วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

Urea


-->Urea เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ได้จาก metabolism ของโปรตีน สัตว์และคนขับถ่ายออกมากับปัสสาวะ เดิมนักเคมีเชื่อว่าไม่สามารถเตรียมได้จากปฏิกริยาของสารอนินทรีย์ แต่ในปี พ.ศ.2828 Friedrich Wohler ค้นพบวิธีสังเคราะห์จาก ammonium cyanate (NH4OCN) โดยเพียงแต่นำสารตัวนี้มาต้ม ปฏิกริยาเกิดขึ้นดังสมการ


NH4OCN = NH2CONH2



ในปี 1920 ได้มีการผลิต urea ในอุตสาหกรรม ขึ้นในเยอรมันและอเมริกา โดยอาศัยปฏิกริยา acid hydrolysis ของ CaCN2 ปฏิกริยาเกิดขึ้นดังสมการ



CaCN2 + CO2 + H2O = N2CN2 + CaCO3

H2CN2 + H2O = NH2CONH2



urea ที่ผลิตได้จากกระบวนการนี้มีความบริสุทธิ์ประมาณ 44% N (urea บริสุทธิ์ = 46.6 %) และมี dicyanodiamide (NH2C(NH)NHCN) เป็น by product ปนอยู่ด้วยประมาณ 1% สารตัวนี้เป็นพิษต่อพืช urea ที่ผลิตจากกระบวนการนี้จึงใช้เฉพาะเป็น feedstock ของอุตสาหกรรมพลาสติก ไม่สามารถใช้เป็นปุ๋ยได้





การสังเคราะห์ urea ในอุตสาหกรรม ปัจจุบันอาศัยปฏิกริยาระหว่าง NH3 กับ CO2 ปฏิกริยาเกิดขึ้นดังสมการ



2NH3 + CO2 = NH2 - CO - ONH4 H = -67,000 BTU

NH2-C-ONH4 = NH2-CO-NH2 + H2O H = +18,000 BTU



สาร NH2-CO-ONH4 เรียกว่า ammonium carbamate ส่วน NH2-CO-NH2 เรียกว่า carbamide



ปฏิกริยาทั้งสองเป็นปฏิกริยาผันกลับได้ ดังนั้นประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตจึงขึ้นกับ อุณหภูมิ ความดัน และความเข้มข้นของสารแต่ละตัวในปฏิกริยา โดยทั่วไปมักใช้อุณหภูมิในช่วง 180-200 °C ความดัน 140-250 atm

Industrial process

1. Once-through process กระบวนการนี้นำสารตั้งต้น (NH3 และ CO2) ผ่านการทำปฏิกริยาเพียงครั้งเดียว จากนั้นลดความดันลงและเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้น NH2-C-ONH4 ที่ยังไม่เกิดปฏิกริยาจะสลายตัวเป็น NH3 และ CO2 จับแก๊ส NH3 ด้วย H2SO4 หรือ HNO3 จะได้ (NH4)2SO4 หรือ NH4NO3 ออกมาจากกระบวนการด้วยแล้วแต่กรณีกระบวนการนี้มี NH3 ประมาณ 30% เท่านั้นที่เกิดปฏิกริยาเป็น urea กระบวนการนี้มีข้อดีที่ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง โรงงานต่ำ แต่มีการสูญเสีย CO2 สูง การผลิต urea 1 ตัน จะมี (NH4)2SO4 เกิดขึ้นประมาณ 4 ตัน ในกรณีที่ใช้ H2SO4 จับแก๊ส NH3

2. Partial recycle process กระบวนการนี้หลังจากนำ NH3 และ CO2 ทำปฏิกริยาแล้ว นำของผสมที่ได้ไปผ่าน

decomposer 2-3 ตัว เพื่อให้ NH2-CO-ONH4 ที่ไม่เกิดปฏิกริยาสลายตัวเป็น NH3 และ CO2 จากนั้นนำแก๊สทั้งสองนี้จาก decomposer ตัวแรก (หรือ 1+2) กลับไปทำปฏิกริยาใหม่ ส่วนแก๊สที่เกิดจาก decomposer ความดันต่ำ (ตัวหลัง) นำไปทำปฏิกริยากับ H2SO4 กระบวนการนี้ผลิต urea 1 ตัน ได้ NH4SO4 1 ตัน

3. Total recycle process กระบวนการนี้จะนำ NH3 และ CO2 ที่ยังไม่เกิดปฏิกริยากลับไปทำปฏิกริยาใหม่ทั้งหมด ประสิทธิภาพการผลิตของกระบวนการนี้จึงสูงถึง 99% ต้นทุนในการผลิตของกระบวนการนี้สูงที่สุด







สมบัติของ Urea



สมบัติ

1. เป็นของแข็งสีขาว

2. moleoular weigth 60.06 g/mole

3. density (crystal) 1.32 g/cm3

4. density (fertilizer) 0.67 g/cm3

5. solubility 78 g/100 cm3 ที่ 5 °C และ 733.3 g/100 cm3ที่ 100 °C

6. melting point 132.7 °C

7. boiling point ไม่มี เนื่องจากสารตัวนี้สลายตัวก่อนอุณหภูมิถึงจุดเดือด (สลายตัว)

8. N content (pure) 46.67 %

9. N content (fertilizer) 45-46 %

10. Cristical humidity 80.0 % ที่อุณหภูมิ 20 °C

75.8 % ที่อุณหภูมิ 25 °C

72.5 % ที่อุณหภูมิ 30 °C





ปัญหาของปุ๋ย Urea

ปัญหาสำคัญในการใช้ urea เป็นปุ๋ยมี 2 อย่าง คือ

1. การดูดความชื้น ทำให้ยากต่อการเก็บรักษา การขนส่ง และการใช้ ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้หลายวิธี ได้แก่

Prilling หมายถึง ผลิต urea เป็นเม็ดเพื่อลด surface area

Conditioning หมายถึง การผสมสารดูดความชื้นลงไป ได้แก่ dolomite กากเมล็ดพืช rock phosphate เป็นต้น

ผลิตเป็นสารประกอบ CaSO4.4 (NH2)2

ผลิตเป็นปุ๋ยน้ำ เนื่องจาก urea เป็นแม่ปุ๋ย N ที่มี N อยู่มากที่สุด และใช้เป็นปุ๋ยทางใบได้ดี

ผลิตเป็นปุ๋ยละลายช้า

เคลือบเม็ดปุ๋ยด้วย wax

2. Biuret สาร biuret เป็นสารประกอบที่เกิดจากปฏิกริยาของ carbamide 2 molecule ที่อุณหภูมิสูง ปฏิกริยาเกิดขึ้นดังสมการ

2NH2CONH2 = NH2CONHCONH2 + NH3



ปฏิกริยานี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิ 130-150 °C สาร biuret ที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต urea มักไม่เกิน 0.1% แต่ biuret จะเกิดขึ้นมากในกระบวนการ prilling หากควบคุมไม่ดีอาจมี biuret สูงถึง 2-5 % สารนี้มีพิษต่อพืช หากปนอยู่ใน urea > 2 % จะทำให้ใบพืชไหม้ และเมล็ดงอกช้า triunet สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับ biuret แต่สารตัวนี้ไม่มีพิษต่อพืช ปฏิกริยาเกิดขึ้นดังสมการ



3NH2CONH2 = (NH2(ONH)2CO + 2NH3








-->

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

สถานการณ์ในวัดพระบาทน้ำพุ


จะมีใครสนใจบ้างหรือไม่ ทุกวันนี้สถานการณ์ในวัดพระบาทน้ำพุเป็นอย่างไร ผู้ป่วยยิ่งทวีจำนวน ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร ข้าวของเครื่องใช้ในการดูแลผู้ป่วย ได้มาจากไหน
“ทุกวันนี้หลวงพ่อต้องรับผิดชอบดูแลคนในวัด ไม่ต่ำกว่า 1,000 ชีวิต ทุกเดือนท่านมีภาระต้องหาเงิน ไม่ต่ำกว่า 3,500,000 บาท หรือเฉลี่ยวันละ 116,000 กว่าบาท มาใช้จ่ายในวัด”


“ถ้านี่คือการทำธุรกิจ ป่านนี้วัดพระบาทน้ำพุเจ๊งไปนานแล้ว บางวันมีเงินบริจาคเข้าวัดยังไม่ถึง 3,000 บาท แต่สิ่งที่ทำให้คนในวัดนับพันชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ คือ ข้าวสาร อาหารแห้ง จากผู้มีจิตศรัทธาที่ใส่บาตรหลวงพ่อ”.

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด การแผ่เมตตานี้ พุทธบริษัทได้ประพฤติปฏิบัติหลังจากการไหว้พระสวดมนต์ เจริญจิตภาวนาแล้ว เพื่อเป็นการแสดงความรัก ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสงบสุขร่มเย็น หรือแสดงให้เห็นถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เอื้ออาทร มีมิตรไมตรีทางด้านจิตใจซึ่งกันและกัน โดยระลึกไว้อยู่ในใจเสมอว่า ถ้าบุคคลใดประสบความทุกข์ โศกโรคภัยพิบัติอัตคัดด้วยประการใดก็ตาม ก็ขอให้บุคคลเหล่านั้น ผ่านพ้นทุกข์ภัยนั้น ๆ โดยเร็วพลัน หรือถ้ามีความสุขความเจริญอยู่เป็นปกติแล้ว ก็ขอให้มีความสุขความสมหวังมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป เมตตาธรรมจึงเป็นคุณธรรมของผู้มีจิตใจสูงยิ่งด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเอื้ออาทรแก่ผู้อื่นอยู่เนืองนิตย์ ปราศจากความมุ่งร้ายทำลายชีวิตซึ่งกันและกัน งดเว้นการเบียดเบียนทั้งทางร่างกายและจิตใจหรือทรัพย์สิน ไม่ข่มเหงน้ำใจ ไม่แบ่งชนชั้น ตลอดจนละเว้นความอาฆาตพยาบาท หรือความอิจฉาริษยาด้วยประการทั้งปวง พระพุทธวรญาณ อดีตเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส กล่าวไว้ว่า คนที่มีพื้นฐานความเมตตากรุณาอยู่ในใจ กับคนที่มีความโหดร้ายริษยาเป็นพื้นอยู่ในใจ จะสังเกตดูได้จากใบหน้าจะมีความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจนทีเดียว เพราะความริษยาพยาบาทนั้น จะทำให้บุคคลมีใบหน้าบูดบึ้ง ไม่มีเสน่ห์ เฉยเมย ไม่ยิ้มแย้ม ในทำนองเดียวกัน คนที่มีคุณธรรมจะมีใบหน้าแตกต่างออกไป ใบหน้านั้นจะยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงให้เห็นถึงความหนักแน่นน่านับถือน่าสมาคม มีแววตาเมตตากรุณาฉายออกมาให้เห็นอย่างงดงาม สำหรับผู้ที่จะเจริญเมตตาธรรมควรปฏิบัติตามหลักการ ดังนี้ ๑. เจริญเมตตาให้ตนเองก่อน คือ ปรารถนาความสุขแก่ตนเองแล้วจึงเจริญถึงบิดามารดา ญาติพี่น้องและเพื่อน ๆ ๒. เจริญเมตตาให้คนที่เคยโกรธเคืองกันด้วยเรื่องเล็กน้อยแล้วค่อยถึงคนที่เป็นศัตรูกันจริง ๆ ๓. เจริญเมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้เจริญเมตตาอยู่เป็นประจำ จนมีจิตใจมั่นในเมตตาธรรม มีเมตตาเป็นคุณธรรมประจำใจ ย่อมได้รับอานิสงส์หรือผลดี ๑๑ ประการ คือ หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ไม่ฝันร้าย . เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา ไม่ต้องภัยจากไฟ ยาพิษ หรือศัตราวุธ จิตเป็นสมาธิง่าย สีหน้าผ่องใส เมื่อจะตายใจก็สงบไม่หลงใหลไร้สติ และถ้ายังไม่บรรลุคุณพิเศษที่สูงกว่า ย่อมเข้าถึงพรหมโลก อานุภาพแห่งเมตตาธรรมนั้น นอกจากจะนำความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติแล้ว ยังสามารถทำให้บุคคลหรือสัตว์ที่เป็นศัตรูพยาบาทมาดร้าย ให้กลับกลายเป็นมิตรที่มีความรักปรารถนาดีต่อกัน ดังเช่นปรากฏในคาถาพาหุง บทที่สาม ซึ่งเป็นการประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า ความว่า สมัยที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตพร้อมด้วยพระสงฆ์หมู่ใหญ่ เพื่อโปรดชาวเมืองราชคฤห์ พระเทวทัตสั่งให้ทหารของพระเจ้าอชาตศัตรูปล่อยช้างนาฬาคิรี ที่กำลังตกมันและ ดุร้ายยิ่งให้มาทำร้ายหมายปลงพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้า แต่ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาบารมีของพระพุทธองค์ ทำให้ช้างหมดพยศ ซบตัวลงแทบพระยุคลบาทของพระศาสดา ในที่สุดก็กลายเป็นช้างที่เชื่อง เชื่อฟังง่ายและมีเมตตาต่อบุคคลทั่วไป เมตตาธรรมนี้ จึงเป็นธรรมาวุธที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้พระสงฆ์สาวก ใช้เป็นเครื่องมือในการเผยแผ่พระพุทธศาสนามากว่า ๒,๕๐๐ ปี ซึ่งมวลมนุษยชาติได้รับคุณูปการอันใหญ่หลวงในทางจิตวิญญาณ ที่มีแต่ความเมตตากรุณาเพื่อนร่วมโลกด้วยดีเสมอมา มาบัดนี้โลกกำลังขาดแคลนน้ำใจ คือ ความเมตตากรุณา จึงได้ใช้อาวุธประหัตประหารกันและกัน สร้างความวุ่นวายทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นยากที่จะหลีกเลี่ยง โดยลืมว่าตนเองรักสุขเกลียดทุกข์ ผู้อื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์เช่นเดียวกัน และเมื่อใด ผู้ไม่หวังดีต่อคนไทยในสามจังหวัดชายแดนภาตใต้ ได้ใช้เมตตาเป็นอาวุธแล้วย่อมจะมองมนุษย์เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข ก็จะไม่เบียดเบียนกันและกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ เมื่อนั้น เมตตาธรรมก็จะทำหน้าที่ค้ำจุนประเทศไทย และค้ำจุนโลกใบนี้ให้มีแต่สันติภาพและสันติสุขตามที่ปรารถนาอย่างแน่นอน ที่มา.สาโรจน์ กาลศิริศิลป์

สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475

1.เศรษฐกิจตกต่ำ ในระหว่าง พ.ศ.2472-2474 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก สินค้าไทยโดยเฉพาะข้าวราคาตกต่ำ เกิดภาวะขาดแคลนทั่วประเทศ ประกอบกับประเทศไทยมีรายจ่ายเกินกว่ารายได้ต่อเนื่องมาหลายปี ทำให้ฐานะการเงินการคลังของรัฐบาลอยู่สภาพคลอนแคลน รายได้ – รายจ่ายของประเทศ พ.ศ.2463 – 2468 ปีงบประมาณ รายได้ รายจ่าย จ่ายเกิน พ.ศ.246372,500,00082,130,1269,630,126พ.ศ.246477,800,00082,030,5824,232,582พ.ศ.246579,000,00087,416,7138,416,713พ.ศ.246680,000,00090,216,04310,216,043พ.ศ.246784,000,00093,125,6889,125,688พ.ศ.246891,000,00094,875,2383,875,238ที่มา : เกียรติชัย พงษ์พาณิชย์, คณะราษฎร : ความขัดแย้งและรูปแบบเพื่อการครองอำนาจ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ 6 (10) มิถุนายน 2515 หน้า 59 ซึ่งรัฐบาลในสมัยรัชกาลที่ 7 พยายามแก้ไขสถานะการคลังเป็นหลายวิธี เช่น ลาออกจากองค์การมาตรฐานทองคำ กำหนดค่าเงินบาทขึ้นใหม่ แต่ที่สำคัญซึ่งได้รับความเดือดร้อนกันทั่วไป คือ การเพิ่มภาษีราษฎรและการปลดข้าราชการออกเพื่อรักษาดุลยภาพทางการเงินสร้างความไม่พอใจให้แก่ข้าราชการที่พูดกันในสมัยนั้นว่า ถูกดุล เป็นอันมาก 2.ความขัดแย้งระหว่างสามัญชนกับพระราชวงศ์ สามัญชนมีการศึกษาสูงขึ้น ที่จบจากต่างประเทศ กลับเข้ามารับราชการก็มีมาก แต่บรรดาเจ้านายพระราชวงศ์บางพระองค์ทรงไม่สามารถปรับพระองค์ได้ ยังทรงถือเป็นข้าหรือบ่าวอยู่ตามเดิมอยู่ในลักษณะดูหมิ่นดูแคลน ทำให้สามัญชนที่มีความรู้ความสามารถเกิดน้อยเนื้อต่ำใจ 3.แนวคิดที่ได้รับจากตะวันตก ข้าราชการที่ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตกต้องการให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย 4.การประวิงเวลาพระราชทานรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 เมษายน 2475 การที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มิอาจพระราชทานรัฐธรรมนูญในโอกาสสมโภชกรุงครบรอบ 150 ปี ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2475 เพราะได้รับการทัดทานจากคณะอภิรัฐมนตรี เป็นการเร่งรัดให้มีการปฏิวัติโดยเร็วยิ่งขึ้น เพราะข้าราชการที่มีความคิดก้าวหน้าเห็นว่า หนทางที่จะได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญ โดยไม่ใช้กำลังบังคับนั้นไม่มีแล้ว เหตุการณ์การปฏิวัติ กลุ่มผู้ริเริ่ม คือ นักเรียนไทยในฝรั่งเศส ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญตั้งแต่ต้น ได้แก่ นายปรีดี พนมยงค์ กับ ร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ เมื่อบุคคลเหล่านี้กลับประเทศไทย ก็รวบรวมผู้คนซึ่งมีความคิดอย่างเดียวกัน โดยนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นผู้ดำเนินการด้านพลเรือน และร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ ซึ่งได้เลื่อนยศมีบรรดาศักดิ์เป็นพันตรีหลวงพิบูลสงคราม เป็นผู้ดำเนินการด้านทหาร เมื่อรวบรวมผู้คนได้จำนวนมากพอสมควรจึงตั้งชื่อ คณะปฏิวัติว่า คณะราษฎร มีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นหัวหน้า พันเอกพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) พันเอกพระยาฤทธิอาคเนย์ (สละ เอมะศิริ) และพันโท พระประสาทพิทยยุทธ (วัน ชูถิ่น) เป็นรองหัวหน้า การปฏิวัติเริ่มในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ขณะที่รัชกาลที่ 7 ทรงแปรพระราชฐานไปประทับที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยอ้างกับกองทหารต่างๆ ว่าเป็นการซ้อมรบยุทธวิธีอย่างใหม่ เมื่อมาถึงพร้อมกันจึงได้ประกาศว่าเป็นการปฏิวัติ หลังจากพระยาพหลพลพยุหเสนาอ่านประกาศแล้วจึงส่งกำลังเข้าควบคุมสถานที่สำคัญๆ ทางราชการในกรุงเทพฯ และแยกย้ายกันไปถวายอารักขา (ควบคุม) พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงและบุคคลสำคัญเพื่อเป็นตัวประกันสำหรับต่อรอง เช่น จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ประธานอภิรัฐมนตรีสภา และเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ขณะนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรฯทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการพระนครอยู่พระองค์ท่านทรงตัดสินพระทัยไม่ใช้กำลังโต้ตอบคณะราษฎรให้เกิดการเสียเลือดเนื้อขึ้น และทรงยินยอม ออกแถลงการณ์ให้ประชาชนอยู่ในความสงบระหว่างนั้นทางฝ่ายคณะราษฎรได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงจุดประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ประชาชนทราบ และได้แถลงหลัก 6 ประการ อันเป็นนโยบายของคณะราษฎรที่จะนำมาใช้บริหารประเทศ หลัก 6 ประการของคณะราษฎร 1.หลักเอกราช จะรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางการศาล ในทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้มั่นคง 2.หลักความปลอดภัย จะรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก และสร้างความสามัคคีของคนในชาติ 3.หลักเศรษฐกิจ จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก 4.หลักเสมอภาค จะให้ราษฎรมีสิทธิเสมอหน้ากัน ไม่ให้ผู้ใดมีสิทธิเหนือผู้อื่น 5.หลักเสรีภาพ จะให้ราษฎรมีอิสระที่จะใช้สิทธิ ผู้ใดจะบังคับมิได้ 6.หลักการศึกษา จะให้การศึกษาแก่ราษฎรอย่างทั่วถึง หลังจากนั้นคณะราษฎรได้ทำหนังสือไปกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระองค์ทรงยอมรับตามข้อเสนอของคณะราษฎร เพื่อให้ประเทศชาติมีรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับนานาอารยประเทศตามที่ทรงมีพระราชปณิธานอยู่แล้ว ทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองประสบความสำเร็จ โดยปราศจากการเสียเลือดเนื้อ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จกลับกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2475คณะราษฎรได้นำรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ซึ่งหลวงประดิษฐ์มนูธรรมและคณะราษฎรบางคนได้ร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธย พระองค์จึงได้พระราชทานพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย จากนั้นคณะราษฎรจึงได้คัดเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวจำนวน 70 คน ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ตั้งขึ้นเป็นสภาผู้แทนราษฎร และได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้น 2 ชุด ชุดแรกมีจำนวน 14 คน ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินชุดที่สองจำนวน 9 คน เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ที่มา..mthai..

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชะตากรรมของพระยาทรงสุรเดช หนึ่งในสี่ทหารเสือคณะราษฎร์


-->ชะตากรรมของพระยาทรงสุรเดช หนึ่งในสี่ทหารเสือคณะราษฎร์ หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สละราชสมบัติ ขณะประทับอยู่ที่อังกฤษ จนสวรรคตที่อังกฤษ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ถูกเนรเทศจากสยาม ลี้ภัยการเมืองอยู่ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซียจนสิ้นพระชนม์ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี 5 สมัย ยุติบทบาททางการเมืองเมื่อพ.ศ. 2481 ในวัยชราป่วยด้วยโรคอัมพาตและถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก พันเอก พระยาทรงสุรเดช อดีต 1 ใน 4 ทหารเสือที่ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นผู้ที่วางแผนการยึดอำนาจทั้งหมด ได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ได้เป็น ถูกกล่าวหาว่าคิดก่อการกบฏล้มล้างรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในกบฏพระยาทรงสุรเดช ท่านถูกเนรเทศไปอยู่ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จนถึงแก่กรรมด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ที่คุณหมอ CVT วินิจฉัยว่าเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย พันเอก พระยาฤทธิ์อัคเนย์ หนึ่งในสี่ทหารเสือ ประสบภัยการเมืองต้องลี้ภัยไปอยู่ปีนังและสิงคโปร์ กลับมาเมืองไทยหลังสงครามโลก ได้เป็นวุฒิสมาชิก บั้นปลายหันหน้าเข้าวัดปฏิบัติธรรม พันเอก พระประศาสน์พิทยายุทธ พ้นจากการเมืองไทยไปเป็นเอกอัครราชทูตที่เยอรมัน แต่ถูกจับไปเข้าค่ายเชลยในไซบีเรียช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่รอดตายกลับมาประเทศไทยได้ ได้เป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ถึงแก่กรรมด้วยโรคตับจากพิษสุรา จอมพลป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง ถูกรัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ลี้ภัยการเมืองไปถึงแก่อนิจจกรรมที่ประเทศญี่ปุ่น นายปรีดี พนมยงค์ ผู้ก่อการพลเรือนของคณะราษฎร์ พ่ายแพ้รัฐบาลจอมพลป. ในคดีกบฏวังหลวงเมื่อรวบรวมกำลังทหารเรือยึดอำนาจจากรัฐบาล ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ประเทศจีนและไปถึงแก่กรรมในฝรั่งเศส หลวงกาจสงคราม ผู้ก่อการฯคนหนึ่ง ได้เป็นรัฐบาลของจอมพลป. หลังสงครามโลก ถูกเนรเทศทางการเมืองไปอยู่ฮ่องกงและกลับมาถึงแก่กรรมในประเทศไทย
-->หลังจากที่ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ได้ขึ้นอ่านแถลงการณ์ “ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ ๑” และได้นำกำลังบุกเข้ายึดพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวแล้ว พันเอกพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) หัวหน้าฝ่ายทหารของคณะราษฎรและเสนาธิการสูงสุดของการยึดอำนาจครั้งนั้น ได้ออกคำสั่งให้ พันโทพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) นำกำลังไปจับกุมบุคคลสำคัญ ที่รวมถึง จอมพลเรือสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นเสมือนพระรัชทายาทเบอร์ ๑ ผู้ทรงอำนาจที่สุด รองแต่เฉพาะพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น มาควบคุมไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อเป็นตัวประกัน สำหรับต่อรองกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จพระราชดำเนินอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล ในขณะนั้น พระประศาสน์พิทยายุทธ และ หลวงพิบูลสงคราม (ต่อมาคือจอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี) จึงนำกำลังทหารและรถหุ้มเกราะบุกเข้าไปในวังบางขุนพรหม โดยเกิดปะทะกันเพียงเล็กน้อย จากบันทึกเรื่อง “แผนการปฏิวัติ” ของเจ้าตัว กล่าวความในตอนนี้ไว้ว่า “......ขบวนรถแล่นเข้าสู่วังบางขุนพรหมตรงไปที่พระตำหนักใหญ่ รถของเรากำลังแล่นไปอย่างเสียงดังเอิกเกริก ในขณะนั้นเองมีนายตำรวจผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากพระตำหนัก ซึ่งทราบภายหลังว่าคือพระอาสาพลนิกร ชักปืนพกออกยิงรัวมายังข้าพเจ้า ปัง ปัง แต่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกหวั่นไหวประการใดนัก ลูกศิษย์ข้าพเจ้าที่อยู่ในรถยนต์หุ้มเกราะก็ยิงปืนกลสวนควันออกไป เสียงปรุ้ม ปรุ้ม แต่เรายิงขึ้นไปบนฟ้า ไม่ได้มุ่งหมายจะให้เป็นอันตรายแก่ผู้ใด นอกจากจะแสดงว่านี่เป็นเรื่องใหญ่โตเสียแล้ว จะมาทำเล่นเล็กๆ น้อยๆ กันต่อไป ไม่ได้ พระอาสาพลนิกรก็วิ่งหลบหนีหายไปทางเบื้องหลังพระที่นั่ง ข้าพเจ้าสั่งให้ทหารในรถกระโดดลงขยายแถวเรียงรายไปตามสนามหญ้าหน้าพระตำหนักวังทันที และสั่งให้นายร้อยตำรวจโทผู้บังคับกองขึ้นไปทูลเชิญสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ลงมาเจรจาการเมืองกัน ณ เบื้องล่าง ให้เวลา ๑๕ นาที นายตำรวจผู้นั้นก็รับคำสั่งเงียบหายขึ้นพระตำหนักไป..........สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ก็ทรงจนพระทัย มิรู้จะทรงปฏิบัติอย่างไร ถ้าพระองค์ทรงสั่งให้เอาปืนกลระดมยิงพวกเรา พวกเราก็คงจะตายลงหลายคน แต่เมื่อเราหลบบังและทำการต่อสู้ พวกเราก็คงจะจับกุมพระองค์จนได้ และถ้าไปก่อกวนให้เกิดความโกรธขึ้นเช่นนั้น ใครเล่าจะรับผิดชอบได้ว่าจะ ไม่เกิดการฆ่าฟันกันประดุจโรงฆ่าสัตว์ พระตำหนักก็อาจจะถูกเผาไฟเป็นจุณไป อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าพระองค์ทรงขัดขืนมิเสด็จลงมา ก็คงจะทำความลำบากให้แก่เราไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม โชคบันดาลให้เราอย่างประหลาดที่ไม่แต่พระองค์เท่านั้นที่เสด็จลงมา แต่กลับพาทุกๆ คนลงมาให้เราโดยบังเอิญ หมดเวลา ๑๕ นาทีแล้ว ข้าพเจ้าสั่งให้ทหารเคลื่อนที่เข้าล้อมวังทันที เมื่อทหารของเราพร้อมสรรพด้วยอาวุธ ขยายแถวเดินเข้าสู่พระตำหนักเบื้องหลัง ก็ปรากฏว่าสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระนครสวรรค์ฯ และบริพารตั้งร้อยคับคั่งอยู่ที่ท่าน้ำเตรียมหนีทางเรือ แต่เนื่องจากความรอบคอบของฝ่ายเรา เรือรบของฝ่ายเราได้ติดเครื่องบรรจุกระสุนปืนในอาการที่จะเคลื่อนไหวได้ในทันทีอยู่ ณ เบื้องหน้า ทำให้ทรงงงงัน ไม่มีใครกล้าจะลงเรือหนี รีๆ รอๆ อยู่ด้วยความลังเลใจ ก็พอดีทหารของข้าพเจ้าไปควบคุมในลักษณาการเอาจริงเอาจังที่สุด ณ เบื้องหน้าเสียแล้ว ฝ่ายพระองค์ท่านก็เตรียมพร้อม พวกผู้ชายมีปืนสั้นบรรจุกระสุนอยู่พร้อมแล้ว พร้อมที่จะแสดงความจงรักภักดีพลีชีพเพื่อเจ้านายที่รักของตน ฝ่ายเราก็มั่นใจในอุดมคติของเราว่า เราจะสร้างลัทธิประชาธิปไตยให้ชาติไทยให้ได้ในครั้งนี้ ต่างคนก็ต่างยินดีพลีชีพเพื่ออุดมคติของตน ที่มา...จากบล็อกของนายกรณ์ จาติกวณิช ... ในสภาพหน้าสิ่วหน้าขวานที่จะนองเลือดกันหรือไม่ ขณะนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าข้าพเจ้ากระทำไปโดยความขี้ขลาด หรือขาดความเป็นสุภาพบุรุษอันแท้จริงเพียงนิดเดียว ก็จะต้องเกิดการนองเลือดเป็นอย่างแน่นอน แต่ข้าพเจ้าใช้ตัวของข้าพเจ้าเองเข้ากู้สถานการณ์ในขณะนั้น และใช้ความคิดที่เผอิญดลใจเกิดขึ้นในบัดดลเข้ากระทำการโดยเด็ดขาด ซึ่งใคร จะหาว่าข้าพเจ้าทำการไม่ฉลาด ถ้าพลาดพลั้งข้าพเจ้าตายลงแล้ว จะมีใครทำการแทนข้าพเจ้าได้ในสถานการณ์เช่นนั้นในบัดนั้นก็ตามที ข้าพเจ้าก็มีเหตุผลของข้าพเจ้าเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าพเจ้าถวายเกียรติยศแด่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ว่าทรงสูงดีพอที่ข้าพเจ้าจะเทิดเกียรติของพระองค์ไว้เหนือชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเอาชีวิตข้าพเจ้าแลกกับการไม่นองเลือดให้จงได้ ถ้าหากจะเกิดการนองเลือดขึ้น ก็ขอให้ฝ่ายพระองค์เป็นผู้ลงมือก่อนเถิด ใครใช้อาวุธทำร้ายก่อน ขอให้เป็นผู้รับผิดชอบในการนองเลือดครั้งนั้น เมื่อข้าพเจ้าตัดสินใจเด็ดขาดดังนั้นแล้ว ก็สั่งทหารด้วยเสียงอันดังว่า “อย่ายิงจนกว่าฉันจะสั่งให้ยิงหรือฉันเป็นอันตราย” คำสั่งของข้าพเจ้าเป็นการสั่งแบบจิตวิทยา ที่สะกดกระบอกปืนของทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่มีใครกล้าลั่นปืนออกมาได้ เพราะฝ่ายข้าพเจ้านั้นจะไม่ลั่นไกยิงจนกว่าจะสั่ง และฝ่ายท่านถ้ายิงเราแล้วก็จะเป็นอันตราย ทั้งหมดด้วยปืนนัดนั้นของฝ่ายท่านเอง เอาซี ข้าพเจ้าตายท่านตายหมด ท่ามกลางบริวารนับร้อยผู้จงรักภักดีของพระองค์ พร้อมด้วยอธิบดีกรมตำรวจและนายตำรวจหลายนาย ประกอบด้วยชายฉกรรจ์อยู่เบื้องหน้า ต่างคนมีอาวุธเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อเจ้านายที่รักของตนสุดความสามารถ ณ เบื้องหลังมีพระชายาและสนมกำนัลยืนอกสั่นขวัญหายอยู่มากมาย หรือกล่าวอย่างสั้นๆ คนในวังทั้งหมดมาอยู่พร้อมหน้าข้าพเจ้า ในบัดนี้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงยืนสง่าน่าเกรงขามอยู่ ณ เบื้องหน้า ข้าพเจ้าเดินเข้าไปเฝ้า เผชิญพระพักตร์อย่างองอาจ จิตใจมั่นคงเสียเหลือเกิน เพราะเชื่อมั่นในอุดมคติของตน............... ....................“เอ๊ะ” ทรงมีรับสั่ง “อีตาวันก็เป็นกบฏกับเขาด้วยหรือ” “มิได้ ฝ่าพระบาท” ข้าพเจ้ากราบทูลตอบ “เราต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เราไม่มีเจตนาสักนิดเดียวที่จะทำลายกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ และมิเป็นการสมควรที่จะกราบทูลเรื่องอันเป็นความลับต่อฝ่าพระบาทด้วยเสียงอันดังต่อหน้าธารกำนัล ฉะนั้นเกล้ากระหม่อม ขอเชิญเสด็จไปเจรจาการเมืองเรื่องสำคัญอันลับอย่างยิ่งนี้ที่หน้าสนามหญ้าพระตำหนักพ่ะย่ะค่ะ” “ก็ได้” ทรงพระดำรัสขึ้นในที่สุด เป็นการเสี่ยงภัยครั้งที่ ๒ เพราะว่าข้าพเจ้าผู้เดียวเดินออกห่างไปจากทหารของข้าพเจ้า พร้อมด้วยสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ซึ่งมีพระยาอธิกรณ์ประกาศเป็นองครักษ์ตามไปในลักษณะ ๒ ต่อ ๑ และข้าพเจ้าตกลงใจที่จะไม่ใช้อาวุธปืนของข้าพเจ้าต่อหน้าเจ้านายที่ข้าพเจ้าเคารพอย่างที่สุดนี้ให้เป็นการเสียมารยาทเป็นอันขาด ส่วนพระยาอธิกรณ์ประกาศนั้น ใครจะไปทราบใจท่านได้ แต่ความจริงการกระทำดังนั้นก็มีเหตุผลอยู่ เพราะ มิฉะนั้นแล้ว ถ้าเกิดการโต้เถียงขึ้น จะเป็นการก่อให้คนเป็นจำนวนมากเกิดโทสะรุนแรงขึ้น และอาจจะเกิดการยิงกันขึ้นด้วยอารมณ์โทสะก็ได้ แต่ถ้าหากว่าเราพูดกันโดยอาการสงบในระยะไกล คนอื่นไม่ได้ยินคำพูดของเราแล้ว ก็ไม่เป็นการทำให้ชนส่วนมากมีโทสะจิตขึ้น เรา ๒-๓ คน รับผิดชอบที่จะไม่ใช้กำลังกันไม่ได้หรือ เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว สมควรที่จะฟังเหตุฟังผล กันได้ ถ้าหากว่าข้าพเจ้าจะต้องเสียชีวิตเพราะให้เกียรติแก่สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระนครสวรรค์ฯ ในครั้งนี้ก็ตามทีเถิด แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังเป็นการล่อแหลมต่ออันตรายที่สุด เพราะว่าพระยาอธิกรณ์ประกาศหาได้รู้สึกอย่างข้าพเจ้าไม่ ซึ่งจะได้เห็นในระยะต่อไป ในการเจรจาตอนนี้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ คงจะประมาณข้าพเจ้าว่าเป็นกบฏอยู่เรื่อยไป ข้าพเจ้าก็กราบทูลว่าข้าพเจ้ามิได้เป็นกบฏ แต่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงแบบการปกครองของชาติไทยให้ทันสมัยกับประเทศที่เจริญแล้วในโลก และเราไม่มีเจตนาอันใดที่จะทำร้ายพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนพระราชทรัพย์ประการใดเลย อันนี้เป็นความบริสุทธิ์แท้จริงแห่งดวงใจข้าพเจ้า และเนื่องด้วยเราไม่ต้องการ ให้มีการนองเลือดขึ้นในระหว่างคนไทยด้วยกัน จึงจำเป็นต้องทูลเชิญเสด็จพระองค์ไปเป็นประกัน แล้วจะส่งคนไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระราชวังไกลกังวล เพื่อกราบทูลเชิญเสด็จฯ มายังพระนคร และขอพระราชทาน รัฐธรรมนูญต่อไป พระองค์ไม่ทรงฟังเหตุฟังผล ไม่ทรงยอมเสด็จไปกับเรา ข้าพเจ้าไม่ยอมพระองค์เป็นอันขาด ในขณะที่เรากำลังเจรจากันแรงขึ้นนี้เอง พระยาอธิกรณ์ประกาศได้ควักปืนพกออกเงื้อฟาดลงจะยิงข้าพเจ้าในทันที ข้าพเจ้าแลเห็น แต่ข้าพเจ้าบอกแล้วว่า ข้าพเจ้าไม่ยอมควักอาวุธออกมาต่อสู้กันหน้าพระพักตร์เจ้านายที่เคารพอย่างยิ่งของเราเป็นอันขาด ถ้าใครกระทำ ผู้นั้นต้องรับผิดชอบ ในชั่วเวลาพริบตาเดียว คุณหลวงนิเทศกลกิจกระโดดเข้าเตะมือพระยาอธิกรณ์ประกาศ ปืนกระเด็นตกลงยังพื้นดิน พวกเรา ๒-๓ คน ก็ฮือกันเข้ามาเก็บปืนไปได้ ใครๆ ก็เห็นภาพอันน่าตื่นเต้นที่สุดในตอนนี้ พริบตาเดียวแห่งชีวิต อีกครั้งหนึ่ง การกระทำของพระยาอธิกรณ์ประกาศเปรียบเหมือนพระผู้เป็นเจ้าให้โอกาสแก่เรา เพราะในขณะนั้นเราต่างก็มีอาวุธพร้อมสรรพอยู่ในอาการเตรียมพร้อม ไม่มีเหตุผลอันใดแล้ว ใครก็ไม่อาจปลดอาวุธกันได้ แต่บัดนี้พระยาอธิกรณ์ประกาศเป็นฝ่ายผิด บังอาจใช้อาวุธทำร้ายในขณะที่เราเจรจากันด้วยสันติวิธี ความคิดเด็ดขาดอันหนึ่งผุดขึ้นในสมองข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือโอกาสนี้ก้าวเท้าเข้าไปหน้าทหารท่ามกลางที่คนทั้งหลายกำลังตกตะลึงต่อภาพอันน่าหวาดเสียวนั้น ข้าพเจ้าแสร้งทำดุอย่างโกรธจัด ร้องสั่งออกไปต่อหน้าทั้งสองฝ่ายว่า “เรากำลังเจรจากันโดยสงบ ทำไมจึงใช้อาวุธลอบทำร้ายกันเช่นนี้ ทหาร ยึดอาวุธให้หมดเดี๋ยวนี้” พอขาดคำ ทหารของข้าพเจ้าก็ ถือปืนในท่าเตรียมยิงเดินแถวตรงเข้ารับอาวุธฝ่ายพระองค์ ส่วนฝ่ายพระองค์นั้น ทุกๆ คนต่างก็ตะลึงและรู้ว่าตนเป็นฝ่ายผิด เพราะหัวหน้าตนจะไปยิงเขาก่อน ต่างก็ไม่มีใครกล้าขัดขืน นี่แหละ ความยุติธรรมคืออำนาจ ทำให้ทุกๆ คนเข้าใจเหตุผลโดยไม่ต้องอธิบาย เมื่อฝ่ายเราปลดอาวุธฝ่ายพระองค์ท่านได้หมดแล้วเช่นนี้ พระเจ้าบันดาลความสำเร็จให้โดยบังเอิญการนองเลือดน่าจะไม่มีในการปฏิวัติครั้งนี้ ข้าพเจ้าเดินกลับมาเฝ้าสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ในขณะนี้ ก็ทรงดำริตกลงพระทัยแล้วดุจกัน พอข้าพเจ้ามาทูลเชิญเสด็จให้ได้ในเดี๋ยวนั้น ก็ทรงร้องว่า “เฮ้ย อีตาวัน ข้าตกลงจะไปให้ แต่ขอขึ้นไปแต่งตัวเสียให้ดีๆ หน่อยนะ” “ขอประทานอภัยโทษ” ข้าพเจ้ากราบทูลด้วยความรู้สึกระแวงว่าอาจจะเป็นกลอุบาย “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้ายอมไม่ได้ในครั้งนี้ เพราะข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบต่อชีวิตมนุษย์ ถ้าประมาทเลินเล่อปล่อยให้เกิดมีจุดที่จะนองเลือดกันขึ้นได้ โดยปล่อยให้ทรงไปเอาปืนกลลงมายิงพวกเราก็คงจะเกิดการฆ่าฟันกันใหญ่โต พระองค์ท่านคงจะทราบความคิดของข้าพเจ้าดีจึงทรงเปลี่ยนเรื่อง “เอ็งเอารถดีๆ มารับข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ทรงตรัส “โธ่ ฝ่าพระบาท” ข้าพเจ้าทูลตอบ “ในสถานการณ์เช่นนี้ กระหม่อมจะไปหารถดีๆ ที่ไหนมาถวาย เรามาที่นี่มีแต่รถกระบะอย่างนี้ จำเป็นต้องขอเชิญฝ่าพระบาท เสด็จไปกับเกล้ากระหม่อมเช่นนี้” “เอ้า กูจะไปกับมึง” ทรงดำรัสในที่สุด “เฮ้ย อีตาวัน ข้าเอาเมียไปด้วยได้ไหม” “ได้พ่ะย่ะค่ะ เกล้ากระหม่อมไม่ขัดข้อง” ข้าพเจ้ารีบทูลตอบ เพราะไม่มีความสำคัญอะไร สิ่งใดที่ไม่จำเป็นที่จะขัดพระหฤทัยแล้ว ข้าพเจ้าไม่ขัดพระอัธยาศัยเลย สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้ทรงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ใน เครื่องฉลองพระองค์เพียงกางเกงจีนกับเสื้อกุยเฮง พร้อมด้วยพระชายา ก็ยินดีเสด็จขึ้นรถกระบะไปกับพวกเรา ข้าพเจ้าดีใจเป็นล้นพ้น สั่งทหารขึ้นรถเป็นการด่วน ขบวนรถของเราก็พากันแล่นออกจากวังบางขุนพรหมตรงไปยังวัดโพธิ์ ซึ่งเป็นทางที่จะไปบ้านพระยาสีหราชเดโชชัย นายทหารเสือแห่งประเทศไทยในครั้งนั้น” นั่นเป็นฉากเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นที่วังบางขุนพรหมในเช้าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นปัจจัยตัดสินหลักที่ทอนกำลังของฝ่ายรัฐบาลลง ทำให้พ่ายแพ้ในที่สุด เพราะสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงดำรงตำแหน่งผู้รักษาการพระนคร เท่ากับทรงสำเร็จราชการในเขตพระนครทั้งหมด ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเสด็จอยู่ในพระนคร เมื่อทรงยอมให้ถูกควบคุมพระองค์ ก็เท่ากับกองกำลังฝ่ายรัฐบาลในเขตพระนครปราศจากหัวหน้าที่จะลุกขึ้นต่อสู้ขัดขืน พระยาอธิกรณ์ประกาศ ได้แสดงบทบาทสำคัญในเช้าวันนั้นด้วย แม้บทบาทของเขาจะถูกประเมินโดยแกนนำฝ่ายคณะราษฎรว่าเป็น “จุดอ่อน” ของฝ่ายเจ้า เพราะตัดสินใจทำการแบบไม่รอบคอบ ทำให้สถานการณ์ของฝ่ายเจ้าตกเป็นรองในทันที แต่ในสายตาของฝ่ายเจ้า พระบรมวงศานุวงศ์ และเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายแล้ว การกระทำของพระยาอธิกรณ์ประกาศเช่นนี้ ย่อมเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีอย่างที่สุด ยอมเอาแม้กระทั่งชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อปกป้องสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ฯ ในเช้าวันนั้น เพื่อความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย จึงได้นำมุมมองของฝ่ายตรงข้ามมาให้รับรู้กันด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศิริรัตนบุษบง พระธิดาของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงเล่าเหตุการณ์ในเช้าวันนั้น ในมุมมองของฝ่ายเจ้าที่ถูกบุกเข้าไปจับกุมถึงวังบางขุนพรหมว่า “........ถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ตอนสาง ข้าพเจ้านอนอยู่ในห้องซึ่งมองเห็นแม่น้ำ ถูกปลุกขึ้นเพราะเสียงปืนหลายนัด ลุกขึ้นไปที่เฉลียงเล็กหน้าห้องเห็นเจ๊กคนสวน ๒ คนที่สนามหญ้าใกล้ตำหนัก จึงตะโกนถามว่า “ใครเข้ามายิงนกถึงนี่” คนสวนบอกว่า “ไม่ใช่ยิงนก” ตอนนี้คำว่า “เจ๊กลุก” (สมัยนั้นมีข่าวลือในหมู่ชาววังบางขุนพรหมว่าคนจีนในไทยจะทำกบฏ---บ.ก.) ซึ่งฝังอยู่ท้ายสมอง ก็โผล่ออกมา ถามไปว่า “เจ๊กเรอะ?” คนสวนบอกว่า “ไม่ใช่เจ๊ก คนไทยทั้งนั้ง ทหารทั้งนั้ง” รู้สึกอายเจ๊กคนสวน ถอยกลับเข้าห้องก็มีมหาดเล็กเข้ามาบอกว่า “ทหารเข้าวังทูนหม่อมเสด็จอยู่ที่ท่าน้ำ เจ้านายเสด็จไปกันแล้ว” ข้าพเจ้าชวนแม่ลงไปตำหนักน้ำ แล้วเดินไปลงอัฒจันทร์หินใหญ่ เร็วเท่าที่แม่จะทำได้ เลี้ยวขวาก็ไปถึงทางลงไปถนน พอถึงระยะที่มองเห็นพ่อ ทรงสนับเพลาขาว ฉลองพระองค์ขาวชุดบรรทม ยืนอยู่กับคนอีกหลายคน ข้าพเจ้าก็ออกวิ่งจี๋ ทิ้งแม่ไว้ข้างหลัง ข้าพเจ้าเห็นนายตำรวจ ๒ คนยืนอยู่กับพ่อ คนหนึ่งรู้จักว่าเจ้าคุณอธิกรณ์ฯ อีกคนหนึ่งผู้ใหญ่กว่า ทราบภายหลังว่าชื่อเจ้าคุณธรนินทร์ มีเด็จย่า น้องๆ และหม่อมสมพันธ์ รายล้อมอยู่ ต่อมาแม่ก็มาเข้ากองด้วย........ ความจริงนั้น เจ้าคุณตำรวจทูลพ่อให้เสด็จลงเรือไฟลำเล็กซึ่งเราก็เพิ่งเห็นว่าจอดอยู่หน้าโป๊ะ พ่อสั่นพระเศียร เจ้าคุณตำรวจก็เลยหันมาบอกว่าขอให้เจ้านาย ผู้หญิง เสด็จลงไปก่อน โดยความสัตย์จริงแล้วไม่ได้รู้สึกกลัวมากมายอะไร หรือจะตกใจจนชาก็ไม่ทราบ เขาคะยั้นคะยอก็เลยเดินลงสะพานน้ำตามๆ กันไปพลางเหลียวหลังมาดูพ่อ เห็นทรงยืนเฉย ก็เลยกลับขึ้นไปยืนอยู่ด้วยอย่างเดิม ได้ยินรับสั่งกับเจ้าคุณตำรวจว่า “ฉันจะไปได้ยังไง ฉันรักษาพระนครอยู่ด้วย” อีกครู่เดียวพวกทหารถือปืนยาวก็เดินลงมาเต็มสะพาน แล้วขนาบตัวพวกเราทุกคน แม้แต่เด็จย่า (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี) ซึ่งพระชันษา ๖๘ แล้ว และสมัยนั้นนับว่าเป็นคนแก่มากแล้ว ก็มีหอกปลายปืนจ่อเดิน ขึ้นมาอย่างสง่าผ่าเผยทั้งสองข้าง ส่วนพ่อนั้นมีทหารถือปืนกลเล็กๆ จ่อบั้นพระองค์ พวกเราไม่เคยเห็นทั้งนายทหารทั้งปืนกลนี้มาก่อนเลย ต่อมาได้เห็นรูปหมู่ผู้พิชิตทั้งกอง มีชื่อบอกไว้ทุกคน จึงทราบว่าชื่อ “ทวน วิชัยขัตคะ”............. ขอกล่าวถึงต้นเหตุที่ต้องถูกจับ พ่อได้ทรงเล่าประทานภายหลังว่าก่อนจะเกิดเหตุ (นานเท่าไรข้าพเจ้าลืมแล้ว) ว่าพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรึกษาอภิรัฐมนตรี และนายสตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศเป็นรายตัว ถึงเรื่องจะพระราชทาน รัฐธรรมนูญการปกครอง พ่อได้กราบบังคมทูลว่า ทรงเห็นว่าราษฎร (ท่านผู้อ่านอย่าลืมว่าเมื่อ ๕๐ ปีมาแล้ว) (อนึ่งบันทึกนี้ ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔-บ.ก.) ยังไม่มีการศึกษาดีพอ ที่อ่านหนังสือไม่ออกก็ยังมีอีกมากมายนัก จะตกเป็นเบี้ยล่างให้คนมีความรู้ครึ่งๆ กลางๆ ที่ไม่สุจริตเอาเปรียบได้ เมื่อมีการประชุมก็จะต้องมีการโต้แย้งกัน ซึ่งเกรงว่าจะเป็นไปอย่างรุนแรงถึงหยาบคาย ซึ่งท่านรู้สึกว่าจะทนไม่ได้ ตามความคิดของท่านเห็นว่าควรจะค่อยเป็นค่อยไป โดยฝึกสอนข้าราชการเสียก่อน เช่นที่ได้ตั้งสหกรณ์ขึ้นแล้วเป็นต้น แต่ถ้าหากทรงเห็นว่าถึงเวลาสมควรแล้วที่จะพระราชทาน ก็แล้วแต่พระราชหฤทัย ส่วนพระองค์ท่านนั้น ขอกราบถวายบังคมลาพักผ่อนนอนบ้านเสียที เพราะได้ทำราชการมาถึง ๓ รัชกาลแล้ว..........” พระยาอธิกรณ์ประกาศ ที่ชักปืนออกมาจะยิงพระประศาสน์พิทยายุทธ หรือที่พระองค์เจ้าศิริรัตนบุษบง ทรงเรียกว่า “เจ้าคุณตำรวจ” คนนั้น ก็คือ พลโทพระยาอธิกรณ์ประกาศ หรือ “หลุย จาติกวณิช” หรือชื่อเดิม “ซอเทียนหลุย” ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของ กรณ์ จาติกวณิช เจ้าของบล็อกนี้ ท่านเป็นอธิบดีกรมตำรวจที่เคยเข้าเฝ้าถวายรายชื่อผู้ที่จะคิด“กบฎ”ที่ตำรวจสืบทราบมาได้สองสามวันก่อนปฏิบัติการ แต่สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระนครสวรรค์วรพินิตทอดพระเนตรรายชื่อเหล่านั้นแล้วมิทรงเชื่อ ด้วยเห็นว่าล้วนเป็นผู้ที่เจ้านายทรงอุปถัมภ์ค้ำชูมาแต่เล็กแต่น้อย เช้าตรู่ของวันปฏิบัติการท่านเข้าวังแต่ก่อนรุ่งสางเพื่อจะทูลยืนยันว่า เขาเอาแน่ แต่ก็สายเกินการณ์ไปเสียแล้ว..ที่มา...จากบล็อกของนายกรณ์ จาติกวณิช ... พระประศาสน์อีกคนหนึ่ง ซึ่งได้มีการบันทึกไว้ว่าเป็นผู้ที่ถูกหลวงพิบูลฯหมายหัว พระยาพหลขอไว้ให้ไปเป็นทูตในเยอรมันนั้น ความจริงคือหลวงประดิษฐ์มนูธรรมในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศให้ไปเป็นฑูตทหารที่เบอร์ลิน และได้อยู่ร่วมชะตากรรมจนวันที่กรุงเบอร์ลินแตกจากน้ำมือของกองทหารรัสเซีย บันทึกเรื่องนี้เอามาจากข้อเขียนของบุตรหลานท่านเอง น่าจะผิดเพี้ยนน้อยที่สุด (จากหนังสือเรื่อง ..เปิดบันทึกชีวิตพระประศาสน์พิทยายุทธ 1 ใน 4 ทหารเสือ ผู้วางแผนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 โดย พันเอก(พิเศษ) สมพงศ์ พิศาลสารกิจ) "สว่าง รตะพันธุ์" คนขับรถประจำตัวคุณป๋า(พระประศาสน์ฯ)มานานนมได้เล่าเรื่องให้ฟังว่า วันหนึ่งมีคนแปลกหน้ามาขอพบคุณป๋า เมื่อเขานำเข้าไปพบแล้วได้สังเกตว่า เขาผู้นั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับคุณป๋า และยังได้เห็นคนผู้นั้นล้วงกระเป๋าหยิบกล่องไม้ขีดไฟออกมายื่นให้ท่านอย่างระวัดระวังไม่ให้ผู้อื่นเห็น เมื่อแขกแปลกหน้ากลับไปแล้วเข้าใจว่าคุณป๋าคงจะได้เปิดกล่องไม้ขีดไฟนั้น ซึ่งมีแต่สำลีกับกระดาษชิ้นเล็ก ๆ อยู่ชิ้นเดียว" "...จึงพอสันนิษฐานเอาได้ว่า เบื้องหลังของกล่องไม้ขีดไฟนั้นผู้ส่งมาให้ต้องเป็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ที่ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เพื่อนร่วมน้ำสาบานคนหนึ่ง ในคณะเปลี่ยนแปลงการปกครอง คงจะได้ตระหนักเป็นอย่างดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคุณป๋า ในเมื่อได้เกิดขึ้นแล้วกับพระยาทรงสุรเดชและพระยาฤทธิ์อัคเนย์...จึงอาจจเขียนจดหมายสั้น ๆ ยัดมาในกล่องไม้ขีดไฟ ขอให้คุณป๋ารีบเตรียมตัวเดินทางไปต่างประเทศเสียก่อนที่จะต้องถูกปลดจากราชการอย่างน่าเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศท่านจะได้เสนอแต่งตั้งให้ไปเป็นเอกอัคราชฑูตไทยประจำกรุงเบอร์ลินถิ่นที่คุณป๋าถนัด ขอให้รับจัดกระเป๋า มีเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็นต้องติดตัวไปลงเรือยนต์เล็กหน้าทำเนียบบท่าช้างเวลา 05.00 น. เพื่อจะได้รีบขึ้นเรือใหญ่ที่เกาะสีชัง ซึ่งทางหลวงประดิษฐ์ฯจะได้รีบดำเนินการแต่งตัวและรีบจัดส่งสารตราตั้งให้ต่อไป แล้วการดำเนินการแต่งตั้งก็สำเร็จลงอย่างราบรื่นและรวดเร็ว เมื่อหลวงประดิษฐ์ได้ติดต่อพร้อมกับแจ้งให้คุณป๋าทราบผลเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งเมื่อได้รับอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีแล้วคุณป๋าและครอบครัวก็ไม่ต้องลักลอบไปลงเรือยนต์เล็ก หากเดินขึ้นเรือเดินสมุทร ณ ท่าวัดพระยาไกรไปอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2481 ..ที่มา.. thaijustice.com “....ตอนครอบครัวเราย้ายไปอยู่ที่เยอรมันนีนั้น เป็นช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ล้ว ครอบครัวของเราก็ได้รับความกระทบกระเทือนด้วย คุณป๋าส่งผมไปเรียนที่สวิส และได้ส่งคุณแม่ก้บพี่สาวผมไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัย ส่วนท่านต้องทำหน้าที่ทูตที่เบอร์ลินต่อไป กระทั่งสหภาพโซเวียตส่งกองทัพบุกเข้ากรุงเบอร์ลิน และกวาดจับทุกคนเป็นเชลย รวมทั้งคุณป๋าด้วย แล้วส่งไปอยู่ค่ายกักกันใกล้กรุงมอสโคว์ ซึ่งคุณป๋าเป็นหนึ่งในคนไทยสองคนที่ต้องตกอยู่ในชะตากรรมอันทารุณที่คุกรัสเซียนี้ ภายหลังคุณป๋าได้ให้สัมภาษณ์นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง ผมขอคัดมาบางตอน คือ.... “....การต่อสู้เป็นเรื่องหนักแก่ชีวิตแก่ข้าพเจ้าอย่างเหลือทน ความหนาวในรัสเซียขณะนี้กำลังหนาวจัด ควมเยือกเย็นของอากาศถึงขนาด 40 ดีกรีใต้ศูนย์ ตามถนนหนทางเต็มไปด้วยน้ำแข็ง เท่ากับว่าเรานอนกันอยู่บนกองน้ำแข็ง ในโกดังน้ำแข็งชัด ๆ ข้าพเจ้าทนทานต่ออากาศเช่นนี้ไม่ไหว ร้ายแรงขนาดนี้แล้ว ยังขาดเชื้อเพลิงสำหรับบำบัดเสียอีก ข้าพเจ้ามีโอเวอร์โค้ทเพียงต้วเดียว จะไปช่วยอะไรได้เล่า...ข้าพเจ้าสวมโอเวอร์โค้ทไปนั่งอยู่เช้าวันหนึ่ง หนาวสิ้นดี จนต้วแทบจะแข็งทื่อไปตามน้ำแข็ง ซึ่งเต็มไปน้ำแข็งทั้งส้วม กระดาษชำระให้หาทั้งค่ายก็หาไม่ได้ ข้าพเจ้าต้องงัดเอาซองบุหรี่เก่า ๆ ขึ้นมาใช้แทน ภายหลังก็เคยชิน หนัก ๆ เข้าอ้ายซองบุหรี่ก็หมด ข้าพเจ้าต้องแอบตัดชายผ้าห่มไปทีละชิ้น ทั้ง ๆ ที่ผ้าห่มนั้นเป็นประโยชน์แก่ชีวิตเป็นอย่างมากเพียงใด ในท่ามกลางอากาศที่หนาวที่สุดในโลก อย่างประเทศรัสเซีย...” คุณป๋าอยู่ในคุกรัสเซียนานถึง 225 วัน หรือ 7 เดือนครึ่ง จึงได้รับการปล่อยตัว เมื่อราวปลายเดือน ม.ค.พ.ศ.2489 ท่านเดินทางโดยรัสไฟสายทรานส์ไซบีเรียมารที่เมืองโอเดสสา เพื่อรอขึ้นเรือมายังกรุงสต๊อกโฮล์ม แล้วแจ้งข่าวไปยังกาชาดสากล ให้ติดต่อมาย้งสถานทูตไทยในสวิส เพื่อให้ผมเดินทางไปสมทบ. เมื่อผมพบคุณป๋า ได้เห็นสภาพร่างกายของท่านแล้ว สงสารมาก ผ่ายผอมจนเห็นซี่โครง หน้าตาซูบตอบ ผมตระหนักดีว่า ท่านได้รับความลำบากยากเข็ญเพียงไร แล้วเรา 2 คนก็ลงเรือสินค้าที่เดินทางเที่ยวแรกจากสวีเดนมาสิงคโปร์ แล้วต่อเรือเข้ามายังกรุงเทพฯ..... คุณป๋ากลับมาเมืองไทยในสภาพที่เรียกว่าขาดทุน....ไม่มีเงินทอง บ้านช่องดี ๆ ก็ไม่มีอยู่ ท่านกับผมต้องไปอยู่ที่บ้านสวนที่บางซ่อน เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณป๋าทั้งหมด ท่านไม่เคยปริปากพูดบ่นอะไรให้ลูกหลานฟังเลย ท่านคงเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้เอง ในบั้นปลายชีวิต ท่านรับราชการเป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข และกลายเป็นคนดื่มเหล้าจัดมาก จนป่วยเป็นโรคตับ และสิ้นชีพไป....” ชีวิตพระประศาสน์พิทยายุทธลำบากแสนสาหัสในเบอร์ลินช่วงที่สัมพันธมิตรถล่มด้วยระเบิดและปืนใหญ่ ลูกสาวเสียชีวิต ครอบครัวต้องพลัดพราก พระประศาสน์พิทยายุทธถูกจับเข้าคุกเชลยในไซบีเรีย กว่าจะเอาตัวรอดกลับมาเมืองไทยได้อย่างหวุดหวิดความตายเต็มที พ.อ.สมพงศ์-นงลักษณ์ พิศาลสรกิจ เป็นบุตรสาวและบุตรเขยของพระประศาสน์พิทยายุทธ 1 ใน 4 ทหารเสือในการปฏิวัติ 2475 ซึ่งได้แก่ พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาทรงสุรเดช พระยาฤทธิ์อัคเณย์ พ.อ.(พิเศษ) สมพงศ์อายุ 92 แล้ว แต่ยังความจำดี เป็นผู้รวบรวมเรียบเรียงหนังสือ "เปิดบันทึกชีวิตพระประศาสน์พิทยายุทธ" ร่วมกับพี่น้องของภรรยา ตีพิมพ์เมื่อปี 2545 พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) ขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนนายทหารเสนาธิการ เป็นผู้ที่ร่วมกับพระยาพหล พระยาทรง ไปนำกรมทหารม้ารักษาพระองค์ ออกมาร่วมปฏิวัติ ซึ่งใช้ทั้งจิตวิทยาและความรู้จักนายทหารที่เป็นลูกศิษย์ ทำให้การปฏิวัติ 2475 สำเร็จลงโดยไม่เสียเลือดเนื้อ หลังจากนั้นยังเป็นผู้นำนักเรียนนายร้อย ร่วมกับหลวงพิบูลสงคราม ไปจับสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์ พระยาสีหราชเดโชชัย และพระยาเสนาสงคราม ซึ่งพระประศาสน์เขียนไว้ว่า กรมพระนครสวรรค์ คือ "เจ้านายที่เคารพอย่างยิ่ง" แต่ก็สามารถเจรจาได้โดยไม่เสียเลือดเนื้ออีกเช่นกัน แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี คณะราษฎรก็เกิดความขัดแย้งกันเองในฝ่ายทหาร พระยาฤทธิ์อัคเณย์ ต้องเดินทางไปพำนักที่สิงคโปร์และปีนัง พระยาทรงสุรเดช ถูกออกจากราชการเมื่อปี 2481 ต้องไปอยู่เวียดนามและกัมพูชาจนเสียชีวิต พระประศาสน์พิทยายุทธ โชคดีกว่าอีก 2 ท่านตรงที่ถูกส่งไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำกรุงเบอร์ลิน โดยนายปรีดีที่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น "หลวงประดิษฐ์มนูธรรมท่านเห็นท่าจะไม่ ดี คล้ายๆ ฆ่ากันเองท่านเลยไปหาจอมพล ป. ไปบอกว่าช่วยลงนามแต่งตั้งให้พระประศาสน์ไปเป็นเอกอัครราชทูตที่เบอร์ลิน คือไล่มันออกไปซะ ท่านก็พยักหน้า ลงชื่อ แทนที่จะต้องหลบออกไปลงเรือ ก็กลายเป็นเปิดเผย มีเพื่อนฝูงญาติพี่น้องไปส่งที่ท่าเรือ ก็เพราะคนดีคนหนึ่งคือหลวงประดิษฐ์" พ.อ.สมพงศ์เล่า ไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบพระยาทรงฯใช่ไหม "อะไรสักอย่าง แต่ไปก็ลำบาก ไปอยู่ในที่ที่เขารบ ทิ้งระเบิดทุกวัน วันละหลายหน" "ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นทูตประจำกรุงเบอร์ลิน ท่านก็เอาครอบครัวไปอยู่ที่นั่น ผมสอบได้ที่ 1 ยุวชนทหาร ส่งให้ไปเรียนที่เยอรมนี แล้วเปลี่ยนมาที่อิตาลีแทน เพราะเยอรมนีไม่รับคนต่างชาติเพราะเตรียมเข้าสงคราม ผมเลยไปเรียนที่อิตาลี พอผมเรียนเสร็จก็ได้รับแต่งตั้งทางโทรเลขไปสถานทูตให้เป็นร้อยตรี ผมก็ควรจะต้องเดินทางกลับเมืองไทย แต่เดินทางไม่ได้เกิดสงคราม ทางราชการก็เลยแต่งตั้งให้ผมเป็นผู้ช่วยทูตทหารประจำกรุงเบอร์ลิน" พ.อ.สมพงศ์เล่าว่าอยู่เบอร์ลินท่ามกลางสงคราม สิ่งสำคัญคือต้องเอาชีวิตให้รอด "เดี๋ยวก็หวอขึ้น อังกฤษ อเมริกันไปทิ้งระเบิดเบอร์ลิน" ที่มา...ไทยโพสต์แทบลอยด์ ซึ่งผู้เขียนได้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์บุตรชายของท่านโดยตรง...

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

: พลเอกเปรม นายกของพระเจ้าอยู่หัวตัวจริง

ตำนานกษัตริย์ตอนที่ 10 : พลเอกเปรม นายกของพระเจ้าอยู่หัวตัวจริง
-โดย ช้างเผือก งาดำ

การทํารัฐประหารของพลเอกเกรียงศักดิ์ล้มรัฐบาลธานินทร์ที่เป็นตัวแทนของพระเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ.2520 ไม่ได้ให้บทเรียนแก่ในหลวงเลยว่าพระองค์ทรงถลำเขาไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในครั้งนั้นมากเกินไปแล้ว ในทางตรงข้ามกลับทำให้พระองค์แค่ตระหนักว่าการมีร่างทรงที่เป็นพลเรือนนั้นไม่เพียงพอ พระองค์จำเป็นต้องมีขุนทหารที่เป็นมือเป็นเท้าของพระองค์และสามารถกุมกองทัพไว้ในมือได้เพื่อสนองพระราชประสงค์ได้อย่างเต็มที่และอย่างมั่นคง บุคคลที่ดูจะมีคุณสมบัติเพียบพรอมในสายพระเนตร ก็คือ พลเอกเปรม รัฐมนตรีคนหนึ่งรัฐบาลเกรียงศักดิ์ สิ่งที่พระองค์ต้องทำก็คือหาโอกาสเหมาะๆ ผลักดันพลเอกเปรมให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนตอไป
รัฐบาลเกรียงศักดิ์ประกาศใช้รัฐธรรมนูญตามที่ได้ให้สัญญาไว้ในป พ.ศ. 2521 ประกอบดวย ระบบสองสภาเหมือนเดิม มีวุฒิสมาชิกสภา 225 คน จากการแต่งตั้งของนายกรัฐมนตรี (ไมใช่กษัตริย์) และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรที่มาจากการเลือกตั้ง 310 คน ทหารและข้าราชการเปนวุฒิสมาชิกได นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็ไมจําเป็นตองเป็นสมาชิกรัฐสภา ทําให้นายกเกรียงศักดิ์สามารถตั้งรัฐมนตรีจากพวกนักวิชาการซึ่งสวนใหญ่เปนที่พอใจของพระเจ้าอยู่หัว และเปิดโอกาสให้พลเอกเกรียงศักดิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยที่ไม่ตองลงเลือกตั้งและไม่ต้องมีพรรคการเมืองเปนของตนเอง กอนการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2522 พลเอกเกรียงศักดิ์มีวุฒิสมาชิกสภาเกือบ 200 คนในมือ จากกลุมนายทหารและตํารวจที่พลเอกเกรียงศักดิ์แต่งตั้งที่พร้อมสนับสนุนตนให้เป็นนายกรัฐมนตรี

พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดเมื่อ26 สิงหาคม พ.ศ. 2463 แก่กว่าในหลวง 7 ปี ที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรชายคนรองสุดท้อง จากจำนวน 8 คน ของรองอำมาตย์โทหลวงวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ต้นตระกูลติณสูลานนท์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2480 จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเทคนิคทหารบก รุ่นที่ 5 สังกัดเหล่าทหารม้า (โรงเรียนนี้ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2477 ต่อมาคือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า)เข้ารบในสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่ ปอยเปต กัมพูชา ทำการรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่าง พ.ศ. 2485-2488 ที่เชียงตุง
ติณสูลานนท์ คือนามสกุลพระราชทานจาก รัชกาลที่ 6 ในปี 2462 แก่หลวงวินิจทัณฑกรรม
ความหมายแห่งนามสกุลนี้ถอดความได้ว่า ติณ แปลว่า หญ้า /สูลา แปลว่า คม ยอด /
นนท์ แปลว่า ความพอใจ ความยินดี
ติณสูลานนท์ แปลว่า ความพอใจ หรือความยินดีในหญ้าที่มีคม
ความหมายที่ 2 พระมหาเวก วัดชนะสงคราม อธิบายว่า ติณสูลานนท์ หมายถึง ความยินดีในการปฏิบัติหน้าที่พะทำมะรง (พัศดี) ที่มีเครื่องหมายเป็นของมีคม เช่น หลาว หอก ดาบ

พลเอกเปรมเป็นทหารอาชีพ มีประวัติการรบที่น่าเชื่อถือ เป็นผู้บังคับบัญชาที่มีความเข้มงวดสูงแต่ลูกน้องรัก ไม่มีปัญหากับใคร เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติและสมาชิกวุฒิสภาหลายสมัยติดต่อกัน เป็นแม่ทัพภาคที่สองรับผิดชอบพื้นที่ภาคอิสานกลางทศวรรษที่ 2510 ทำสงครามปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์โดยใช้การเมืองนำการทหารที่ผสมผสานการพัฒนาสังคมกับยุทธการทางทหารที่เด็ดขาด และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกอรมน.ที่มีเพื่อนเก่าแก่ที่สุดคนหนึ่งคือพลตรีสุตสาย หัสดินที่เป็นหัวหน้ากระทิงแดง ทั้งคู่เข้าโรงเรียนมัธยม โรงเรียนเตรียมทหารและการฝึกอบรมพิเศษในสหรัฐมาด้วยกัน พลเอกเปรมเป็นคนพูดเบามากและเคารพระบบอาวุโสและลำดับฐานะบุคคลอย่างเข้มงวด เป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยมากจนไม่มีใครสามารถเปิดเผยรสนิยมรักร่วมเพศของเขาได้ พลเอกเป็นคนหนักแน่นและมีวินัยแต่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์ ไม่

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผู้สถาปนา

<เมื่อรัชกาลที่ ๑ ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงเทพแล้ว ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเองไม่มีข้อบกพร่อง ไม่เคยกระทำสิ่งใดผิดพลาด เป็นเอกบุรุษที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยบุญญาบารมีและบริสุทธิ์กว่าผู้อื่นทั้งแผ่นดิน เพื่อให้สมกับที่ตนเองได้เป็นพระโพธิสัตว์และเทวดาแล้ว โดยเสแสร้งทำเป็นลืมไปว่า ในโลกแห่งความเป็นจริงพระองค์มิได้วิเศษกว่าบุคคลอื่น ตรงที่เป็นมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงเหมือนกัน และที่สำคัญทำเป็นจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้พระองค์ก็เป็นสามัญชน ที่มิได้มีเลือดสีน้ำเงิน แม้พ่อจะได้ชื่อว่าเป็นขุนนาง ก็จัดอยู่ในชั้นปลายแถว แม่ก็เป็นเพียงหญิงเชื้อสายจีนพ่อค้า(๑) มิได้เลิศเลอไปกว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ตนเหยียดหยามเป็นไพร่ราบพลเลวเลย

จุดบอดที่รัชกาลที่ ๑ เห็นว่าสร้างความอัปยศให้แก่ตนเองมากคือ ความปราชัยในการรบกับอะแซหวุ่นกี้ที่พิษณุโลก ในรัชกาลพระเจ้าตากสิน การรบคราวนั้นศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช สรุปจากพงศาวดารที่แต่งโดย Sir Arther Phayreและจากจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี น้องสาวรัชกาลที่ ๑ เอง ได้ความว่า แม้อะแซหวุ่นกี้รบชนะเมืองพิษณุโลกที่มีรัชกาลที่ ๑ เป็นแม่ทัพฝ่ายไทย แต่ก็ถูกกองทัพของพระเจ้าตากสินหนุนเนื่องขึ้นมาโจมตีจนแตกพ่ายยับเยิน จดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนรินทรเทวี (เพิ่งถูกค้นพบสมัยร.๕) บันทึกว่าฝ่ายไทยสามารถ “จับได้พม่าแม่ทัพใหญ่ ได้พม่าหลายหมื่น พม่าแตกเลิกทัพหนีไป”หลักฐานฝ่ายพม่าก็ปรากฏว่า อะแซหวุ่นกี้ถึงกับถูกกษัตริย์พม่าถอดจากยศ “หวุ่นกี้” และเนรเทศไปอยู่ที่เมืองจักกายด้วยความอัปยศอดสู(๒) ทั้งที่อะแซหวุ่นกี้เคยได้รับการยกย่องในฐานะวีรบุรุษที่รบชนะกองทัพจีนมาแล้วก็ตามหลังจากที่ปราบดาภิเษกสำเร็จและปลงพระชนม์พระเจ้าตากสินรวมทั้งขุนนางฝ่ายตรงข้ามไปกว่า ๕๐ ชีวิตแล้ว คราใดที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เมืองพิษณุโลก หัวใจก็เหมือนถูกชโลมด้วยยาพิษ ใจหนึ่งนั้นแสนจะอัปยศอดสูที่ต้องล่าทัพหนีพม่า อีกด้านก็ริษยาพระเจ้าตากสินที่สามารถปราบกองทัพพม่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยกรุงธนบุรี และกำหราบอะแซหวุ่นกี้ที่เอาชนะทั้งกองทัพจีนและพระองค์มาแล้ว พระองค์จึงใช้เล่ห์เพทุบายบังคับให้อาลักษณ์แก้ไขประวัติศาสตร์ทุกฉบับ บิดเบือนว่าอะแซหวุ่นกี้มิได้รบกับพระเจ้าตากสิน แต่ต้องถอยทัพไป เพราะกษัตริย์พม่ามีหมายเรียกตัวกลับบ้าน(๓) พงศาวดารฉบับราชหัตถเลขาถึงกับบิดเบือนว่า พออะแซหวุ่นกี้กลับพม่า ก็ได้รับบำเหน็จรางวัลจากกษัตริย์พม่าในฐานะที่ปราบหัวเมืองเหนือของไทยได้สำเร็จ(๔) เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าอะแซหวุ่นกี้นั้นมิใช่ย่อยๆ หาไม่แล้วที่ไหนเลยจะเอาชนะรัชกาลที่ ๑ ได้ จึงมิใช่เรื่องอับอายเลยที่รัชกาลที่ ๑ รบแพ้อะแซหวุ่นกี้พงศาวดารฉบับพระนพรัตน์ถึงกับบันทึกไว้อย่างน่าขบขันว่า รัชกาลที่ ๑ ได้สำแดงความเป็นเสนาธิการชั้นเซียนเหยียบเมฆ ด้วยการแต่งอุบายให้เอาพิณพาทย์ขึ้นตีบนกำแพงลวงพม่าเหมือนขงเบ้ง ตีขิมลวงสุมาอี้ในเรื่องสามก๊ก แล้วรัชกาลที่ ๑ ก็ชิงโอกาสตีแหกทัพพม่าที่ล้อมเมืองพิษณุโลกหนีออกมาได้ ก็ขนาดเรื่องใหญ่เช่นนี้รัชกาลที่ ๑ ยังกล้าให้อาลักษณ์บิดเบือนกันถึงเพียงนี้ ทำนองเดียวกับเหตุการณ์ที่อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรีนั้น ก็กล่าวได้ว่าเป็นความเท็จอีกเช่นกัน เพราะจะมีแม่ทัพชาติไหนกันที่จะขอดูตัวแม่ทัพอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อสรรเสริญว่า เก่งกาจสามารถเป็นเยี่ยม เนื่องจากการทำเช่นนี้ย่อมทำลายขวัญสู้รบของทหารฝ่ายตนให้พังพินท์ไปอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์วิจารณ์ไว้ชัดเจนว่า “ถ้าจะมองจากกฎหมายของไทยและพม่าแล้ว ถ้าพระยาจักรีและอะแซหวุ่นกี้เจรจากันดังที่ศักดินาจักรีอวดอ้างแล้ว ทั้ง ๒ ฝ่ายน่าจะมีความผิดถึงขั้นขบถเลยทีเดียว(๕) ทั้งนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล กฎหมายตราสามดวงที่ว่า อนึ่ง ผู้ใดไปคบหาxxxเมืองxxxxราชทูตเจรจาโทษถึงตาย”สำหรับเรื่องที่มีผู้รู้เห็นมากมาย

รัชกาลที่ ๑ ยังกล้าใช้ให้อาลักษณ์แต่งพงศาวดารกลับดำให้เป็นขาว ดังนั้นสิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวไม่มีผู้อื่นรู้เห็นด้วย เช่น เรื่องของซินแสหัวร่อ ทำนายว่า พระยาจักรีกับพระยาตากสินจะได้เป็นกษัตริย์นั้นจึงวินิจฉัยได้ไม่ยากว่า เป็นสิ่งที่รัชกาลที่ ๑ เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเอง ซึ่งพวกศักดินาจักรีจะอ้างไม่ได้ว่าเรื่องนี้เกิดจากคำเล่าลือของคนรุ่นหลัง เพราะรัชกาลที่ ๑ เองนั่นแหละที่เป็นผู้ออกปากเล่าความให้เจ้าเวียงจันทร์กับพระยานครศรีธรรมราชฟังในวัดพระแก้ว จนกระทั่งมีผู้ได้ยินได้ฟังด้วยกันหลายคน(๖) การที่รัชกาลที่ ๑ กล้าโป้ปดมดเท็จถึงเพียงนี้ ก็เพราะพระองค์กำลังอยู่บนบัลลังก์เลือดของกษัตริย์องค์ก่อน จึงต้องล่อลวงให้ผู้อื่นเข้าใจว่า พระองค์มีพระปรีชาสามารถเป็นเลิศ มีปัญญาอภินิหารกว่าผู้อื่นในแผ่นดินรวมทั้งพระเจ้าตากสินด้วย นี่เป็นการพยายามสร้างเหตุผลเพื่อรับรองว่า การปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์องค์ใหม่เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดภายในจิตใจลึกๆของสองพี่น้อง คือรัชกาลที่ ๑ กับกรมราชวังบวรมหาสุรสีหนาถ มีทั้งความพยาบาทชิงชังและความไม่พอใจในตัวพระเจ้าตากสินไม่น้อย ทั้งที่พระเจ้าตากสินได้ทำนุบำรุงให้พี่น้องคู่นี้มีอำนาจวาสนากว่าขุนนางทั้งหลายในกรุงธนบุรี ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากว่า กรมพระราชวังบวรฯนั้น เคยถูกพระเจ้าตากสินโบยถึง ๖๐ ทีเพราะมีพฤติกรรมซุ่มซ่าม คลานเข้าถึงตัวพระเจ้าตากสินขณะกรรมฐานอยู่ที่ตำหนักแพ กับสมเด็จพระวันรัตน์(ทองอยู่) โดยมิได้ตรัสเรียก(๗) กรมพระราชวังบวรฯจึงมีจิตอาฆาตแค้นเป็นหนักหนาส่วนรัชกาลที่ ๑ ก็เคยถูกพระเจ้าตากสินโบยถึง ๒ ครั้ง คราวแรกในปี ๒๓๑๓ เพราะรัชกาลที่ ๑ รบกับเจ้าพระฝางด้วยความย่อหย่อนไม่สมกับที่เป็นขุนนางใหญ่ จึงถูกโบย ๓๐ ที(๘) และในปี ๒๓๑๘ รัชกาลที่ ๑ ได้รับคำสั่งให้ทำเมรุเผาชนนีของพระเจ้าตากสิน แต่เมรุนั้นถูกฝนชะเอากระดาษปิดทองที่ปิดเมรุร่วงหลุดลงหมดสิ้น พระเจ้าตากจึงว่า “เจ้าไม่เอาใจใส่ในราชการ ทำมักง่ายให้เมรุเป็นเช่นนี้ดีแล้วหรือ” ทำให้รัชกาลที่ ๑ ถูกโบยอีก ๕๐ ที

ความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่ ๑ กับพระเจ้าตากสิน มิได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ รัชกาลที่ ๑ ได้ถวายบุตรสาวเป็นสนมของพระเจ้าตากสิน ซึ่งศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช ตั้งข้อสังเกตว่า สนมพระเจ้าตากสินผู้หนึ่งที่ถูกประหารชีวิตเพราะมีชู้ ก็น่าจะเป็นบุตรสาวของรัชกาลที่ ๑ นี่เอง(๙) ด้วยเหตุนี้ รัชกาลที่ ๑ จึงเคียดแค้นพระเจ้าตากสินมาก เมื่อมีโอกาสคราใดก็จะประณามอย่างตรงไปตรงมา คราวหนึ่งถึงกับประณามไว้ในสารตราตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๗ เพื่อประจานพระเจ้าตากสินว่าเป็นผู้ที่ “กอรปไปด้วย โมหะ โลภะ” (๑๐) ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่า พระเจ้าตากสินเป็นผู้นำในการรวบรวมผู้คนที่แตกระส่ำระสาย ในภาวะที่บ้านเมืองไม่มีขื่อแป อดอยาก และพม่าเข้ากวาดต้อนข่มเหงผู้คนไปทั่ว รวบรวมกำลังทีละน้อยรบกับพม่าและคนไทยขายชาติบางกลุ่ม รบกันหลายสิบครั้ง ผลัดแพ้ผลัดชนะ จนสุดท้ายมีกำลังปราบพวกพม่าและชิงกรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ จากนั้นก็ปราบก๊กต่างๆจนสามารถรวบรวมเป็นประเทศได้อีกครั้งหนึ่ง นี่ย่อมหมายความว่า พระเจ้าตากสินต้องมีบุคลิกของความเป็นผู้นำ มีลักษณะรักชาติ กอรปด้วยจิตใจที่กล้าหาญดีงาม จึงจะสามารถเป็นศูนย์รวมของชาวไทยในภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด จนสามารถนำชาวไทยไปกอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จในช่วงเวลาเพียงปีเดียวนอกจากนั้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น เอกสารของบาทหลวงสมัยนั้นกล่าวว่า พระเจ้าตากมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ แม้แต่ปราสาทราชวังหลังเดียวก็ไม่ปรากฏขึ้นในกรุงธนบุรี อนุสรณ์ที่พระเจ้าตากสินสร้างไว้เป็นเพียงท้องพระโรงที่พระราชวังเดิม ซึ่งดูๆไปก็ไม่วิจิตรพิสดารไปกว่าโบสถ์ขนาดย่อมหลังหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะวินิจฉัยเอาเองว่า ใครกันแน่ที่กอรปด้วยโลภะ โมหะหลังจากรัชกาลที่ ๑ ได้ผลิตผลงานชิ้นเอกด้วยการปลอมแปลงประวัติศาสตร์ของชาติแล้ว พระองค์ก็หันมาฟื้นฟูพุทธศาสนาครั้งใหญ่ โดยการแสดงตนเป็นพระโพธิสัตว์ผู้รู้แจ้ง ด้วยการกล่าวร้ายคณะสงฆ์ไทยอย่างสาดเสียเทเสีย เช่น หาว่า”ทั้งสมณะและสมเณรมิได้รักษาพระจตุบาริยสุทธิศีล” (๑๑) บ้าง “มิได้กระทำตามพระวินัยปรนิบัติเห็นแต่จะเลี้ยงชีวิตผิดธรรม” (๑๒) บ้าง นอกจากนี้ยังโมเมว่าพระภิกษุ “มิได้ระวังตักเตือนสั่งสอนกำกับว่ากล่าวกัน” (๑๓) บ้าง ทั้งๆที่สมัยพระเจ้าตากสินเพิ่งมีการฟื้นฟูพุทธศาสนาหลังภาวะสงครามครั้งใหญ่ และพระองค์ทรงส่งเสริมการปฏิบัติธรรมอย่างกว้างขวาง ด้วยพระองค์เองก็ทรงมั่นในวิปัสสนาธุระ สภาพของสงฆ์จึงอยู่ในกรอบพระธรรมวินัยได้เคร่งครัด ดังนั้นการกล่าวร้ายจึงไม่อาจมองเป็นอื่นไปได้ นอกจากการสร้างเรื่องเพื่อหาช่องทางเข้าไปควบคุมศาสนจักร เพื่อเสริมอำนาจการครองราชย์ของพระองค์ให้เข้มแข็งขึ้น จึงมีการควบคุมจิตสำนึกของสังคมด้วยการบีบบังคับพระภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่ ไม่ให้มีโอกาสคัดค้านการนำเอาพระพุทธศาสนา ไปกระทำปู้ยี่ปู้ยำเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของกษัตริย์จักรีพระมหากรุณาธิคุณของพระมหาราชองค์นี้ ในด้านการฟื้นฟูพุทธศาสนาคือ ให้ตำรวจวังไปเอาสมเด็จพระวันรัต(ทองอยู่) วัดบางหว้าใหญ่ ซึ่งเป็นพระอาจารย์วิปัสสนาธุระของพระเจ้าตากสินและเป็นพระอาจารย์ของลูกฟ้าฉิม (รัชกาลที่ ๒) ให้สึกออกแล้วลงพระราชอาญาเฆี่ยน ๑๐๐ ที และมีดำรัสให้ประหารชีวิตเสีย(๑๔) เพราะแค้นพระทัยมานานแต่ครั้งสมเด็จพระวันรัต เคยทูลให้พระเจ้าตากสินลงโทษ พระองค์เคราะห์ดีที่ลูกฟ้าฉิมทรงทูลขอไว้ชีวิตอาจารย์ของตนไว้ พระแก่ๆที่เคร่งในธรรมจึงได้รอดชีวิตมาอย่างหวุดหวิดการที่พระองค์ทรงบังอาจลงโทษด้วยการทำร้ายพระสงฆ์ชราผู้มั่นในโลกุตรธรรมอย่างรุนแรง นับเป็นพฤติกรรมที่ชั่วร้ายมาก อันชาวบ้านสามัญชนถือเป็นบาปมหันต์ ไม่น้อยกว่าการฆ่าบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า แต่ด้วยโมหะจริตที่พยาบาทอาฆาตมานาน และด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน ทุกสิ่งที่พระองค์กระทำ จึงเป็นความถูกต้องชอบธรรมทุกประการแต่เดิมนั้นกษัตริย์จะควบคุมสงฆ์ไว้เพียงระดับหนึ่ง แต่ในรัชกาลนี้ การควบคุมกลับเข้มงวดกว่าเดิม กษัตริย์จะให้ขุนนางในกรมสังฆการีมีอำนาจปกครองสงฆ์และเป็นผู้คัดเถระแต่ละรูปว่าควรอยู่ในสมณะศักดิ์ขั้นใด นอกจากนี้ยังให้กรมสังฆการีดูแลความประพฤติของสงฆ์และคอยตัดสินปัญหาเวลาที่พระภิกษุต้องอธิกรณ์ โดยจะเป็นทั้งอัยการและตุลาการ สิ่งนี้ทำให้กษัตริย์และกลุ่มคนดังกล่าวมีอำนาจเหนือพระ(๑๕) ในที่สุดคณะสงฆ์ไทยก็ต้องตกอยู่ภายใต้ภาวะที่น่าอเนจอนาถใจเพราะถูกครอบงำโดยพวกศักดินาจักรี อันเป็นฆราวาสซึ่งมีเพศที่ต่ำทรามกว่า บางครั้งถึงกับถูกควบคุมโดยพวกลักเพศ เช่นคราวหนึ่งคณะสงฆ์ทั้งอาณาจักร ต้องตกอยู่ใต้การปกครองของกรมหลวงรักษ์รณเรศ โอรสของรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นพวกลักเพศ ชอบมั่วสุมกับเด็กหนุ่มๆ แต่ได้รับการมอบหมายจากกษัตริย์ให้บังคับบัญชากรมสังฆการีแม้ว่ารัชกาลที่ ๑ รวมทั้งศักดินาอื่นจะถือตนว่าเป็นพระโพธิสัตว์และหน่อพุทธางกูร จนก้าวก่ายเข้าไปในศาสนจักรอย่างน่าเกลียด ก็มิอาจปกปิดธาตุแท้ที่โลภโมโทสันได้ พวกเขาต่างก็ปัดแข้งปัดขากันเองอุตลุต เพื่อแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ที่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพวกศักดินาในรัชกาลที่ ๑ เกิดขึ้นระหว่างกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทหรือวังหน้ากับรัชกาลที่ ๑ หรือวังหลวง สองพี่น้องซึ่งต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กันและกัน คราวหนึ่งวังหน้าจะสร้างปราสาทมียอดขึ้นประดับเกียรติยศ ทั้งที่รู้ว่าปราสาทยอดเป็นของหวงห้ามไว้สำหรับกษัตริย์เท่านั้น ในปี ๒๓๒๖ จึงเกิดมีผู้ร้ายแปลกปลอมเข้าไปในวังหน้าจะฆ่ากรมพระราชวังบวรฯขณะทรงบาตร บังเอิญผู้ร้ายเหล่านี้ถูกจับได้เสียก่อน ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นคนในวังหลวงเป็นส่วนใหญ่(๑๖) วังหน้าจึงรู้ว่า “ที่พระองค์มาทรงสร้างปราสาทขึ้นในวังหน้า เห็นจะเกินวาสนาไป จึงมีเหตุ จึงโปรดให้งดการสร้างปราสาทนั้นเสีย” (๑๗) เหตุการณ์ได้รุนแรงยิ่งขึ้นหลังจากที่วังหน้าขอให้วังหลวง เพิ่มผลประโยชน์จากภาษีอากรให้วังหน้ามากกว่าเดิม แต่วังหลวงไม่ยินยอม วังหน้าจึงโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง จนไม่เข้าเฝ้ารัชกาลที่ ๑ พอถึง พ.ศ.๒๓๓๙ พวกวังหน้าได้เห็นขุนนางวังหลวงขนปืนใหญ่ขึ้นป้อม จึงตั้งปืนใหญ่หันไปทางวังหลวงบ้าง จนเกือบเกิดสงครามกลางเมือง ทำให้พี่สาวรัชกาลที่ ๑ ต้องเล้าโลมวังหน้าให้เข้าเฝ้า เหตุการณ์จึงสงบลงได้(๑๘)โดยพื้นฐานแล้วพวกวังหน้ามักดูถูกดูหมิ่นพวกวังหลวงว่าไม่เอาไหน สู้พวกตนไม่ได้เมื่อคราวทำสงครามที่เชียงใหม่ในปี ๒๓๓๙-๒๓๔๕ พวกขุนนางวังหลวงจึงถูกวังหน้าซึ่งเป็นแม่ทัพบริภาษติเตียนว่ารบไม่ได้เรื่อง(๑๙)พอถึงปี ๒๓๔๔ วังหน้าป่วยหนักด้วยโรคนิ่ว อาการกำเริบ จึงให้คนหามเสลี่ยงเดินรอบวังหน้า แล้วสาปแช่งว่า “ของใหญ่ของโตก็ดี ของกูสร้าง นานไป ใครไม่ใช่ลูกกู ถ้ามาเป็นเจ้าของเข้าครอบครอง ขอผีสางเทวดาจงดลบันดาล อย่าให้มีความสุข” (๒๐) เพราะทั้งนี้รู้อยู่เต็มอกว่าของเหล่านั้น “ต่อไปจะเป็นของท่านอื่น” (๒๑) ครั้นมาถึงวัดมหาธาตุ ทรงเรียกเทียนมาจุดxxxxxมาติดที่พระแสง แล้วเอาพระแสงจะแทงพระองค์ พระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัต พระโอรสใหญ่ทั้งสองเข้าปลุกปล้ำแย่งชิงพระแสงไปได้ วังหน้าทรงกันแสงกับพื้นและตรัสว่า “สมบัติครั้งนี้ ข้าได้ทำสงครามกู้แผ่นดินขึ้นมาได้ก็เพราะข้านี่แหละ ไม่ควรให้สมบัติตกไปได้แก่ลูกหลานวังหลวง ใครมีสติปัญญาก็ให้เร่งคิดเอาเถิด”พอวังหน้าสวรรคต พวกวังหน้าจึงตั้งกองเกลี้ยกล่อมหาคนที่มีวิชาความรู้ฝึกปรืออาวุธกัน ทำนองจะเป็นกบฏ โดยมีพระองค์เจ้าลำดวนและอินทปัตเป็นหัวหน้า แต่เป็นคราวเคราะห์ดีของรัชกาลที่ ๑ ที่ความแตกก่อน จึงสามารถจับคนเหล่านี้ไปฆ่าจนหมดสิ้น(๒๒) ราชบังลังก์ของรัชกาลที่ ๑ จึงยังคงตั้งอยู่ได้บนคราบเลือดและซากศพของหลานตนเองหลังจากนั้นไม่นาน จะมีการประกอบราชพิธีกรรมทางศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับพระอนุชาร่วมพระอุทร แต่รัชกาลที่ ๑ ทรงไม่หายกริ้วเรื่องอดีตถึงกับตรัสว่า “บุญมา เขามันรักลูกยิ่งกว่าแผ่นดิน ให้สติปัญญา ให้ลูกกำเริบถึงคิดร้ายต่อแผ่นดิน ผู้ใหญ่ไม่ดี ไม่อยากเผาผีเสียแล้ว” (๒๓) พวกเจ้าศักดินาไม่ว่าจะอยู่ระดับสูงหรือต่ำไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบันต่างก็มีความคิดตื้นๆอยู่เสมอว่า ”ใครก็ตามที่คิดร้ายต่อข้า เขาผู้นั้นคิดร้ายต่อแผ่นดิน” เพราะพวกเขาคิดว่า แก่นแท้ของความถูกต้องก็คือตัวเขานั่นเองจะอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งน่าจะหยิบยกขึ้นมากล่าวถึง เพื่อตัดสินว่ากษัตริย์เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทั้งหลายนั้นมีศีลธรรมจรรยา สมกับที่ตั้งตนเองเป็นเทวดาและพระโพธิสัตว์ หรือไม่ ก็คือเรื่องคาวๆฉาวโฉ่ ที่สร้างรอยด่างให้กับราชสำนัก รัชกาลที่ ๑ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่เจ้าฟ้าฉิม(ซึ่งต่อมาเป็นรัชกาลที่ ๒) เกิดมีจิตปฏิพัทธ์กับเจ้าฟ้าบุญรอดหลานสาวของรัชกาลที่ ๑ จนถึงขั้นลักลอบเสพสังวาสกันในพระบรมมหาราชวัง โดยไม่นึกถึงขนบธรรมเนียมของปู่ย่าตายาย ที่สั่งสอนให้สตรีไทยรักนวลสงวนตัวหนังสือขัตติยราชปฏิพัทธ์สมุดข่อยที่พวกศักดินาบันทึกไว้ ได้เปิดเผยว่าหลังจากที่เจ้าฟ้าบุญรอดท้องถึง ๔ เดือน ความจึงแตก เพราะเรื่องอย่างนี้ถึงอย่างไรก็ปิดไม่มิด(๒๔) เมื่อเหตุการณ์อันน่าอับอายขายหน้าของพวกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินถูกเปิดเผยขึ้นมา รัชกาลที่ ๑ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่หน่อพุทธางกูรกระทำการอุกอาจถึงในรั้ววังหลวง ซึ่งพวกศักดินาถือว่าศักดิ์สิทธิ์ จึงขับไล่เจ้าฟ้าบุญรอดออกไปจากวังหลวงทันทีที่รู้เรื่อง และห้ามไม่ให้เจ้าฟ้าฉิมเข้าเฝ้าอีกเป็นเวลานาน(๒๕) นับเป็นบุญของเจ้าฟ้าฉิมที่ไม่ถูกลงโทษมากกว่านี้ เพราะโอรสของรัชกาลที่ ๑ นี้เคยถูกราชอาญาของพ่อถึง ๓๐ ปี เพราะบังอาจไปหลงสวาทพี่สาวของตนเองเข้าให้(๒๖)
หลังกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแก่พม่าในปี พ.ศ.๒๓๑๐ พระเจ้าตากสินได้รวบรวมผู้คนและนักรบต่อสู้ขับไล่พม่าอย่างเด็ดเดี่ยวจนกอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จ จากนั้นก็ใช้เวลาอีก ๑๕ ปีกรำศึกสงครามรวบรวมหัวเมืองต่างๆที่กระจัดกระจาย ขณะเดียวก็ต้องทำศึกใหญ่กับพม่าหลายครั้ง จนสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่บ้านเมือง พร้อมกับทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างขนานใหญ่ พระองค์เป็นพุทธบริษัทที่ดี เมื่อว่างเว้นจากราชการแผ่นดิน พระองค์จะไปทรงศีลบำเพ็ญพระกรรมฐานที่วัดบางยี่เรือเป็นนิจ(๑) ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๒๓ ทางเมืองเขมรเกิดกบฏขึ้นโดยการยุยง แทรกแซงของญวนฝ่ายองเชียงสือ เป็นการหากำลังและเสบียงขององเชียงสือ เพื่อทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่กับญวนฝ่ายราชวงศ์ไต้เชิง(เล้) ขณะเดียวกันในกรุงธนบุรีเอง องเชียงชุน(พระยาราชาเศรษฐี)ซึ่งเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าตาก ได้ก่อกบฏขึ้นในเดือนอ้าย พ.ศ.๒๓๒๔ หลังจากทำการปราบปรามกบฏสำเร็จในเดือนยี่ พระเจ้าตากได้พิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ และทรงตัดสินพระทัยให้กองทัพไทยยกไปตีเมืองเขมรและไปรับมือญวนให้เด็ดขาดลงไป จึงทรงแต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระมหาอุปราช องค์รัชทายาทเป็นแม่ทัพใหญ่(๒) เจ้าพระยาจักรี(ด้วง) (๓) เจ้าพระยานครสวรรค์ เจ้าพระยาสาศรี(บุญมา น้องชายเจ้าพระยาจักรี)เป็นแม่ทัพรองๆลงมา


ในครั้งนั้นแม่ทัพใหญ่พยายามรุดหน้าไปตามพระราชโองการ แต่ติดขัดที่แม่ทัพรองบางนายพยายามยับยั้ง เพื่อคอยฟังเหตุการณ์ทางกรุงธนบุรี ส่วนทางญวนซึ่งไม่ต้องการเผชิญศึก ๒ ด้าน ทั้งไทยและญวนราชวงศ์เล้ ได้แต่งทูตมาเจรจาลับกับแม่ทัพรองฝ่ายไทย ทางแม่ทัพรองตกลงจะช่วยเหลือองเชียงสือในอนาคต หากงานที่เตรียมไว้สำเร็จ ทางญวนได้ทำตามสัญญาด้วยการล้อมกองทัพมหาอุปราชองค์รัชทายาทอย่างหนาแน่น เปิดโอกาสให้แม่ทัพรองฝ่ายไทยยกกำลังกลับกรุงธนบุรี(๔) เหตุการณ์ในกรุงธนบุรี เกิดมีผู้ยุยงชาวกรุงเก่าให้เกิดความเข้าใจผิดในพระเจ้าตากและชักชวนกบฏย่อยๆขึ้น จากนั้นก็ยกพลมาล้อมยิงพระนคร ขณะเดียวกันภายในกรุงธนบุรีเองก็มีคนก่อจลาจลขึ้นรับกับกบฏ พระเจ้าตากทรงบัญชาการรบจนถึงรุ่งเช้า จึงทราบว่าพวกกบฏเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ก็สลดสังเวชใจ เพราะพระทัยทรงตั้งอยู่ในธรรมปฏิบัติมุ่งโพธิญาณเป็นสำคัญ และทรงเห็นว่าหากการเปลี่ยนแปลงอำนาจนั้นไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ชาวไทย พระองค์จะทรงหลีกทางให้ พวกกบฏจึงทูลให้ออกบวชสะเดาะเคราะห์สัก ๓ เดือนแล้วค่อยกลับสู่ราชบัลลังก์ ขณะนั้นพระยาสรรคบุรี พระยารามัญวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ยังอยู่ในกรุงและมีความภักดีต่อพระเจ้าตาก เห็นเป็นการคับขัน จำต้องผ่อนคลายไปตามสถานการณ์หลังจากบวชได้ ๑๒ วัน พระยาสุริยอภัยหลานเจ้าพระยาจักรี ยกทัพมาโดยมิได้รับพระบรมราชานุญาต เกิดการรบพุ่งกับกำลังของกรุงธนบุรีและได้รับชัยชนะ


จากนั้นอีก ๓ วันคือเข้าวันที่ ๖ เมษายน เจ้าพระยาจักรี(ด้วง)ซึ่งเลี่ยงทัพจากสงครามเขมรมาถึงกรุงธนบุรี ได้มีการสอบถามความเห็นกัน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ยังจงรักภักดีและเชื่อในปรีชาสามารถของพระเจ้าตาก ต่างยืนยันให้อัญเชิญพระองค์มาครองราชย์ต่อไป แต่ข้าราชการเหล่านี้กลับถูกคุมตัวไปประหารชีวิต เช่น เจ้าพระยานครราชสีมา(บุญคง ต้นตระกูลกาญจนาคม), พระยาสวรรค์(ต้นตระกูลแพ่งสภา), พระยาพิชัยดาบหัก(ต้นตระกูลพิชัยกุลและวิชัยขัทคะ), พระยารามัญวงศ์(ต้นตระกูลศรีเพ็ญ) เป็นต้น จำนวนกว่า ๕๐ นายพระเจ้าตากก็ถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศพระภิกษุในวันนั้นเอง ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้งและอัญเชิญพระศพไปฝังที่วัดอินทรารามบางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง ส่วนราชวงศ์ที่เป็นชายและเจริญวัยทั้งหมดถูกจับปลงพระชนม์หมด นอกนั้นให้ถอดพระยศ แม้กระทั่งสมเด็จพระราชินีและสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา(๕) เมื่อข่าวนี้ทราบไปถึงเจ้าพระยาอินทวงศา อัครมหาเสนาบดีฝ่ายกลาโหมซึ่งตั้งบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระใกล้เมืองถลาง ก็ได้ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่นเมื่อข่าวการปลงพระชนม์พระเจ้าตากแพร่ออกไป เมืองตะนาวศรีและเมืองมะริดอันเป็นเมืองสำคัญทางตะวันตก ก็ตกไปเป็นของพม่าในปีนั้นเอง และเนื่องจากพันธะสัญญาที่ทำไว้กับญวนอย่างลับๆ ไทยจึงต้องช่วยญวนฝ่ายองเชียงสือรบกับญวนฝ่ายราชวงศ์เล้ถึง ๒ ครั้ง รวมทั้งการช่วยอาวุธยุทธภัณฑ์อีกนับไม่ถ้วน พอครั้นญวนฝ่ายองเชียงสือมีกำลังกล้าแข็งขึ้น ไทยกลับต้องเสียเมืองพุทไธมาศและผลประโยชน์อีกมากมายแก่ญวนไป(๖)


โอ้อนิจจา .... เรื่องนี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบด้วยความเหิมเกริมทะยานอยากได้อำนาจสูงสุด เจ้าพระยาจักรีจึงเป็นกบฏ ทรยศต่อพระเจ้าตาก กษัตริย์ผู้กู้ชาติไทย กระทำการเข่นฆ่าล้างโคตรอย่างโหดเหี้ยม อำมหิตที่สุด ซ้ำยังเสริมแต่งใส่ร้ายพระเจ้าตาก ว่าวิปลาสบ้าง(๗) กระทำการมิบังควรแก่สงฆ์บ้าง วิกลจริตในการบริหารราชการบ้าง จากนั้นก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ และเริ่มสร้างพระราชวังใหม่ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นจุดเริ่มต้นของการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ “ราชวงศ์จักรี”และด้วยความโหดร้ายบนเลือดเนื้อและชีวิตของกษัตริย์ในเพศพระภิกษุ กษัตริย์องค์ต่อๆมาในราชวงศ์จักรีจึงเต็มไปด้วยความบาดหมาง แก่งแย่งชิงราชสมบัติกันทุกรัชกาล ลูกฆ่าพ่อ พี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่อย่างไม่ว่างเว้นแม้กระทั่งในรัชกาลองค์ปัจจุบัน

ผู้ที่มองเห็นเบื้องหลังของรัชกาลที่ ๔ อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ได้มีเฉพาะคนอย่างคุณกี ฐานิสสร ซึ่งมีชีวิตในยุคหลังเท่านั้น แม้แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) แห่งวัดระฆังยอดสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ในรัชกาลที่ ๔ ที่มีชื่อเสียงในเรื่องความมักน้อย(สมถะ) ก็ยังเคยเดินถือไต้ดวงใหญ่ เข้าวังหลวงในเวลาเที่ยงวัน ปากก็บ่นว่า “...มืดนัก....ในนี้มืดนัก มืดนัก...” (๓๒)
เมื่อพูดถึงรัชกาลที่ ๔ แล้ว ถ้าไม่พูดถึงความขัดแย้งระหว่างพระองค์กับพระปิ่นเกล้าน้องชายเลย ย่อมไม่อาจจะเห็นภาพของราชสำนักที่เต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่นได้ ปรากฏความตามจดหมายของรัชกาลที่ ๕ ถึงเจ้าฟ้าวชิรุณหิศเล่าว่า รัชกาลที่ ๔ กับพระปิ่นเกล้าไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าใดนัก เพราะพระองค์ระแวงที่พระปิ่นเกล้ามีผู้นิยมมาก ทั้งพระปิ่นเกล้าเองก็มักจะกระทำการที่มองดูเกินเลยมาก(๓๓) พระปิ่นเกล้าไม่ค่อยยำเกรงรัชกาลที่ ๔ กรมดำรงฯเล่าว่า พระปิ่นเกล้ามักจะล้อรัชกาลที่ ๔ ว่า “พี่หิตบ้าง พี่เถรบ้างและตรัสค่อนว่า แก่วัด” (๓๔) ส่วนรัชกาลที่ ๔ เองแม้ไม่อยากยกน้องชายขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒ แต่ก็จำเป็นต้องทำ ทั้งนี้เพราะรู้ดีว่า มีผู้ยำเกรงพระปิ่นเกล้ากันมากว่าเป็นผู้มีวิชา มีลิ้นดำเหมือนพระเจ้าหงสาวดีลิ้นดำ มิหนำซ้ำยังเหยียบเรือรบฝรั่งเอียง นอกจากนี้ยังมีทหารในกำมือมาก(๓๕) และพระองค์รู้ดีว่า น้องชายก็อยากเป็นกษัตริย์เพราะว่า ขณะเมื่อรัชกาลที่ ๓ ป่วยหนักนั้น พระปิ่นเกล้าได้เข้าหาพี่ชายถามว่า “พี่เถร จะเอาสมบัติหรือไม่เอา ถ้าเอาก็รีบสึกไปเถอะ ถ้าไม่เอาหม่อมฉันจะเอา...” (๓๖) พระองค์จึงตั้งพระปิ่นเกล้าเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒ เพื่อระงับความทะเยอทะยานของน้องชายแต่นานวันความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องทั้งสองคนก็ห่างเหินกันมากขึ้นทุกทีรัชกาลที่ ๔ นั้นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่มีเสียงเล่าลือไปในหมู่คนไทย ลาว อังกฤษ ว่าตนเองเป็นผู้ที่ “...ชรา คร่ำเคร่ง ผอมโซ เอาราชการไม่ได้ ไม่แข็งแรง โง่เขลา” (๓๗) จนกษัตริย์ทนฟังไม่ได้ ต้องออกกฎหมาย ห้ามประชาชนวิพากษ์วิจารณ์พระกายของกษัตริย์ว่า อ้วน ว่าผอม ว่าดำ ว่าขาว ห้ามว่างามหรือไม่งาม(๓๘) ในขณะที่มีเสียงเล่าลือเกี่ยวกับพระปิ่นเกล้าในทางตรงข้าม เช่น มีผู้เล่าลือกันทั่วไปว่า “...วังหน้าหนุ่มแข็งแรง.....ชอบการทหารมาก มีวิทยาอาคมดี....” (๓๙) ข้อที่สร้างความชอกช้ำระกำใจให้กับพระองค์ที่สุดคือการที่พระปิ่นเกล้าไปไหนก็ “ได้ลูกสาวเจ้าบ้านผ่านเมืองแลกรมการมาทุกที” แต่พระองค์มิเป็นเช่นนั้นเลย จึงริษยาและบ่นเอากับคนที่ไว้ใจว่า “...ข้าพเจ้าไปไหนมันก็ว่า ชรา ไม่มีใครให้ลูกสาวเลย ต้องกลับมาแพลงรัง....” (๔๐) ต่อมาพระปิ่นเกล้าก็สวรรคต แต่การสวรรคตของพระปิ่นเกล้ามีเบื้องหลังมาก ส.ธรรมยศ เขียนไว้ว่า“ ที่พระปิ่นเกล้าทรงสวรรคตด้วยยาพิษโดยพระเจ้ากรุงสยาม(รัชกาลที่ ๔) ทรงจ้างหมอให้ทำ..... ส.ธรรมยศอ้างหนังสือ An English Governer and the Siamese Court ที่เขียนโดยมิสซิสแอนนาเลขานุการของรัชกาลที่ ๔ ว่า เป็นพฤติการณ์ที่รู้เห็นกันทั่วไป และนางใช้คำว่า พระเจ้ากรุงสยามเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายชั่วช้ามาก และที่ร้ายแรงกว่าความชั่วช้าคือ ความผูกอาฆาต พยาบาทอย่างรุนแรง และทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระนิสัยอิจฉาริษยาอย่างมาก โดยยกตัวอย่างไว้มากมาย” (พระเจ้ากรุงสยาม, หน้า ๘๑, ๑๗๘)และหลังจากที่พระปิ่นเกล้าสวรรคต รัชกาลที่ ๔ ก็ได้แก้แค้นคนทั้งปวงที่นิยมพระปิ่นเกล้า ด้วยการบังคับให้พระนางสุนาถวิสมิตรา ลูกสาวของเจ้าชายแห่งเมืองเชียงใหม่มเหสีของพระปิ่นเกล้า ให้มาเป็นเจ้าจอมของตน แต่พระนางสุนาถวิสมิตราไม่ยอม จึงถูกจับกุมขังไว้ในวังหลวง แต่โชคดีที่หนีไปเมืองพม่าได้ในภายหลัง(๔๑)

 

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปรีดี พนมยงค์ ชีวิตและผลงาน พ.ศ. 2443-2526


ปรีดี พนมยงค์ ชีวิตและผลงาน พ.ศ. 2443-2526

1. ชาติภูมิ


นายปรีดี เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 ณ บ้านริมคลองเมืองฝั่งเหนือตำบลท่าวาสุกรี ตรงข้างกับวัดพนมยงค์ อำเภอกรุงเก่า (อำเภอพระนครศรีอยุธยา)จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นลูกคนที่สองของนายเสียง และนางลูกจันทน์ มีอาชีพชาวนา พี่น้องทั้งหมดมีอยู่ 8 คน เป็นชาย 4 คน เป็นหญิง 4 คน

นามสกุล “พนมยงค์” นั้น ท่านเจ้าคุณวิมลมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่าขณะนั้นเป็นผู้ตั้งให้ ตามคำขอร้องของนายเสียงผู้เป็นบิดา โดยใช้ชื่อวัด “พนมยงค์” มาเป็นนามสกุล

2. การศึกษา


นายปรีดี เริ่มเรียนหนังสือครั้งแรกเมื่ออายุ 5 ขวบ ที่โรงเรียนบ้านครูแสง ซึ่งเป็นโรงเรียนเชลยศักดิ์ ต่อมาได้ไปอยู่กับยายที่อำเภอท่าเรือ แล้วไปเรียนที่บ้านหลวงปราณีประชาชน จากนั้นย้ายไปเรียนที่วัดรวกจนจบมัธยมปีที่ 2 ขณะนั้นมีอายุ 9 ขวบ (พ.ศ. 2452) ซึ่งนับว่าเป็นเด็กที่เรียนดีมากคนหนึ่ง

เนื่องจากโรงเรียนวัดรวกล้มเลิกไปเพราะครูที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเกิดตายลงเด็กชายปรีดีจึงกลับมาอยู่บ้านเดิมที่อำเภอกรุงเก่า และเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนวัดศาลาปูนจนจบมัธยมปีที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2453 อายุตอนนั้น 10 ขวบ บิดามารดาได้ส่งให้เข้ามาเรียนที่กรุงเทพเมื่อปี พ.ศ. 2454 โดยอาศัยอยู่กับท่านมหาบางที่วัดเบญจมบพิตรจนกระทั่งจบชั้นมัธยมเตรียม ขณะนั้นที่วัดเสนาสนราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้จัดตั้งโรงเรียนมัธยมตัวอย่างขึ้นเด็กชายปรีดีจึงกลับไปเรียนต่อที่บ้านเกิดจนจบชั้นมัธยม 6 เมื่อปี พ.ศ. 2457 อายุได้ 14 ปี

หลังจากนั้น บิดามารดาได้นำเข้ามากรุงเทพอีกครั้งหนึ่งเพื่อศึกษาเล่าเรียนในชั้นสูงต่อไป โดยได้พักอยู่กับญาติผู้ใหญ่ฝ่ายแม่ ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลเสาชิงช้า และได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ เรียนอยู่ได้ 6 เดือนก็ลาออกไปทำนากับบิดาที่อยุธยาด้วยเหตุผลว่าอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้าเรียนรัฐประศาสนศาสตร์

เมื่อต้นปีพ.ศ. 2460 ขณะนั้นอายุเพียง 17 ปี นายปรีดีจึงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม ใช้เวลาเรียนกฎหมาย 2 ปีเศษ ก็สอบไล่ได้เนติบัณฑิตชั้นที่ 1 ในปี พ.ศ. 2462 มีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น แต่ก็ต้องรอให้อายุครบ 20 ปีบบริบูรณ์ในปี 2463 ก่อนจึงได้เป็นสมาชิกสามัญแห้งเนติบัณฑิตยสภา แต่ก็นับว่านายปรีดีเป็นเนติบัณฑิตที่มีอายุน้อยที่สุดคนหนึ่งในขณะนั้น

เมื่อจบกฎหมายใหม่ๆ นายปรีดี ได้ขออนุญาตเป็นทนายความได้ว่าความคดีเรือสำเภา ของนายลิ่มซุ่นหง่วน ซื่งเป็นคดีที่สร้างชื่อเสียงให้ท่านเป็นอย่างมากต่อมาได้เข้ารับราชการในกรมราชทัณฑ์ กระทรวงนครบาล ในตำแหน่งเสมียนโทจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2463 คัดเลือกได้ทุนนักเรียนหลวงของกระทรวงยุติธรรมไปศึกษาวิชากฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส

เมื่อนายปรีดี ไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศส ในชั้นต้นได้ศึกษาภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ภาษาละติน ใช้เวลาไม่ถึงปีก็สามารถสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย เมืองกอง (caen) ใช้เวลาเรียนที่นั่น 3 ปี และสอบได้ปริญญาตรีทางนิติศาตร์(Licencié en droit) ตามลำดับ หลังจากนั้นได้ย้ายไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยในปารีสในระดับปริญญาโทและเอก

นายปรีดีจบการศึกษาในระดับปริญญาโททั้งทางด้านกฎหมายแท้และเศรษฐศาสตร์และได้ทำวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาเอก หรือที่เรียกว่า Docteur en droit (Sciences Juridiques) เรื่อง Du Sort des sociétés de persones en cas de décés d’un associé (Etude de droit français et de droit compare) แปลเป็นไทยว่า “ในกรณีที่หุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตายฐานะของหุ้นส่วนส่วนบุคคลจะเป็นอย่างไร (ศึกษาตามกฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ)” สอบได้เกียรตินิยมดีมาก (trés bien) จัดได้ว่าเป็นคนไทยคนแรกที่สอบได้ปริญญาเอกของรัฐ (Docteur d’ Etat) ซึ่งคนไทยโดยทั่วไปจะได้ดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัย (Docteur de ľUniversité) นอกจากนี้ท่านยังสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในทางเศรษฐกิจ (Diplŏme d’ Etude Superéures d’ Economie Politique)

ระหว่างที่ศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศสนั้นกลุ่มนักเรียนไทยในยุโรปได้รวมตัวกันก่อตั้งสมาคมนักเรียนไทยภาคพื้นยุโรป (ยกเว้นอังกฤษ) ขึ้นโดยชื่อว่า สามัคยานุเคราะห์สมาคม (มีอักษรย่อว่า ส.ยา.ม อักษรย่อภาษาอังกฤษว่า SIAM ) ส่วนชื่อเต็มในภาษาฝรั่งเศสคือ Association Siamoise d’ intellectualité et d’assistance mutuelle นายปรีดีได้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม ใน พ.ศ. 2468 สมาคมนี้กล่าวได้ว่าเป็นแหล่งสำคัญของการรวบรวมแนวคิดของผู้นำรุ่นใหม่อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 ได้มีการประชุมกลุ่มผู้ก่อการ 2475 ขึ้นเป็นครั้งแรกที่บ้านเลขที่ 9 Rue du Sommerard ณ กรุงปารีส

หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วก็ได้เดินทางกลับสยาม และถึงกรุงเทพในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2470

3. ชีวิตการทำงาน

เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพ นายปรีดีได้รับตำแหน่งผู้พิพากษาชั้น 6 กระทรวงได้ทำการฝึกหัดเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา และต่อมาเมื่อได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมายเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2470
ต่อมาได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็นรองอำมาตย์เอกหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471 และได้รับการเลื่อนยศเป็นอำมาตย์ตรีในปีต่อมา
ในช่วงที่รับราชการในกระทรวงยุติธรรมนี้ นายปรีดีได้รวบรวมกฎหมายไทยตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในสภาพกระจัดกระจายให้มารวมเป็นเล่มเดียว ใช้ชื่อว่า “ประชุมกฎหมายไทย”หนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ที่โรงพิมพ์นิติสาส์นซึ่งเป็นโรงพิมพ์ส่วนตัวของท่านเอง
นอกจากงานที่กรมร่างกฎหมายแล้ว ท่านยังเป็นอาจารย์ผู้บรรยายที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรมอีกด้วย โดยเริ่มสอนเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2470 ในชั้นแรกได้สอนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยลักษณะหุ้นส่วนบริษัทและสมาคม ต่อมาได้สอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคลอีกด้วย ลูกศิษย์ของท่านในช่วงดังกล่าวนี้ได้แก่ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายจิตติ ติงศภัทิย์ นายดิเรก ชัยนาม นายเสริม วินิจฉัยกุล นายเสวต เปี่ยมพงศ์สานต์ นายไพโรจน์ ชัยนาม นายจินดา ชัยรัตน์ นายโชติ สุวรรณโพธิ์ศรี และนายศิริ สันตะบุตร
ในพ.ศ. 2474 โรงเรียนกฎหมายได้เปลี่ยนหลักสูตรการสอน มีการเพิ่มเติมวิชาใหม่ๆเข้าไปในหลักสูตร เช่น วิชากฎหมายปกครองซึ่งมีขึ้นเป็นครั้งแรก และนายปรีดีเป็นผู้บรรยายวิชาดังกล่าว ลูกศิษย์ของท่านในช่วงนี้ได้แก่ นายทองเปลว ชลภูมิ นายยวด เลิศฤทธิ์ นายประยูร กาญจนดุล นายชัย เรืองศิลป์ นายฟอง สิทธิธรรม นายมาลัย หุวะนันท์ เป็นต้น
กล่าวกันว่าวิชากฎหมายปกครองนี้ เป็นวิชาที่สร้างชื่อเสียงเป็นอย่างมากทั้งนี้เพราะสาระของวิชานี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชากฎหมายมหาชน ซึ่งอธิบายถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยอันเป็นหัวใจของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการสอนวิชาดังกล่าวนี้ต้องอาศัยความกล้าหาญและมุ่งมั่นทางการเมืองอยุ่ไม่น้อย เมื่อคำนึงถึงว่าในขณะนั้นประเทศไทยยังปกครองอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ราชย์
จากการสัมภาษณ์นักเรียนกฎหมายในช่วงนั้น ได้รับคำบอกเล่าว่าอาจารย์ปรีดีได้อนุญาตให้นักเรียนเข้าพบเพื่อปรึกษาปัญหาการเรียนที่บ้านป้อมเพชร์อันเป็นบ้านพักของท่าน ถนนสีลม ได้ซึ่งทำให้มีลูกศิษย์ไปพบปะที่บ้านอยู่เนืองๆจึงทำให้อาจารย์คุ้นเคยและมีความสัมพันธ์กับนักเรียนกฎหมายอย่างดี

4. นายปรีดีกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง


ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย คณะราษฎรได้ตระหนักถึงความจำเป็นในอันที่จะปูพื้นฐานความคิดทางการเมืองให้สิทธิและโอกาสกับประชาชนส่วนใหญ่ที่จะได้รับการศึกษา
นายปรีดีได้เสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองพุทธศักราช 2476 ต่อสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 8 ก.พ. 2476 สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวดังปรากฎใน พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยวิชาธรรมสาสตร์และการเมือง พ.ศ. 2476 ว่า

โดยที่สภาผู้แทนราษฎรถวายคำปรึกษาว่า เมื่อได้มีการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญแล้วก็เป็นการสมควรที่จะรีบจัดการบำรุงการศึกษาวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองให้ได้ระดับมหาวิทยาลัยในอารยประเทศ และให้แพร่หลายยิ่งขึ้นโดยเร็ว จึงเป็นการสมควรที่จะจัดตั้ง มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ขึ้นเป็นพิเศษ

 เมื่อพิจารณาถึงคำกราบบังคมทูลของนายปรีดีในฐานะผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยต่อสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในวันเปิดมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 ก็จะเห็นได้ชัดถึงจุดมุ่งหมายของการตั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่ว่า
 
การตั้งสถานศึกษา ตามลักษณะของมหาวิทยาลัยย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์และเป็นปัจจัยในการแสดงความก้าวหน้าของประเทศ ประชาชนชาวสยามจะเจริญในอารยธรรมได้ก็โดยอาศัยการศึกษาอันดีตั้งแต่ชั้นต่ำตลอดถึงการศึกษาชั้นสูงเพราะฉะนั้นในการที่จะอำนวยความประสงค์และประโยชน์ของราษฎรในสมัยนี้ จึงจำเป็นต้องมีสถานการศึกษาในครบบริบูรณ์ทุกชั้น มหาวิทยาลัยย่อมอุปมาประดุจบ่อน้ำบำบัดความกระหายของราษฎรผู้สมัครแสวงหาความรู้อันเป็นสิทธิและโอกาสที่ควรได้ตามหลักแห่งเสรีภาพในการศึกษา รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเห็นความจำเป็นในข้อนี้ จึงได้ตราพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น
 
นายปรีดีเป็นผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย เป็นผู้วางหลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัยจัดหาบุคลากรสถานที่ ผู้บรรยาย เป็นผู้ให้ความคิดเกี่ยวกับสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
 
หลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองในระยะเริ่มแรกเป็นวิชาที่เกี่ยวเนื่องด้วยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองที่สำคัญๆคือกฎหมาย รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการทูต ซึ่งจะแบ่งการสอนในมหาวิทยาลัยออกเป็น 3 ระดับ คือปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมถึงการศึกษาในระดับเตรียมปริญญา ที่เรียกว่าเตรียม ม.ธ.ก. รวมทั้งจัดการศึกษาในระดับประกาศนียบัตร คือหลักสูตรการศึกษาวิชาการบัญชี
 
เมื่อมีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นนั้น ท่านไม่ได้ทำหน้าที่ผู้บรรยายวิชากฎหมาย แต่ได้ทำหน้าที่ทางด้านบริหารมหาวิทยาลัยเป็นผู้ประศาสน์การมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2495 ตำแหน่งนี้ได้ถูกยกเลิกโดยคำเสนอแนะของรัฐบาลจอมพลป. พิบูลสงคราม และได้มีตำแหน่งอธิการบดีแทนซึ่งจอมพลป. เป็นอธิการบดีคนแรก ตลอดระยะเวลาที่เป็นผู้ประศาสน์การท่านดำรงตำแหน่งอุปนายกของ “คณะกรรมการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง”ซึ่งกรรมการชุดนี้ทำหน้าที่พิจารณานโยบายของมหาวิทยาลัยรวมถึงกำหนดระเบียบข้อบังคับต่างๆการผลิตตำรา ฯลฯ ดังนั้นท่านจึงมีความใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาก
 
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเปิดโอกาสให้ประชาชนจำนวนมากที่สุดได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาหาความรู้ ดังปรากฎว่าในปีแรกที่มีการเปิดสอนมีผู้มาสมัครเข้าเป็นนักศึกษาเป็นจำนวนถึง 7,094 คนที่อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศ การที่มีคนจำนวนมากสนใจสมัครเรียนเป็นผลสืบเนื่องจากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองให้สิทธิข้าราชการเข้าเรียนได้ในฐานะตลาดวิชาอีกทั้งเนื่องจากค่าเล่าเรียนต่ำมากเพียงปีละ 20 บาท(ซึ่งในขณะนั้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเก็บปีละ 80 บาท)
 
5. ชีวิตทางการเมือง
 
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นายปรีดีเป็นผู้นำฝ่ายพลเรือนร่วมกับคณะราษฎรทำการยึดอำนาจเปลี่ยนมูลฐานระบอบการปกครอง นายปรีดีเป็นผู้ร่างแถลงการณ์ และร่างธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม 27มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นหนึ่งในเจ็ดคนของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 เป็นหนึ่งในสมาชิกผู้แทนราษฎรชั่วคราวในจำนวน 70คน
 
การจัดตั้งรัฐบาลภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญชุดแรก (28 มิ.ย. 2475 – 10 ธ.ค. 2475) ประกอบด้วยคณะกรรมการราษฎร (คณะรัฐมนตรี) 15 คนในจำนวนนี้นายปรีดีได้ร่วมเป็นกรรมการด้วย
 
ท่านได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการราษฎรให้เป็นผู้ร่างหลักการเศรษฐกิจประจำชาติ “เค้าโครงเศรษฐกิจ” และเสนอต่อคณะกรรมการราษฎรในวันที่ 12 มีนาคม 2475 (พ.ศ. 2476 ตามปฏิทินใหม่) หลัการสำคัญของ “เค้าโครงเศรษฐกิจ”ได้แก่การที่รัฐบาลเป็นผู้ประกอบการเศรษบกิจเสียเองเป็นส่วนใหญ่ ทั้งในด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมให้ราษฎรทุกคน (ยกเว้นในกรณีต่างๆ ที่ปรากฎในร่าง พ.ร.บ.)เป็น “ข้าราชการ” หรือลูกจ้างของรัฐบาลให้รัฐบาลประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร ให้รัฐบาลเป็นผู้วางแผนการพัฒนาประเทศหลังจากที่ได้มีการเสนอ “เค้าโครงเศรษฐกิจ” พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯได้ได้ทรงมีข้อวินิจฉัยว่า เป็นแนวคิดที่ลอกเลียนแบบ “บอลเชวิค” ของโซเวียต
 
ในที่สุดท่านจำต้องเดินทางออกไปประเทศฝรั่งเศสอีกครั้งตามคำขอร้องของรัฐบาลใน วันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2476 โดยรัฐบาลเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ตลอดระยะเวลาที่ออกไปนอกประเทศโดยให้ปีละ 1,000 ปอนด์
 
วันที่นายปรีดีออกเดินทางไปฝรั่งเศสนั้นมีคนผู้คนได้ไปส่งที่ท่าเรือ บีไอ.เป็นจำนวนมาก เช่นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี เช่น พระยาพหลฯ พระยามานวราช หลวงศุภชลาศัย หลวงพิบูลสงคราม
 
นายตั้ว ลพุกรม พ่อค้า ประชาชน ช้าราชการที่เคารพนับถือท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระยาพหลพลพยุหเสนาได้กอดจูบเป็นการอาลัยต่อหน้าประชาชนเป็นเวลานาน
 
หลังจากนั้นได้เกิดการรัฐประหารซึ่งนำโดย พ.อ.พระยาพหลฯนายปรีดีได้เดินทางกลับมาประเทศสยาม และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิสูจน์แนวคิดและการกระทำของท่านซึ่งคณะกรรมการมีมติเอกฉันท์ว่า “หลวงประดิษฐ์ไม่มีมลทินเป็นคอมมิวนิสต์ดังที่ถูกกล่าวหา”นายปรีดีได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในวันที่ 29มีนาคม พ.ศ.2476 (2477 ตามปฏิทินใหม่) และเป็นติดต่อกัน 2 สมัย จนกระทั่งมีการปรับคณะรัฐบาลเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองของโลกกำลังเข้าสู่ภาวะตึงเครียดที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงนี้นี่เองที่ท่านได้พยายามเจรจากับชาติมหาอำนาจตะวันตกเพื่อแก้ไขสนธิสัญญาที่ประเทศเสียเปรียบ โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตจนเป็นผลสำเร็จ (ซึ่งสัญญาไม่เสมอภาคที่สยามทำกับประเทศต่างๆเหล่านี้ได้กระทำมาตั้งแต่ พ.ศ. 2398 เป็นต้นมา)ในการตั้งรัฐบาลชุดใหม่เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 โดยมี พ.อ.หลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี นายปรีดีได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
 
ในช่วงที่เกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2483 สถานการณ์ภายในประเทศมีความสับสนมาก เนื่องจากรัฐบาลสนับสนุนให้ประชาชนเดินขบวนเรียกร้องดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงจากฝรั่งเศส นายปรีดีกลับมีนโยบายที่เรียกร้องให้มีการใช้สันติวิธีโดยการเจรจาทางการทูตแทนการทำสงคราม นักเรียนเตรียม ม.ธ.ก. ในช่วงนั้นได้ให้สัมภาษณ์ว่า อาจารย์ปรีดีไม่เห็นด้วยกับการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องดินแดนคืนมาซึ่งก็นับว่าท่านมีสายตาที่ยาวไกล
 
ในปลายปี พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นยาตราทัพผ่านไทยไปยังพม่าและสิงคโปร์ และรัฐบาลไทยประกาศเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น และได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในต้นปี พ.ศ.2485 นโยบายเข้าร่วมสงครามดังกล่าวขัดแย้งกับแนวทางของนายปรีดีดังนั้นหลังจากประกาศสงครามเพียง 9 วัน ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งมีผลให้ท่านพ้นไปจากตำแหน่งทางการเมือง
 
ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการๆนั้นนายปรีดีได้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นภายในประเทศซึ่งภายหลังได้ร่วมมือกับขบวนการเสรีไทยที่ก่อตั้งขึ้นก่อนหน้านั้นในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษโดยท่านได้ใช้รหัสว่า “รูธ” (Ruth)ในการติดต่อกับขบวนการเสรีไทยความสำคัญของขบวนการเสรีไทย อยู่ที่เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยไม่ได้ถูกปรับให้เป็นประเทศผู้แพ้สงคราม ซึ่งทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของประเทสมหาอำนาจไปได้
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2488 ท่านได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯแต่งตั้งให้เป็นรัฐบุรุษอาวุโส เพื่อเป็นการยกย่องและตอบแทนคุณความดีของนายปรีดีและได้รับพระราชทานตรานพรัตน์ราชวราภรณ์ซึ่งเป็นตราสูงสุดที่บุคคลธรรมาดาได้รับเพียงไม่กี่ท่าน
 
24 มีนาคม พ.ศ. 2489 ท่านได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลกโดยเฉพาะปัญหาภาวะเงินเฟ้อ เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2489 คณะรัฐบาลชุดนี้จึงหมดวาระลง เนื่องจากมีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นายปรีดีก็ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2489 แต่ยังไม่ทันจะมีประกาศแต่งตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 ก็ได้เกิดกรณีสวรรคตขึ้น นายปรีดีจึงกราบบังคมทูลลาออก และได้รับแต่งตั้งให้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งในวันที่ 13 มิถุนายนปีเดียวกันและดำรงตำแหน่งอยู่เพียง 2 เดือนก็ลาออกอีกครั้งหนึ่ง
 
วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 เกิดการรัฐประหารโดยกลุ่มทหารบก ซึ่งนำโดย พท.ท. ผิน ชุณหะวัน และ พ.ท.หลวงกาจสงคราม นายปรีดีจึงลี้ภัยไปพำนักยังสิงคโปร์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากทั้งสถานทูตอังกฤษและสหรัฐอเมริกานายปรีดีลงเรือบรรทุกน้ำมันของบริษัทเชลล์ชื่อ เอ็ม วี เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ด้วยความลำบากยิ่ง หลังจากนั้นได้มีการเลือกตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2491 แต่คณะรัฐมนตรีได้ถูกคณะรัฐประหารบีบบังคมให้ลาออกเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2491 ฉะนั้นพอถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 นายปรีดีจึงได้ลักลอบกลับเข้ามา ท่ามกลางสถานการณ์ที่กลุ่มทหารเรือและผู้รักประชาธิปไตยต้องการที่จะยึดอำนาจคืนจากคณะรัฐประหาร 2490 หรือที่เรียกกันว่า “กบฎวังหลวง” ความพยายามครั้งนี้ล้มเหลว นายปรีดีเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังสิงคโปร์เพื่อจะไปสู่สหรัฐอเมริกา แต่โดยเหตุที่มีปัญหาเกี่ยวกับหนังสือเดินทางท่านจึงต้องเดินทางไปยังประเทศจีนซึ่งขณะนั้นยังอยู่ภายใต้รัฐบาลก๊กมินตั๋งแทนต่อมา พ.ศ.2513 จึงได้เดินทางต่อไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และได้พำนักอยู่ที่นั่นตลอดมา
 
ตลอดเวลาที่พำนักอยู่ต่างประเทศนี้ ท่านได้เขียนบทความและหนังสือต่างๆเสนอแง่คิด คำแนะนำทางการเมืองให้สังคมไทยอยู่ตลอดเวลาเช่น
 
  • ความเป็นเอกภาพกับปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ (2517)
  • นายปรีดีชี้แนวทางประชาธิปไตย (2517)
  • ระบบสังคมนิยมและระบบคอมมูนิสต์จะเหมาะสมแก่เมืองไทยหรือไม่ (2518)
  • อนาคตของเมืองไทยกับสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน (2518)
  • นอกจากนี้ยังได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยเช่น
  • ความเป็นมาของชื่อประเทศสยามกับประเทศไทย (2517)
  • มหาราชและรัตนโกสินทร์ (2525)
  • 6.ชีวิตครอบครัว

     
    จากการที่มีชีวิตพัวพันกับปัญหาสำคัญๆของประเทศเสมอมาการดำเนินชีวิตในครอบครัวของท่านจึงได้รับผลกระทบจากการเมืองไปด้วย ครอบครัวของท่านมีบุตรชายคนแรก คือ ปาล พนมยงค์ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2474 ก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินเพียง 6 เดือนเท่านั้น และเมื่อท่านได้รับการขอร้องให้เดินทางออกนอกประเทศไปยังฝรั่งเศสด้วยกรณี “เค้าโครงเศรษฐกิจ” ใน พ.ศ.2476 ท่านจึงต้องพลัดพรากจากครอบครัวเป็นครั้งแรกในขณะที่บุตรยังเล็กมาก
     
    ความกระทบกระเทือนที่ใหญ่หลวงมากสำหรับครอบครัวของท่านคือ กรณีรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 ตัวท่าน ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่สิงคโปร์ส่วนครอบครัวของท่านนั้น ก็ได้รับการคุกคามจากคณะรัฐประหาร ท่านผู้หญิงพูนศุข และลูกๆต้องลี้ภัยไปอยู่สัตหีบชั่วคราวความยุ่งยากที่ตามมาก็คือท่านถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันในกรณีสวรรคตซึ่งมีผลให้ถูกงดบำนาญนับตั้งแต่วันยื่นฟ้องคดีประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ทำให้ครอบครัวขาดรายได้ที่สำคัญไปบ้านพักต้องถูกเอาไปให้เช่าเพื่อหารายได้มาจุนเจือแก่ครอบครัว ท่านผู้หญิงต้องกลับไปอยู่บ้านเดิมกับพ่อแม่ และหารายได้เพิ่มด้วยการทำขนมขาย
     
    ในปี พ.ศ. 2495 ท่านผู้หญิงและ ปาล พนมยงค์ ถูกจับในกรณีกบฎสันติภาพ ซึ่งการจับกุมครั้งนี้ได้มีผู้ถูกจับกุมคุมขังเป็นจำนวนมากเช่น นักศึกษาของมหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ ปัญญาชน นักสันติภาพ เป็นต้น ท่านผู้หญิงคถูกคุมขังอยู่ 84 วัน แต่เนื่องด้วยกรม อัยการ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีหลักฐานพอที่จะฟ้องฐานกบฎ จึงได้รับการปล่อยตัว ในขณะที่ ปาล พนมยงค์ถูกส่งฟ้องศาล และพิพากษาจำคุกในข้อหากบฎเป็นเวลา 20 ปี และได้รับการลดหย่อนโทษ เหลือ 13 ปี 4 เดือน แต่ก็ได้รับนิรโทษกรรมใน พ.ศ.2500 หลังจากถูกจำคุกเป็นเวลา 4 ปีเศษ
     
    หลังจากที่ท่านผู้หญิงได้รับอิสรภาพจึงได้เดินทางไปสมทบกับนายปรีดีที่ประเทศจีนโดยนำบุตรเล็กๆไปด้วย
     
    นายปรีดีและครอบครัวพำนักอยู่ที่ประเทศจีนจนถึง พ.ศ. 2513 จึงได้อพยพไปอยู่ที่บ้านหลังเล็กเลขที่ 173 ถนน Aristide Briand ชานกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส เวลาส่วนใหญ่ของท่านอุทิศให้กับการเขียนหนังสือ โดยเฉพาะการค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมไทยเป็นครั้งคราว ท่านจะตอบรับเชิญจากคนไทยกลุ่มต่างๆในประเทศฝรั่งเศสเพื่อแสดงปาฐากถาในเรื่องที่เกี่ยวกับสังคมไทยดังที่จะปรากฎในสิ่งตีพิมพ์ต่างๆในระยะเวลาต่อมา
    วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 เวลาประมาณเที่ยงวันตามเวลาท้องถิ่น หลังจากที่ท่านทำภารกิจประจำวันเช่นเคย ท่านก็ได้ถึงแก่อสัญญากรรม เนื่องจากหัวใจวาย ณ ที่บ้านพักของท่านนั่นเอง
     
     
    พ่อนำชาติด้วยสมองและสองแขน
    พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
    พ่อของข้าฯนามระบือชื่อ “ปรีดี”
    แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ