วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ต่อ

พิมลธรรมอย่างเป็นทางการ แปดวันต่อมาพระสังฆราชขอให้กรมการศาสนาบรรจุเรื่องนี้เข้าในวาระการประชุม แต่ไม่มีในวาระ ภายหลังมีคำอธิบายว่า หนังสือของพระสังฆราชถูกนำไปวางไว้ผิดที่ทำให้หาไม่เจอ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เนื่องจากมันเปรียบได้กับการหาพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ไม่เจอ และเรื่องนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง และมีการแต่งตั้งสมเด็จคนใหม่ในวันที่ 5 ธันวาคมปีนั้น พอกลางปี 2527 พระชั้นสมเด็จมรณภาพไปอีกหนึ่งราย ทำให้เหลือว่างสองตำแหน่ง วันเฉลิมพระชนมพรรษาในปีนั้นผ่านไปโดยไม่มีการแต่งตั้งพระชั้นสมเด็จอีกปีหนึ่งทั้งๆที่การแต่งตั้งพระชั้นผู้ใหญ่เป็นพระราชอำนาจและมีความสำคัญต่อการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหากษัตริย์ ตอนนี้จึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงปฏิเสธพระพิมลธรรม พระพิมลธรรมอายุ 83 ปีและวังก็เพียงแต่เฝ้ารอให้ท่านมรณภาพ เหมือนรอให้นายปรีดีถึงแก่กรรม ปี 2528 ผ่านไปโดยปราศจากการแต่งตั้งใด ๆ ในมหาเถรสมาคม เจ้าคณะจังหวัดภาคอิสาน 17 รูปขู่ว่าจะคืนสมณศักดิ์และเครื่องราชย์ที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัว เป็นการประกาศแยกตัวจากมหาเถรสมาคม ในที่สุดวังก็ทนขายหน้าต่อไปไม่ไหว พระเจ้าอยู่หัวจึงต้องโปรดเกล้าฯพระราชทานสมณศักดิ์ให้พระพิมลธรรมเป็นสมเด็จ อีกอัตราหนึ่งตกเป็นของพระอนุรักษ์นิยม ถึงตอนนั้นแล้วพระพิมลธรรมก็แก่เกินไปที่จะสร้างปัญหาได้ ท่านมรณภาพในอีกไม่กี่ปีต่อมาและสมเด็จพระญาณสังวรก็ขึ้นเป็นสังฆราชตามพระราชประสงค์

เมื่อได้จัดการกำจัดเสี้ยนหนามที่เป็นประจักษ์พยานต่ออดีตอันน่าอัปยศของพระราชวังไปเรียบร้อยแล้ว พลเอกเปรมก็ทำการโหมทุ่มเทการเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวและวัฒนธรรมคลั่งเจ้า เริ่มด้วยการหมอบกราบศิโรราบที่พลเอกเปรมพยายามทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง พลเอกเปรมเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ด้วยลีลาท่าทีที่ทำกันเหมือนสมัยเมื่อร้อยปีก่อนนั่นคือการหมอบกราบและจะกราบบังคมทูลด้วยสุ้มเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวก็ต่อเมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสก่อนเท่านั้น นายกรัฐมนตรีคนก่อนๆจะแต่งเครื่องแบบทหารหรือไม่ก็ชุดสูทแบบตะวันตก แต่พลเอกเปรมเดาะเสื้อไหมไทยคอตั้งแบบนายกเนห์รูของอินเดีย (Nehru-collared) เรียกว่า ชุดพระราชทาน ซึ่งย้อนยุคไปถึงสมัยรัชกาลที่ห้า แต่คนไทยบางส่วนก็บอกว่าเป็นฝีมือการออกแบบของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ด้วยการที่พลเอกเปรมทำเป็นตัวอย่าง ทำให้บรรดาข้าราชการ นักการเมืองและนักธุรกิจที่ต่างก็แสวงหาโอกาสที่จะได้เข้าเฝ้าในหลวงและพระราชินีก็พากันแต่งชุดพระราชทานเป็นชุดทำงาน ไฮโซและพวกต้องการยกสถานะตนเองทางสังคมก็ยิ่งแข่งกันบริจาคเงินกับเข้ารวมงานพระราชพิธีต่างๆและขวนขวายเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในสมาคมชาววังที่พลเอกเปรมเป็นผู้ดูแลอุ้มชูและมีศูนย์กลางอยู่ที่โรงแรมดุสิตธานีซึ่งกลายเป็นสถานที่ประจำสำหรับจัดงานลีลาศการกุศล มีห้องอาหารโปรดของพระราชินีสิริกิติ์ พลเอกเปรมและบรรดาท่านผู้หญิงกับคุณหญิงทั้งหลาย และได้กลายเป็นสถานที่ที่นักธุรกิจ นักการเมือง นายพลกับบรรดาภรรยาทั้งหลายมาออกงานและตกลงเรื่องธุรกิจกัน
พลเอกเปรมจัดการดูแลวังในทุกด้านที่จะทำได้ สนองความต้องการที่มากขื้นเรื่อยๆของพระราชวงศ์โดยเฉพาะพระราชินีสิริกิติ์ ในการแต่งตั้งโยกย้ายเลื่อนตำแหน่งคนโปรดของพระราชินีในกองทัพและราชการ ตลอดจนการประเคนสัญญาและสัมปทานของรัฐตามใบสั่งของวัง ขณะเดียวกันพลเอกเปรมก็ได้ใช้งบประมาณของประเทศในการสร้างพระตำหนักหลายแห่งให้กับพระบรมวงศานุวงศ์ เช่น ชาเล่ตข์นาดใหญ่บนยอดเขาที่เชียงรายสำหรับพระราชชนนีศรีสังวาลย์ที่เสด็จมาประทับเมืองไทยเป็นการถาวรในช่วงปลายทศวรรษ 2520 พลเอกเปรมสั่งให้รัฐวิสาหกิจอย่าง การบินไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จัดงบประมาณโฆษณาเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ทุกวันสำคัญ กระทั่งวันสำคัญทางศาสนาก็กลายเป็นมหกรรมยกย่องเจ้าโดยมีการเผยแพร่พระราชกรณียกิจต่างๆของพระราชวงศ์ตามโทรทัศน์และวิทยุอย่างเต็มที่ วันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระจ้าอยู่หัวและของพระราชินีถูกยกให้เป็นวันพ่อและวันแม่แห่งชาติ

สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกทำให้เป็นหัวใจของการฉลองสองร้อยปีของกรุงเทพฯ ในปี 2525 ขณะที่ไม่ได้มีการให้ความสำคัญต่อชุมชนและประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวกรุงเทพฯ จุดสำคัญของงานอยู่ที่การฟื้นฟูพิธีเห่เรือซึ่งเดิมทีจะมีเฉพาะในงานพระราชทานพระกฐินหลวงที่