ว่าพัวพันกับการลักลอบนำเข้ารถหรู พลเอกเปรมยอมรับใบลาออกของพวกเขา แต่เกิดความสงสัยไปทั่วว่าเขาทำเพียงเพื่อปิดบังเพื่อปกป้องแก๊งค์ลักลอบขนของเถื่อนในกองทัพ เขาไม่ได้จัดการปราบปรามการทุจริต เขาเพียงแต่ขยับตัวไปตามรายงานข่าวแย่ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น รัฐมนตรีบรรหารกลายเป็นประเด็นฉาวโฉ่อีกครั้งด้วยการกินรวบสัญญาโครงการต่างๆของรัฐบาลเข้ากระเป๋าตัวเอง เมื่อเศรษฐกิจส่อแววจะเสียหายจากการงุบงิบกรณีหนึ่ง กระทั่งภาคธุรกิจเอกชนก็ออกมาโจมตีพลเอกเปรม ที่อับอายขายหน้ามากที่สุดคือเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวพันกับวังและรัฐบาลเปรมเอง แก๊งค์ข้าราชการระดับสูงและพระชั้นผู้ใหญ่ถูกเปิดโปงว่าขายเครื่องราชย์ เรื่องนี้ตั้งเค้ามานาน การมอบเครื่องราชย์ เป็นกิจกรรมสำคัญที่ยาวนานในการสร้างชนชั้นสูงแวดล้อมวังและขยายวัฒนธรรมวังในแวดวงราชการและธุรกิจ และมันยังเป็นช่องทางการหารายได้สำหรับงานการกุศลของวังด้วย เนื่องด้วยอุปสงค์หรือความต้องการในการบริจาคและความอยากได้เครื่องราชย์มีเพิ่มมากขึ้นวังจึงแบ่งงานการจัดการในเรื่องนี้แก่รัฐบาลและคณะสงฆ์ โดยวัด องค์กรการกุศลและหน่วยงานราชการต่างๆ จะทำหน้าที่รายงานการบริจาคและรายชื่อผู้สมควรได้รับเครื่องราชย์แก่กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะทาหน้าที่ตรวจสอบรายชื่อและส่งต่อไปยังสานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามารถเพิ่มเติมรายชื่อได้ และบัญชีรายชื่อสุดท้ายจะถูกส่งไปยังสำนักราชเลขาธิการและปกติก็จะได้รับการยอมรับโดยไม่มีคำถามใดๆ โดยที่การมอบเครื่องราชย์ ไม่ได้มีแต่ข้อพิจารณาทางด้านสังคม หากแต่มีด้านเศรษฐกิจด้วยคือดูจากจำนวนเงินที่บริจาค ช่วงต้นทศวรรษ 2520 กระบวนการพิจารณาเรื่องนี้จึงมีความทุจริตคอรัปชั่น สามารถใช้เงินติดสินบนพระและข้าราชการเพื่อปลอมแปลงรายงานการบริจาค เรื่องนี้ถูกเปิดเผยในเดือนธันวาคม 2530 เมื่อข้าราชการชั้นสูงรายหนึ่งในสำนักเลขาธิการนายกฯของพลเอกเปรมฆ่าตัวตาย เขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลตราประทับของวังกับลายเซ็นของนายกฯ และได้ใช้ช่องทางนี้ช่วยให้คนได้รับเครื่องราชย์ การสืบสวนต่อมาพบว่ามีแก๊งค์เครื่องราชย์ อยู่อย่างน้อยสองกลุ่ม ซึ่งพัวพันกับเจ้าหน้าที่ในสำนักเลขาธิการ ของพลเอกเปรมและพระดังรูปหนึ่งของวัดเทพศิรินทร์ อันเป็นวัดหลวงที่อยู่ในแถวหน้าสุด ตำรวจประมาณการว่าเกือบครึ่งหนึ่งของรายชื่อผู้จะได้รับเครื่องราชฯ ในปีนั้นๆเป็นของปลอม โดยแอบอ้างเงินบริจาคมากกว่า 1,500 ล้านบาท งานนี้เปิดเผยให้เห็นว่าการมอบเครื่องราชย์กับวงจรการทำบุญของวังที่เรียกว่าโดยเสด็จพระราชกุศลนั้นตกต่ำเสื่อมถอยเพียงใด และยังชี้ให้เห็นว่าพลเอกเปรมผู้เป็นนายกฯพระราชทานไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนเลยกับการทุจริตคอรัปชั่น (คดีทุจริตเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ใช้เวลาพิจารณาคดีกันนานถึง17 ปี จาก 2531 มาตัดสินฎีกาเมื่อ 27 เมษายน 2548 โดยถูกพิพากษาจำคุก 5 คน ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1,130 ปี จนถึง 2,660 ปี แต่ตามกฎหมายให้จำคุกไม่เกิน 50 ปี จำเลยสำคัญ นายเมธี บริสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีถูกตัดสินจำคุกถึง 1,148 ปี จำเลยที่ 1 พระราชปัญญาโกศลหรือเจ้าคุณอุดมอดีตรองเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ที่ลาสิกขาบทออกมาสู้คดีในนามนายผาสุก ขาวผ่องไม่ติดคุก เพราะศาลจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยถึงแก่กรรมเสียก่อน แสดงว่าวังก็ไม่ได้มุ่งมั่นที่จะดำเนินคดีนัก ส่วนใหญ่พ้นผิดไปเนื่องจากขาดหลักฐาน แต่มีจำนวนหนึ่งที่ถูกตัดสินจำคุกนานถึงสิบปืเนื่องจากสร้างความเสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์) บารมีของพลเอกเปรมถดถอยลงไปทุกที หลังจากผู้ประท้วงเขื่อนน้ำโจนบีบให้รัฐบาลต้องยอมยกเลิกโครงการเป็นผลสำเร็จ เมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2531 คณะรัฐมนตรี มีมติระงับการสร้าง เขื่อนน้ำโจน บริเวณเขาน้ำโจน เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จ. กาญจนบุรี โดยฝ่ายนักอนุรักษ์คนสำคัญ เช่น นายสืบ นาคะเสถียร หมอบุญส่ง เลขะกุล ได้เข้าคัดค้านอย่างเต็มที่ เนื่องจากน้ำจะท่วมใจกลางป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นพื้นที่ประมาณ 80,000 ไร่ นับเป็นผืนป่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งได้รับการประกาศจากองการณ์ยูเนสโกให้เป็น พื้นที่มรดกโลก
ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนกับลาวที่คุกรุ่นก็ระเบิดเป็นการสู้รบที่ร่มเกล้า ระหว่างวันที่ 1-19 กุมภาพันธ์ 2531 ที่บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อพล.อ.ชวลิต ผบ.ทบ. ประกาศจะผลักดันกองกำลังต่างชาติที่เข้ามายึดครองพื้นที่ในเขตไทยทุกรูปแบบด้วยการใช้กำลังทหาร จึงทำให้เกิดการสู้รบอย่างดุเดือดอย่างหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการสูญเสียอย่างมากทั้งฝ่ายไทยและลาว และนับเป็นการสูญเสียชีวิตทหารมากที่สุดในการรบของไทยเท่าที่เคยมีมา จากความขัดแย้งเรื่องพรมแดนไทย-ลาว ในบริเวณดังกล่าวเนื่องมาจากยึดถือเส้นพรมแดนในสนธิสัญญาคนละฉบับการเจรจายุติศึกแยกกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายออกจากกันฝ่ายละ 3 กิโลเมตร และทหารไทยก็พ่ายแพ้ทั้งที่ได้เปรียบในเชิงอาวุธยุทโธปกรณ์ พลเอกชวลิตโดนตำหนิไปเต็มๆ และยังเผื่อแผ่ไปถึงลูกพี่คือพลเอกเปรมด้วย ก่อนที่จะถูกถล่มยับเยินในสภา พลเอกเปรมชิงยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้ง 24 กรกฎาคม 2531 อย่างน้อยก็ทำให้เขายังได้เป็นประธานในงานเฉลิมฉลองการทำครองราชย์ยาวนานที่สุดกว่าพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ใด(โดยเฉพาะรัชกาลที่ 5 ผู้เป็นปู่ที่ครองราชย์ถึง 42 ปี 22วัน)ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2531 ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมในการสนับสนุนจากวังและกองทัพ พลเอกเปรมได้แสดงเจตนาชัดเจนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปโดยไม่ลงเลือกตั้ง แต่คราวนี้ความสัมพันธ์สามฝ่ายระหว่างพระ
ต่อ
เหนื่อยหน่ายกับการซักถามของทนายก็ขู่ว่าจะแฉเรื่องทั้งหมดถ้ายังบังคับให้ต้องแสดงละครต่อไปอีก
ท่ามกลางเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าพระเจ้าอยู่หัวจะมัวจดจ่อเรื่องยุ่งเหยิงจนไม่ทันได้ทรงสังเกตว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงเริ่มออกอาการมีปัญหา นอกจากขบวนผู้ติดตามขนาดใหญ่ตามปกติแล้วพระราชินียังทรงผิดหวังอย่างมากจากการที่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทิ้งโสมสวลีผู้เป็นหลานสาวของพระองค์ โดยฟ้าชายทรงแสดงชัดถึงการปฏิเสธโสมสวลีในการพระราชทานสัมภาษณ์กับสื่อไทยในกลางปี 2527 ว่าพระองค์ต้องทุ่มเทให้กับบทบาทการเป็นทหารอาชีพที่มีวินัยเข้มงวดและเข้ารับใช้อุทิศตนให้กับพระเจ้าอยู่หัวและประเทศชาติในฐานะว่าที่กษัตริย์ในอนาคต โดยพระองค์ไม่เอ่ยถึงพระชายาเลย ทำให้ครอบครัวของโสมสวลีและผู้สนับสนุนพากันเดือดดาลต่อทั้งฟ้าชายและพระราชินี และยังมีเรื่องวุ่นๆเพิ่มเข้ามาอีกคือเรื่องขัดแย้งระหว่างพลเอกเปรมกับพลเอกอาทิตย์ เรื่องแชร์แม่ชม้อยที่ล้มไม่เป็นท่า โดยมีเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ในกรุงเทพฯว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอยู่ด้วยและยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนในเหมืองทองที่แคลิฟอร์เนียของทูลกระหม่อมอุบลรัตนกับนายเจนเส่นผู้เป็นสามี ซึ่งดูเหมือนจะพัวพันถึงคนอื่นๆในพระราชวงศ์ด้วย ซึ่งงานนี้ได้เงินกู้ก้อนโต ถึง400 ล้านบาทจากธนาคารไทยพาณิชย์ (ราวปี 2526 ปีเตอร์ เจนเซ่น สามีของอุบลรัตน์ ร่วมกับนักการเงินที่แคลิฟอร์เนีย ชื่อ นายริชาร์ด ไซเบอร์แมน Richard Siberman ลงทุนในกิจการเหมืองที่เมืองยูบา Yuba Natural Resources ที่จะถลุงทองคำจากหางแร่ในแม่น้ำยูบา Yuba ที่แคลิฟอร์เนีย ธนาคารไทยพาณิชย์ให้เงินกู้แก่นายเจนเซ่นไปลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงมากๆ ผลคือไม่มีทองคำ และเงินกู้ก็กลายเป็นหนี้เสียไปภายในเวลาสองหรือสามปี ในราวปี 2532 บริษัทนี้ถูกขายให้กับอีกบริษัทหนึ่ง ) จากนั้นในเดือนพฤษภาคม 2528 มีข่าวพันโทณรงค์เดช นันทโพธิเดช ขวัญใจของพระราชินีเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในสหรัฐฯ ทั้งๆที่เป็นคนหนุ่มที่แข็งแรงมากโดยมีข่าวลีอว่าเขาถูกฆาตกรรม ความโศกเศร้าของพระราชินีกลายเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ในงานศพของพันโทณรงค์เดชที่ระดับสูงในกองทัพและรัฐบาลเข้าร่วม พระราชินีทรงจัดทำหนังสืองานศพที่มีรูปถ่ายของทั้งสอง จากนั้นก็มีสารคดีโทรทัศน์ยกย่องเชิดชูณรงค์เดช ซึ่งก็เผยถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างพวกเขาทั้งสอง ที่บางคนถึงกับหาว่าอาจเป็นชู้รักกัน
เดือนต่อมา สุจาริณีคลอดลูกชายอีกหนึ่งคน ตอนนี้ทางวังต้องทำเป็นยอมรับหม่อมสุจาริณีผู้เป็นแม่ของหลานกษัตริย์ถึงสี่คน และเธอยังต้องการลูกชายอีกหนึ่งคนเพราะว่าพระหมอดูรายหนึ่งได้ทำนายว่าหากเธอมีลูกกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์เป็นเพศชายห้าคน เธอจะได้เป็นราชินีซึ่งเรื่องนี้ถูกถือเป็นจริงเป็นจังในแวดวงชาววัง เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้กับการรัฐประหารลึกลับในเดือนกันยายน 2528 ได้ทำให้พระราชินีสิริกิติ์ทนต่อไปไม่ได้และถึงกับระเบิดออกมาในตอนปลายปี ต้องเสด็จเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาที่เรียกว่า diagnostic curettage” (การควักเอาชิ้นเนื้อเยื่อไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ) ทรงหายหน้าหายตาจากสาธารณะไปเป็นเวลาหกเดือน กล่าวกันว่าในหลวงภูมิพลทรงแยกพระราชินีออกจากบริวารแวดล้อมด้วยพระองค์เองและต้องเสวยอาหารบำรุงสุขภาพ ข่าวลือแพร่ไปว่าทรงประชวรหนัก กระทั่งอาจถึงสิ้นพระชนม์ ในที่สุด พระราชินีก็ทรงหวนคืนเวทีในเดือนกรกฎาคม 2529 ในงานพระราชพิธีฉลองเสาหลักเมืองของกรุงเทพฯ ทรงดูเซื่องซึมขาดชีวิตชีวา แล้วก็ทรงหายไปอีกสามสัปดาห์ กระทั่งไม่เสด็จในพระราชพิธีเฉลิมพระชนพรรษา 12 สิงหาคม 2529 ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์จึงทรงทำหน้าที่แทน ทรงออกโทรทัศน์ตรัสยกย่องพระราชินีว่าทรงเป็นยอดหญิงผู้อุทิศตนและเสียสละ “ตั้งแต่ทรงเข้ารับการผ่าตัดในปี 2528 แม่ก็มีอาการดีขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้แม่ออกกำลังกายเป็นประจำ และกระทั่งข้าพเจ้าอายุน้อยกว่าแม่ถึง 25 ปีก็ยังทำไม่ได้เท่า ถ้าประชาชนจะโกรธเคืองเพราะการที่แม่หายหน้าไปจากสาธารณะ พวกข้าพเจ้า(ลูกๆ)ก็สมควรได้รับการตำหนิ เนื่องจากพวกข้าพเจ้ายืนกรานให้แม่ได้พักผ่อนไม่ต้องออกงาน ปกติทุกๆ คนล้วนมีวันหยุด แต่แม่ไม่เคยมีเลย” ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ตรัสว่า พระราชินีสิริกิติ์ทรงตื่นนอนเวลาประมาณ 10-11 โมงเช้าทุกวัน และทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน “ถ้าแม่นอนไม่หลับ ก็จะทำงานไปจนถึงเช้า พอแต่ลืมตาตื่น แม่ก็ไม่มีเวลาสำหรับอะไรอย่างอื่นนอกจากงาน ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินแม่พูดว่าเหนื่อยเลย”
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ใช้โอกาสนี้กล่าวถึงบางเรื่องที่ร่ำลือกันมานานและภาพลักษณ์พระราชวงศ์อลเวงที่ประชาชนเฝ้าติดตามชม ทรงปฏิเสธข่าวลือที่ว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงครอบงำพระราชวงศ์
“เราทั้งหมดทำงานให้พ่อ เพราะเรามีความจงรักภักดี ในครอบครัวเราไม่มีใครต้องการความนิยมส่วนตัว ทุกคนช่วยกันทำงานและเราทำงานเป็นทีม แต่ก็มีคนพูดว่าครอบครัวของเราแบ่งเป็นสองฝ่าย ซึ่งไม่จริงเลย” และเพื่อเป็นการพิสูจน์ วันที่ 18 สิงหาคม 2529 เมื่อพระราชินีสิริกิติ์มีพระอาการดีขึ้นพอที่จะรับแขกมาอวยพรได้ (คนแรกคือพลเอกเปรม) งานนี้ถูกจัดให้เป็นราวกับพิธีกรรมทางศาสนา พระราชินีทรงโทษว่าอาการประชวรของพระองค์เป็นผลมาจากความเหนื่อยล้ากับเป็นคราวเคราะห์ และทรงยกย่องความสูงส่งของพระองค์เองด้วยการตรัสว่าคนที่สวดภาวนาให้พระองค์จะได้บุญมาก “หากข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องทางสายกลาง ข้าพเจ้าก็คงจะไม่เจ็บป่วยและเสียเวลาไปมากมายอย่างนี้” พระราชเสาวณีย์เหล่านี้แสดงถึงความสำคัญของดวงดาวที่วังเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างการประชวร แต่อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้ คนไทยก็สนใจเรื่องในวังน้อยลงไปมาก และตั้งคำถามมากขึ้น ในทศวรรษ 2520 การศึกษาที่กว้างขวางขึ้นและความเจริญทางเศรษฐกิจได้สร้างชนชั้นกลางขึ้นมาเป็นจำนวนมากที่ยึดคุณค่าและการปฏิบัติที่แตกต่างไปจากความคิดและความเชื่อของในหลวงภูมิพลกับพลเอกเปรม ประชากรในเมืองมีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ การค้าและการอุตสาหกรรมมีขนาดใหญ่กว่าการเกษตร โดยมีแรงผลักดันจากการส่งออกไปตลาดโลกเป็นสำคัญ คนงานโรงงานในเมืองมีจำนวนนับล้านๆคน ชีวิตของพวกเขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังอื่นๆ เช่น ทุนต่างชาติ การแข่งขันและบริโภคนิยม มากกว่าพลังแผ่นดินหรือพลังของพระเจ้าแผ่นดิน
ในช่วงเวลาเดียวกัน นักศึกษาที่เคยต่อสู้กับเผด็จการทหารในยุคทศวรรษ 2500 และ 2510 ก็เติบโตขึ้น กลายเป็นคนทำงานบริษัท ทำธุรกิจส่วนตัว เป็นอาจารย์ สื่อมวลชน นักการเมือง นักร้องและนักเขียน และอยู่เบื้องหลังกิจกรรมและองค์กรพัฒนาเอกชนที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำงานในประเด็นความยากจน การศึกษา สิ่งแวดล้อม อันเป็นอาณาบริเวณที่รัฐบาลกับวังถือเป็นพื้นที่ฐานเสียงของตนยิ่งกว่านั้น หลังจากเวลาผ่านไป 5 ปี คนไทยจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายลีลาการลอยตัวเหนือปัญหาและปิดปากเงียบของพลเอกเปรม พวกเขาวิจารณ์พลเอกเปรมอย่างเปิดเผยว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะพลเอกเปรมไม่ยอมตอบคำถามใดๆ เกี่ยวกับการบริหารประเทศหรือแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องอื้อฉาวกับความผิดพลาดล้มเหลวต่างๆ เรียกว่าเป็นรัฐบาลเตมีย์ใบ้ คือไม่ยอมพูด เอาแต่ถวายรายงานต่อพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นเจ้าของประเทศตัวจริงเท่านั้น ชนชั้นกลางรุ่นใหม่คาดหวังการปกป้องจากกฎหมายที่เป็นระบบและมีตัวบทชัดเจนมากกว่าการปกป้องจากระบบสังคมแบบพ่อขุนอุปถัมภ์และระบบศักดินาคลั่งเจ้าที่รัฐบาลทหารให้การเชิดชู และพวกเขาก็ปฏิเสธการกุมอำนาจของกองทัพที่เอาแต่อ้างภัยคอมมิวนิสต์ สัญญาณอัน หนึ่งที่บ่งบอกถึงความรู้สึกนี้คือชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ที่ผิดคาดในปี 2528 ของพลตรีจำลอง ศรีเมือง เบอร์ 8 ในนาม “ กลุ่มรวมพลัง ” โดยได้รับคะแนนเสียง 408,233 คะแนน เป็นอดีตยังเติร์กและเลขานุการนายกฯ ของพลเอกเปรม ผู้หันหลังให้กับการเมืองภายในกองทัพและกลายมาเป็นคนธัมมะธัมโม ที่ใช้ชีวิตสมถะ ละกามารมณ์ ไม่กินเนื้อสัตว์ และไม่นอนบนฟูก กลุ่มศาสนาที่เขาสังกัดคือสันติอโศก ที่ถือว่าวงการสงฆ์กระแสหลักไม่มีความเข้มงวดจริงจัง เอาแต่แสวงหาทรัพย์และลาภยศ (ในปี 2531 จึงก่อตั้ง พรรคพลังธรรม ขึ้น โดยสื่อมักเรียกขานกันว่าเป็น “ พรรคพลังผัก ” เนื่องจากสนับสนุนให้คนเลิกกินเนื้อสัตว์หันมากินอาหารมังสวิรัติ กระแสความนิยมในตัว พล.ต.จำลองในฐานะนักการเมืองผู้สมถะ พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นกระแส “ จำลองฟีเวอร์ ” และเรียกกันติดปากว่า " มหาจำลอง " ชนะการเลือกตั้งเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่า ฯ อีกสมัยในปี พ.ศ. 2533 โดยได้รับคะแนนท่วมท้นถึง 703,671 คะแนน) การชนะเลือกตั้งของพลตรีจำลองเป็นสัญญาณแสดงถึงการที่คนเมืองปฏิเสธรัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่นและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนภายใต้การบริหารของพลเอกเปรมซึ่งทำให้เมืองหลวงสกปรกเละเทะ รถติดและมีมลพิษ พลตรีจำลองหาเสียงด้วยภาพของความซื่อสัตย์และความกระตือรือร้น บอกถึงความล้มเหลวของโครงสร้างระดับอำนาจอันมีพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงอยู่บนยอดสุดโดยมีพลเอกเปรม กองทัพและราชการเรียงลำดับลดหลั่นกันลงมา
ในปี 2529 การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประชาชนปรากฏชัดเมื่อพลเอกเปรมแทบจะล้มพังพาบจากศึกในสภา พลเอกเปรมรับมือด้วยลีลาแบบป๋าอุปถัมภ์และการก่อตั้งกลุ่มการเมืองของตนเอง โดยให้พลอ.อ. สิทธิ เศวตศิลา ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของตนเข้ายึดพรรคกิจสังคมหลังจากมรว.คึกฤทธิ์ อำลาเวทีไป และให้พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ เพื่อนอีกคนหนึ่งตั้งพรรคราษฎรขึ้นมาเพื่อเป็นฐานให้กับตนเอง ซึ่งดูขัดแย้งกับทัศนคติศักดินาบูชาเจ้าของในหลวงและพลเอกเปรมที่รังเกียจระบบรัฐสภาแต่ดันมาเสริมความชอบธรรมของการเมืองระบบรัฐสภาด้วยการตั้งพรรคการเมืองเพื่อเป็นฐานสนับสนุนตนเองในสภา และทำให้วังกลายเป็นผู้เล่นรายหนึ่งในสภาอย่างอ้อมๆ เปิดช่องให้มีโอกาสถูกท้าทายและวิพากษ์วิจารณ์ได้ ภายในเวลาสองเดือน สภาก็เล่นงานพลเอกเปรมอีก พอต้นเดือนพฤษภาคม พลเอกเปรมต้องเสนอให้ในหลวงภูมิพลยุบสภาและประกาศเลือกตั้งใหม่แต่ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง ความแตกแยกเป็นฝักฝ่ายในกองทัพก็เกิดขึ้นมาอีก พลเอกอาทิตย์รู้ทันเกมการสร้างพรรคของพลเอกเปรมว่าหมายถึงการที่พลเอกเปรมจะไม่ยอมลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อพลเอกอาทิตย์ขู่จะก่อการรัฐประหาร วังก็แสดงความชัดเจนออกมาว่าการต่อต้านพลเอกเปรมก็เท่ากับการต่อต้านวัง อย่างแรกที่วังแสดงออกคือ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยี่ยมพลเอกเปรมที่บ้านอย่างเปิดเผย แทนที่พลเอกเปรมจะเป็นฝ่ายไปเข้าเฝ้าตามธรรมเนียม สองสามสัปดาห์ต่อมา ในหลวงภูมิพลก็พระราชทานยศพล.อ.อ. กับ พล ร. อ. ให้แก่พลเอกเปรม ซึ่งปกติแล้วการมียศหลายตำแหน่งจะสงวนไว้สำหรับพระราชวงศ์เท่านั้น และขณะที่พลเอกเปรมอยู่ในฐานที่มั่นที่นครราชสีมาก็ได้ประกาศพระบรมราชโองการฯ ปลดพลเอกอาทิตย์ ออกจากตำแหน่งผบ.ทบ.ซึ่งถือเป็นจุดจบทางการเมืองของพลเอกอาทิตย์ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นการรับประกันความอยู่รอดของพลเอกเปรม การรณรงค์หาเสียงของนักการเมืองหัวก้าวหน้าพุ่งเป้าโจมตีพลเอกเปรมที่ไม่ยอมลงสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งกองทัพที่มีการทุจริตอย่างกว้างขวางและเป็นทหารการเมือง แต่พลเอกเปรมก็ไม่สะทกสะท้านเพราะเขาได้ยึดเอาพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเป็นแบบอย่างคืออ้างว่าเขามีความเป็นกลางและอยู่เหนือการเมือง ถึงแม้ว่าบริวารส่วนตัวของพลเอกเปรมจะจัดการดูแลพรรคการเมืองอยู่ก็ตาม แต่ในหลวงและพลเอกเปรมก็มีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการปล่อยข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงต้องการให้พลเอกเปรมเป็นนายกอย่างน้อยจนกว่าจะผ่านงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 ชันษาในปี 2530 ไปก่อน และจากนั้นก็เป็นการเฉลิมฉลองวาระการขึ้นครองราชย์ที่ยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ในปี 2531(รัชกาลที่ 5 ทรงครองราชย์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะทรงมีพระชนม์เพียง 16 ปี โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ -ช่วง บุนนาค เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2416 เสด็จสวรรคตเมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมระยะเวลาครองราชย์ 42 ปี 22 วัน ขณะที่รัชกาลที่ 9 ครองราชย์วันที่ 9 มิถุนายน 2489 และจะครองราชย์นานเท่ากับรัชกาลที่ 5 ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2531)
ผลการเลือกตั้ง 27 กรกฎาคมออกมาไม่มีพรรคใดชนะโดยเด็ดขาด พรรคที่ได้ที่นั่งมากที่สุด 100 จาก 347 เสียงคือประชาธิปัตย์ ที่มีภาพลักษณ์สะอาดที่สุดและโจมตีพันธมิตรเปรม-วัง-กับกองทัพหนักหน่วงที่สุด พรรคประชาธิปัตย์จึงมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของหัวหน้าพรรค นายพิชัย รัตตกุล แต่แล้วนายพิชัยก็ศิโรราบแก่พลเอกเปรม ซึ่งทำให้คนในพรรคโกรธแค้นมาก ส่วนใครจะเป็นคนไปเกลี้ยกล่อมนายพิชัยอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่คาดเดากันไปต่างๆ นานา พรรคร่วมรัฐบาลของพลเอกเปรมประกอบด้วยประชาธิปัตย์ ชาติไทย และพรรคของพลเอกเปรมเองคือ กิจสังคมกับราษฎร แล้วพลเอกเปรมก็หักหลังประชาธิปัตย์ด้วยการตั้งคนของตนเองเข้ามาในคณะรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทยถูกยกให้อดีตผู้นำกระทิงแดงพล ต.อ.ประจวบ สุนทรางกูร ที่ส่งตำรวจเตรียมพร้อมรับมือทันทีที่มีนักศึกษาบางคนออกมาประท้วง ไม่ต่างจากยุคขวาพิฆาตซ้ายในปี 2519 เลย กระทรวงคมนาคมและการสื่อสารอันเป็นกระทรวงเกรดเอที่ให้ผลประโยชน์มากที่สุดตกเป็นของดาวรุ่งคนใหม่ของพรรคชาติไทยชื่อนายบรรหาร ศิลปอาชา หลงจู๊ผู้รับเหมาที่ไม่ชอบการอดอยากปากแห้งที่มีอิทธิพลในพื้นที่ภาคกลาง พลเอกเปรมกับวังคุมการเมืองไว้ได้อีกครั้งหนึ่งโดยไม่ต้องใช้กำลัง และทำให้หลายคนได้เห็นว่า “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจโดยสมาชิกสภา แต่ตัดสินโดยกองทัพ วังและกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ” เมื่อพลเอกเปรมชนะศึกไปได้อีกยกหนึ่ง ก็ยังได้ช่วยประคองภาพลักษณ์ของฟ้าชายแม้ว่าจะทรงผลักไสไล่ส่งโสมสวลีออกไปแล้วก็ตาม ฟ้าชายดูเหมือนว่าได้ทรงทำข้อตกลงไว้กับในหลวง คือถ้าฟ้าชายทำตัวดีและถ้าหม่อมสุจาริณีสามารถยกระดับตัวเองจากกำพืดอันต่ำต้อยได้ เธออาจได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวงศ์ ฟ้าชายลงทุนเสด็จออกเยี่ยมเยียนคนยากคนจนหลายครั้ง ทรงทำบุญตามวัดในต่างจังหวัดและพระราชทานปริญญาบัตรตามสถาบันการศึกษามากขึ้น ทรงนำพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 9 ไปแจกจ่ายให้จังหวัดต่างๆ อันเป็นโครงการที่เริ่มมาตั้งแต่ทศวรรษ 2500 เพื่อแผ่ขยายบารมีของพระเจ้าอยู่หัวให้ครอบคลุมไปทั่วพระราชอาณาจักรทรงประทับเคียงข้างพระราชบิดาในการรับถวายสาส์นตราตั้งจากนักการทูตที่เพิ่งมาใหม่และเสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2530 เสด็จเป็นตัวแทนพระเจ้าอยู่หัวไปเยือนจีน ในการเสด็จออกงานเหล่านี้ มักจะมีหม่อมสุจาริณีเดินตามห่างๆอย่างสงบเสงี่ยมเยี่ยงชาววังที่ดี
กลางปี 2529 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์พระราชทานสัมภาษณ์อย่างยืดยาวแก่หนังสือสารดิฉัน เป็นนิตยสารแฟชั่นและการใช้ชีวิตชั้นนำสำหรับชนชั้นสูงและชนชั้นกลางเจ้าของนิตยสารคือ นายปีย์ มาลากุล จากตระกูลที่รับใช้ในหลวงภูมิพลมายาวนาน นายปีย์เป็นเหมือนผู้ชำนาญการประชาสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการของพระราชวัง บทสัมภาษณ์ยาว 32 หน้าพร้อมทั้งรูปถ่ายที่ถ่ายในวังใกล้สนามบินน้ำเมืองนนท์ เนื้อหาบรรยายถึงฟ้าชายวชิราลงกรณ์ว่าเป็นเจ้าชายที่ทุ่มเททำงานหนัก อุทิศตนเพี่อพระราชบิดาและประเทศชาติโดยแทบไม่มีเวลาแสวงหาความเพลิดเพลิน ใจความ หลักของบทสัมภาษณ์อยู่ที่การยอมรับถึงลูกทั้งสี่คนที่เกิดจากหม่อมสุจาริณี โดยโสมสวลีถูกตัดขาดออกไป แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อตรงๆ แต่ฟ้าชายก็ทรงโจมตีโสมสวลีว่าไม่เหมาะสมที่จะแต่งงานกับพระมหากษัตริย์ในอนาคต เพราะไม่สามารถร่วมแบ่งปันและมีส่วนร่วมในชีวิตและภารกิจของพระองค์ตลอดจนสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงตรัสว่าการแต่งงานครั้งนั้นคือความผิดพลาดที่เกิดจากการเร่งรีบ และตอนนั้นเธอยังเป็นวัยรุ่น จึงไม่พร้อมแม้กระทั่งในทางกายภาพสำหรับความสัมพันธ์กับผู้ชาย ซึ่งพระองค์ไม่ได้ขยายความในประเด็นนี้ว่าคืออะไร
ขณะที่ทรงปฏิเสธเรื่องฉาวโฉ่ต่างๆ ได้ตรัสถึงภาพลักษณ์ของพระองค์ว่าคนมีชื่อเสียงทุกคนล้วนต้องทนกล้ำกลืนกับปัญหาของการซุบซิบนินทาและการที่มีคนเอาพระนามไปแอบอ้างหาผลประโยชน์ นี่คือความทุกข์ที่พระองค์ต้องทรงกล้ำกลืนในการรับใช้พระราชบิดา และรับมือด้วยการละวางตามแบบพุทธ “บางทีในชาติปางก่อน เราอาจไม่ได้ทำบุญมากพอ หรือบางทีในบางครั้งเราทำอะไรที่น่าตำหนิ เรายอมรับ... ถ้าหากสวรรค์คิดว่าเราไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในการทำหน้าที่ของเรา ก็หยุดและจบ ถ้าท่านคิดได้อย่างนี้ท่านก็จะสบายใจ ท่านไม่ได้คิดเป็นอะไร หากสวรรค์ให้ท่านมีภารกิจต่อแผ่นดิน ก็ยอมรับ ถ้าเขาไม่ต้องการให้ทำงาน ก็โอเค” ผู้อ่านส่วนใหญ่คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจฟ้าชาย แต่บทสัมภาษณ์นี้ทำให้ฝ่ายโสมสวลีโกรธจัดเป็นเจ้าเข้า การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นขั้นตอนที่จัดไว้เพื่อที่จะยกหม่อมสุจาริณีให้มาแทนที่โสมสวลี โดยดูเหมือนจะได้ไฟเขียวจากพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี ที่จริงการยกฐานะหม่อมสุจาริณีมีแนวโน้มเป็นไปได้ เพราะตอนที่ฟ้าชายพระราชทานสัมภาษณ์นั้น เธออุ้มท้องได้สามเดือนแล้ว
ปลายปี 2529 ในหลวงภูมิพล พร้อมทั้งบริวารในวังและพลเอกเปรมมีเวลาได้พักสบายใจอยู่พักหนึ่งหลังชนะศึกทางการเมืองและเรื่องวุ่นๆในพระราชวงศ์มาได้ พวกเขามุ่งความสนใจไปที่การฉลองพระชนมพรรษาครบ 60 ชันษาของในหลวงภูมิพล ซึ่งจะเป็นหัวใจของงานเฉลิมฉลองนาน 20เดือนสำหรับรัชกาลที่ 9 และระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของประเทศโดยมีพลเอกเปรมเป็นตัวแทนของราชวงศ์ บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองเริ่มตลบอบอวลไปทั่วแล้วเมื่อในหลวงภูมิพลทรงเดี่ยวไมโครโฟนและทรงร่ายยาวในงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา บรรดาผู้ชมผู้ฟังที่มีพลเอกเปรมกับคณะรัฐมนตรี ทหารและข้าราชการระดับสูงอื่นๆ ที่ฟังมั่งไม่ฟังมั่งจนถึงตอนที่ในหลวงภูมิพลมีพระราชดำรัสว่า “น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะต้องไหลต่อไป และน้ำที่ไหลจะต้องมีการเปลี่ยนถ่าย” ทรงตรัสต่อไปด้วยพระพักต์นิ่งตามแบบฉบับของพระองค์ “ในช่วงชีวิตของเรา เราปฏิบัติหน้าที่ของเรา เมื่อเราเกษียณ ก็จะมีคนอื่นมาแทน ไม่มีใครจะยึดอยู่กับภารกิจเดียวได้ตลอดไป วันหนึ่งก็จะแก่ตัวและตายไป” พระราชดำรัสนี้ทำให้เกิดความสะท้านสะเทือนขึ้นทันทีทันใด การที่ในหลวงได้มีรับสั่งว่าพระองค์อาจสละราชบัลลังก์ในเวลาอีกไม่นานนัก มันเป็นเรื่องน่าใจหาย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ในทศวรรษ 2520 นั้นไม่เคยรู้จักพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นเลยนอกจากพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ราวกับว่าพระองค์คงจะครองราชย์ไปเรื่อยๆตราบชั่วกัลปาวสานต์ ประชาชนชาวไทยก็ถูกสอนและกรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ปกปักรักษาแผ่นดินนี้ ถ้าไม่มีในหลวงก็จะไม่มีประเทศไทย แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็รู้เรื่องคำทำนายโบราณว่าราชวงศ์จักรีจะมีกษัตริย์แค่เก้าพระองค์ และเมื่อนึกถึงภาพฟ้าชายวชิราลงกรณ์ได้เป็นรัชกาลที่ 10 แล้ว นี่หมายถึงความปั่นป่วนโกลาหลหรือความวิบัติหายนะที่จะบังเกิดขึ้น
พระราชดำรัสของในหลวงเท่ากับเป็นการส่งสัญญานบอกใบ้ล่วงหน้า และทางพระราชวังก็ยอมรับว่าพระองค์อาจจะถึงกับสละราชบัลลังก์หลังจากการเฉลิมฉลองสถิติการเสวยราชย์นานที่สุดในประเทศในเดือนกรกฎาคม 2531 ได้ผ่านพ้นไป แต่ในหลายเดือนต่อมา มรว.ทองน้อย ทองใหญ่เลขาธิการคณะองคมนตรีกับท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะผู้ถวายงานสนองพระเดชพระคุณหลายด้าน ก็ชี้แจงว่าการสละราชบัลลังก์ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในหลวงภูมิพลไม่สามารถสละราชบัลลังก์ได้จริงๆ พระองค์อาจทรงผนวช(บวชเป็นพระ)โดยที่ยังไม่ทิ้งเรื่องของชาติบ้านเมือง ในหลวงจะไม่สละราชบัลลังก์ ถ้าหากการสละราชบัลลังก์หมายความถึงการละทิ้งความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง...เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าพระราชโอรสมีวัยอันเหมาะสมและพร้อมที่จะรับช่วงงานทั้งหลายแล้ว พระองค์ก็อาจจะเข้าวัด ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแค่พระสงฆ์ สิ่งสำคัญคือพระองค์จะยังคงประทับอยู่ตรงนั้น คือประทับอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์และทรงช่วยเหลือพระราชโอรสแก้ปัญหาต่างๆ
คำพูดของมรว.ทองน้อยยังเป็นการยืนยันว่าราชบัลลังก์จะตกเป็นของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่ได้ทรงเร่งขย้นออกงานและมีถ้อยแถลงที่ดูสูงส่งมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจว่าพระองค์เป็นธรรมราชาได้ ในเดือนมิถุนายน 2530 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์พระราชทานสัมภาษณ์แก่คณะผู้สื่อข่าวต่างชาติที่ประจำอยู่ในกรุงเทพฯ ทรงตอบคำถามในการสัมภาษณ์อย่างมีการเตรียมบทมาแล้ว จึงไม่มีการเปิดเผยอะไรมากนัก ทรงย้ำว่าพระองค์เป็นคนธรรมดาที่ทำหน้าที่รับใช้พระราชบิดาผู้ที่ได้ทรงสร้างประเทศให้เป็นปึกแผ่นมาถึง 40ปี ความสำเร็จของพระราชบิดาเป็นผลมาจากการที่ทรงยึดมั่นในหลักทศพิธราชธรรม มีบทสัมภาษณ์ฟ้าชายในหนังสือดิฉันในเดือนถัดไปความยาว20 หน้าพร้อมด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทั้งในชุดนักบินกับชุดวิ่งจ็อกกิ้ง อันเป็นภาพของเจ้าชายชาติทหารผู้เอาการเอางาน ทรงตรัสถึงความทุกข์เข็ญของชาวบ้านยากจนทางภาคใต้ที่พระองค์เพิ่งได้เสด็จไปเยือนซึ่งถูกละเลยจากทางราชการ ทรงตรัสถึงโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชที่รัฐบริหารผิดพลาดว่าทำให้พระนามของพระองค์ต้องด่างพร้อย ทรงเน้นความสัมพันธ์อันวิเศษระหว่างประชาชนกับพระราชวงศ์ ว่าถึงแม้ประชาชนจะยากจนหรือเจ็บป่วยเพียงใด ไม่ว่าหนุ่มสาวหรือเฒ่า ก็ยังมารับเสด็จพระองค์ด้วยพวงมาลัยที่ทำด้วยมือของตนเองกับของฝากอื่นๆ ตลอดการเสด็จครั้งนี้ทำให้พระองค์เกิดความสนพระทัยในความเป็นไปของบ้านเมือง “เราอยากออกไปพบปะกับประชาชนอีก จริงๆ แล้วอยากเดินไปให้ทั่วทั้งประเทศไทย” พระดำรัสของฟ้าชายดูคล้ายพระราชบิดาเข้าไปทุกทีคงเชื่อมั่นว่าจะเจริญรอยตามพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นเจ้าชีวิตของประชาชนไทย ผู้สัมภาษณ์ถามเรื่องภาพลักษณ์ของฟ้าชายต่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ฟ้าชายทรงตอบอย่างระมัดระวังว่า “เรามีคนชอบ มีคนไม่ชอบ มันเป็นสิทธิของเขา ที่ไหนๆ ก็มีเรื่องซุบซิบนินทา ถ้ามัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องซุบซิบนินทา ก็ไม่เป็นอันทำงาน แต่ใครที่ซุบซิบนินทา ถ้าต้องการรู้ความจริง ถ้าอยากถามเรา และมีจิตใจบริสุทธิ์ และมาถามความจริง เราจะเคารพ” หัวข้อเรื่องหม่อมสุจาริณีกับโสมสวลียังคงอยู่นอกขอบเขตของประเด็นสัมภาษณ์ แต่หนังสือดิฉันก็ได้ยกเรื่องที่ในหลวงภูมิพลทรงแสดงท่าทีจะสละราชบัลลังก์ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ยืนยันถึงความสูงส่งของพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ไม่ทรงอาจเอือมว่า..“เราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ และไม่ต้องการรู้เรื่องนี้ เรื่องอะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับพ่อเป็นเรื่องที่สูงส่ง สูงกว่าเรา เราเป็นคนรับใช้ของพ่อ และฉะนั้นจะทำตามที่ท่านสั่งให้ทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ เรามีกษัตริย์ที่ยึดปฏิบัติทศพิธ ราชธรรมเราควรรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินนี้ เราควรพอใจที่ได้อยู่ใกล้แทบเท้าของท่าน”
พลเอกเปรมทุ่มงบประมาณแผ่นดินจัดงานฉลองพระชนมพรรษา 60 ปีถวายพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ทั้งโปสเตอร์และป้ายโฆษณาผุดขึ้นทั่วประเทศและไม่ว่าใครจะขยับตัวทำอะไรในปีก่อนหน้าและหลังจากนี้ล้วนแต่ เป็น การ“เฉลิมพระเกียรติ” ไปเกือบหมด หน่วยราชการผลิตหนังสือและสารคดีโทรทัศน์ยืดยาวเชิดชูพระอัจฉริยภาพ การยึดมั่นในทศพิธราชธรรมของพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนความยิ่งใหญ่อันไร้ที่ติของกษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรี มหาวิทยาลัยต่างๆ จดสัมมนาอภิปราย ออกบทวิเคราะห์ทางวิชาการสดุดีพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลกับพระราชวงศ์ทุกพระองค์ สมาชิกของพระราชวงศ์ก็ทรงเข้าร่วมขบวนการเทิดพระเกียรติด้วยเช่นกัน โดยเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาเขียนเรื่อง”เจ้านาย”ในปี 2539 เกี่ยวกับชีวิตวัยเยาว์ของในหลวงอานันท์กับในหลวงภูมิพล และกองทัพก็เอาไปตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือหนา 400 หน้าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความฉลาดปราดเปรื่องของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองพระองค์ ฟ้าหญิงสิรินธรทรงเขียนสรรเสริญสดุดีความมหัศจรรย์ในงานพัฒนาของพระเจ้าอยู่หัวในหนังสือของคณะกรรมการประสานงานโครงการตามพระราชดำริ ว่า “ไม่ว่าพ่อจะผ่านไปทางไหน ในปีถัดมาก็จะเห็นการพัฒนา สุขภาพของประชาชนดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้น สภาพเศรษฐกิจดีขึ้น” การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกับการบินไทยร่วมมือกันจัดโครงการณ์สนับสนุนการท่องเที่ยวประเทศไทย (Visit Thailand Year) ซึ่งเน้นวาระครบรอบ 60 ชันษาของพระเจ้าอยู่หัวเป็นจุดขายโดยจัดพระราชพิธีเห่เรือในเดือนตุลาคม ความสัมพันธ์ของกองทัพกับวังก็มีการพัฒนายกระดับมากขึ้น ในเดือนมีนาคม 2530 พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่ทหารกรมกองต่างๆ ด้ามธงบรรจุด้วยเส้นพระเกศาของในหลวงภูมิพล กองทัพแสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณด้วยการ
ท่ามกลางเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าพระเจ้าอยู่หัวจะมัวจดจ่อเรื่องยุ่งเหยิงจนไม่ทันได้ทรงสังเกตว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงเริ่มออกอาการมีปัญหา นอกจากขบวนผู้ติดตามขนาดใหญ่ตามปกติแล้วพระราชินียังทรงผิดหวังอย่างมากจากการที่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทิ้งโสมสวลีผู้เป็นหลานสาวของพระองค์ โดยฟ้าชายทรงแสดงชัดถึงการปฏิเสธโสมสวลีในการพระราชทานสัมภาษณ์กับสื่อไทยในกลางปี 2527 ว่าพระองค์ต้องทุ่มเทให้กับบทบาทการเป็นทหารอาชีพที่มีวินัยเข้มงวดและเข้ารับใช้อุทิศตนให้กับพระเจ้าอยู่หัวและประเทศชาติในฐานะว่าที่กษัตริย์ในอนาคต โดยพระองค์ไม่เอ่ยถึงพระชายาเลย ทำให้ครอบครัวของโสมสวลีและผู้สนับสนุนพากันเดือดดาลต่อทั้งฟ้าชายและพระราชินี และยังมีเรื่องวุ่นๆเพิ่มเข้ามาอีกคือเรื่องขัดแย้งระหว่างพลเอกเปรมกับพลเอกอาทิตย์ เรื่องแชร์แม่ชม้อยที่ล้มไม่เป็นท่า โดยมีเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ในกรุงเทพฯว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอยู่ด้วยและยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนในเหมืองทองที่แคลิฟอร์เนียของทูลกระหม่อมอุบลรัตนกับนายเจนเส่นผู้เป็นสามี ซึ่งดูเหมือนจะพัวพันถึงคนอื่นๆในพระราชวงศ์ด้วย ซึ่งงานนี้ได้เงินกู้ก้อนโต ถึง400 ล้านบาทจากธนาคารไทยพาณิชย์ (ราวปี 2526 ปีเตอร์ เจนเซ่น สามีของอุบลรัตน์ ร่วมกับนักการเงินที่แคลิฟอร์เนีย ชื่อ นายริชาร์ด ไซเบอร์แมน Richard Siberman ลงทุนในกิจการเหมืองที่เมืองยูบา Yuba Natural Resources ที่จะถลุงทองคำจากหางแร่ในแม่น้ำยูบา Yuba ที่แคลิฟอร์เนีย ธนาคารไทยพาณิชย์ให้เงินกู้แก่นายเจนเซ่นไปลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงมากๆ ผลคือไม่มีทองคำ และเงินกู้ก็กลายเป็นหนี้เสียไปภายในเวลาสองหรือสามปี ในราวปี 2532 บริษัทนี้ถูกขายให้กับอีกบริษัทหนึ่ง ) จากนั้นในเดือนพฤษภาคม 2528 มีข่าวพันโทณรงค์เดช นันทโพธิเดช ขวัญใจของพระราชินีเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในสหรัฐฯ ทั้งๆที่เป็นคนหนุ่มที่แข็งแรงมากโดยมีข่าวลีอว่าเขาถูกฆาตกรรม ความโศกเศร้าของพระราชินีกลายเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ในงานศพของพันโทณรงค์เดชที่ระดับสูงในกองทัพและรัฐบาลเข้าร่วม พระราชินีทรงจัดทำหนังสืองานศพที่มีรูปถ่ายของทั้งสอง จากนั้นก็มีสารคดีโทรทัศน์ยกย่องเชิดชูณรงค์เดช ซึ่งก็เผยถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างพวกเขาทั้งสอง ที่บางคนถึงกับหาว่าอาจเป็นชู้รักกัน
เดือนต่อมา สุจาริณีคลอดลูกชายอีกหนึ่งคน ตอนนี้ทางวังต้องทำเป็นยอมรับหม่อมสุจาริณีผู้เป็นแม่ของหลานกษัตริย์ถึงสี่คน และเธอยังต้องการลูกชายอีกหนึ่งคนเพราะว่าพระหมอดูรายหนึ่งได้ทำนายว่าหากเธอมีลูกกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์เป็นเพศชายห้าคน เธอจะได้เป็นราชินีซึ่งเรื่องนี้ถูกถือเป็นจริงเป็นจังในแวดวงชาววัง เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้กับการรัฐประหารลึกลับในเดือนกันยายน 2528 ได้ทำให้พระราชินีสิริกิติ์ทนต่อไปไม่ได้และถึงกับระเบิดออกมาในตอนปลายปี ต้องเสด็จเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาที่เรียกว่า diagnostic curettage” (การควักเอาชิ้นเนื้อเยื่อไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ) ทรงหายหน้าหายตาจากสาธารณะไปเป็นเวลาหกเดือน กล่าวกันว่าในหลวงภูมิพลทรงแยกพระราชินีออกจากบริวารแวดล้อมด้วยพระองค์เองและต้องเสวยอาหารบำรุงสุขภาพ ข่าวลือแพร่ไปว่าทรงประชวรหนัก กระทั่งอาจถึงสิ้นพระชนม์ ในที่สุด พระราชินีก็ทรงหวนคืนเวทีในเดือนกรกฎาคม 2529 ในงานพระราชพิธีฉลองเสาหลักเมืองของกรุงเทพฯ ทรงดูเซื่องซึมขาดชีวิตชีวา แล้วก็ทรงหายไปอีกสามสัปดาห์ กระทั่งไม่เสด็จในพระราชพิธีเฉลิมพระชนพรรษา 12 สิงหาคม 2529 ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์จึงทรงทำหน้าที่แทน ทรงออกโทรทัศน์ตรัสยกย่องพระราชินีว่าทรงเป็นยอดหญิงผู้อุทิศตนและเสียสละ “ตั้งแต่ทรงเข้ารับการผ่าตัดในปี 2528 แม่ก็มีอาการดีขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้แม่ออกกำลังกายเป็นประจำ และกระทั่งข้าพเจ้าอายุน้อยกว่าแม่ถึง 25 ปีก็ยังทำไม่ได้เท่า ถ้าประชาชนจะโกรธเคืองเพราะการที่แม่หายหน้าไปจากสาธารณะ พวกข้าพเจ้า(ลูกๆ)ก็สมควรได้รับการตำหนิ เนื่องจากพวกข้าพเจ้ายืนกรานให้แม่ได้พักผ่อนไม่ต้องออกงาน ปกติทุกๆ คนล้วนมีวันหยุด แต่แม่ไม่เคยมีเลย” ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ตรัสว่า พระราชินีสิริกิติ์ทรงตื่นนอนเวลาประมาณ 10-11 โมงเช้าทุกวัน และทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน “ถ้าแม่นอนไม่หลับ ก็จะทำงานไปจนถึงเช้า พอแต่ลืมตาตื่น แม่ก็ไม่มีเวลาสำหรับอะไรอย่างอื่นนอกจากงาน ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินแม่พูดว่าเหนื่อยเลย”
ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ใช้โอกาสนี้กล่าวถึงบางเรื่องที่ร่ำลือกันมานานและภาพลักษณ์พระราชวงศ์อลเวงที่ประชาชนเฝ้าติดตามชม ทรงปฏิเสธข่าวลือที่ว่าพระราชินีสิริกิติ์ทรงครอบงำพระราชวงศ์
“เราทั้งหมดทำงานให้พ่อ เพราะเรามีความจงรักภักดี ในครอบครัวเราไม่มีใครต้องการความนิยมส่วนตัว ทุกคนช่วยกันทำงานและเราทำงานเป็นทีม แต่ก็มีคนพูดว่าครอบครัวของเราแบ่งเป็นสองฝ่าย ซึ่งไม่จริงเลย” และเพื่อเป็นการพิสูจน์ วันที่ 18 สิงหาคม 2529 เมื่อพระราชินีสิริกิติ์มีพระอาการดีขึ้นพอที่จะรับแขกมาอวยพรได้ (คนแรกคือพลเอกเปรม) งานนี้ถูกจัดให้เป็นราวกับพิธีกรรมทางศาสนา พระราชินีทรงโทษว่าอาการประชวรของพระองค์เป็นผลมาจากความเหนื่อยล้ากับเป็นคราวเคราะห์ และทรงยกย่องความสูงส่งของพระองค์เองด้วยการตรัสว่าคนที่สวดภาวนาให้พระองค์จะได้บุญมาก “หากข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องทางสายกลาง ข้าพเจ้าก็คงจะไม่เจ็บป่วยและเสียเวลาไปมากมายอย่างนี้” พระราชเสาวณีย์เหล่านี้แสดงถึงความสำคัญของดวงดาวที่วังเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างการประชวร แต่อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้ คนไทยก็สนใจเรื่องในวังน้อยลงไปมาก และตั้งคำถามมากขึ้น ในทศวรรษ 2520 การศึกษาที่กว้างขวางขึ้นและความเจริญทางเศรษฐกิจได้สร้างชนชั้นกลางขึ้นมาเป็นจำนวนมากที่ยึดคุณค่าและการปฏิบัติที่แตกต่างไปจากความคิดและความเชื่อของในหลวงภูมิพลกับพลเอกเปรม ประชากรในเมืองมีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ การค้าและการอุตสาหกรรมมีขนาดใหญ่กว่าการเกษตร โดยมีแรงผลักดันจากการส่งออกไปตลาดโลกเป็นสำคัญ คนงานโรงงานในเมืองมีจำนวนนับล้านๆคน ชีวิตของพวกเขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังอื่นๆ เช่น ทุนต่างชาติ การแข่งขันและบริโภคนิยม มากกว่าพลังแผ่นดินหรือพลังของพระเจ้าแผ่นดิน
ในช่วงเวลาเดียวกัน นักศึกษาที่เคยต่อสู้กับเผด็จการทหารในยุคทศวรรษ 2500 และ 2510 ก็เติบโตขึ้น กลายเป็นคนทำงานบริษัท ทำธุรกิจส่วนตัว เป็นอาจารย์ สื่อมวลชน นักการเมือง นักร้องและนักเขียน และอยู่เบื้องหลังกิจกรรมและองค์กรพัฒนาเอกชนที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำงานในประเด็นความยากจน การศึกษา สิ่งแวดล้อม อันเป็นอาณาบริเวณที่รัฐบาลกับวังถือเป็นพื้นที่ฐานเสียงของตนยิ่งกว่านั้น หลังจากเวลาผ่านไป 5 ปี คนไทยจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายลีลาการลอยตัวเหนือปัญหาและปิดปากเงียบของพลเอกเปรม พวกเขาวิจารณ์พลเอกเปรมอย่างเปิดเผยว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะพลเอกเปรมไม่ยอมตอบคำถามใดๆ เกี่ยวกับการบริหารประเทศหรือแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องอื้อฉาวกับความผิดพลาดล้มเหลวต่างๆ เรียกว่าเป็นรัฐบาลเตมีย์ใบ้ คือไม่ยอมพูด เอาแต่ถวายรายงานต่อพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นเจ้าของประเทศตัวจริงเท่านั้น ชนชั้นกลางรุ่นใหม่คาดหวังการปกป้องจากกฎหมายที่เป็นระบบและมีตัวบทชัดเจนมากกว่าการปกป้องจากระบบสังคมแบบพ่อขุนอุปถัมภ์และระบบศักดินาคลั่งเจ้าที่รัฐบาลทหารให้การเชิดชู และพวกเขาก็ปฏิเสธการกุมอำนาจของกองทัพที่เอาแต่อ้างภัยคอมมิวนิสต์ สัญญาณอัน หนึ่งที่บ่งบอกถึงความรู้สึกนี้คือชัยชนะในการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ที่ผิดคาดในปี 2528 ของพลตรีจำลอง ศรีเมือง เบอร์ 8 ในนาม “ กลุ่มรวมพลัง ” โดยได้รับคะแนนเสียง 408,233 คะแนน เป็นอดีตยังเติร์กและเลขานุการนายกฯ ของพลเอกเปรม ผู้หันหลังให้กับการเมืองภายในกองทัพและกลายมาเป็นคนธัมมะธัมโม ที่ใช้ชีวิตสมถะ ละกามารมณ์ ไม่กินเนื้อสัตว์ และไม่นอนบนฟูก กลุ่มศาสนาที่เขาสังกัดคือสันติอโศก ที่ถือว่าวงการสงฆ์กระแสหลักไม่มีความเข้มงวดจริงจัง เอาแต่แสวงหาทรัพย์และลาภยศ (ในปี 2531 จึงก่อตั้ง พรรคพลังธรรม ขึ้น โดยสื่อมักเรียกขานกันว่าเป็น “ พรรคพลังผัก ” เนื่องจากสนับสนุนให้คนเลิกกินเนื้อสัตว์หันมากินอาหารมังสวิรัติ กระแสความนิยมในตัว พล.ต.จำลองในฐานะนักการเมืองผู้สมถะ พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นกระแส “ จำลองฟีเวอร์ ” และเรียกกันติดปากว่า " มหาจำลอง " ชนะการเลือกตั้งเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่า ฯ อีกสมัยในปี พ.ศ. 2533 โดยได้รับคะแนนท่วมท้นถึง 703,671 คะแนน) การชนะเลือกตั้งของพลตรีจำลองเป็นสัญญาณแสดงถึงการที่คนเมืองปฏิเสธรัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่นและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนภายใต้การบริหารของพลเอกเปรมซึ่งทำให้เมืองหลวงสกปรกเละเทะ รถติดและมีมลพิษ พลตรีจำลองหาเสียงด้วยภาพของความซื่อสัตย์และความกระตือรือร้น บอกถึงความล้มเหลวของโครงสร้างระดับอำนาจอันมีพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงอยู่บนยอดสุดโดยมีพลเอกเปรม กองทัพและราชการเรียงลำดับลดหลั่นกันลงมา
ในปี 2529 การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประชาชนปรากฏชัดเมื่อพลเอกเปรมแทบจะล้มพังพาบจากศึกในสภา พลเอกเปรมรับมือด้วยลีลาแบบป๋าอุปถัมภ์และการก่อตั้งกลุ่มการเมืองของตนเอง โดยให้พลอ.อ. สิทธิ เศวตศิลา ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของตนเข้ายึดพรรคกิจสังคมหลังจากมรว.คึกฤทธิ์ อำลาเวทีไป และให้พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ เพื่อนอีกคนหนึ่งตั้งพรรคราษฎรขึ้นมาเพื่อเป็นฐานให้กับตนเอง ซึ่งดูขัดแย้งกับทัศนคติศักดินาบูชาเจ้าของในหลวงและพลเอกเปรมที่รังเกียจระบบรัฐสภาแต่ดันมาเสริมความชอบธรรมของการเมืองระบบรัฐสภาด้วยการตั้งพรรคการเมืองเพื่อเป็นฐานสนับสนุนตนเองในสภา และทำให้วังกลายเป็นผู้เล่นรายหนึ่งในสภาอย่างอ้อมๆ เปิดช่องให้มีโอกาสถูกท้าทายและวิพากษ์วิจารณ์ได้ ภายในเวลาสองเดือน สภาก็เล่นงานพลเอกเปรมอีก พอต้นเดือนพฤษภาคม พลเอกเปรมต้องเสนอให้ในหลวงภูมิพลยุบสภาและประกาศเลือกตั้งใหม่แต่ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง ความแตกแยกเป็นฝักฝ่ายในกองทัพก็เกิดขึ้นมาอีก พลเอกอาทิตย์รู้ทันเกมการสร้างพรรคของพลเอกเปรมว่าหมายถึงการที่พลเอกเปรมจะไม่ยอมลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อพลเอกอาทิตย์ขู่จะก่อการรัฐประหาร วังก็แสดงความชัดเจนออกมาว่าการต่อต้านพลเอกเปรมก็เท่ากับการต่อต้านวัง อย่างแรกที่วังแสดงออกคือ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยี่ยมพลเอกเปรมที่บ้านอย่างเปิดเผย แทนที่พลเอกเปรมจะเป็นฝ่ายไปเข้าเฝ้าตามธรรมเนียม สองสามสัปดาห์ต่อมา ในหลวงภูมิพลก็พระราชทานยศพล.อ.อ. กับ พล ร. อ. ให้แก่พลเอกเปรม ซึ่งปกติแล้วการมียศหลายตำแหน่งจะสงวนไว้สำหรับพระราชวงศ์เท่านั้น และขณะที่พลเอกเปรมอยู่ในฐานที่มั่นที่นครราชสีมาก็ได้ประกาศพระบรมราชโองการฯ ปลดพลเอกอาทิตย์ ออกจากตำแหน่งผบ.ทบ.ซึ่งถือเป็นจุดจบทางการเมืองของพลเอกอาทิตย์ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นการรับประกันความอยู่รอดของพลเอกเปรม การรณรงค์หาเสียงของนักการเมืองหัวก้าวหน้าพุ่งเป้าโจมตีพลเอกเปรมที่ไม่ยอมลงสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งกองทัพที่มีการทุจริตอย่างกว้างขวางและเป็นทหารการเมือง แต่พลเอกเปรมก็ไม่สะทกสะท้านเพราะเขาได้ยึดเอาพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเป็นแบบอย่างคืออ้างว่าเขามีความเป็นกลางและอยู่เหนือการเมือง ถึงแม้ว่าบริวารส่วนตัวของพลเอกเปรมจะจัดการดูแลพรรคการเมืองอยู่ก็ตาม แต่ในหลวงและพลเอกเปรมก็มีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการปล่อยข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงต้องการให้พลเอกเปรมเป็นนายกอย่างน้อยจนกว่าจะผ่านงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 ชันษาในปี 2530 ไปก่อน และจากนั้นก็เป็นการเฉลิมฉลองวาระการขึ้นครองราชย์ที่ยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ในปี 2531(รัชกาลที่ 5 ทรงครองราชย์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะทรงมีพระชนม์เพียง 16 ปี โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ -ช่วง บุนนาค เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2416 เสด็จสวรรคตเมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 รวมระยะเวลาครองราชย์ 42 ปี 22 วัน ขณะที่รัชกาลที่ 9 ครองราชย์วันที่ 9 มิถุนายน 2489 และจะครองราชย์นานเท่ากับรัชกาลที่ 5 ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2531)
ผลการเลือกตั้ง 27 กรกฎาคมออกมาไม่มีพรรคใดชนะโดยเด็ดขาด พรรคที่ได้ที่นั่งมากที่สุด 100 จาก 347 เสียงคือประชาธิปัตย์ ที่มีภาพลักษณ์สะอาดที่สุดและโจมตีพันธมิตรเปรม-วัง-กับกองทัพหนักหน่วงที่สุด พรรคประชาธิปัตย์จึงมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของหัวหน้าพรรค นายพิชัย รัตตกุล แต่แล้วนายพิชัยก็ศิโรราบแก่พลเอกเปรม ซึ่งทำให้คนในพรรคโกรธแค้นมาก ส่วนใครจะเป็นคนไปเกลี้ยกล่อมนายพิชัยอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่คาดเดากันไปต่างๆ นานา พรรคร่วมรัฐบาลของพลเอกเปรมประกอบด้วยประชาธิปัตย์ ชาติไทย และพรรคของพลเอกเปรมเองคือ กิจสังคมกับราษฎร แล้วพลเอกเปรมก็หักหลังประชาธิปัตย์ด้วยการตั้งคนของตนเองเข้ามาในคณะรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทยถูกยกให้อดีตผู้นำกระทิงแดงพล ต.อ.ประจวบ สุนทรางกูร ที่ส่งตำรวจเตรียมพร้อมรับมือทันทีที่มีนักศึกษาบางคนออกมาประท้วง ไม่ต่างจากยุคขวาพิฆาตซ้ายในปี 2519 เลย กระทรวงคมนาคมและการสื่อสารอันเป็นกระทรวงเกรดเอที่ให้ผลประโยชน์มากที่สุดตกเป็นของดาวรุ่งคนใหม่ของพรรคชาติไทยชื่อนายบรรหาร ศิลปอาชา หลงจู๊ผู้รับเหมาที่ไม่ชอบการอดอยากปากแห้งที่มีอิทธิพลในพื้นที่ภาคกลาง พลเอกเปรมกับวังคุมการเมืองไว้ได้อีกครั้งหนึ่งโดยไม่ต้องใช้กำลัง และทำให้หลายคนได้เห็นว่า “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจโดยสมาชิกสภา แต่ตัดสินโดยกองทัพ วังและกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ” เมื่อพลเอกเปรมชนะศึกไปได้อีกยกหนึ่ง ก็ยังได้ช่วยประคองภาพลักษณ์ของฟ้าชายแม้ว่าจะทรงผลักไสไล่ส่งโสมสวลีออกไปแล้วก็ตาม ฟ้าชายดูเหมือนว่าได้ทรงทำข้อตกลงไว้กับในหลวง คือถ้าฟ้าชายทำตัวดีและถ้าหม่อมสุจาริณีสามารถยกระดับตัวเองจากกำพืดอันต่ำต้อยได้ เธออาจได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวงศ์ ฟ้าชายลงทุนเสด็จออกเยี่ยมเยียนคนยากคนจนหลายครั้ง ทรงทำบุญตามวัดในต่างจังหวัดและพระราชทานปริญญาบัตรตามสถาบันการศึกษามากขึ้น ทรงนำพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 9 ไปแจกจ่ายให้จังหวัดต่างๆ อันเป็นโครงการที่เริ่มมาตั้งแต่ทศวรรษ 2500 เพื่อแผ่ขยายบารมีของพระเจ้าอยู่หัวให้ครอบคลุมไปทั่วพระราชอาณาจักรทรงประทับเคียงข้างพระราชบิดาในการรับถวายสาส์นตราตั้งจากนักการทูตที่เพิ่งมาใหม่และเสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2530 เสด็จเป็นตัวแทนพระเจ้าอยู่หัวไปเยือนจีน ในการเสด็จออกงานเหล่านี้ มักจะมีหม่อมสุจาริณีเดินตามห่างๆอย่างสงบเสงี่ยมเยี่ยงชาววังที่ดี
กลางปี 2529 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์พระราชทานสัมภาษณ์อย่างยืดยาวแก่หนังสือสารดิฉัน เป็นนิตยสารแฟชั่นและการใช้ชีวิตชั้นนำสำหรับชนชั้นสูงและชนชั้นกลางเจ้าของนิตยสารคือ นายปีย์ มาลากุล จากตระกูลที่รับใช้ในหลวงภูมิพลมายาวนาน นายปีย์เป็นเหมือนผู้ชำนาญการประชาสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการของพระราชวัง บทสัมภาษณ์ยาว 32 หน้าพร้อมทั้งรูปถ่ายที่ถ่ายในวังใกล้สนามบินน้ำเมืองนนท์ เนื้อหาบรรยายถึงฟ้าชายวชิราลงกรณ์ว่าเป็นเจ้าชายที่ทุ่มเททำงานหนัก อุทิศตนเพี่อพระราชบิดาและประเทศชาติโดยแทบไม่มีเวลาแสวงหาความเพลิดเพลิน ใจความ หลักของบทสัมภาษณ์อยู่ที่การยอมรับถึงลูกทั้งสี่คนที่เกิดจากหม่อมสุจาริณี โดยโสมสวลีถูกตัดขาดออกไป แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อตรงๆ แต่ฟ้าชายก็ทรงโจมตีโสมสวลีว่าไม่เหมาะสมที่จะแต่งงานกับพระมหากษัตริย์ในอนาคต เพราะไม่สามารถร่วมแบ่งปันและมีส่วนร่วมในชีวิตและภารกิจของพระองค์ตลอดจนสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงตรัสว่าการแต่งงานครั้งนั้นคือความผิดพลาดที่เกิดจากการเร่งรีบ และตอนนั้นเธอยังเป็นวัยรุ่น จึงไม่พร้อมแม้กระทั่งในทางกายภาพสำหรับความสัมพันธ์กับผู้ชาย ซึ่งพระองค์ไม่ได้ขยายความในประเด็นนี้ว่าคืออะไร
ขณะที่ทรงปฏิเสธเรื่องฉาวโฉ่ต่างๆ ได้ตรัสถึงภาพลักษณ์ของพระองค์ว่าคนมีชื่อเสียงทุกคนล้วนต้องทนกล้ำกลืนกับปัญหาของการซุบซิบนินทาและการที่มีคนเอาพระนามไปแอบอ้างหาผลประโยชน์ นี่คือความทุกข์ที่พระองค์ต้องทรงกล้ำกลืนในการรับใช้พระราชบิดา และรับมือด้วยการละวางตามแบบพุทธ “บางทีในชาติปางก่อน เราอาจไม่ได้ทำบุญมากพอ หรือบางทีในบางครั้งเราทำอะไรที่น่าตำหนิ เรายอมรับ... ถ้าหากสวรรค์คิดว่าเราไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในการทำหน้าที่ของเรา ก็หยุดและจบ ถ้าท่านคิดได้อย่างนี้ท่านก็จะสบายใจ ท่านไม่ได้คิดเป็นอะไร หากสวรรค์ให้ท่านมีภารกิจต่อแผ่นดิน ก็ยอมรับ ถ้าเขาไม่ต้องการให้ทำงาน ก็โอเค” ผู้อ่านส่วนใหญ่คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจฟ้าชาย แต่บทสัมภาษณ์นี้ทำให้ฝ่ายโสมสวลีโกรธจัดเป็นเจ้าเข้า การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นขั้นตอนที่จัดไว้เพื่อที่จะยกหม่อมสุจาริณีให้มาแทนที่โสมสวลี โดยดูเหมือนจะได้ไฟเขียวจากพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี ที่จริงการยกฐานะหม่อมสุจาริณีมีแนวโน้มเป็นไปได้ เพราะตอนที่ฟ้าชายพระราชทานสัมภาษณ์นั้น เธออุ้มท้องได้สามเดือนแล้ว
ปลายปี 2529 ในหลวงภูมิพล พร้อมทั้งบริวารในวังและพลเอกเปรมมีเวลาได้พักสบายใจอยู่พักหนึ่งหลังชนะศึกทางการเมืองและเรื่องวุ่นๆในพระราชวงศ์มาได้ พวกเขามุ่งความสนใจไปที่การฉลองพระชนมพรรษาครบ 60 ชันษาของในหลวงภูมิพล ซึ่งจะเป็นหัวใจของงานเฉลิมฉลองนาน 20เดือนสำหรับรัชกาลที่ 9 และระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของประเทศโดยมีพลเอกเปรมเป็นตัวแทนของราชวงศ์ บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองเริ่มตลบอบอวลไปทั่วแล้วเมื่อในหลวงภูมิพลทรงเดี่ยวไมโครโฟนและทรงร่ายยาวในงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา บรรดาผู้ชมผู้ฟังที่มีพลเอกเปรมกับคณะรัฐมนตรี ทหารและข้าราชการระดับสูงอื่นๆ ที่ฟังมั่งไม่ฟังมั่งจนถึงตอนที่ในหลวงภูมิพลมีพระราชดำรัสว่า “น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะต้องไหลต่อไป และน้ำที่ไหลจะต้องมีการเปลี่ยนถ่าย” ทรงตรัสต่อไปด้วยพระพักต์นิ่งตามแบบฉบับของพระองค์ “ในช่วงชีวิตของเรา เราปฏิบัติหน้าที่ของเรา เมื่อเราเกษียณ ก็จะมีคนอื่นมาแทน ไม่มีใครจะยึดอยู่กับภารกิจเดียวได้ตลอดไป วันหนึ่งก็จะแก่ตัวและตายไป” พระราชดำรัสนี้ทำให้เกิดความสะท้านสะเทือนขึ้นทันทีทันใด การที่ในหลวงได้มีรับสั่งว่าพระองค์อาจสละราชบัลลังก์ในเวลาอีกไม่นานนัก มันเป็นเรื่องน่าใจหาย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ในทศวรรษ 2520 นั้นไม่เคยรู้จักพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นเลยนอกจากพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ราวกับว่าพระองค์คงจะครองราชย์ไปเรื่อยๆตราบชั่วกัลปาวสานต์ ประชาชนชาวไทยก็ถูกสอนและกรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ปกปักรักษาแผ่นดินนี้ ถ้าไม่มีในหลวงก็จะไม่มีประเทศไทย แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็รู้เรื่องคำทำนายโบราณว่าราชวงศ์จักรีจะมีกษัตริย์แค่เก้าพระองค์ และเมื่อนึกถึงภาพฟ้าชายวชิราลงกรณ์ได้เป็นรัชกาลที่ 10 แล้ว นี่หมายถึงความปั่นป่วนโกลาหลหรือความวิบัติหายนะที่จะบังเกิดขึ้น
พระราชดำรัสของในหลวงเท่ากับเป็นการส่งสัญญานบอกใบ้ล่วงหน้า และทางพระราชวังก็ยอมรับว่าพระองค์อาจจะถึงกับสละราชบัลลังก์หลังจากการเฉลิมฉลองสถิติการเสวยราชย์นานที่สุดในประเทศในเดือนกรกฎาคม 2531 ได้ผ่านพ้นไป แต่ในหลายเดือนต่อมา มรว.ทองน้อย ทองใหญ่เลขาธิการคณะองคมนตรีกับท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะผู้ถวายงานสนองพระเดชพระคุณหลายด้าน ก็ชี้แจงว่าการสละราชบัลลังก์ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในหลวงภูมิพลไม่สามารถสละราชบัลลังก์ได้จริงๆ พระองค์อาจทรงผนวช(บวชเป็นพระ)โดยที่ยังไม่ทิ้งเรื่องของชาติบ้านเมือง ในหลวงจะไม่สละราชบัลลังก์ ถ้าหากการสละราชบัลลังก์หมายความถึงการละทิ้งความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง...เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าพระราชโอรสมีวัยอันเหมาะสมและพร้อมที่จะรับช่วงงานทั้งหลายแล้ว พระองค์ก็อาจจะเข้าวัด ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแค่พระสงฆ์ สิ่งสำคัญคือพระองค์จะยังคงประทับอยู่ตรงนั้น คือประทับอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์และทรงช่วยเหลือพระราชโอรสแก้ปัญหาต่างๆ
คำพูดของมรว.ทองน้อยยังเป็นการยืนยันว่าราชบัลลังก์จะตกเป็นของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่ได้ทรงเร่งขย้นออกงานและมีถ้อยแถลงที่ดูสูงส่งมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจว่าพระองค์เป็นธรรมราชาได้ ในเดือนมิถุนายน 2530 ฟ้าชายวชิราลงกรณ์พระราชทานสัมภาษณ์แก่คณะผู้สื่อข่าวต่างชาติที่ประจำอยู่ในกรุงเทพฯ ทรงตอบคำถามในการสัมภาษณ์อย่างมีการเตรียมบทมาแล้ว จึงไม่มีการเปิดเผยอะไรมากนัก ทรงย้ำว่าพระองค์เป็นคนธรรมดาที่ทำหน้าที่รับใช้พระราชบิดาผู้ที่ได้ทรงสร้างประเทศให้เป็นปึกแผ่นมาถึง 40ปี ความสำเร็จของพระราชบิดาเป็นผลมาจากการที่ทรงยึดมั่นในหลักทศพิธราชธรรม มีบทสัมภาษณ์ฟ้าชายในหนังสือดิฉันในเดือนถัดไปความยาว20 หน้าพร้อมด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทั้งในชุดนักบินกับชุดวิ่งจ็อกกิ้ง อันเป็นภาพของเจ้าชายชาติทหารผู้เอาการเอางาน ทรงตรัสถึงความทุกข์เข็ญของชาวบ้านยากจนทางภาคใต้ที่พระองค์เพิ่งได้เสด็จไปเยือนซึ่งถูกละเลยจากทางราชการ ทรงตรัสถึงโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชที่รัฐบริหารผิดพลาดว่าทำให้พระนามของพระองค์ต้องด่างพร้อย ทรงเน้นความสัมพันธ์อันวิเศษระหว่างประชาชนกับพระราชวงศ์ ว่าถึงแม้ประชาชนจะยากจนหรือเจ็บป่วยเพียงใด ไม่ว่าหนุ่มสาวหรือเฒ่า ก็ยังมารับเสด็จพระองค์ด้วยพวงมาลัยที่ทำด้วยมือของตนเองกับของฝากอื่นๆ ตลอดการเสด็จครั้งนี้ทำให้พระองค์เกิดความสนพระทัยในความเป็นไปของบ้านเมือง “เราอยากออกไปพบปะกับประชาชนอีก จริงๆ แล้วอยากเดินไปให้ทั่วทั้งประเทศไทย” พระดำรัสของฟ้าชายดูคล้ายพระราชบิดาเข้าไปทุกทีคงเชื่อมั่นว่าจะเจริญรอยตามพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นเจ้าชีวิตของประชาชนไทย ผู้สัมภาษณ์ถามเรื่องภาพลักษณ์ของฟ้าชายต่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ฟ้าชายทรงตอบอย่างระมัดระวังว่า “เรามีคนชอบ มีคนไม่ชอบ มันเป็นสิทธิของเขา ที่ไหนๆ ก็มีเรื่องซุบซิบนินทา ถ้ามัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องซุบซิบนินทา ก็ไม่เป็นอันทำงาน แต่ใครที่ซุบซิบนินทา ถ้าต้องการรู้ความจริง ถ้าอยากถามเรา และมีจิตใจบริสุทธิ์ และมาถามความจริง เราจะเคารพ” หัวข้อเรื่องหม่อมสุจาริณีกับโสมสวลียังคงอยู่นอกขอบเขตของประเด็นสัมภาษณ์ แต่หนังสือดิฉันก็ได้ยกเรื่องที่ในหลวงภูมิพลทรงแสดงท่าทีจะสละราชบัลลังก์ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ยืนยันถึงความสูงส่งของพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ไม่ทรงอาจเอือมว่า..“เราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ และไม่ต้องการรู้เรื่องนี้ เรื่องอะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับพ่อเป็นเรื่องที่สูงส่ง สูงกว่าเรา เราเป็นคนรับใช้ของพ่อ และฉะนั้นจะทำตามที่ท่านสั่งให้ทำอย่างเต็มกำลังความสามารถ เรามีกษัตริย์ที่ยึดปฏิบัติทศพิธ ราชธรรมเราควรรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินนี้ เราควรพอใจที่ได้อยู่ใกล้แทบเท้าของท่าน”
พลเอกเปรมทุ่มงบประมาณแผ่นดินจัดงานฉลองพระชนมพรรษา 60 ปีถวายพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ทั้งโปสเตอร์และป้ายโฆษณาผุดขึ้นทั่วประเทศและไม่ว่าใครจะขยับตัวทำอะไรในปีก่อนหน้าและหลังจากนี้ล้วนแต่ เป็น การ“เฉลิมพระเกียรติ” ไปเกือบหมด หน่วยราชการผลิตหนังสือและสารคดีโทรทัศน์ยืดยาวเชิดชูพระอัจฉริยภาพ การยึดมั่นในทศพิธราชธรรมของพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนความยิ่งใหญ่อันไร้ที่ติของกษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรี มหาวิทยาลัยต่างๆ จดสัมมนาอภิปราย ออกบทวิเคราะห์ทางวิชาการสดุดีพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลกับพระราชวงศ์ทุกพระองค์ สมาชิกของพระราชวงศ์ก็ทรงเข้าร่วมขบวนการเทิดพระเกียรติด้วยเช่นกัน โดยเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาเขียนเรื่อง”เจ้านาย”ในปี 2539 เกี่ยวกับชีวิตวัยเยาว์ของในหลวงอานันท์กับในหลวงภูมิพล และกองทัพก็เอาไปตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือหนา 400 หน้าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความฉลาดปราดเปรื่องของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองพระองค์ ฟ้าหญิงสิรินธรทรงเขียนสรรเสริญสดุดีความมหัศจรรย์ในงานพัฒนาของพระเจ้าอยู่หัวในหนังสือของคณะกรรมการประสานงานโครงการตามพระราชดำริ ว่า “ไม่ว่าพ่อจะผ่านไปทางไหน ในปีถัดมาก็จะเห็นการพัฒนา สุขภาพของประชาชนดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้น สภาพเศรษฐกิจดีขึ้น” การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกับการบินไทยร่วมมือกันจัดโครงการณ์สนับสนุนการท่องเที่ยวประเทศไทย (Visit Thailand Year) ซึ่งเน้นวาระครบรอบ 60 ชันษาของพระเจ้าอยู่หัวเป็นจุดขายโดยจัดพระราชพิธีเห่เรือในเดือนตุลาคม ความสัมพันธ์ของกองทัพกับวังก็มีการพัฒนายกระดับมากขึ้น ในเดือนมีนาคม 2530 พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่ทหารกรมกองต่างๆ ด้ามธงบรรจุด้วยเส้นพระเกศาของในหลวงภูมิพล กองทัพแสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณด้วยการ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)