แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ : ข้อควรปฎิบัติ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ : ข้อควรปฎิบัติ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความคาดหวังของลูกน้อย

ในฐานะแม่มือใหม่ เรามักคาดหวังว่าจะเลี้ยงลูกตามวิธีที่เราเรียนรู้กันมา ซึ่งก็มีอยู่หลากหลายรูปแบบ แต่ “ความคาดหวัง” ของทารกไม่ใช่อะไรที่ได้มาจากการเรียนรู้ มันเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณที่ยังคงเหมือนเดิมไม่แตกต่างอะไรไปจากเมื่อพัน ๆ ปีที่แล้ว ทารกไม่ได้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างที่เราเข้าใจ ทารกมีทักษะชั้นสูงติดตัวมาเพียงพอสำหรับโลกที่เขา “คาดว่า” จะเจอเมื่อถือกำเนิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นเมื่อเราไปเปลี่ยนแปลงอะไรในโลกใบนั้น ก็คือการที่เราไปทำให้ชีวิตของทารกยากลำบากมากขึ้นนั่นเอง นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณกับลูกจะต้องกลับไปใช้ชีวิตในถ้ำอะไรแบบนั้น เพียงแต่ถ้าคุณรู้ว่าลูกของคุณ “คาดหวัง” อะไรในช่วงเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วล่ะก็ มันก็จะช่วยอะไร ๆ ได้เยอะทีเดียว

ช่วงคลอด ลูกคาดหวังว่าร่างกายของเขาจะไม่ต้องประสบปัญหาจากยาอะไรก็แล้วแต่ที่ได้รับเข้าไป ยาที่ออกฤทธิ์กับคุณแค่สองสามชั่วโมงอาจจะสร้างปัญหาให้ลูกได้เป็นวัน ๆ ทำให้เขาไม่สามารถดูดนมได้ดีหรือบ่อยเท่าที่ควร ถ้าคุณต้องตัดสินใจในเรื่องการใช้ยาระหว่างคลอด ระลึกไว้เสมอว่าการตัดสินใจของคุณอาจส่งผลกระทบตรงนี้ด้วย

ทันทีหลังคลอด ลูกคาดหวังว่าจะได้อยู่กับคุณ หลังจากเขาใช้เวลาซักพักข้าง ๆ คุณเพื่อให้ชินกับการหายใจ การมองเห็น และการได้ยินซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขาแล้ว อันดับถัดไปลูกจะเริ่มนึกถึงอาหารมื้อแรก และจะสามารถคลานในท่าเดียวกับทหารเวลาฝึกภาคสนามขึ้นไปถึงอกคุณ ไซร้หาหัวนม และเริ่มดูดนมนาน ๆ ได้เองโดยไม่ต้องให้ใครช่วย แต่ถ้ามีใครมาแยกลูกไปจากคุณเพื่อทำความสะอาดหรือชั่งน้ำหนักก่อนที่จะมีโอกาสได้ดูดนมแม่ หรือลูกยังได้รับผลกระทบจากยาที่แม่ได้รับระหว่างการคลอด เขาก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ และปฏิกริยาตอบสนองของคุณต่อลูกก็จะแตกต่างออกไป โดยมากแล้วการให้นมแม่มักไม่มีปัญหา ไม่ว่ารูปแบบการคลอดจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่จะง่ายและดีที่สุดถ้าแม่และลูกได้อยู่ด้วยกันตลอดจนกว่าลูกจะได้ดูดนมครั้งแรก

หลังดูดนมแม่ครั้งแรก ลูกคาดว่าเขาจะได้นอนนาน ๆ ข้าง ๆ คุณหรือไม่ก็ในอ้อมแขนของคุณ เพราะเขาคุ้นเคยกับเสียงหัวใจและเสียงลมหายใจของแม่ และได้รับไออุ่นจากร่างกายของแม่มาตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมา การให้ลูกได้อยู่กับแม่จึงช่วยให้ทารกมีอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจที่สม่ำเสมอขึ้นได้ ลูกอาจจะอยากนอนนานกว่าที่เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลจะอยากให้นอน เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องการให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีไม่มีอะไรผิดพลาดก่อนที่คุณจะกลับบ้าน คุณอาจจะต้องฝืนธรรมชาติซักนิดเพื่อกระตุ้นให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ ในช่วงแรก แต่ไม่นานนักลูกก็จะสามารถตื่น ดูดนม และเลิกดูดเมื่อพอใจแล้วได้เอง เหมือน ๆ กับลูกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น ๆ

ที่บ้าน ลูกคาดหวังว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณ ลูกอ่อนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดมีวิธีปกป้องตัวเองจากภัยอันตราย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว การพรางตัว หรือการอยู่รวมกันเป็นฝูงจำนวนมาก ๆ ลูกมนุษย์ใช้วิธีการอยู่ใกล้ชิดกับแม่ ทารกจะรู้สึกปลอดภัยและสงบมากที่สุดเมื่อได้อยู่ข้าง ๆ แม่ ซึ่งเป็นที่ที่สัตว์ร้ายจะทำอันตรายเขาก็ไม่ได้ มดจะไต่ขึ้นมาบนตัวของเขาก็ไม่ได้ ลูกคาดหวังว่าเขาจะเป็นผู้กำหนดจังหวะการดูดนมของเขาเอง ลูกอาจจะดูดนมบ่อยเกินกว่าที่คุณคาดไว้ ดูดนมข้างหนึ่งจนเสร็จแล้วค่อยเริ่มดูดอีกข้าง หรือบางทีอาจจะไม่ต้องการดูดนมทั้งสองข้างในแต่ละมื้อ ลูกคาดหวังว่าคุณจะตอบสนองต่อเสียงของเขาอย่างรวดเร็ว และคาดหวังว่าจะไม่จำเป็นต้องร้องไห้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาต้องการ ลูกคาดหวังว่าจะได้อยู่ใกล้ ๆ คุณทั้งกลางวันและกลางคืน และอาจจะนอนหลับได้ดีกว่าถ้าคุณนอนอยู่ข้าง ๆ ลูกของคุณคาดหวังว่าจะได้อยู่ในอ้อมแขนของคุณ และคุณจะรับฟังสิ่งที่เขาสื่อสาร ไม่ใช่เชื่อตามนาฬิกาหรือหนังสือคู่มือการเลี้ยงลูก ถ้าคุณตอบสนองความต้องการของเขาได้ สิ่งที่คุณจะได้รับก็คือเด็กทารกอารมณ์ดีคนหนึ่ง และนั่นก็หมายถึงความสุขของทั้งแม่และลูกนั่นเอง

หลังคลอด

1.ให้ลูกดูดนมตามต้องการ



ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะดูดบ่อยแค่ไหน หรือนานแค่ไหนในแต่ละครั้ง เด็กแต่ละคนมีอุปนิสัยและความต้องการต่างกัน ให้ลูกเป็นผู้กำหนดเองว่ามีความต้องการแค่ไหน อย่างไร เด็กบางคนดูดเร็ว อิ่มเร็ว นอนนาน บางคนดูดแล้วหลับ ดูดบ่อย ทุกช.ม. หรือบางครั้งห่างกันแค่ครึ่ง ช.ม. ก็เป็นได้ บางคนถ่ายบ่อยทุกครั้งที่ดูดนม ถ่ายวันละ 7-8 ครั้ง บางคนถ่ายวันละ 2-3 ครั้ง หรือบางคนสองสามวันถ่ายครั้งหนึ่งก็มี



ช่วงหนึ่งหรือสองเดือนแรก จะเป็นช่วงที่ทารกปรับตัว การกิน การนอน การถ่าย อาจจะไม่เหมือนกันสักวัน แต่พออายุมากขึ้น จะเริ่มเข้าที่และเป็นเวลามากขึ้น แต่ถึงกระนั้นในบางครั้ง บางวันความถี่-ห่างในการดูดนมก็อาจเปลี่ยนแปลงได้



คุณแม่ไม่ควรนำความรู้ที่เคยอ่านในตำราว่าลูกต้องกินวันละกี่ครั้ง ครั้งละกี่ออนซ์ นอนวันละกี่ช.ม. ถ่ายวันละกี่ครั้ง มาเป็นเรื่องกังวลเมื่อ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เด็ดขาด เพราะการพยายามจะฝึกให้ลูกทำอะไรเป็นเวลาแบบนั้น นอกจากไม่มีประโยชน์ แล้วยังสร้างความเครียดให้กับคุณแม่ ซึ่งจะส่งผลให้การผลิตน้ำนมน้อยลงอีกด้วย



อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นในเด็กที่ชอบนอนมากๆ นอนนานๆ ไม่ค่อยตื่นมากินนม ถ้าเป็นลักษณะนี้ ควรปลุกลูกขึ้นมากินนมบ่อยขึ้น



2. ทานอาหารให้ครบ และหลีกเลี่ยงการอดอาหารเพื่อการลดน้ำหนัก



คุณแม่ที่ให้นมลูก ควรทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เหมือนกับตอนที่ตั้งครรภ์ และควรดื่มน้ำหรืออาหารประเภทน้ำมากๆ เพราะน้ำเป็นสิ่งจำเป็นในการผลิตน้ำนม คุณแม่สามารถรู้ได้ว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอหรือไม่ โดยสังเกตจากสีของปัสสาวะว่าเป็นอย่างไร ถ้าเป็นสีเหลืองอ่อนจนเกือบใส แสดงว่าเพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้ม แสดงว่าทานน้ำน้อยไป



คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเองเพียงอย่างเดียว โดยไม่ใช้นมผสม จะลดน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องอดอาหาร เพราะการให้นมลูก ร่างกายจะใช้พลังงานมากกว่าปกติอยู่แล้ว



อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนแรก คุณแม่ไม่ควรทานอาหารรสจัด และพยายามสังเกตอาหารที่ตนเองทานว่าส่งผลอย่างไรกับลูก เพราะอาหารบางชนิดอาจทำให้ลูกไม่สบายท้อง หรือถ่ายผิดปกติไปจากที่เคยเป็น ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ควรหลีกเลี่ยง จนกว่าลูกจะอายุมากขึ้น ค่อยเริ่มใหม่ทีละน้อย เมื่อเด็กอายุมากขึ้น ระบบย่อยก็จะทำงานได้ดีขึ้น คุณแม่ก็สามารถทานอาหารได้หลากหลายตามต้องการมากขึ้น แต่ก็ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภทชา กาแฟ หรือแอลกอฮอล์



พักผ่อนมากๆ และหาผู้ช่วยในการทำงานบ้าน
ช่วงสองสามอาทิตย์แรก การดูแลบ้าน ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสามี หรือหาผู้ช่วยมาทำแทน สิ่งที่คุณแม่ควรจะทำ คือ การทำความคุ้นเคยกับลูก และฝึกฝนการให้นมลูกอย่างถูกต้อง ทุกครั้งที่ลูกหลับ คุณแม่ก็ต้องพักผ่อนไปพร้อมกันด้วย เพราะถ้าคุณแม่มีการพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลให้ร่างกายผลิตน้ำนมได้ไม่เต็มที่



ไม่ควรพูดคุยหรือใส่ใจกับคนที่ไม่เห็นด้วยกับ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะคำพูดบางอย่างจากความไม่รู้ของคนเหล่านั้น จะทำให้คุณแม่ท้อถอย และหมดกำลังใจได้ง่ายๆ



หากมีปัญหาในการให้นมแม่
ถ้าคุณแม่มีปัญหาใน การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ควรรีบปรึกษาพยาบาล แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทันที ยิ่งคุณแก้ปัญหาในการให้นมลูก ได้เร็วเท่าไหร่ เท่ากับว่าเป็นการดีกับลูกคุณมากขึ้นเท่านั้น คุณแม่หลายรายพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น บางครั้งเพียงแต่แก้ ไขด้วยการปรับท่าให้นมลูกหรือท่าการดูดนมของลูกให้ถูกต้องเท่านั้น ก็ประสบความสำเร็จในการให้นมลูกเป็นอย่างดี



ติดต่อ คลีนิคนมแม่



4. เตรียมตัวเพื่อกลับไปทำงาน



ถ้าต้องกลับไปทำงานประจำ หรือมีความจำเป็นที่ต้องแยกจากลูกในบางเวลา คุณแม่ต้องเตรียมตัวสะสมน้ำนมเพื่อเป็น stock ไว้ตอนที่ต้องกลับไปทำงาน หรือแยกจากลูก การทำ stock น้ำนมนั้น จะใช้วิธีบีบด้วยมือ หรือใช้เครื่องปั๊มก็ได้ ยิ่งเริ่มต้นสะสมน้ำนมให้ลูกได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น อ่านเพิ่มเติม "มาทำ stock น้ำนมกันเถอะ"

สิ่งที่ต้องทำเมื่ออยู่ ร.พ

1. เลือกคลอดแบบธรรมชาติ (ถ้าเป็นไปได้)



การคลอดแบบธรรมชาติ ทำให้คุณแม่ฟื้นตัวเร็ว น้ำนมมาได้เร็วกว่าการผ่าคลอด อีกทั้งลูกจะไม่ได้รับผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการผ่าคลอด แต่ถ้าจำเป็นต้องผ่าคลอด แจ้งให้คุณหมอทราบว่าเราต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ปรึกษาคุณหมอว่าจะการลดความเจ็บปวดจากการผ่าตัดด้วยวิธีใด ที่มีผลข้างเคียงต่อทารกน้อยที่สุด



ถึงกระนั้น คุณแม่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่ได้ถ้าต้องผ่าคลอด ผลของการผ่าคลอด แค่ทำให้น้ำนมมาช้ากว่าปกติเพียง 1-2 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่ลูกน้อยของเรายังไม่ต้องการอาหารมากมายนัก



2. ให้ลูกดูดนมเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้



ทารกจะตื่นตัวและตอบสนองต่อแรงกระตุ้นในการดูดอย่างเต็มที่ภายในชั่วโมงแรกหลังคลอด การดูดนมทันทีของทารกจะช่วยให้มดลูกบีบตัว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมน Oxytocin (ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน) ทำให้แม่รู้สึกผูกพันกับลูกน้อย



การดูดนมครั้งแรกของทารก ถือเป็นการเรียนรู้และทำความรู้จักกับอกแม่ เด็กบางคนอาจจะแค่ดมหรือเลีย เด็กบางคนก็ดูดเป็นในทันที คุณแม่ไม่ต้องกังวลและไม่ต้องพยายามบีบบังคับให้ลูกดูดให้ได้อย่างถูกต้อง ในครั้งแรกที่เจอกัน แค่การกอดและสัมผัสกันก็ทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นแล้ว ลูกน้อยจะสามารถดูดนมได้เองภายในไม่ช้า



3. ให้ลูกดูดบ่อยๆ และดูดให้ถูกวิธี



การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะประสบความสำเร็จได้ง่าย ถ้าลูกสามารถดูดนมเป็นเร็ว และดูดบ่อยๆ การดูดที่ถูกวิธี ทารกจะได้รับน้ำนมเต็มที่ แม่ไม่รู้สึกเจ็บ และช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมให้เร็วขึ้น ถ้าลูกดูดนาน หรือแม่รู้สึกเจ็บ หัวนมแตก อักเสบ แสดงว่าลูกดูดนมไม่ถูกต้อง ให้ปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทันที



ก่อนออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน ควรจะแน่ใจแล้วว่าคุณสามารถให้ลูกดูดนมได้อย่างถูกต้องและไม่เจ็บแล้ว ถ้าไม่แน่ใจ ให้พยาบาลฝึกให้จนกว่าจะมั่นใจก่อนออกจากโรงพยาบาล หากมีปัญหาใดๆเกี่ยวกับการให้นมแม่ สามารถขอคำปรึกษาได้จาก คลีนิคนมแม่





วิธีการให้ลูกดูดนมที่ถูกต้อง







พยายามให้ลูกอ้าปากกว้างๆ ใช้หัวนมแตะที่จมูก หรือริมฝีปากลูก เพื่อกระตุ้นให้ลูกอ้าปาก เมื่อลูกอ้าปาก ประคองศีรษะลูกเข้ามาที่หน้าอก ให้คางและริมฝีปากล่างของลูกสัมผัสเต้านมก่อน ควรตรวจดูว่าลูกอมลานหัวนมได้ลึกดีพอ อย่าลืมว่าต้องอุ้มลูกเข้ามาหาอกแม่ ไม่ใช่ก้มตัวแม่ไปหาปากลูก








การดูดที่ถูกต้อง ลูกจะต้องดูดแล้วใช้เหงือกกดทับบนลานหัวนม (คือบริเวณวงสีคล้ำรอบหัวนม เป็นส่วนที่ลูกจะอมเข้าไปด้วยเมื่อ ดูดนมไม่ใช่งับเฉพาะหัวนม) ซึ่งเป็นที่เก็บน้ำนมอยู่ กล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกร และ ลิ้นของลูกจะทำหน้าที่ประสานกันเพื่อดูดนม คุณแม่จะสังเกต เห็นขมับและหูของลูกขยับเป็นจังหวะตามการดูด แสดงว่า กล้ามเนื้อขากรรไกรกำลังทำงาน



ถ้าลูกงับเฉพาะหัวนม ลูกจะได้นมแม่น้อย เพราะไหลไม่สะดวก ตามธรรมชาติ น้ำนมจะสร้างจากต่อม ซึ่งกระจายอยู่ทั่วเต้านม มีท่อน้ำนมต่อมารวมกันบริเวณที่เป็นวงสีคล้ำๆ รอบหัวนม เรียกว่า ลานหัวนม (Arerola) ถ้าลูกงับ ส่วนนี้จะทำให้ท่อน้ำนมทำงานดีขึ้น



ถ้าลูกดูดได้อย่างถูกต้อง คุณแม่จะไม่รู้สึกเจ็บ (อาจจะรู้สึกจี๊ดๆ ซึ่งเป็นกลไกน้ำนมพุ่ง แต่ไม่เจ็บ) ถ้ารู้สึกเจ็บ ให้หยุดแล้วเริ่มต้นใหม่ โดยใช้นิ้วก้อยสอดเข้าไปตรงมุมปากลูกเพื่อให้ลูกอ้าปาก ถอนปากลูกออกมา แล้วลองใหม่ อย่าปล่อยให้ลูกดูดทั้งๆ ที่เจ็บ เพราะจะทำให้หัวนมแตก และอักเสบได้










ท่านั่งและอุ้มแนบอก











ท่านั่งและอุ้มแบบแนบอก สลับแขน ท่านั่งแบบอุ้มด้านข้างแนบอก












ท่านอนตะแคง



4. หลีกเลี่ยงการให้นมผสมจากขวด



เพื่อป้องกันการสับสนจากการดูดนมแม่ และดูดจากขวด ถ้าทารกยังไม่รู้จักวิธีดูดนมจากเต้าที่ถูกต้อง การให้ดูดจากขวดในช่วงแรก (ก่อน 1 เดือน) อาจทำให้ทารกปฏิเสธการดูดจากเต้าได้



โดยปกติช่วงสองสามวันแรก น้ำนมแม่จะมีปริมาณน้อย แต่เป็นหัวน้ำนมที่มีคุณค่ามาก (Colostrum) การให้นมผสมจะทำให้การดูดกระตุ้นลดลง ทำให้นมยิ่งมาช้า แต่ถ้าจำเป็นต้องให้นมผสม ให้ใช้วิธีป้อนด้วยแก้วหรือช้อน เมื่อน้ำนมมาแล้ว ให้หยุดนมผสม และพยายามให้ลูกดูดบ่อยๆ



การผลิตน้ำนมเป็นเรื่องของอุปสงค์และอุปทานซึ่งปรับตามความต้องการของลูกโดยแท้จริง ถ้าให้ลูกดูดตามต้องการ น้ำนมก็จะผลิตได้มากตามต้องการ ถ้าไม่ให้ดูด น้ำนมก็จะลดลงและหยุดผลิตไปเอง



*** สำหรับคุณแม่ที่ผ่าท้องคลอด จะต้องงดน้ำและอาหาร 24 ช.ม. หลังผ่า น้ำนมจะมาช้ากว่าคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ เมื่อหมออนุญาตให้เริ่มทานน้ำและอาหารได้ ควรทานอาหารที่เป็นน้ำมากๆ เช่น โอวัลตินหรือไมโลชงร้อนๆ น้ำเต้าหู้ น้ำขิง แกงจืด ฯลฯ และต้องดื่มน้ำอุ่นมากๆบ่อยๆ (ทุกช.ม.) จะช่วยให้น้ำนมมาเร็วขึ้น



5. ระวัง ! นมผสมที่แจกฟรี



นมผสมที่แจกฟรีก่อนกลับบ้านนั้น เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้ผลอย่างยิ่ง ในการทำให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่สำเร็จ จนต้องหันไปใช้นมผสม



ถ้าคุณแม่มีสุขภาพดี ทานอาหารอย่างพอเพียง และได้รับคำแนะนำอย่างถูกต้อง มั่นใจได้เลยว่าคุณแม่จะต้องมีน้ำนมพอให้ลูกกิน ถ้าคุณไม่แน่ใจ และคิดว่านมไม่พอ สิ่งที่คุณต้องการ ไม่ใช่นมผสม แต่เป็น ความช่วยเหลือและคำแนะนำที่ถูกต้อง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่ คลีนิคนมแม่ ทุกแห่ง



****สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับนมผสม****





โรงพยาบาลส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะร.พ.เอกชน) จะมีเครื่องปั๊มนมอย่างดี (Hospital Grade) ให้ใช้ฟรี ซึ่งพยาบาลส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่ามันช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมแทนลูกได้ จึงไม่นำมาให้คุณแม่ใช้



โดยปกติสัญชาตญาณในการดูดของทารกจะแรงที่สุดภายใน 1 ช.ม. แรกหลังคลอด ซึ่งจะช่วยกระตุ้นฮอร์โมนในการสร้างน้ำนมได้ดีที่สุด ทำให้คุณแม่ที่ผ่าคลอดพลาดโอกาสในช.ม.แรกนี้ไป นอกจากนี้ช่วงสองสามวันแรกหลังคลอด ทารกจะนอนหลับเสียเป็นส่วนใหญ่ การใช้เครื่องปั๊มนมช่วยกระตุ้นแทน (ทุก 2 ชม. ถ้าเป็นไปได้) ในระหว่างที่อยู่ ร.พ. จะทำให้น้ำนมมาเร็วและมากขึ้น ก่อนออกจากร.พ.



การใช้เครื่องปั๊มนมหลังจากคลอดใหม่ๆ อาจทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บมากๆ ให้ปรับแรงดูดให้เบาที่สุด ปั๊มครั้งละ 10-15 นาที แม้ครั้งแรกๆ จะยังไม่มีน้ำนมออกก็ไม่ต้องกังวล ให้ลูกดูดร่วมกับการปั๊มกระตุ้นบ่อยๆ น้ำนมจะมาในที่สุด จำไว้เสมอว่าธรรมชาติสร้างให้คนเลี้ยงลูกด้วยนม เพราะฉะนั้น แม่ทุกคนต้องมีน้ำนมให้ลูกของตนแน่นอน

ก่อนคลอด

เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าจะเลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ขอให้ตั้งใจอย่างแน่วแน่และมั่นคง ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่า



“คุณกำลังจะให้ของขวัญที่พิเศษสุดแก่ลูกน้อย ซึ่งมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะมอบให้ได้

หากคุณพลาดโอกาสนี้ไป คุณอาจจะรู้สึกเสียใจทุกครั้ง เมื่อหวนคิดถึงมัน”




สิ่งที่คุณควรจะรู้ก่อนเริ่มต้นก็คือ





ธรรมชาติสร้างมาให้ แม่ทุกคน มีน้ำนมให้ลูกกินเป็นอาหาร


การมีน้ำนมเพียงพอสำหรับลูกโดยไม่ต้องใช้นมผสมนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ธรรมชาติสร้างมา

ไม่ใช่ “โชคดีที่มีน้ำนม” อย่างที่หลายๆ คน เคยพูดให้คุณได้ยิน








การจะเลี้ยงลูกด้วย นมแม่ เป็นทักษะที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ เหมือนการเรียนการทำอาหาร



ต้องอาศัยความอดทนและการฝึกฝน



ในระหว่างที่คุณและลูกกำลังเรียนรู้อยู่นั้น

คุณอาจมีความรู้สึกยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยบ้างในบางครั้ง แต่ทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ

ในบางสถานการณ์ อาจต้องใช้เวลามากกว่าปกติ อย่างการคลอดก่อนกำหนด หรือผ่าตัดคลอด หรือทารกมีอาการผิดปกติ ถ้ามีปัญหาใดๆ อย่ารีรอที่จะขอความช่วยเหลือ



จงจำไว้ว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นั้นจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ไม่ใช่ยากขึ้น

นี่เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพทั้งของคุณและลูกน้อย ประหยัดเงินทั้งค่านมและค่ารักษาพยาบาล



และเหนือสิ่งอื่นใด

เป็นการสร้างสัมพันธภาพซึ่งยาวนานตลอดชีวิตของคุณและลูกน้อย



ในระหว่างตั้งครรภ์ สิ่งที่คุณควรจะเตรียมตัวก็ คือ




1. หาความรู้ให้มากที่สุดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วย นมแม่





เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ ว่าที่คุณแม่และว่าที่คุณพ่อเกือบทุกคนเตรียมตัวและหาความรู้อย่างเต็มที่กับการเตรียมตัวสำหรับการคลอด ซึ่งเป็นกระบวนการที่กินเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็จบ ในขณะที่การเลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ซึ่งยาวนานหลายเดือนหรือเป็นปี กลับมีการเตรียมตัวและหาข้อมูลกันน้อยมาก





น่าเสียดายที่หน่วยงานของรัฐไม่ให้การสนับสนุนและส่งเสริม การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ให้มากกว่านี้ ทำให้เรามีแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมากๆ เมื่อเทียบกับต่างประเทศ แต่กระนั้นก็ยังมีแหล่งข้อมูลดีๆ ที่เป็นที่พึ่งได้อย่าง

กลุ่มนมแม่, ศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย,คลีนิคนมแม่



หนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยิ่งมีน้อยมาก และหาไม่ค่อยได้ตามร้านหนังสือทั่วไป จากการสำรวจล่าสุด มีดังนี้

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดย Amy Spangler
เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดย สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย,
นมแม่ ทุนสมองของลูกรัก
เคล็ดลับแม่มือใหม่ Series นมแม่ โดย มีนะ สพสมัย
พัฒนาสมองด้วยนมแม่วิถีแห่งธรรมชาติ โดย พ.ญ.ศิริพัฒนา ศิริธนารัตนกุล



2.หาคนคอยสนับสนุนและช่วยเหลือ





บุคคลสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ประสบความสำเร็จก็คือ สามี รองลงมาก็คือ คุณยาย คุณย่า และคนในครอบครัว พยายามทำความเข้าใจกับคนในครอบครัวให้ชัดเจนถึงความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ บอกให้ทุกคนทราบถึงข้อมูลต่างๆ ที่คุณได้ศึกษามาเป็นอย่างดีถึงประโยชน์ของนมแม่ เพราะคุณต้องการกำลังใจอย่างมากสำหรับการนี้ ความขัดแย้งทางความคิดในบางครอบครัวอาจเป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่





3.เลือกกุมารแพทย์ที่สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่





โดยทั่วไป โรงพยาบาลของรัฐจะมีนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อยู่แล้ว โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองว่า เป็น

โรงพยาบาล สายสัมพันธ์แม่-ลูก จะมีแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกและ UNICEF




สำหรับโรงพยาบาลเอกชน คุณอาจสอบถามได้จากเพื่อนฝูงหรือ พยาบาลว่ากุมารแพทย์ท่านใดสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ถ้าไม่แน่ใจลองสังเกตจาก

สิ่งเหล่านี้





4. การตรวจ และเตรียมเต้านม





ตรวจดูขนาดและรูปร่างของเต้านมและหัวนม เพื่อค้นหาความผิดปกติ เช่น มีก้อนเนื้องอกหรือถุงน้ำซึ่งอาจจะต้องให้การรักษาหัวนมสั้น แบนบุ๋ม โดยทั่วไปหัวนมจะยาวประมาณ 0.5–1ซม.ถ้าสั้นกว่านี้ลูกอาจจะดูดนมลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผิวหนังที่ลานหัวนมตึงแข็งจับดึงหยุ่นไม่ได้ โคนหัวนมหนาใหญ่ด้วย จะยิ่งดูดลำบาก แต่ถ้าลานหัวนมยืดหยุ่นดีแม้หัวนมสั้น จะสามารถดูดได้ไม่ยาก





ความผิดปกติที่เกิดขึ้นควรปรึกษาแพทย์ที่ฝากครรภ์หรือหน่วยฝากครรภ์ของโรงพยาบาล เพื่อจะได้แก้ไข เสียแต่เนิ่นๆ เพื่อจะช่วย ให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีความราบรื่นมากขึ้น ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ช่วยแก้ไขปัญหาหัวนมบอดวางจำหน่ายหลายยี่ห้อ ตามห้างสรรพสินค้า เช่น ปั๊มหัวนมบอด, นิปเปล็ด, ปทุมแก้ว หรือฝาครอบบริหารหัวนม




***ขนาดของเต้านมไม่สัมพันธ์กับการสร้างน้ำนม คุณแม่บางท่านอาจกังวลใจว่าเต้านมมีขนาดเล็กทั้งนี้เป็นเพราะ ปริมาณไขมันในเต้านมมีน้อย แต่ส่วนที่สร้างน้ำนม คือ ต่อมและท่อน้ำนมซึ่งคุณแม่ทุกคนจะมีปริมาณเท่ากัน ฉะนั้นขนาดของเต้านมไม่มีผลต่อความสามารถในการสร้างน้ำนมให้ลูก***

วิธีเลือกกุมารแพทย์ให้ลูก

โดยปกติ เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ ว่าที่คุณแม่ส่วนใหญ่มักจะสอบถามเพื่อนฝูง คนรู้จัก เพื่อขอคำแนะนำในการฝากครรภ์ว่าควรจะฝากที่ไหน แพทย์คนใด แต่ส่วนใหญ่มักจะลืมไปว่า หลังจากคลอดแล้ว แพทย์ที่จะดูแลลูกต่อจากนั้นไม่ใช่สูติแพทย์ท่านเดิมแล้วค่ะ จะต้องเปลี่ยนเป็นกุมารแพทย์ ฉะนั้นก่อนคลอดควรสอบถามและเลือกกุมารแพทย์ที่สนับสนุน การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ให้เป็นกุมารแพทย์ ประจำตัวลูกนะคะ (ถ้าก่อนคลอด คุณแม่ไม่ได้ระบุว่าต้องการกุมารแพทย์ท่านใด ทางโรงพยาบาลจะจัดให้เองค่ะ)

แม้ว่าแพทย์และพยาบาลทุกท่านจะพูดตรงกันว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทารก แต่ก็ไม่ใช่ว่าแพทย์หรือพยาบาลทุกท่านจะสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อย่างจริงจัง ส่วนใหญ่จะสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็ต่อเมื่อกรณีนั้นไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากมีปัญหาเมื่อใด ส่วนใหญ่ก็จะแนะนำให้หย่านม หรือใช้นมผสมช่วย แพทย์หรือพยาบาลที่สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างแท้จริง จะต้องพยายามอย่างเต็มที่ ในการที่จะช่วยเหลือ หรือแก้ปัญหาให้คุณแม่ เพื่อให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ดำเนินต่อไปได้



ต่อไปนี้เป็นข้อสังเกตว่าแพทย์หรือพยาบาลท่านนั้น ไม่ได้ สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อย่างจริงจัง



1. แพทย์ท่านนั้นให้นมผสมที่แจกฟรีเป็นตัวอย่าง รวมทั้งเอกสารแนะนำคุณสมบัติของนมผสมยี่ห้อนั้นๆ แก่คุณ



การแจกตัวอย่างนมผสมผ่านโรงพยาบาลหรือบุคลากรทางการแพทย์นั้น เป็นสุดยอดการตลาดที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับคุณแม่ทั้งหลายว่านมผสมนั้นดีไม่แพ้นมแม่ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด



2.แพทย์ท่านนั้นบอกกับคุณว่านมผสมหรือนมแม่ก็เหมือนๆ กัน



แม้ว่าทารกที่กินนมผสมหรือกินนมแม่ ต่างก็เจริญเติบโตได้เหมือนๆ กัน ไม่ได้หมายความว่า นมผสมจะเหมือนกับนมแม่ทุกประการ มีส่วนประกอบหลายชนิดที่มีในนมแม่ แต่ไม่มีในนมผสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภูมิคุ้มกันและเซลล์ที่ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อโรคของทารก



3. แพทย์ท่านนั้นบอกกับคุณว่านมผสมยี่ห้อ XXX ดีที่สุด



4.แพทย์ท่านนั้นบอกกับคุณว่า ไม่จำเป็นต้องรีบพาลูกมาดูดนมทันทีหลังคลอด เพราะคุณแม่ควรจะพักผ่อน



แม้จะไม่จำเป็นจริงๆ แต่การนำลูกมาดูดนมแม่ทันทีหลังคลอดนั้น เป็นประโยชน์อย่างมากในการช่วยให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะการกระตุ้นเร็ว น้ำนมก็จะมาเร็ว



5.แพทย์ท่านนั้นบอกกับคุณว่า เด็กทารกไม่มีปัญหากับการสับสนในการดูดนมแม่หรือนมขวดหรอก ควรจะหัดให้ดูดขวดเร็วๆ ลูกจะได้ไม่ปฏิเสธขวดในภายหลัง



การดูดนมแม่และดูดขวดนั้นมีลักษณะการดูดที่แตกต่างกัน การดูดขวดนมนั้น น้ำนมจะไหลเร็วตลอดเวลา โดยที่ลูกไม่ต้องออกแรงมาก ทำให้ลูกเคยชินกับการดูดขวดนมได้ง่าย เพียงแค่ให้ดูดครั้งหรือสองครั้ง หลังจากนั้นลูกจะปฎิเสธการดูดนมแม่ เพราะต้องใช้ความพยายามมากกว่า



6. แพทย์ท่านนั้นแนะนำให้คุณหยุดให้นมลูก เมื่อคุณหรือลูกไม่สบาย



ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อคุณหรือลูกป่วย มีน้อยกรณีมากที่จะไม่สามารถให้นมต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร มียาหลายชนิดที่แพทย์สามารถเลือกใช้ได้ โดยไม่กระทบกับการให้นมลูกของคุณ หากได้รับคำแนะนำให้หยุดให้นมลูกจากแพทย์ท่านใด แสดงว่าแพทย์นั้นไม่เห็นความสำคัญของ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ขอให้สงสัยไว้ก่อน และลองปรึกษาแพทย์คนใหม่ดู



7. แพทย์ท่านนั้นพูดหรือแสดงอาการแปลกใจว่า ทำไมคุณยังเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อยู่ ทั้งๆ ที่ลูกอายุตั้ง 6 เดือนแล้ว



8.แพทย์ท่านนั้นบอกว่าหลังจาก 6 เดือน นมแม่ไม่มีประโยชน์แล้ว



ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นมแม่ก็ยังเป็น นม เหมือนเดิม มีไขมัน โปรตีน พลังงาน วิตามินและภูมิคุ้มกัน ที่ช่วยป้องกันเชื้อโรคให้กับทารกได้เหมือนเดิมทุกประการ



9.แพทย์ท่านนั้นแนะนำว่า ไม่ควรปล่อยให้ลูกหลับคาอกแม่



ถ้าลูกหลับได้เองโดยไม่ต้องดูดนมแม่ก็เป็นเรื่องดี แต่การที่ลูกหลับคาอกแม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ควรทำ กลับเป็นเรื่องที่น่าเพลิดเพลินเสียด้วยซ้ำ ลูกก็หลับ แม่ก็ได้พักผ่อน อบอุ่นกันทั้งแม่ทั้งลูก