วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

มูลนิธิ โฮพ เวิลด์วายด์ (ประเทศไทย)

มูลนิธิ โฮพ เวิลด์วายด์ (ประเทศไทย)
HOPE worldwide (THAILAND)

โฮพเวิลด์วายด์ เป็นองค์กรอิสระที่ไม่มุ่งหวังผลประโยชน์  ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐในปี ค.ศ. 1991 สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Madeline Miller, 725 Market St., Wilmington, DE 19801 มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกหนแห่ง ตามชื่อขององค์กรคือ Helping Other People Everywhere (HOPE) ในด้านสาธารณกุศล ช่วยเหลือในความต้องการของสังคม  และส่งเสริมคุณภาพชีวิตทั้งในด้านสุขภาพอนามัยตลอดจนการศึกษา โดยไม่มีส่วนหรือดำเนินงานเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด

ปัจจุบันโฮพเวิลด์วายด์ มีหน่วยงานกระจายอยู่ทั่วโลกคือ 154 เมือง ใน 58 ประเทศ และในปีค.ศ.1997 โฮพเวิลด์วายด์ ได้รับการแต่งตั้งจากองค์การสหประชาชาติให้เป็น ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของสหประชาชาติ (Special Consultative Status to the United Nations) โดยมีสำนักงานขององค์กรตั้งอยู่ในสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติที่เมืองนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา, ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

โฮพเวิลด์วายด์ เริ่มจัดตั้งขึ้นในประเทศไทย ในปี พ.ศ.2535 และได้ดำเนินงานร่วมกับกรมประชาสงเคราะห์ เพื่อทำโครงการต่างๆ เกี่ยวกับด้านเด็กกำพร้า โดยเริ่มจัดโครงการ “พี่รักน้อง” (Big Brothers – Big Sisters) เป็นโครงการแรก ซึ่งเป็นโครงการที่มีอาสาสมัครจากโฮพเวิลด์วายด์ ทั้งชายหญิงเข้าไปดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้กับเด็กกำพร้า จากสถานสงเคราะห์เยาวชนมูลนิธิมหาราช จังหวัดปทุมธานี และจากสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การสนับสนุนและช่วยเหลือเด็กในด้านอารมณ์ ความรู้สึก ให้ความเป็นเพื่อนและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็กๆ เหล่านั้น เพื่อเด็กจะได้เรียนรู้และเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมต่อไป

โฮพ เวิลด์วายด์ (ประเทศไทย) ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นมูลนิธิเพื่อดำเนินงานทางด้านสาธารณกุศลและสังคมสงเคราะห์ขึ้นในประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2541 โดยใช้ชื่อว่า “มูลนิธิแรงใจให้สังคม” เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนงาน โครงการต่างๆ ของกรมประชาสงเคราะห์ในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ มุ่งเน้นในการให้ความรู้ด้านวิชาชีพ แก่เยาวสตรี เด็กพิการ และผู้ด่อยโอกาส เพื่อจะได้สามารถดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นภาระหรือปัญหาของสังคม สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างทัดเทียมกับคนทั่วไป  จึงจัดทำโครงการ ศูนย์สอนคอมพิวเตอร์ขั้นมูลฐาน ร่วมกับ “สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการ“ จังหวัดนนทบุรี และในปี พ.ศ. 2545 ทางมูลนิธิฯ ยังได้จัดตั้งศูนย์สอนคอมพิวเตอร์แห่งใหม่ขึ้นเพื่อช่วยเหลือและฝึกอาชีพเด็กพิการใน “ สถานสงเคราะห์เด็กพิการและทุพพลภาพปากเกร็ด ( บ้านนนทภูมิ )” จังหวัดนนทบุรี นอกจากนี้ยังได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ

มูลนิธิแรงใจให้สังคม ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น มูลนิธิ โฮพ เวิลด์วายด์ (ประเทศไทย) เป็นชื่อที่ทั่วโลกรู้จัก ที่เป็นองค์กรที่ช่วยเหลือสังคม เพื่อให้สะดวกมากขึ้นในการช่วยเหลือระหว่างประเทศ ซึ่งยังคงเป้าหมายและวัตถุประสงค์เดิม โดยดำเนินงานทางด้านสาธารณกุศลและสังคมสงเคราะห์ จัดทำโครงการต่างๆ ร่วมกับกรมประชาสงเคราะห์

โครงการ ต่างๆ ของมูลนิธิ โฮพ เวิลด์วายด์ (ประเทศไทย)

  • โครงการศูนย์อบรมวิชาชีพคอมพิวเตอร์บ้านเกร็ดตระการ
  • โครงการศูนย์คอมพิวเตอร์บ้านนนทภูมิ
  • โครงการบ้านแรงใจ
  • โครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยจากคลื่นยักษ์สินามิ
  • โครงการป้องกันการล่อลวงและรู้เท่าทันภัยเทคโนโลยี่

  •  
    ช่วยสนับสนุนเวป colskys.blogspot.com ด้วยการบริจาคเงินตามกำลังของท่านได้ที่
    ธนาคารไทยพานิชย์ หมายเลขบัญชี 404-172618-4
     
    Web support. colskys.blogspot.com. With your donation, according to.

    SCB. account number 404-172618-4.

    aun.thanakrit @ gmail.com
     
     

    วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

    ขอบคุณที่รักกันทุกท่านที่ติดตามสนับสนุนเราทำให้เรามีพลังที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องตลอดไป

    ขอบคุณที่รักกันทุกท่านทำให้เรามีพลังที่ติดตามจะทำในสิ่งที่ถูกต้องตลอดไป
    -->
    --> รวมพลัง60ล้านเสียงเพื่อสิ่ งที่ถุกต้องคร๊าบพี่น้อง.....

    วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

    เกาะผุดใหม่จากแผ่นดินไหวในปากีสถานพบเริ่มปล่อยแก๊ส

    --> เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของปากีสถานรายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเพิ่มเป็น 327 คนแล้ว
    นายอับดุล ราชีด โกกาไซ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเขตอาราวัน ซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด กล่าวว่า พบศพผู้เสียชีวิต 285 ศพในเขตอาราวัน และพบอีก 42 ศพในพื้นที่ใกล้เคียง กองทัพปากีสถานส่งกำลังทหารนับร้อยออกไปช่วยเหลือประชาชน หลังเกิดแผ่นดินไหว 7.7 ริกเตอร์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนรู้สึกได้ทั่วเอเชียใต้
    -->
    แผ่นดินไหวครั้งนี้ยังก่อให้เกิดเกาะขนาดเล็กผุดขึ้นมากลางทะเล ห่างจากชายฝั่งเมืองท่ากวันดาออกไปราว 600 เมตร ที่สร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวปากีสถานอย่างมาก

    นายบาห์ราม บาล็อค ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น ได้เดินทางไปยังเกาะดังกล่าวในช่วงเช้าวานนี้ เพื่อตรวจสอบสภาพและถ่ายภาพ เขากล่าวว่า เกาะดังกล่าว เป็นเกาะรูปวงรี มีความยาวประมาณ 76-91 เมตร และมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 18-21 เมตร
     
    --> พื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะดังกล่าวมีพื้นผิวขรุขระและเป็นดินโคลน บางส่วนเป็นกรวดทรายหยาบ และบางส่วนเป็นหินแข็งขนาดใหญ่ นายบาล็อคกล่าวว่า เมื่อขึ้นไปบนเกาะ พบปลาตายจำนวนมาก และเมื่อเดินไปยังด้านหนึ่งของเกาะก็ได้ยินเสียงคล้ายกับแก๊สกำลังพวยพุ่ง อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าแก๊สดังกล่าวไม่ได้มีกลิ่นคล้ายก๊าซมีเทน แต่เมื่อใช้ไม้ขีดโยนเข้าไปใกล้ก็พบว่าแก๊สดังกล่าวติดไฟ แต่ไม่ไม่มากนัก และไม่สามารถดับด้วยน้ำได้

    นายราชิด ทาเบรซ ผู้อำนวยการทั่วไปสถาบันสมุทรศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า พลังงานที่ได้รับการปลดปล่อยจากการเคลื่อนตัวทางธรณีวิททยาทำให้เกิดแก๊สที่ไม่ติดไฟในก้นทะเล โดยก้นทะเลใกล้กับเมืองกวันดา หรือที่เรียกว่าชายฝั่งมากรานนั้น เป็นแหล่งสะสมของแก๊สที่มีโมเลกุลของน้ำ หรือแก๊สแช่แข็ง ที่มีส่วนประกอบของก๊าซมีเทน โดยจะอยู่ใต้พื้นดินในระดับความลึกประมาณ 300-800 เมตร  เขากล่าวว่า เมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัว ก็จะก่อให้เกิดความร้อนและการปล่อยแก๊สผ่านรอยแยก

    --> ทั้งนี้ เกาะที่ผุดขึ้นมาครั้งล่าสุด นับเป็นเกาะที่สี่ ที่ผุดขึ้นในทะเลแถบนี้ นับตั้งแต่ปี 1945 และเป็นเกาะที่สาม ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อปี 1999 และ 2010 ได้เกิดเกาะผุดขึ้นกลางทะเลห่างจากชายฝั่งเมืองออร์มารา บริเวณใกล้กับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำฮิงกอล โดยหนึ่งในภูเขาไฟดินโคลนที่เป็นที่รู้จักดีคือภูเขาจันทรากัพ ที่ตั้งอยู่ในแผ่นดินห่างจากชายฝั่งทะเลไม่มากนัก
    -->  ที่มา:มติชนออนไลน์

    วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

    เหรียญ 5 บาทรุ่นปี 2522(for sale 50000 US)

    ราคา : 500,000 บาท
    Pls. contrak
    aun.thanakrit@gmail.com

    เหรียญบาทเก่า รุ่นปี 2505 สำหรับผู้ที่ชอบเก็บสะสม(foe sale 5000 us only)

    ราคา : 500,000 บาท
    -->
    pls contrac aun.thanakrit@gmail.com

    เหรียญบาทเก่า รุ่นปี 2525 สำหรับผู้ที่ชอบเก็บสะสม

    ราคา : 1,000,000 บาท
    Pls contrac aun.thanakrit@gmail.com

    เมื่อเป็นหนี้ เจ้าหนี้ยึดทรัพย์เราได้หรือไม่

    คนที่จะมายึดทรัพย์ หรืออายัดเงินเดือนของเรา คงไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่เรารู้จักคุ้นเคยมาเป็นอย่างดี นั่นก็คือ “เจ้าหนี้” นั่นเองค่ะ แต่การยึดทรัพย์ หรืออายัดเงินเดือนนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าหนี้จะสามารถทำได้เองโดยพลการนะคะ เจ้าหนี้สามารถทำได้ก็ต่อเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เจ้าหนี้ชนะคดี และเราผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระคืนให้กับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาภายใน 15 หรือ 30 วัน แล้วแต่ศาลจะกำหนดในคำพิพากษา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าหนี้เองก็สามารถยึดทรัพย์และอายัดเงินเดือนของเราได้ แต่ศาลก็ไม่ได้ใจร้ายกับเราผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ตาดำๆ เสียทีเดียวค่ะ ยังมีข้อยกเว้นในการยึดทรัพย์เพื่อให้ลูกหนี้ยังพอมีรายได้ประทังชีวิตต่อไปได้ ดังนี้ค่ะ 1. ทรัพย์สินที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิต มูลค่า 50,000 บาทแรก เจ้าหนี้ห้ามยึดค่ะ เพราะเป็นทรัพย์สินที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตจริงๆ หากไม่มี จะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันยากลำบาก ทรัพย์สินที่จำเป็น ได้แก่ โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ โทรทัศน์ เครื่องครัว แต่ถ้าเป็นสร้อยคอ แหวนทอง แหวนเพชร นาฬิกาสุดหรู ที่เราใส่ประดับเพื่อแสดงถึงฐานะทางการเงินของเราแล้วล่ะก็ เจ้าหนี้สามารถยึดได้ค่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต แม้ว่าเราจะคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นต้องมีก็ตาม 2. ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินของลูกหนี้ ถ้ามูลค่ารวมกันไม่ถึง 100,000 บาท ห้ามเจ้าหนี้ยึดเช่นกัน เพราะจะทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ เครื่องมือประกอบอาชีพ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร (ในกรณีที่ประกอบธุรกิจรับถ่ายเอกสาร) หากเครื่องมือประกอบอาชีพมีราคาสูงกว่า 100,000 บาท และจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็สามารถร้องขอต่อศาลได้ค่ะ หากมีเจ้าหนี้หลายราย เมื่อเจ้าหนี้รายใดได้ยึดทรัพย์สินนั้นไปแล้ว เจ้าหนี้รายอื่นจะไม่สามารถยึดซ้ำได้อีก ดังนั้น เจ้าหนี้รายไหนมาก่อนก็จะได้สิทธิยึดก่อนค่ะ ส่วนการอายัดเงินเดือน หรือรายได้ที่ลูกหนี้ได้รับมานั้น เจ้าหนี้สามารถอายัดได้ก็ต่อเมื่อศาลได้ตัดสินแล้ว แต่ลูกหนี้เงียบเฉย ไม่ติดต่อ ไม่จ่ายเงิน หรือตกลงเรื่องการจ่ายเงินไม่ได้ ดังนั้น หากเจ้าหนี้รายแรกขออายัดเงินเดือนแล้ว เจ้าหนี้รายอื่นๆ จะไม่สามารถอายัดได้อีก จะสามารถอายัดได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้รายแรก อายัดครบก่อน สำหรับเกณฑ์การอายัดเงินเดือนของกรมบังคับคดี หากลูกหนี้เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของข้าราชการ จะไม่ถูกอายัดเงินเดือนค่ะ แต่ถ้าเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือพนักงานบริษัท จะถูกอายัดเงินเดือนโดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1. อายัดเงินเดือนไม่เกิน 30% โดยคำนวณจากเงินเดือนก่อนหักค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ภาษี ประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฯลฯ แต่ถ้าลูกหนี้มีเงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท เจ้าหนี้ก็ไม่สามารถอายัดเงินเดือนได้ เช่น ลูกหนี้มีเงินเดือน 9,000 บาท เจ้าหนี้จะไม่สามารถอายัดเงินเดือนได้ค่ะ การอายัดเงินเดือนจะทำได้เมื่อลูกหนี้มีเงินเดือนเกิน 10,000 บาท และเมื่ออายัด 30% แล้วจะต้องเหลือเงินให้ลูกหนี้ใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท ด้วย ดังนั้น หากลูกหนี้มีเงินเดือน 12,000 บาท เจ้าหนี้อายัด 30% (เท่ากับ 3,600 บาท) จะทำให้ลูกหนี้มีเงินเดือนคงเหลือเพียง 8,400 บาท (12,000 – 3,600) ในกรณีนี้ เจ้าหนี้จะอายัดได้เพียง 2,000 บาท คงเหลือเงินจำนวน 10,000 บาทให้ลูกหนี้ใช้จ่ายนั่นเองค่ะ แต่ถ้าลูกหนี้มีเงินเดือน 15,000 บาท เมื่อเจ้าหนี้อายัด 30% (4,500 บาท) จะทำให้ลูกหนี้มีเงินเดือนคงเหลือ 10,500 บาท (15,000 – 4,500) ในกรณีนี้เจ้าหนี้สามารถอายัดได้ 30% เต็มๆ ค่ะ แต่ก็มีกรณียกเว้น หากลูกหนี้มีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาล ก็สามารถนำหลักฐานไปลดหย่อนที่กรมบังคับคดีเพื่อให้เจ้าหนี้ลดเปอร์เซ็นต์การอายัดได้ค่ะ 2.โบนัส เจ้าหนี้สามารถอายัดได้ไม่เกิน 50% ดังนั้น เมื่อได้เงินโบนัสมา อย่าเพิ่งดีใจไปค่ะ เพราะเจ้าหนี้สามารถอายัดได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อหักภาษีแล้วลูกหนี้จะเหลือใช้ไม่ถึงครึ่งนะคะ 3.เงินตอบแทนจากการออกจากงาน เจ้าหนี้สามารถอายัดได้ 100% กรณีนี้เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดค่ะ เพราะนอกจากจะไม่มีงานทำแล้ว (หากไม่มีงานที่ใหม่) เงินที่ได้รับมาเจ้าหนี้ก็ยังอายัดได้ทั้งหมด แต่ก็ทำให้ลดภาระหนี้ลงได้ค่ะ 4.เงินค่าคอมมิชชั่น เจ้าหนี้สามารถอายัดได้ 30% 5.เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เจ้าหนี้ไม่สามารถอายัดได้ ดังนั้น หากมีการสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลูกหนี้ก็พอเบาใจได้ส่วนหนึ่งว่าเงินจำนวนนี้จะยังเป็นเงินสะสมที่สามารถนำมาใช้จ่ายในอนาคตหลังเกษียณได้ค่ะ 6.เงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เป็นอีกกองทุนหนึ่งที่เจ้าหนี้ไม่สามารถอายัดได้ค่ะ นอกจากนี้ หากลูกหนี้มีรถยนต์หรือมอเตอร์ไซด์ที่ยังติดไฟแนนซ์อยู่ ต้องถือว่าเป็นโชคดีค่ะ เพราะเจ้าหนี้จะไม่สามารถยึดได้ เนื่องจากกรรมสิทธิ์เป็นของบริษัทไฟแนนซ์ ยังไม่ใช่ของเราค่ะ แต่ถ้าหากเราผ่อนไฟแนนซ์หมดแล้ว กรรมสิทธิ์เป็นของเรา เจ้าหนี้ก็สามารถมายึดได้นะคะ ซึ่งแตกต่างจากการผ่อนบ้านหรือที่ดิน แม้ว่าเราจะยังติดจำนองอยู่ก็ตาม เจ้าหนี้ก็สามารถยึดเพื่อไปขายทอดตลาดได้ค่ะ ดังนั้น หากเราต้องการใช้จ่ายสบายๆ ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะโดนเจ้าหนี้ยึด หรืออายัดอะไรเราบ้าง ก็ต้องไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัวจนทำให้มีเจ้าหนี้ตามทวงยาวเป็นหางว่าว เรียกว่า “การไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ” นอกเหนือจากการไม่มีโรคนั่นเองค่ะ และเมื่อชำระหนี้หมดแล้ว แนะนำให้รักษาประวัติให้ดี ไม่ก่อหนี้ใหม่ในช่วง 3 ปีหลังเคลียร์หนี้นะคะ จะได้มีประวัติสวยๆ ในเครดิตบูโร

    3 วิธีอยู่รอดหลังเกษียณ

    สังคมสมัยนี้ไม่เหมือนกับสังคมยุคก่อนตรงที่สมัยก่อนคนไทยมักจะอยู่กันเป็นครอบครัวขยาย ปู่ย่าตายายมักจะมีลูกหลานรายล้อมอยู่เต็มไปหมด ของกินของใช้ลูกๆ ก็ซื้อเข้าบ้านมาให้เป็นประจำ ทำให้ไม่ขัดสน บ้านก็มีบริเวณให้ทำสวนครัว พอจะสามารถปลูกพืชเพื่อนำมากินหรือขายไปให้กับเพื่อนบ้านได้ไม่ยากนัก แต่สังคมสมัยใหม่ได้มีการแยกกันอยู่มากขึ้น ครอบครัวมีขนาดเล็กลง โดยลูกๆ ต่างก็มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง นานๆ จึงมาเจอหน้าพ่อแม่ อีกทั้งในยุคนี้ หลายๆ ครอบครัวก็ไม่ค่อยนิยมมีลูก ด้วยเหตุผลว่ามีลูกก็เป็นภาระในการเลี้ยงดู ทั้งสามีและภรรยาต่างก็ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่มีเวลาดูแล ด้วยเหตุนี้แล้วคนรุ่นใหม่จึงจำเป็นต้องรีบวางแผนเกษียณเสียแต่เนิ่นๆ หากปล่อยทิ้งเอาไว้นานจะยิ่งทำให้โอกาสที่จะมีเงินเพียงพอใช้ในวัยหลังเกษียณก็จะลดน้อยถอยลงไปทุกปี แต่ถ้าเราพลาดไปแล้ว โดยเมื่อเกษียณแล้วมีเงินเก็บแค่บางส่วนเท่านั้น ไม่สามารถที่จะใช้ได้นานถึงอายุ 80 ปี เมื่อคิดแล้วเห็นว่าไม่พอแน่จะต้องทำอย่างไร บทความนี้มี 3 วิธี เป็นแนวทางดังนี้ วิธีแรก ใช้แรงกายเข้าแลก วิธีนี้มุ่งเน้นการใช้แรงกาย แรงสมองของตนเองทำงานหลังจากเกษียณเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ และสามารถนำรายรับส่วนนี้มาเก็บออมเป็นเงินสำหรับการใช้หลังเกษียณอายุเพิ่มเติมได้ คนที่อายุ 60 ปีในสมัยนี้ หลายๆ คนยังคงมีกำลังวังชาสมบูรณ์เหมือนกับผู้ที่ยังอยู่ในวัยทำงาน เมื่อเรามีแรงพร้อม บวกด้วยประสบการณ์การทำงานที่มีความเชี่ยวชาญในงานที่ทำ การกลับไปเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาให้กับองค์กรเดิม หรือบริษัทที่มีลักษณะงานใกล้เคียงกับเดิมก็คงไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับผู้ที่ไม่คิดจะกลับไปทำงานในสายอาชีพเดิม ก็มีทางเลือกอื่นอีกมากมาย ทั้งการไปทำงานรับจ้างทั่วไป เช่น สอนหนังสือ รับจ้างเลี้ยงเด็ก ก็เป็นตัวเลือกที่ดี นอกจากนี้ หากมีความสามารถพิเศษ เช่น เย็บกระเป๋า หรือจัดดอกไม้ ก็สามารถนำความสามารถเหล่านี้ไปสร้างอาชีพเสริมได้ วิธีที่สอง นำบ้านเข้าแลก หลายๆ คนเมื่อเกษียณแล้ว แม้ว่าจะมีเงินก้อนไม่เพียงพอใช้หลังเกษียณอายุ แต่ถ้าหากไปนับรวมกับมูลค่าของบ้านที่อยู่อาศัยปัจจุบันแล้ว ก็อาจมีเงินใช้เพียงพอได้เช่นกัน โดยหลายคนที่ปกติทำงานในเมืองหลวง บ้านก็อยู่ในเขตที่ดินมีมูลค่าสูง เมื่อเปรียบเทียบกับชุมชนสงบๆ ในต่างจังหวัด โดยหลังจากเกษียณจากการทำงานแล้ว ก็อาจหาจังหวะขายบ้านที่อยู่ในเมืองออกไปให้ได้ราคาดีๆ แล้วนำเงินออกไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงในต่างจังหวัดที่สงบสุข และมีค่าครองชีพที่ถูกกว่าในเมืองหลวง เพียงเท่านี้ เมื่อนับรวมเงินเก็บแต่เดิม บวกด้วยเงินส่วนต่างจากการขายบ้านในเมืองมาซื้อบ้านชนบทแล้ว ก็มีโอกาสที่จะใช้ได้อย่างเพียงพอในวัยหลังเกษียณ

    วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

    We support transfer to bank account 6292093746 Thailand.



     
    We support transfer to bank account 6292093746 KBANK.
    We support transfer to bank account 6292093746 Thailand.

    วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

    DONATE FOR ZENJOURNALIST

    ZENJOURNALIST follows the principle that information should be free and free information is valuable. To keep information free we have a shared responsibility to contribute what we can to those who share information we value. My work as ZENJOURNALIST will always be freely shared. But if you consider my work valuable please help support the ZENJOURNALIST project. TRANSFER A/C 222-052087-4 BANGKOK BANK

    ความลับอันสุดเศร้าของประเทศไทยBy zenjournalist / 16 Mar 2013

    --> ช่วงเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 กษัตริย์อานันทมหิดล ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 ของประเทศสยามที่มีพระชนมายุ 20 พรรษา ได้ถูกยิงที่ศีรษะและเสด็จสวรรคตอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ในพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ตอนเย็นของวันนั้น เจ้าฟ้าชายภูมิพลอดุลยเดชซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์พระชนมายุ 18 พรรษา ได้รับการสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 กษัตริย์ภูมิพลได้ครองราชสมบัติตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ขณะนี้พระองค์ทรงชราภาพและเจ็บป่วยบ่อยครั้ง ทรงเก็บพระองค์เองอยู่ในโรงพยาบาลศิริราชด้านฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งไหลผ่านใจกลางเมืองหลวง แต่พระองค์ก็ยังคงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย --> โดยทางการแล้ว คดีฆาตกรรมเรื่องนี้ได้ถูกพรรณาไว้ว่าเป็นเรื่องลึกลับ เป็นปริศนาทางอาชญากรรมที่ผิดวิสัยที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก ซึ่งไม่สามารถเฉลยข้อเท็จจริงออกมาได้ในศตวรรษที่ผ่านมา แต่ในความจริงแล้ว มันชัดเจนมาเป็นเวลานานแล้วว่าใครเป็นผู้ปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล ความจริงได้ถูกปกปิดโดยสถาบันของประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันแสนเข้มงวด นั่นคือ กฎหมายอาญามาตรา 112 ของประเทศไทย ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการบุคคลต่างๆให้กลายเป็นอาชญากร เมื่อมีการสนทนาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศไทยอย่างเปิดเผยและโดยสุจริตใจ --> หลังจากที่กษัตริย์อานันทมหิดลได้เสด็จสวรรคตไปเพียงไม่กี่นาที สถานที่เกิดอาชญากรรมได้ถูกดัดแปลงอย่างจงใจเพื่อปกปิดหลักฐานต่างๆว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วคืออะไร บุคลากรที่อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในตอนเช้าของวันนัั้น ไม่เคยเปิดเผยความจริงต่อหน้าสาธารณะได้ว่าอะไรเกิดขึ้น และบุคคลผู้เดียวในขณะนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คือ ตัวกษัตริย์ภูมิพลนั่นเอง ดูเหมือนว่าพระองค์ไม่เคยเปิดเผยเลยว่าอะไรได้เกิดขึ้น และจะนำความลับนี้ลงสู่หลุมฝังศพไปพร้อมๆ กับตัวพระองค์เอง การสืบสวนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล ได้ถูกพิจารณาถึงความเป็นไปได้ 3 ประการคือ: 1) พระองค์ลอบถูกปลงพระชนม์ 2) ทรงพระราชอัตวินิบาตกรรม หรือ 3) พระองค์ทรงยิงพระองค์เองโดยอุบัติเหตุ --> การสอบสวนนั้น ได้แยกความเป็นไปได้ในประการที่ 4 ออกไปอย่างจงใจ: นั่นคือ กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงโดยอุบัติเหตุจากบุคคลบางคน ความเป็นไปได้ในประการที่ 4 นี้คือความจริง กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงและเสด็จสวรรคตโดยพระอนุชาของพระองค์เองคือ กษัตริย์ภูมิพล ดูเหมือนเป็นสิ่งที่นึกไม่ถึงเลยว่า การปลงพระชนม์นั้นเป็นเรื่องที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าแล้ว มันเป็นอุบัติเหตุอันน่าเศร้าอย่างมหันต์หรือเป็นความวิปลาส และมันได้ตามหลอกหลอนกษัตริย์ภูมิพลอดุลยเดชตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา --> กษัตริย์ภูมิพลกำลังใกล้ถึงวาระสุดท้าย เป็นชายชราที่หมดกำลังวังชาในขณะนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า พระองค์ได้รับความทุกข์ทรมานตลอดชีวิตด้วยความอัปยศและความเศร้าใจ เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าของปี พ.ศ. 2489 คนไทยจำนวนมากที่เชื่อว่า ความจริงควรถูกฝังอยู่ ณ ที่แห่งนั้น เพราะการเปิดเผยมันขึ้นมาในเวลานี้ จะสร้างความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น แต่ในโลกศตวรรษที่ 21 ประเทศไทยได้จมปลักอยู่กับวิกฤตการณ์อันแสนเจ็บปวดนี้ เพราะการปฎิเสธจากชนชั้นสูงฝ่ายอำมาตย์ที่ทรงอำนาจ ต่อการอนุญาตให้มีการถกเถียงกันอย่างเปิดเผยและสุจริตใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และรวมไปถึงอนาคตของประเทศด้วย กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้บ่อนทำลายประเทศไทย มันถึงเวลาแล้วที่ความจริงจะได้รับการเปิดเผยออกมา เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้ --> ถึงแม้ว่าจะมีการทำลายหลักฐานต่างๆ และข้อเท็จจริงตามที่บุคคลที่เกี่ยวข้องได้โกหกว่าอะไรเกิดขึ้น มันเป็นไปได้ที่จะประกอบเหตุการณ์ขึ้นมาใหม่ว่า กษัตริย์อานันทมหิดลทรงเสด็จสวรรคตได้อย่างไร จุดสำคัญประการแรกคือ ไม่มีความเป็นไปได้ต่อความน่าเชื่อถือที่ว่า มีผู้ลอบสังหารที่ไม่มีใครรู้จัก สามารถหลบหลีกเข้าไปในพระบรมมหาราชวังในตอนเช้าของวันนั้นได้ การนำเอาปืนสั้น โคลท์ .45 อัตโนมัติออกมาจากตู้ที่อยู่ข้างเตียงนอนของพระองค์ ยิงพระองค์ตรงกลางศีรษะด้วยปืนกระบอกนั้น แล้วหลบหนีไปได้โดยที่ไม่มีใครเห็นเลย คนที่เป็นฆาตกรได้มีเพียงบุคคลบางคนที่อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานเท่านััน --> ผลที่ตามมาทันทีหลังจากที่กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคตไปแล้ว มันเป็นการสันนิษฐานที่แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางว่า พระองค์ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์และนักการเมืองเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้มารวมตัวกันอยู่ที่ชั้นล่างของพระที่นั่งบรมพิมานหลังจากการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลนั้น ไม่ได้ใช้เวลามากมายเท่าไรนักต่อการถกเถียงกันว่า พระองค์ได้ถูกปลงพระชนม์โดยมีผู้บุกรุกเข้ามาหรือไม่ —- ตามที่พวกเขาควรกระทำด้วยความมั่นใจ ถ้ามีข้อสงสัยอย่างชัดเจนว่าทำให้เกิดคดีนี้ขึ้น — แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ต่างก็โต้เถียงกันอย่างฉุนเฉียวว่าจะอธิบายต่อสาธารณชนอย่างไรดีว่า กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคตจากอะไร นางสังวาลย์ ซึ่งเป็นพระราชมารดาของกษัตริย์อานันทมหิดลได้ขอร้องกับนายปรีดี พนมยงค์ (ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งถือว่าเป็นรัฐบุรุษทางจิตวิญญาณ) ให้ประกาศว่า การยิงนั้นเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากตัวกษัตริย์อานันทมหิดลเอง แทนที่จะเป็นการกระทำอัตวินิบาตกรรม จากเหตุผลส่วนหนึ่งคือเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้ นายปรีดีและรัฐบาลก็ยินยอมทำตามคำขอร้องนั้น --> แต่เรื่องที่กษัตริย์อานันทมหิดลยิงตนเองด้วยความผิดพลาดนั้น ไม่เคยมีความเป็นไปได้แม้แต่น้อย ปืนโค้ลเป็นปืนพกที่ค่อนข้างหนัก น้ำหนักของมันมากกว่า 1 กิโลกรัมเมื่อบรรจุลูกกระสุนเข้าไปอย่างเต็มพิกัด และในการยิงปืนจะต้องออกแรงเพื่อดันเข้าไปอย่างแรงมาก ไม่เพียงแค่ที่ไกปืนเท่านั้น พร้อมกันนั้นจะต้องควบคุมที่แผงความปลอดภัยที่อยู่ด้านหลังของปืน โอกาสที่กษัตริย์อานันทมหิดลจะทรงทำเรื่องนี้โดยอุบัติเหตุ ในขณะที่ปืนกระบอกนี้จี้อยู่ตรงหน้าผากของพระองค์นั้น แทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังพบว่าปืนกระบอกนี้ได้ถูกวางอยู่ด้านซ้ายมือข้างๆ ตัวของกษัตริย์อานันทมหิดล แต่พระองค์เป็นผู้ถนัดการใช้มือข้างขวา ดูเหมือนว่า หลักฐานได้ชี้นำว่า กษัตริย์อานันทมหิดลนอนหงายอยู่ในขณะที่ถูกยิง และพระองค์ก็ไม่ได้สวมแว่นตา ซึ่งเมื่อปราศจากแว่นตาแล้ว สายตาของพระองค์จะเห็นภาพอย่างพร่ามัว ซึ่งแทบจะไม่มีความน่าเชื่อถือเลยที่กษัตริย์อานันทมหิดลจะนำเอาปืนโคลท์ .45 ของพระองค์ออกมาเล่น ในขณะที่นอนหงายโดยไม่ได้สวมแว่นตาของพระองค์อีกด้วย --> การทำอัตวินิบาตกรรมเป็นทฤษฎีที่มีความน่าเชื่อเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับหลายๆคนแล้วด้วยเหตุผลแบบเดียวกันคือ ตัดเอาความเชื่อที่ว่ากษัตริย์อานันทมหิดลเป็นผู้ยิงพระองค์เองนั้นทิ้งไป เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ สำหรับการที่บุคคลจะสามารถยิงตัวเองได้ในขณะที่นอนหงาย และจากวิถีกระสุนที่วิ่งผ่านกระโหลกศีรษะของกษัตริย์อานันทมหิดลนั้น ยังเป็นสิ่งที่ผิดปกติเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำอัตวินิบาตกรรม ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่กษัตริย์อานันทมหิดลได้เสด็จสวรรคตแล้ว ฝ่ายรอยัลลิสต์หลายคนที่เป็นนักการเมือง – โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช –เป็นผู้เริ่มการเผยแพร่ข่าวลือให้กระจายออกไปว่า นายปรีดี พนมยงค์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล ข้อกล่าวหานี้เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด และไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือใดๆที่สามารถสนับสนุนข้อกล่าวหานี้ได้ แต่การเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกนำมาแสวงหาผลประโยชน์โดยกลุ่มรอยัลลิสต์ ด้วยการใส่ร้ายต่อนายปรีดี พร้อมกับผลกระทบร้ายแรงต่อประเทศไทย ในวันที่ 13 มิถุนายน อุปทูตชาร์ล ดับเบิ้ลยู โยสท์ (Charge d’affaires Charles W. Yost) ส่งโทรเลขลับไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกรุงวอชิงตัน โดยใช้หัวข้อว่า “การเสด็จสวรรคตของกษัตริย์แห่งกรุงสยาม” (Death of King of Siam) อุปทูตโยสท์ คาดการณ์ว่า: การเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล อาจจะได้รับการบันทึกว่าเป็นเหตุการณ์ปริศนาทางประวัติศาสตร์ (unsolved mysteries of history) --> อุปทูตโยสท์ได้ทบทวนการสนทนาระหว่างเขากับนายปรีดี ซึ่งมีความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งจากข่าวลือและการใส่ร้ายด้วยความเท็จในเรื่องที่เขามีส่วนเข้าไปพัวพันกับการปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์: --> นายกรัฐมนตรีได้คุยกับผม (Yost) อย่างเปิดใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดและให้เหตุผลถึงการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่มันก็ชัดเจนว่ามีความเป็นไปได้ในการทำอัตวินิบาตกรรม ซึ่งก็ยังอยู่ในความคิดของเขาเช่นกัน เขา(นายปรีดี)รู้สึกโกรธอย่างรุนแรงเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่เป็นการเล่นนอกกติกาของผู้ที่ต่อต้านตัวเขา เป็นสิ่งที่ขมขื่นที่สุดของการถูกกล่าวหา การที่ครอบครัวในพระบรมวงศานุวงศ์และพรรคการเมืองฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช และ พระสุทธิอรรถนฤมนตร์ (สุธ เลขยานนท์) ได้พยายามสร้างอคติให้กับพระมหากษัตริย์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระราชมารดาของพระมหากษัตริย์เกี่ยวกับตัวเขา เขาเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายๆครั้งว่า เขามีภารกิจมากมายเหลือเกินในการกอบกู้ชื่อเสียงของประเทศและการปกครองประเทศชาติ เขาไม่มีแม้แต่เวลาที่จะไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันและดื่มน้ำชาร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงเหล่านี้ทุกๆวัน หรือวันเว้นวัน เหมือนกับสมาชิกของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับเขา…. นายปรีดีกล่าวว่า พระมหากษัตริย์เองทรงประพฤติตนได้อย่างถูกต้องเกือบทั้งหมดในฐานะของพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่าจะมีการฝังอคติเข้าไปในความคิดของพระองค์ก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ยังถือว่ามีมิตรภาพและความถูกต้อง อย่างไรก็ตาม นายปรีดียอมรับอย่างเปิดเผยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระราชมารดาของพระมหากษัตริย์นั้น กลับกลายไปในทางที่ไม่ดีอย่างสิ้นหวังทีเดียว และเขามีความกลัวเป็นอย่างยิ่งว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่นั้น จะถูกใส่ยาพิษเข้าไปผสมผสานแบบเดียวกันกับความสัมพันธ์ที่เขามีอยู่กับกษัตริย์อานันทมหิดล --> อุปทูตโยสท์ได้เขียนบทสรุปไว้ว่า นายปรีดี “ยังคงมีความตั้งใจในการพยายามทำงานร่วมกับพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่และพระราชมารดาของพระองค์” ในวันรุ่งขึ้น ก็มีโทรเลขอีกฉบับหนึ่งซึ่งเขียนโดยอุปทูตโยสท์ ด้วยท้ายเรื่องว่า “เชิงอรรถเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของพระมหากษัตริย์” (Footnotes on the King’s Death) ซึ่งให้ข้อคิดเห็น หลายทฤษฎีเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล และได้เล่าย้อนถึงการสนทนากับนายดิเรก ชัยนาม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เพิ่งจะได้รับการเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ภูมิพล โทรเลขฉบับนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ในหมวด “ลับ” (Secret): . --> รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ… ได้กล่าวกับผม (Yost) ว่า เขา (นายดิเรก) ได้เข้าเฝ้าฯ เมื่อเช้าวันนี้ต่อพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ซึ่งพระองค์ได้ทรงถามถึงข่าวลือเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐาของพระองค์ว่า ยังมีข่าวแพร่สะพัดกันอยู่ขนาดไหน ตามคำกล่าวของนายดิเรก เขาตอบว่า ข่าวลือเหล่านั้นยังมีการกระพือออกไปอย่างกว้างขวาง บางเรื่องก็การอ้างว่า กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกสังหารโดยคำสั่งของนายกรัฐมนตรี, บางข่าว…. ก็บอกว่าโดยอดีตนายทหารองครักษ์และบางเรื่องก็กล่าวว่า กษัตริย์อานันทมหิดลทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมภายใต้ความกดดันทางการเมือง จากนั้นกษัตริย์ภูมิพลได้กล่าวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่า พระองค์พิเคราะห์แล้วว่า ข่าวลือต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ไร้สาระ เพราะพระองค์รู้จักพี่ชายของพระองค์เป็นอย่างดีและพระองค์มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลเป็นอุบัติเหตุ…… เรื่องที่กษัตริย์ได้กล่าวกับนายดิเรกนั้น ไม่จำเป็นที่จะแสดงว่าตัวนายดิเรกเองจะต้องเชื่อว่าจริงตามนั้น แต่กระนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งที่กษัตริย์ภูมิพลได้ให้คำตอบอย่างแน่ชัดแบบนี้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อุปทูตโยสท์ได้รายงานต่อไปว่า หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชมีความพยายามอย่างเด่นชัดที่จะป้ายมลทินให้กับนายปรีดี โดยการส่งตัวแทนไปที่สถานทูตของประเทศสหรัฐอเมริกาและของประเทศอังกฤษ ด้วยการอ้างว่า นายกรัฐมนตรีเป็นผู้วางแผนทำการปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล: กระทรวงการต่างประเทศอาจจะน่าสนใจที่จะได้ทราบว่า ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากการเสด็จสวรรคตของอดีตกษัตริย์อานันทมหิดล ญาติของหม่อมราชวงศ์เสนีย์สองคน คนแรกเป็นหลานชายของเขา และคนต่อมาเป็นภรรยาของเขา ได้เข้ามาที่สถานทูต (Legation) และกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างหนักแน่นว่า กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกปลงพระชนม์จากการยุยงของนายกรัฐมนตรี เป็นที่ชัดเจนว่า ทั้งสองคนนี้ถูกส่งเข้ามาโดยหม่อมราชวงศ์ เสนีย์เอง ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องกล่าวถึงสองคนนี้ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงที่สุด เพื่อแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนอย่างสมบูรณ์ว่า สถานทูตไม่สามารถถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเกมการเมืองของประเทศสยามได้ เนื่องจากผมไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้และผมพิจารณาแล้วว่าในเวลานี้ การปล่อยข่าวลือเหล่านี้ให้แพร่หลายออกไปโดยปราศจากหลักฐานนั้น เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้เลย --> โทรเลขได้บันทึกว่า เอกอัครราชทูตอังกฤษ คือ เซอร์ เจฟฟรี่ ทอมพ์สัน (Sir Geoffrey Thompson) ได้กล่าวกับอุปทูตโยสท์ว่า มีนักการเมืองหลายๆ คนได้เข้าพบเขาและเล่าเรื่องราวแบบเดียวกันให้ฟัง เอกอัครราชทูตทอมพ์สันบอกกับพวกเขาว่า เขายอมรับรายละเอียดอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลและปฎิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป --> การเผชิญหน้ากับข่าวลือที่สร้างความเกลียดชังเหล่านี้ ทำให้สถานภาพของนายปรีดีมีความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น ในวันที่ 18 มิถุนายน รัฐบาลของเขาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ค้นหาความจริงเกี่ยวกับประเด็นการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล หัวหน้าคณะกรรมการนี้คือ ประธานศาลฎีกา รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ระดับสูงสามพระองค์, ผู้บัญชาการทหารบก, ทหารเรือ และ ทหารอากาศ; ประธานศาลอาญาและประธานศาลอุทธรณ์ และประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาของรัฐสภาไทย คณะกรรมการชุดนี้ได้แต่งตั้งอนุกรรมการทางการแพทย์ ซึ่งประกอบด้วยแพทย์จำนวน 20 คน: เป็นชาวไทย 16 คน, ชาวอังกฤษ 2 คน, ชาวอเมริกัน 1 คน และชาวอินเดียหนึ่งคน คณะแพทย์ทั้งหมดได้ตรวจสอบด้วยวิธีการชันสูตรพระศพของกษัตริย์อานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าก็ตาม ในวันที่ 21 มิถุนายน พระศพของกษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกย้ายออกไปจากพระโกศ และพระเศียรได้รับการเอ๊กซ์เรย์ แต่ตามที่บันทึกไว้ข้างต้นว่า ขอบเขตจำกัดของงานที่กลุ่มแพทย์คณะนี้ได้รับมอบหมายมานั้น ได้ถูกเบี่ยงเบนออกไปอย่างจงใจ คณะแพทย์เหล่านี้ได้ถูกสั่งให้เลือกความเป็นไปได้สามประการ: 1) กษัตริย์อานันทมหิดลถูกปลงพระชนม์ใช่หรือไม่? 2) กษัตริย์อานันทมหิดลกระทำอัตวินิบาตกรรมหรือไม่? หรือ 3) กษัตริย์อานันทมหิดลทรงยิงพระองค์เองโดยอุบัติเหตุใช่หรือไม่? ความเป็นไปได้ประการที่ 4 คือ กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงจากบุคคลอื่นโดยอุบัติเหตุใช่หรือไม่นั้น ไม่เคยถูกกล่าวถึงเลย เมื่อคณะแพทย์กำลังทำหน้าที่ในการสอบสวนของพวกเขาอยู่ ฝ่ายรอยัลลิสต์ได้เผยแพร่ข่าวลือว่า ชีวิตของกษัตริย์ภูมิพลกำลังตกอยู่ในอันตรายด้วย เป็นความพยายามของพวกเขาที่จะรวบอำนาจทั้งหมดมาครอบครองอย่างบ้าระห่ำที่สุด พวกเขาพยายามใช้ยุทธวิธีการกระพือความกลัวของพวกเขา เข้าสู่ชัยชนะจากการสนับสนุนของเอกอัครราชทูตอังกฤษ เพื่อการทำรัฐประหาร นายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์และรัฐบาลของเขา อุปทูตโยสท์แจ้งกับกระทรวงการต่างประเทศที่กรุงวอชิงตันในโทรเลขลงวันที่ 26 มิถุนายน ได้ถูกจัดให้อยู่ในหมวด “ลับที่สุด” (Top Secret): --> เมื่อสองสามวันที่ผ่านมานี้ สมาชิกในพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์หนึ่งได้ขอร้องกับรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษให้ช่วยสนับสนุนการก่อการรัฐประหาร โดยอ้างว่า มิฉะนั้นแล้วราชวงศ์จะต้องสูญสิ้นไป เอกอัครราชทูตทอมพ์สันได้ ปฎิเสธอย่างแข็งขันต่อการสนับสนุน และกล่าวเตือนต่อผู้ยื่นเรื่ืองร้องเรียนนี้ว่า น่าจะส่งผลร้ายแรงต่อความพยายามที่จะกระทำการเช่นนั้นขึ้นมา --> รายงานจากคณะแพทย์ได้เสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน และสามารถดูฉบับเต็มได้ที่นี่ แพทย์เกือบทั้งหมดลงความเห็นว่า ตัดเรื่องบาดแผลจากการทำร้ายพระองค์เองโดยอุบัติเหตุออกไป และข้อพิจารณาเรื่อง การทำอัตวินิบาตกรรมนั้นก็เป็นไปไม่ได้อย่างสูงเช่นกัน คณะแพทย์เชื่อว่า หลักฐานต่างๆแสดงให้เห็นว่า บุคคลบางคนได้ยิงกษัตริย์อานันทมหิดล ในวันที่ 27 มิถุนายนซึ่งเป็นวันเดียวกันนั้นเอง โทรเลขลับจากเอกอัครราชทูตเจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สัน ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตของประเทศอังกฤษได้บันทึกถึง การสนทนากับนายดิเรก ซึ่งบอกว่ามีการปิดบังอย่างจงใจจากภายในวังเอง หลังจากที่กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกปลงพระชนม์ ดูที่ย่อหน้าที่ 4:
    หมายเลข เอฟ 9615 29 มิถุนายน พ.ศ. 2489 (โทรเลขฉบับนี้ มีความลับเป็นพิเศษและควรเก็บไว้โดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่และห้ามส่งต่อ) (รหัส) สำหรับแจกจ่ายให้กับคณะรัฐมนตรี จากกรุงเทพถึงสำนักงานกระทรวงการต่างประเทศ เอกอัครราชทูตทอมพ์สัน ส่งออก: 13:52 นาฬิกา เวลากรีนิช ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2489 หมายเลข 880 ได้รับ: 16:52 นาฬิกา เวลาอังกฤษ ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2489 27 มิถุนายน พ.ศ. 2489 สำเนาส่งไปที่สาขาประเทศสิงคโปร์ สำคัญ — ลับมาก
    --> โทรเลขของผม หมายเลข 851 คณะกรรมการทางการแพทย์ได้รับเอารายงานมาเป็นร่างพร้อมกับคำพิพากษา ตามการคาดการณ์ไว้ในย่อหน้าแรกของผม ขณะนี้ รายงานถูกส่งไปยังคณะกรรมการสอบสวนพิเศษ (Committee of Enquiry) (ตามโทรเลขของผม หมายเลข 826 ที่ระบุไว้ในย่อหน้าแรก) เพื่อส่งต่อไปถึงคณะผู้สำเร็จราชการ (Council of Regency)เป็นขั้นสุดท้าย และสันนิษฐานว่าจะมีการตีพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษรในท้ายที่สุด ขณะเดียวกัน ก็เกิดการรั่วไหลของข่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และสาระสำคัญที่นายแพทย์ เอส (Doctor S) ได้พบนั้น ก็ปรากฎอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เรียบร้อยแล้ว 2. คณะกรรมการสอบสวนได้เริ่มทำการสอบปากคำอย่างเปิดเผยกับข้าราชบริพารและบุคคลอื่นๆ และรวมไปถึงพยาบาลของอดีตพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นหนึ่งในบุคคลชุดแรก ที่เข้ามายังสถานที่เกิดเหตุ ได้ให้ความเห็นว่า พระองค์ถูกปลงพระชนม์ พยาบาลหญิงผู้นี้ยอมรับว่า เธอมีความหวาดกลัวที่จะกล่าวอะไรออกมาก่อนหน้านี้ 3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวกับผมโดยบังเอิญว่า ในขณะนี้ ทางรัฐบาลทราบดีว่า ความพยายามของพวกเขา ที่เอาทฤษฎีเรื่องอุบัติเหตุมาอ้างอิงในคดีนั้น เป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างเรื่อยเปื่อยว่า เขาเชื่อว่า คดีนี้เป็นการทำอัตวินิบาตกรรม ด้วยความปรารถนาที่จะสงวนความรู้สึกของพระบรมวงศานุวงศ์เอาไว้ และต้องการรักษาศักดิ์ศรีของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสายตาของประชาชนทั่วไป ในขณะนี้ ดุลพินิจที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดต้องถูกโยนทิ้งไป และการสอบสวนที่กำลังคืบหน้าอยู่นี้ จะต้องดำเนินการโดยปราศจากความปรานีใดๆ เพื่อดึงเอาความจริงออกมา ถ้ามีความจำเป็น รัฐสภา (ซึ่งในขณะนี้ไม่มีกำหนดการใดๆ ที่จะประชุมสภากันอีกจนกระทั่งหลังจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเดือนสิงหาคม) สามารถถูกเรียกเข้ามาประชุมในสมัยวิสามัญด้วยเหตุฉุกเฉิน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้อธิบายต่อไปว่า ต้องปิดสมัยประชุมเนื่องจากมีความยากลำบากเพิ่มขึ้น ในการเชิญสมาชิกสภาฯ ทั้งหมดมาร่วมให้ครบองค์ประชุมได้ เนื่องจากว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเหล่านี้มีความปรารถนาที่จะดำเนินการรณรงค์หาเสียงของพวกเขาต่อไป 4. ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้หมายความตามที่พูดอย่างแท้จริง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้ร่องรอยบางอย่างกับผมว่า เขาได้มาถึงจุดสรุปว่า โศกนาฎกรรมครั้งนี้ เป็นผลมาจากแผนการอันชั่วร้ายหรือการทะเลาะกันภายในพระบรมมหาราชวังเอง มีเสียงกระซิบหลายเรื่องที่ส่งผลกระทบในบางครั้ง พวกเขาได้รับข้อเท็จจริงที่ว่า ความล่าช้าบางอย่างได้เกิดขึ้นก่อนที่บุคคลภายนอกใดๆ จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องบรรทมของอดีตพระมหากษัตริย์ ซึ่งในขณะนั้น ทางฝ่ายพระบรมมหาราชวังได้กำลังทำความสะอาดร่องรอยกันอยู่ ส่วนปืนได้ถูกนำมาวางไว้ข้างๆ และ การจัดฉากแสดงละคร (mise en scene) ที่แสดงให้เห็นถึงความสะเทือนใจ ก็ได้แทรกเข้ามาพร้อมๆ กันกับวิธีการอื่นๆ อีกด้วย 5. การจัดการครั้งใหญ่ขึ้นอยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรีที่จะเผชิญหน้ากับมรสุมลูกใหม่อย่างแน่นอนนี้ได้อย่างไร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้รับอาสากับผมเมื่อวานนี้ เขามีความไม่สบายใจอย่างลึกๆ ดังนั้น เรื่องนี้จะตกอยู่กับคุณนายดอลล์ (Mrs. Doll) ซึ่งสามีของเธอได้ถูกเรียกตัวไปพบกับนายกรัฐมนตรีเป็นการส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีให้ความไว้วางใจกับเขาอย่างปราศจากข้อสงสัยใดๆ ที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Adviser) มีความชื่นชมอย่างเต็มที่ เนื่องจากเขาต้องต่อต้านจากการถูกติดร่างแหไปอยู่ใน วังวนทางการเมืองได้บอกกับผมว่า เขาจะต้องทำการปฎิเสธที่จะกระทำการบางอย่าง ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้อธิบายว่ามันเกี่ยวกับเรื่องอะไรและโดยธรรมชาติแล้ว ผมจะต้องละเว้นที่จะถามคำถามเหล่านั้น โดยทั่วไปแล้ว ผมเชื่อว่า อิทธิพลของคุณดอลล์ (Mr. Doll) จะมีความถูกต้องมากกว่า เนื่องจากเขาเชื่อว่า การจุดประกายหรือ การริเริ่มโดยตรงใดๆ ที่กระทำโดยตัวนายกรัฐมนตรี กับฝ่ายศัตรูทางการเมืองหรือผู้วิพากย์วิจารณ์ในระยะวิกฤติในปัจจุบันนี้ จะกลายเป็นข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง โอทีพี เห็นได้อย่างชัดเจนว่า กษัตริย์ภูมิพลรู้สึกหดหู่ใจจากการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐาของพระองค์ พระองค์และนางสังวาลย์ได้วางแผนที่จะเดินทางกลับไปยังเมืองโลว์ซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ถึงแม้ว่าระยะเวลาของการไว้ทุกข์ 100 วันยังไม่สิ้นสุดลงก็ตาม โทรเลขลับ จากเอกอัครราชทูตเจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สัน ลงวันที่ 17 สิงหาคม รายงานต่อไปว่า กษัตริย์ภูมิพลนั้นดูเหมือนจะป่วยและยากที่จะพูดจาอะไรออกมาได้: -->
    4. เมื่อผมนำเสนอผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการกองทัพทหารต่อหน้าองค์พระมหากษัตริย์เมื่อวานนี้ พระองค์ดูเหมือนป่วยและซึมเศร้า ด้วยความพยายามอย่างสูงสุดของพวกเรา ทำให้พระองค์สามารถตรัสออกมาได้ และคณะผู้เข้าเฝ้าฯ มีความรู้สึกทุกข์ทรมานเช่นกัน มันเป็นความโล่งใจอย่างมาก เมื่อคณะผู้ติดตามพระองค์เสร็จพระราชดำเนินออกไปอย่างปลอดภัยในวันที่ 19 สิงหาคม เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่กำหนดไว้โดยโหรหลวง นางสังวาลย์และกษัตริย์ภูมิพลได้ออกเดินทางไปยังเมืองโลว์ซานน์ ด้วยเครื่องบินที่ประเทศอังกฤษเป็นผู้บริการ อย่างเป็นทางการแล้ว พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ของประเทศไทย ได้เดินทางกลับไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์เพื่อสำเร็จการศึกษาของพระองค์ที่มหาวิทยาลัยโลว์ซานน์ แต่พระองค์ยังคงซึมเศร้าอยู่อย่างลึกซึ้ง นานๆครั้งจึงจะเข้าไปเรียนในห้องเรียน และไม่เคยเรียนจบปริญญาใดๆเลย ในปลายปี พ.ศ. 2489 พระองค์ส่งข้อความว่า พระองค์จะไม่เดินทางกลับสู่กรุงเทพในเร็ววันนี้ เพื่อร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพของกษัตริย์อานันทมหิดลอันเจ็บปวดได้ ตามที่โทรเลขของสถานทูตอังกฤษได้รายงานไว้เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2489 ว่า มีข่าวลือแพร่สะพัดในเรื่องที่ พระองค์จะทรงสละราชสมบัติอีกด้วย
    เอกสารนี้เป็นทรัพย์สินของรัฐบาลราชอาณาจักรประเทศอังกฤษ ลับ เอเซีย-ตะวันออกเฉียงใต้ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ส่วนที่ 1 สำเนา เลขที่ 8 หมายเลข เอฟ 18128/327/40 การหายตัวไปอย่างต่อเนื่องของกษัตริย์ภูมิพลแห่งประเทศสยาม เอกอัครราชทูตทอมพ์สัน ถึง นายเบวิน (ได้รับวันที่ 20 ธันวาคม) (เรื่องปกติ) (หมายเลข 305) กรุงเทพฯ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2489 เรียนท่านที่เคารพ มันเป็นประกาศจากผู้มีอำนาจแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันว่า คณะผู้สำเร็จราชการได้ขอร้องให้ฝ่ายรัฐบาลหยุดการเตรียมการของพวกเขาในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพของอดีตกษัตริย์อานันทมหิดลเนื่องจากว่า ได้รับจดหมายที่แจ้งความประสงค์ของกษัตริย์ภูมิพลว่า ความปรารถนาของพระองค์คือ การยังไม่เสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังประเทศสยามในเดือนมีนาคม เพื่อร่วมพิธีการที่ยังมีข้อกังขากันอยู่ ดูเหมือนว่าองค์พระมหากษัตริย์ได้ไตร่ตรองถึงการอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกเป็นเวลาสองถึงสามปี เพื่อที่จะสำเร็จการศึกษาของพระองค์ 2. หากการตัดสินใจนี้ ในส่วนของกษัตริย์องค์ปัจจุบันของประเทศสยามได้รับการยืนยัน มันจะเป็นการเสริมข้อสงสัยอย่างมากของหลายๆ คนที่นี่ซึ่งได้รับทราบมาแล้วว่า พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันไม่มีความประสงค์ที่จะขึ้นเถลิงอำนาจอย่างเป็นทางการในราชบัลลังก์แต่อย่างใด ถ้าพระองค์สามารถช่วยได้ ตามทัศนคติของผม โศกนาฎกรรมเมื่อเดือนมิถุนายนที่แล้ว ไม่มีแนวโน้มเลยว่า ปริศนาต่างๆ นั้นจะสามารถเฉลยออกมาได้ มันได้สร้างความฝังใจที่น่ากลัวให้กับพระมหากษัตริย์หนุ่มพระองค์นี้ แน่นอนที่สุดว่า พระองค์เป็นบุคคลที่ได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจากพระราชมารดา ส่วนพระราชมารดาเองนั้น ใช้พยายามเพียงเล็กน้อย แม้ในครั้งที่กษัตริย์อานันทมหิดลยังมีพระชนชีพอยู่ ด้วยการปกปิดข้อความสนทนาส่วนพระองค์กับผม ในเรื่องที่เธอไม่ชอบและใช้คำสบประมาทนักการเมืองต่างๆ ซึ่งมีอำนาจอยู่ในขณะนั้น ตั้งแต่ตัวนายปรีดีลงไป ตามข้อเท็จจริงแล้ว ตัวเธอเองก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสมาชิกหลายๆ พระองค์ของพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งไม่เคยยกโทษให้กับผู้ก่อการปฎิวัติระบบการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ในเรื่องบทบาทที่พวกเขามีอยู่ เพื่อการจัดตั้งระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional monarchy) ในประเทศนี้ 3. หากพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันสละราชสมบัติ จะมีผลกระทบจากการกระทำของพระองค์ ชีวิตภายใต้การปกครองโดยรัฐธรรมนูญของประเทศนี้ ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องรุนแรงทีเดียว สำหรับประชาชนแล้ว ประเพณีของสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ผูกโยงไว้กับทางศาสนาและฝังรากลึกเป็นอย่างยิ่ง และสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว การกำเนิดระบบสาธารณรัฐจะกลายเป็นสถานการณ์ที่เจ็บปวดอย่างรุนแรงสำหรับสถานภาพของพวกเขา ในปัจจุบันกับการพัฒนาทางการเมือง สถาบันกษัตริย์คือทุกสิ่งทุกอย่าง (monarchy to all) แต่เป็นเพียงกลุ่มคนเล็กๆ สิ่งเดียวจากรัฐบาลที่ดีคือ สถาบันกษัตริย์สามารถให้กำเนิดได้ (the only form of good government they can conceive – conceive = ตั้งครรภ์, สร้างขึ้น) แต่ประชาชนชาวสยามทั้งหมดนั้น ได้สร้างรอยพิมพ์ไว้กับผม ซึ่งเหมือนกับผู้ที่ไม่ยินดียินร้ายอะไร ไม่แสดงกิริยาใดๆ ออกมา บางทีพวกเขาอาจนิ่งเฉยด้วยซ้ำไปเมื่อไม่มีพระมหากษัตริย์ปรากฎให้เห็นอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจสร้างความตะลึงอย่างยิ่งมาสู่พวกเขาได้ นอกเสียจากว่า ผู้นำบางคนจะลุกขึ้นมาแสดงความสามารถในการกระตุ้นให้พวกเขาแสดงบทบาทออกมา ในขณะนั้น มันเป็นเรื่องยากที่ฝ่ายเจ้าพระองค์ใดจะสามารถลุกขึ้นมาให้สูงเท่าเทียมความคาดหมายแบบนั้นได้ โดยแท้จริงแล้ว ดูเหมือนว่าความเป็นผู้นำของที่นี่ ในเวลานี้ ได้ถูกกำหนดไว้ในเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ของผู้ก่อการรัฐประหารและลูกสมุนเครือข่ายของพวกเขา ผู้ชายทั่วไป ซึ่งอยู่ในประเทศของทวีปเอเซีย นับว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดของชีวิต ให้ความเป็นธรรมกับพวกเขา ผมไม่คิดว่า จะมีใครในกลุ่มนี้เป็นบุคคลที่มีความศรัทธาต่อระบบสาธารณรัฐ พวกเขาพอใจมากในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่บางคนในกลุ่มพวกเขานั้น อาจกล่าวว่า ยังไม่เคยเป็นระบอบการปกครองเช่นว่านี้ 4. บ่อยครั้งที่ผมคิดว่า ในความสัมพันธ์ส่วนหลัง เกี่ยวกับคำพูดอันน่าสลดใจอย่างมหันต์ที่กล่าวโดยรัฐบุรุษอาวุโส เมื่อได้ยินคุณดอลล์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า พระมหากษัตริย์ไม่ควรเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนของปีที่แล้ว สองวันหลังจากนั้น กษัตริย์อานันทมหิดลก็พบจุดจบด้วยการเสด็จสวรรคต และบุคคลบางคนในประเทศสยามได้กระซิบกระซาบว่า มีความรู้สึก เหมือนเหตุการณ์ซ้ำของละครอันน่าสะพึงกลัวบนชั้นบันไดของโบสถ์แคนเตอร์เบอร์รี่ (Canterbury Cathedral) เมื่อหัวหน้าบาทหลวง (Archbishop) โทมัส เอ เบคเกท (Thomas à Becket) ได้ถูกลอบสังหาร 5. ผมกำลังส่งสำเนาของคำสั่งนี้ไปยังกรุงเบอร์น และ กรุงสิงค์โปร์ด้วย ผมได้ส่งสำเนาเรียบร้อย จี.เอช. ทอมพ์สัน เลขหอสมุด: 85-118
    --> ในขณะเดียวกัน การสืบสวนถึงสาเหตุการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลได้เริ่มเข้มข้นขึ้นถึงจุดที่มีความเป็นไปได้อย่างท่วมท้นว่า ตัวกษัตริย์ภูมิพลต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ รัฐบาลกลัวว่าจะมีผลกระทบที่สั่นคลอนต่อเสถียรภาพในการเปิดเผยเรื่องราวนี้ออกมา และความไม่เต็มใจที่จะการกระตุ้นให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติ จากนั้นให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แทนนั้น รัฐบาลได้ตัดสินใจเก็บข้อมูลในส่วนที่กษัตริย์ภูมิพลมีส่วนเกี่ยวข้องและทำการเซ็นเซอร์ข่าวสาร เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 กลุ่มรอยัลลิสต์ของประเทศไทย ได้ร่วมมือกับกลุ่มคณะทหารของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ทำการโค่นล้มรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์ พวกเขาใช้ความเชื่อที่มีกันอยู่แพร่หลายในขณะนั้นว่า นายปรีดี ทำการซุกซ่อนหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล เพื่อสร้างความชอบธรรมต่อการยึดอำนาจของพวกเขา นายปรีดี พนมยงค์ได้หลบหนีออกไปจากประเทศไทยด้วยความกลัวว่าจะเป็นภัยกับชีวิตของตนเอง เรื่องราวเกี่ยวกับการหลบหนีของเขาอ่านได้ที่นี่ เพียงเวลาไม่กี่วันหลังจากนั้น มหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนีได้ถูกจับกุมพร้อมกันกับนายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งเป็นอดีตราชเลขาธิการ รัฐบาลชุดใหม่ได้กล่าวหาว่า พวกเขาร่วมกันวางแผนเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีนายปรีดีเป็นต้นคิดในการปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล เรื่องนี้เป็นความเท็จทั้งหมด ตามที่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ซึ่งเป็นรัชทายาทของการสืบราชสมบัติ ได้แจ้งกับเอกอัครราชทูตอังกฤษ เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สันเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เอกอัครราชทูตได้แบ่งปันความคิดเห็นของพระเจ้า วรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ในโทรเลขลับฉบับหนึ่งในวันรุ่งขึ้นดังนี้:
    --> หมายเลข เอฟ 15787 1 ธันวาคม 2490 รหัส/โอทีพี ภายในสำนักงาน หมายเลข 1 จากกรุงเทพ ถึง สำนักงานต่างประเทศอังกฤษ เอกอัครราชทูตทอมพ์สัน ส่งออก: 14:10 นาฬิกา เวลากรีนิช ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2490 หมายเลข 1005 ได้รับ: 16:20 นาฬิกา เวลาอังกฤษ ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2490 สำเนาส่งไปที่สาขาประเทศสิงคโปร์ สำคัญ ลับ --> ส่งถึง สำนักงานกระทรวงการต่างประเทศ โทรเลขหมายเลข 1005 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน สำเนาส่งไปที่สำนักงานสาขาสิงค์โปร์ โทรเลขของลอร์ด คิลเลอร์น (Lord Killearn) หมายเลข 2262 พร้อมกับข้อความสำหรับคุณเดนนิ่ง (Mr. Dening) – ปฎิกิริยาอย่างเป็นศัตรูของเจ้าหน้าที่มาลายา (Malayan authorities) เมื่อนายปรีดี (พนมยงค์) ไปปรากฎตัวที่นั่น ในเรื่องเกี่ยวกับย่อหน้าที่ 5 ของโทรเลขที่กล่าวไว้ข้างต้น มันอาจน่าสนใจที่จะรายงานว่า พระเจ้า วรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ซึ่งเป็นรัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ได้โทรศัพท์เข้ามาเพื่อต้องการพบกับผมเมื่อคืนที่แล้ว ตามเส้นทางสัญจรเหมือนกับการแข่งขัน (ซึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกอย่างไรดี?) เกี่ยวกับสถานการณ์ทางเมืองนั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ได้เปิดใจกล่าวว่า: (เอ) รัฐบุรุษอาวุโสไม่เคยมีส่วนรู้เห็นแต่ประการใดในเรื่องการเสด็จสวรรคตของอดีตพระมหากษัตริย์ (บี) ไม่มี (ขอย้ำว่า ไม่มี) หลักฐานใดๆ ที่ผูกมัดกับ ตัวราชเลขาธิการ และ (ซี) “ความเป็นไปได้เกี่ยวกับอุบัติเหตุ ไม่สามารถที่จะยกเว้นได้โดยสิ้นเชิง” คำกล่าวช่วงท้ายสุดนี้ สร้างความประทับใจให้กับผม เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่นี่หรืออยู่ที่นั่น ก็มีเสียงกระซิบว่า โศกนาฎกรรมครั้งนี้เป็นผลมาจากการยิงปืนสั้นอัตโนมัติโดยอุบัติเหตุ เมื่อมันได้ถูกนำมาถือโดยน้องชายของผู้รับเคราะห์ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ดังนั้นเรื่องนี้คงยืดเยื้อออกไปอีกนาน จากการอธิบายแบบสงวนท่าทีอย่างผิดธรรมดาของนายปรีดีเอง 2. สำหรับส่วนที่เหลือ ผมขอบันทึกข้อตกลงของผมกับคำแนะนำของลอร์ด คิลเลอร์น ซึ่งได้ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 4 ของเขา ผมคิดว่า มันมีโอกาสน้อยมากที่ นายปรีดีจะสามารถรวบรวมกองกำลังต่อต้าน (กบฎเสื้อแดง) ในมาลายา ซึ่งจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดอีกหลายสัปดาห์ เพราะฉะนั้น ผมหวังว่า เราจะไม่ยอมรับด้วยการนิ่งเฉย เมื่อเขากำลังถูกขับไล่ออกไปจากเขตอาณานิคมเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น --> ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 เอกอัครราชทูตทอมพ์สันได้สนทนาถึงการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลกับพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 จนถึงวันที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งจากการรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2490 หลวงธำรงค์ได้กล่าวอย่างหนักแน่นว่า กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงจนเสด็จสวรรคตโดยกษัตริย์ภูมิพล โดยที่รัฐบาลมีความรู้สึกว่า ไม่สามารถเปิดเผยข่าวนี้ออกมาได้:
    --> หัวข้อเรื่อง: สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศสยาม พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือ หลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์ ได้รับประทานน้ำชากับกลุ่มของเราเมื่อวานนี้ เขาดูดีมาก พูดได้ว่า เขามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นระหว่างเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ตอนนี้ได้ออกจากการเมืองแล้ว เขากล่าวว่า เขามีความต้องการที่จะไปเที่ยวที่หัวหิน ซึ่งเป็นสถานตากอากาศชายทะเล ในอีกสักสองสามวันข้างหน้าและหลังจากการพักร้อนระยะสั้นๆ แล้ว เขาก็จะกลับไปทำธุรกิจด้านป่าไม้แทน ส่วนความสัมพันธ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในจดหมายฉบับนี้ เขาได้กล่าวว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีในประเทศสยามนั้น เป็นบทเรียนที่แพงมาก และในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งอยู่นั้น เขาได้พบว่า เขาจะต้องช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง นอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้รับอย่างเป็นทางการจากทุนทรัพย์ส่วนตัวของเขาเองเป็น จำนวน 2,000 บาทต่อเดือน ผมเห็นว่า หลวงธำรงค์ฯ นั้นชักชวนให้สนทนาถึงสถานการณ์ทางการเมืองในแบบของเขาซึ่งไม่อ้อมค้อมและพูดแบบตรงไปตรงมา อย่างแรกสุด เขาได้อ้างถึงเรื่องการทำรัฐประหารและจำได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว เขาได้แสดงความมั่นใจให้กับผมว่า เขารู้สึกว่าตัวเขามีศักยภาพอย่างเต็มที่ในการป้องกันมิให้จอมพลแปลก พิบูลย์สงครามกลับคืนสู่อำนาจได้ เขากล่าวว่า โดยวิธีการของการอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนกลางคืนของวันที่ 8 พฤศจิกายน (พ.ศ. 2490 – ผู้แปล) ว่า ตามข้อเท็จจริงแล้ว เขามีศักยภาพในการควบคุมจอมพล ป. พิบูลย์สงครามโดยมาตรการต่างๆ ทางการเมืองและเชื่อได้ว่า พลเอก อดุล (พลเอกอดุล อดุลเดชจรัส หรือ หลวงอดุลเดชจรัส – ผู้แปล) จะสามารถยับยั้งการกระทำรัฐประหารจากฝ่ายกองทัพได้ เมื่อพูดถึงอนาคตและเจตนารมย์ของจอมพล ป. นั้น หลวงธำรงค์ฯ ได้กล่าวว่า เขามีความเชื่อมั่นจากใจเขาเองว่า บุคลิกภาพของจอมพล ป. นั้น ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย เนื่องจาก จอมพล ป. เป็นบุคคลที่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงมากและไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขามีความต้องการที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป จากรายงานที่เกี่ยวเนื่องของหลวงธำรงค์ฯ นั้น ยังกล่าวด้วยว่า ความเชื่อของเขาที่ว่า ตัวจอมพล ป. เองจะรอเวลา และพยายามที่จะให้ตนเองประสบความสำเร็จต่อความมักใหญ่ใฝ่สูงด้วยการวิธีการทางระบบรัฐสภา หลวงธำรงค์ฯ ยังเสริมต่อด้วยว่า เขาคิดว่า ความคืบหน้าในเรื่องนี้จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อรัฐสภาเปิดสมัยประชุมในเดือนตุลาคมของปีนี้ หลวงธำรงค์ฯ ก็ยังสาธยายเกี่ยวกับภรรยาของจอมพล ป. (พันโท ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม (พันธุ์กระวี) – ผู้แปล) ว่า เป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพที่เข้มงวดมากและมีความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไม่รู้จบ เขาคิดว่า เหมือนกับท่านผู้หญิงละเอียด จะเป็นบุคคลที่กดดันตัว จอมพล ป. ให้รวบอำนาจของประเทศมาไว้เสียเอง โดยการอ้างถึงตัวเขาเอง หลวงธำรงค์ฯ ได้กล่าวว่าตัวเขานั้น ไม่มีความตั้งใจที่จะนำตัวเองเข้าไปสู่ภายในสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน เขากล่าวว่า เขาคิดว่ามันเป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับประเทศที่นายควง (อภัยวงศ์ – ผู้แปล) และรัฐบาลของเขานั้น ได้ให้โอกาสต่อเขาได้แสดงว่า เขามีความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนั้น ตัวหลวงธำรงค์ฯ ก็เลยเพิกเฉยต่อการทาบทามตัวเขาหลายครั้งหลายหน โดยฝ่ายที่เรียกว่า กลุ่มฝ่ายค้านในรัฐสภา หลวงธำรงค์ฯ กล่าวว่าในขณะที่ฝ่ายค้านในสภานิติบัญญัตินั้น ยังไม่สามารถที่จะรวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบได้ และไม่ได้เป็นตัวแทนในรูปแบบของกลุ่มที่มีความสามัคคี ในความเห็นส่วนตัวและเจตนารมย์ทางการเมืองหลากหลายความคิด แต่กระนั้น กลุ่มเหล่านี้ก็ยังพยายามที่จะ “สร้างปัญหา” กับนายควงกันแล้ว หลวงธำรงค์ฯ กล่าวต่อว่า เขามีประสบการณ์ตรงในความยุ่งยากลำบากแบบเดียวกันเลย เมื่อตอนที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยังกล่าวต่อไปว่า ระบบการปกครองแบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษนั้น ไม่สามารถนำมาใช้ให้สำเร็จได้ในประเทศสยาม และหนทางเดียวที่รัฐบาลสามารถสร้างความมั่นใจต่อการสนับสนุนจากรัฐสภา นั่นก็คือ ใช้วิธีการปฎิบัติตามการสนับสนุนนั้นๆ หลวงธำรงค์ฯ เสริมต่อไปว่า เขาทราบว่า นายควง จะเผชิญกับความยุ่งยากแบบเดียวกับเขาอย่างแน่นอน โดยการยกตัวอย่างขึ้นมาอธิบายถึงจุดยืนของเขา หลวงธำรงค์ฯ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงคือเขาได้รับการติดต่อมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยสมาชิกห้าคนจากพรรคประชาธิปัตย์ของนายควง ว่าจะให้ความสนับสนุนทางการเมืองกับหลวงธำรงค์ฯ โดยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อย่างหนึ่งกัน ในการสนทนาเกี่ยวกับคำถามถึงเรื่องการสวรรคตของพระมหากษัตริย์องค์ที่แล้ว (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล – ผู้แปล) หลวงธำรงค์ฯ กล่าวว่า เขาไม่ทราบว่าเหตุการณ์อันเศร้าสลดนั้นจะสามารถได้รับการสะสางขึ้นมาได้หรือไม่ เขาพูดประหนึ่งว่าเป็นความลับสุดยอดเลยทีเดียวว่า หลักฐานต่างๆที่มีการสะสมกันมาในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น มีแนวโน้มที่จะพัวพันกับกษัตริย์องค์ปัจจุบันซึ่งยังทรงพระเยาว์อยู่ แต่เขาไม่กล้าที่จะบอกเป็นนัยๆ ให้กับทางการทราบเลยว่า กรณีมันเป็นอย่างนี้ หลวงธำรงค์ฯ ยืนยันต่อด้วยว่านายปรีดี(พนมยงค์ – ผู้แปล) ได้พบว่าตัวเขาเองอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน และหลวงธำรงค์ฯ ยังเย้ยหยันต่อความคิดที่ว่า นายปรีดีเองได้มีส่วนพัวพันเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ผมได้ถามหลวงธำรงค์ฯ ว่า เขาคิดว่าผลพวงที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดว่ามีการเปิดเผยขึ้นมาว่า พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันเองนั่นแหละ เป็นผู้เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง เขากล่าวต่อว่า เขาสันนิษฐานว่า พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันจะต้องสละราชสมบัติ และคิดว่าสิ่งที่จะขยายตัวตามมาต่อจากเรื่องนี้คือ จะมีช่วงเวลาของการสับสนอลหม่านและมีการวางแผนอย่างอุบาทก์ชั่วร้าย หลวงธำรงค์ฯ กล่าวต่อว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏฯ (พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต – ผู้แปล) จะเป็นรัชทายาทผู้สืบราชสมบัติพระองค์ต่อไป แต่เพราะว่า พระองค์เจ้าจุมภฏฯ และพระชายาของพระองค์นั้น ไม่ได้รับความนิยม มันจึงเป็นเรื่องที่น่ากังขาว่า พระองค์จะสามารถสืบราชบัลลังก์ต่อมาได้จริงๆหรือ หลวงธำรงค์ฯ เพิ่มเติมว่า รัชทายาทองค์ต่อมาจากพระองค์เจ้าจุมภฏฯ นั้น คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์(ยุคล – ผู้แปล) นั้น พระองค์ก็ทรงไม่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน หลวงธำรงค์ฯ กล่าวว่า คำถามเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะนั้น เป็นสถานะที่สลับซับซ้อน และเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างที่สุด เนื่องจากเขารู้สึกว่า ประเทศสยาม ไม่สามารถจัดการเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจที่มีต่อความมั่นคงได้ ผมถามหลวงธำรงค์ฯ ว่า อะไรที่ทำให้เขาคิดว่า เป็นหลักฐานที่โยงกับข่าวลือซึ่งแพร่กระจายอยู่เป็นระยะๆ เกี่ยวกับการเตรียมแผนก่อการฐประหารอีกครั้งหนึ่ง เขาตอบกลับมาว่า เขาเคยได้ยินว่า พลเอก หลวงอดุลฯ นั้น กำลังวุ่นอยู่กับความพยายามที่จะเตรียมการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เขาขึ้นมาสู่อำนาจ หลวงธำรงค์ฯ กล่าวต่อว่า เขาไม่เชื่อว่า หลวงอดุลฯ จะได้รับการหนุนหลังอย่างมากมายแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นจากฝ่ายนักการเมือง หรือ จากฝ่ายกองทัพ และที่เกี่ยวกับกลุ่มกองทัพซึ่งประกอบด้วย นายทหารที่มีอาวุโสน้อย ที่เป็นผู้ก่อการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนนั้น หลวงธำรงค์ฯ กล่าวว่า นายทหารกลุ่มนั้นเป็นกลุ่มที่ดื้อรั้นควบคุมยาก แต่สามารถถูกปิดปากได้โดยการเสนอให้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นหรือให้ตำแหน่งที่ดูเหมือนมีความสำคัญที่ขึ้นโดยตรงกับทางฝ่ายรัฐบาล แต่ถึงกระนั้น หลวงธำรงค์ฯ กล่าวต่อไปว่า ตามความคิดของเขานั้น กลุ่มทุกกลุ่ม รวมไปถึงตัวจอมพล ป. ด้วย ก็เป็นเพียงรอฆ่าเวลาและเพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้รวบรวมขุมกำลังในทางการเมืองและทางกองทัพในอีกสองสามเดือนข้างหน้า ผมถามหลวงธำรงค์ฯ อย่างซึ่งๆ หน้า เลยว่า เขาได้รับการพิจารณาอะไรบ้างหรือเปล่าในการรวมกำลังกับกลุ่มของ จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม เขาตอบอย่างชัดแจ้งว่า เขาไม่สามารถที่จะทำงานร่วมกันกับกลุ่มของ จอมพล ป. ได้ ถึงอย่างนั้นก็ตาม จากที่ผมได้รวบรวมเอกสารบันทึกรายงานต่างๆ ของหลวงธำรงค์นั้น ก็สรุปได้ว่า ตัวของหลวงธำรงค์ฯ เองด้วย ก็ยังคาดหวังและรอเวลาของวัฎจักรกงล้อทางการเมืองให้เลี้ยวกลับมาหาตัวเขาอีกครั้งหนึ่ง ผมใช้โอกาสนี้เพื่อย้ำให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบนี้ ไม่ได้ทำความเจริญอะไรให้กับประเทศชาติบ้านเมืองเลย และแสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการเมืองที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน มันไม่มีเหตุผลใดๆ เลย ที่ประเทศสยามนั้น จะไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ในการนำประเทศเข้าสู่ภาวะปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง หลวงธำรงค์ฯ เห็นด้วยกับผมว่า กาลภายภาคหน้าของประเทศสยาม จะเป็นประเทศที่รุ่งเรืองและเสริมต่อท้ายด้วยคำที่ขบขันว่า เรื่องที่จำเป็นอย่างเดียวทั้งหมดนี้ ก็คือต้องกำจัดกลุ่มนักการเมืองให้หมดลงไป ลงนาม: อี เอฟ เอส อี เอฟ แสตนตั้น / จี ซี ต้นฉบับและฉบับเคลือบ ส่งไปที่กระทรวงการต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา) ในเวลานั้น ความตื่นตกใจได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการปฎิเสธของกษัตริย์ภูมิพลที่จะเสด็จพระราชดำเนินกลับมาจากเมืองโลว์ซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และความกังวลใจถึงการมีส่วนรู้เห็นของพระองค์ในการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลจะสร้างความอ่อนแออย่างใหญ่หลวงให้กับพระองค์ในฐานะกษัตริย์ ผู้นำของกลุ่มรอยัลลิสต์รวมไปถึงนายควง อภัยวงศ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพี่น้องตระกูลปราโมชทั้งสองคน คือ หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ และ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ได้ร่วมกันวางแผนเพื่อประกาศว่า กษัตริย์ภูมิพลได้ทำการปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล พวกเขาหวังว่าจะเป็นการบังคับให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติเพื่อเปิดทางให้กับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรแทน ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ยากลำบากใจนี้ เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันปฎิเสธที่จะยอมรับมัน ข้อมูลข่าวเหล่านี้ได้ถูกส่งออกเป็นโทรเลขถึงกรุงวอชิงตัน โดยนายเคนเนท แลนดอน (Kenneth Landon) ซึ่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานฝ่ายเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 ดังนี้: รายงานล่าสุดจากแหล่งข่าวหลายแห่ง ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับการลอบปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล ส่งผลให้ นายควง กำลังเตรียมที่จะแถลงการณ์ว่า กษัตริย์ภูมิพลปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์โดยอุบัติเหตุ ซึ่งกษัตริย์ภูมิพลจะสละราชสมบัติ ต่อจากนั้นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร จะได้รับการสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป เป็นการนำองค์ประกอบตัวใหม่เข้ามารวมอยู่ในสถานการณ์ ซึ่งอาจกลายเป็นเรื่องรบกวนจิตใจอย่างหนักต่อการเตรียมการทางการเมืองในขณะนั้น จอมพลแปลก พิบูลสงคราม มีความรู้สึกเป็นปรปักษ์อย่างมากต่อข้อเสนอของนายควงที่ว่า พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรจะได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป มันอาจเป็นความจริงที่ว่ากษัตริย์ภูมิพลปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ด้วยความตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุ ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ได้ถูกแสดงให้เห็นจากบันทึกช่วยจำฉบับก่อนหน้าซึ่งข้าพเจ้าเป็นผู้เขียนหัวข้อนี้… หลังจากนั้น เรื่องนี้ได้กลับกลายเป็นความพยายามอย่างจงใจของนายควงเอง เพื่อที่จะฟื้นฟูสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาใหม่ โดยให้มีอำนาจบางอย่างเทียบเท่ากับที่เคยมีอยู่ก่อน และมีการแต่งตั้งให้นายควงพร้อมกับพี่น้องตระกูลปราโมชทั้งสองคน กลายเป็นผู้นำของกลุ่มรอยัลลิสต์และของประเทศด้วย ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาหวังว่าจะสามารถประคับประคองพวกเขาเอง พร้อมกับพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรให้อยู่บนบัลลังก์ได้ เนื่องจากพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรเป็นบุคคลที่มีวุฒิภาวะสูง รวมทั้งมีความมั่งคั่งอย่างมากด้วย พร้อมทั้งมีประสบการณ์อย่างยาวนานด้านการเมืองภายในวัง พระองค์เจ้าจุมภฎพงษ์บริพัตรนั้นมีพสกนิกรชาวสยามและชาวจีนที่ปักหลักอาศัยอย่างถาวรอยู่เป็นจำนวนมากที่ให้การสนับสนุน ประการสุดท้าย พระองค์ได้รับแรงกระตุ้นจากพระชายาผู้ที่มีความทะเยอทะยาน ซึ่งเป็นบุตรสาวของเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศที่ชาญฉลาดมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศสยาม เธอเป็นผู้ที่มีความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ จอมพลแปลก และนายปรีดีเป็นคู่ปรปักษ์ทางการเมืองซึ่งสังกัดอยู่ในพรรคการเมืองเดียวกัน เขาทั้งสองเห็นพ้องกันในการต่อต้านไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลับคืนขึ้นมาสู่อำนาจอีก พวกเขาไม่ได้ต่อต้านกับพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันเพราะว่าพระองค์ยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและไม่มีบริวารห้อมล้อม นายควงอาจจะบังคับให้พวกเขางัดข้อกันเองโดยการสร้างความหวาดกลัวว่าจะแต่งตั้งพระองค์เจ้าจจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป แผนการนี้ได้ถูกทำลายลงโดยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นนายทหารผู้มีอิทธิพลมากของกองทัพ จอมพลแปลกเป็นผู้โค่นล้มรัฐบาลของนายควง ด้วยการรัฐประหารในเดือนเมษายน พ.ศ. 2491 จอมพลแปลกต้องการเก็บกษัตริย์ภูมิพลไว้บนบัลลังก์ ด้วยความเชื่อที่ว่า ความลับในการปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดลโดยอุบัติเหตุนั้น สามารถถูกนำมาใช้เพื่อต่อรองผลประโยชน์กับตัวกษัตริย์ภูมิพลได้ในภายหลัง ตอนบ่ายของวันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2491 การพิจารณาคดีการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลได้เริ่มขึ้น มหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี รวมทั้งนายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งเป็นอดีตราชเลขาธิการ ได้ถูกกล่าวหาว่า สมคบกันทำการปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ด้วยแผนการที่สร้างขึ้นมาจากผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศคือนายปรีดี พนมยงค์ การพิจารณาคดีและการอุทธรณ์ได้ถูกดึงให้ยืดเยื้อเป็นเวลามากกว่า 6 ปี ท้ายที่สุด กษัตริย์ภูมิพลได้เสด็จพระราชดำเนินกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างรวบรัด เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2493 เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพฯพระเชษฐาของพระองค์ และเข้าพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ รวมทั้งพิธีราชาภิเษกสมรสกับ หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ กิติยากร พระองค์เสด็จพระราชดำเนินออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ซึ่งเป็นเวลาเพียงสองสามวัน ก่อนที่จะครบรอบการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐาของพระองค์ ท้ายที่สุด เมื่อปลายปี พ.ศ. 2494 พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับสู่ประเทศไทยเพื่อดำรงตำแหน่งในฐานะของพระมหากษัตริย์ กษัตริย์ภูมิพลทรงทราบว่า นายบุศย์ ปัทมศริน, นายชิต สิงหเสนี และนายเฉลียว ปทุมรส ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เกี่ยวกับการปลงพระชนม์ของพระเชษฐาของพระองค์ แม้กระนั้นก็ตาม พระองค์ก็ไม่กระทำการใดๆ เพื่อช่วยชีวิตของพวกเขา บุคคลทั้งสามได้ถูกประหารชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ด้วยข้อหาอาชญากรรมที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำแต่อย่างใด กษัตริย์ภูมิพลได้เปลี่ยนคำให้การของพระองค์เองหลายครั้งว่า กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคตได้อย่างไร เพียงเวลาไม่กี่วันหลังจากที่พระเชษฐาของพระองค์เสด็จสวรรคต กษัตริย์ภูมิพลได้ยืนยันอย่างแข็งขันว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ในคำให้การของพระองค์ในการพิจารณาคดีเกี่ยวกับการฆาตกรรม พระองค์ได้ยกเลิกคำให้การเหล่านี้เสีย และเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลายเรื่อง ที่เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของนายเฉลียว ปทุมรส ในทศวรรตที่ 1970 (พ.ศ. 2513-2523) สำนักพระราชวังได้ยกเลิกข้อกล่าวหาที่ว่า นายชิต, นายบุศย์ และ นายเฉลียว – และนายปรีดี- มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ จากการสัมภาษณ์ของสถานีโทรทัศน์ บีบีซี ในสารคดีชื่อ Soul of a Nation (จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ) ซึ่งออกอากาศเมื่อปี พ.ศ. 2523 นั้น กษัตริย์ภูมิพลได้ให้คำตอบซึ่งเป็นข้อแก้ตัวที่ประหลาด ด้วยการอธิบายว่า การฆาตกรรมเป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อน โดยการอำพรางคดีจากบุคคลหลายคนที่มีอำนาจมากทั้งในและต่างประเทศที่ไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง: --> ระหว่างปีทศวรรษ 1990 (ประมาณปี พ.ศ. 2533-2543) กษัตริย์ภูมิพลได้ให้ความร่วมมือกับนายวิลเลียม สตีเวนสัน (William Stevenson) ซึ่งเป็นนักเขียนจากประเทศแคนาดา ในการเขียนชีวประวัติแบบกึ่งทางการซึ่งเดินหน้าไปยังเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งว่า กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคตได้อย่างไร ในขณะนั้นแพะรับบาปที่ถูกกล่าวหา ได้กลายเป็นนายมาซาโนบุ ซูจิ (Masanobu Tsuji) นายทหารที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งของประเทศญี่ปุ่น กษัตริย์ภูมิพลกล่าวว่า นายมาซาโนบุผู้นี้ ได้ลักลอบเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง โดยการปลอมตัวเป็นพระภิกษุ เรื่องเล่านี้ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีหลักฐานที่ไม่สามารถโต้แย้งได้เลยว่า นายมาซาโนบุ ซุจิ ผู้นี้ไม่ได้อยู่ใกล้กับกรุงเทพเลย ในขณะที่กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกปลงพระชนม์ การเปลี่ยนเรื่องราวครั้งแล้วครั้งเล่าของกษัตริย์ภูมิพลเอง แสดงให้เห็นเงื่อนงำบางอย่างว่า อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 กษัตริย์ภูมิพลไม่เคยให้คำอธิบายที่น่าเชื่้อถือเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐาของพระองค์เลยสักครั้งเดียว เรื่องหนึ่งที่น่าแปลกเกี่ยวกับความลับที่ว่า กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคตได้อย่างไรนั้น ภายในวงการระดับสูงของประเทศไทย กลับไม่เคยเป็นเรื่องที่ลึกลับอะไรเลย เมื่ออยู่ในที่ส่วนบุคคล สมาชิกของครอบครัวเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ต่างก็รับรู้กันอย่างจำเจจากเพื่อนสนิทที่ตนเองไว้วางใจกันว่า กษัตริย์ภูมิพลเองที่เป็นผู้ปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ ซึ่งอาจจะเป็นอุบัติเหตุ ในรายละเอียดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลจากแหล่งข่าวที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ได้ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือเป็นการส่วนตัวจากบันทึกของนางมากาเร็ต แลนดอน (Margaret Landon) ซึ่งเป็นภรรยาของนายเคนเนท แลนดอน (Kenneth Landon) นักการทูตประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2514 และบันทึกชุดนี้สามารถพบได้จากหอสมุดที่เก็บเอกสารของคู่สมรสคู่นี้ ที่วิทยาลัยวีตั้น (Wheaton College) ประเทศสหรัฐอเมริกา ครอบครัวแลนดอนเป็นคู่รักกันตั้งแต่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ทั้งคู่ทำการสมรสกันเมื่อปี พ.ศ. 2469 และได้เดินทางเข้าสู่ประเทศสยามเมื่อปี พ.ศ. 2470 ในฐานะของมิชชั่นนารีศาสนาคริสต์ นิกายเพรสไบทีเรียน (Presbyterian) หลังจากที่ประจำการอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อเรียนรู้ภาษาไทย ทั้งคู่ได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ทางภาคใต้ คือ จังหวัดตรัง ซึ่งทั้งคู่ได้เปิดโรงเรียนสอนคริสต์ศาสนาเป็นเวลาสิบปี ก่อนที่จะกลับมายังประเทศสหรัฐอเมริกา นายเคนเนท แลนดอน ศึกษาในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยชิคาโก้ และใน ปี พ.ศ. 2484 เมื่อลางร้ายของสงครามกับประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มปรากฎให้เห็นมากขึ้น นายแลนดอนได้ถูกว่าจ้างโดยพันเอก ดอนาวัน หรือ “บิลล์ผู้บ้าคลั่ง” (Colonel “Wild Bill” Donovan) ให้มารับตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในสำนักงานข่าวกรองใหม่เอี่ยมของประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านข้อมูล (the Office of Co-ordinator of Information) ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานบริการยุทธศาสตร์ (Office of Strategic Services (OSS)) จากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ หรือ ซีไอเอ นั่นเอง (Central Intelligence Agency (CIA)) ในปี พ.ศ. 2486 นายแลนดอนได้ทำงานให้กับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะนายทหารประจำการทางการเมือง (Political Desk Officer) สำหรับประเทศไทย ซึ่งต่อมานายแลนดอนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายกิจการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Assistant Chief of the Southeast Asia Division) ในช่วงที่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสยาม นางมากาเร็ต แลนดอนได้เริ่มหลงเสน่ห์กับชีวิตของนางแอนนา เลียวโนเวนส์ (Anna Leonowens) ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเชื้อสายอังกฤษและอินเดียผสม นางเลียวโนเวนส์เป็นครูสอนพิเศษให้กับพระสนมทั้งหลาย พระโอรสและพระธิดาอีกหลายพระองค์ของสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 เมื่อสมัยปี พ.ศ. 2403-2413 นางเลียวโนเวนส์ได้ตีพิมพ์หนังสือนวนิยายกึ่งจริงที่เล่าประวัติของเธอ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ชื่อเรื่อง แอนนากับพระเจ้ากรุงสยาม (Anna and the King of Siam) เมื่อปี พ.ศ. 2487 นวนิยายเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องโด่งดัง เพราะสามารถขายได้มากกว่า 1 ล้านเล่มจากทั่วโลก และได้ถูกนำมาดัดแปลงให้เป็นละครเพลงที่มีชื่อเสียงมากทีสุดเรื่องหนึ่งชื่อเรื่อง The King and I โดย ริชาร์ด ร๊อดเจอรส์ (Richard Rodgers) และ ออสก้าร์ แฮมเมอร์สไตน์ ที่สอง (Oscar Hammerstein II – และภาพยนต์ที่ฉายในปี พ.ศ. 2499 ภาพยนต์เพลงได้รับความนิยมทั่วโลกในปีนั้นด้วย เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง นายเคนเนท แลนดอนได้ถูกส่งตัวไปที่ฝ่ายตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อร่วมการเจรจาต่อรองอย่างตึงเครียด กับฝ่ายประเทศไทยและฝ่ายประเทศอังกฤษเกี่ยวกับสภาวะของประเทศสยามหลังจากสงคราม นายแลนดอนใช้เวลาอยู่เป็นเดือนๆในภูมิภาคนั้น จากปลายปี พ.ศ. 2488 ไปจนถึงกลางปี พ.ศ. 2489 และได้พบกับผู้นำทางการเมืองคนสำคัญๆ หลายคนของประเทศไทยในสมัยนั้น รวมทั้งกษัตริย์อานันทมหิดล ซึ่งเพิ่งเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ด้วย เนื่องจากนายแลนดอนเป็นผู้ประสานงานได้อย่างยอดเยี่ยม รวมไปถึงสามรถใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว นายแลนดอนได้ถูกประจำการให้เป็นผู้ติดต่อหลักของกระทรวงการต่างประเทศในเรื่องของประเทศไทยอีกเป็นเวลาหลายปี นายแลนดอนทำงานในห้องทำงานที่กรุงวอชิงตันและเดินทางไปยังภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อีกหลายครั้ง ตามที่นายแดเนี่ยล ไฟน์แมน (Daniel Fineman) ได้กล่าวไว้ในหนังสือที่เขาเขียนชื่อ A Special Relationship: The United States and Military Government in Thailand, (ความสัมพันธ์พิเศษ: ประเทศสหรัฐอเมริกากับรัฐบาลทหารในประเทศไทย) นายแลนดอน “ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นเลิศของกระทรวงการต่างประเทศในเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศไทยในต้นทศวรรษปี 1950 (ราวๆ พ.ศ. 2493-2498)” ศาสตราจารย์ คล้าค เนเออร์ (Clark Neher) ได้กล่าวถึงนายแลนดอนว่า “เป็นตัวหลัก (fulcrum figure) ซึ่งอยู่ใจกลางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกาในปลายทศวรรศ 1940 (ราวๆ ปี พ.ศ. 2490-2493) ” ในบทความเก่าที่เคยเขียนอยู่ที่นี่ และ ที่นี่ ข้าพเจ้าขอแชร์ความคิดเห็นส่วนตัวของนายเคนเนท แลนดอนเกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดลดังต่อไปนี้ บันทึกลายมือที่เขียนขึ้นโดยนางมากาเร๊ต ซึ่งเป็นภรรยาของเขา มีพื้นฐานมาจากการสนทนากับเพื่อนของเธอคือ นางลิเดีย ณ ระนอง (Lydia Na Ranong) ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลชั้นผู้ดีของประเทศจีน นางลิเดียได้สมรสกับคนไทย และกลายเป็นคนสนิทของกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ระดับสูงในกรุงเทพฯ เรื่องเล่าของนางลิเดีย ณ ระนอง ได้ยินจาก แวดวงของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ว่า เป็นเรื่องที่ผิดธรรมดา เนื่องจากเหตุผลหลายประการ มันเป็นการเขียนเรื่องราวอย่างเป็นทางการขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับชีวประวัติของนางสังวาลย์ ตะละภัฏ ซึ่งเป็นพระราชมารดาของกษัตริย์ภูมิพล และ กษัตริย์อานันทมหิดล ในบันทึกกล่าวว่า การถูกปลงพระชนม์ของกษัตริย์อานันทมหิดลนั้น มหาดเล็กทั้งสองคน คือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี ได้รู้เห็นต่อการกระทำนั้น และมีการเสริมขึ้นมาด้วยว่า อดีตราชเลขาธิการ คือ นายเฉลียว ปทุมรส มีความสัมพันธ์เป็นชู้สาวกับนางสังวาลย์ และอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ในขณะที่ลูกปืนที่คร่าชีวิตนั้น ได้ถูกยิงออกมาจากกระบอกปืน เรื่องของคำเล่าลือ และรายละเอียดบางอย่างยังเคลือบแคลงอยู่ — เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นางมากาเร๊ต แลนดอนได้จดบันทึกลงด้วยความเร่งรีบ ลายละเอียดถูกเสริมขึ้นเพื่อสบประมาทนางสังวาลย์ ซึ่งเป็นพระราชมารดาของกษัตริย์อานันทมหิดลและกษัตริย์ภูมิพล นางสังวาลย์เกิดมาจากตระกูลสามัญชนและไม่เคยได้รับความชื่นชอบ จากกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ส่วนใหญ่ เรื่องนี้ไม่สามารถรับการพิจารณาได้ว่าเป็นรายละเอียดที่น่าเชื่อถือหรือไม่ ไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ก็ตาม แต่มันอาจแสดงให้เห็นถึงความคิดเพียงแวบเดียวว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันวิปโยคนั้น ที่ได้เปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปอย่างชั่วนิรันดร์ บทความข้างล่างนี้ คือ บันทึกลายละเอียดของนางมากาเร๊ต แลนดอน เกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล เอกสารต้นฉบับสามารถดูได้ที่นี่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2514 ลิเดีย – การเสด็จสวรรคตของพระมหากษัตริย์ เมื่อเธอเดินทางมาถึงประเทศไทยพร้อมกับนายโชค (Chok) เธอได้รับการต้อนรับเหมือนกับเจ้านายในพระบรมวงศานุวงศ์ และพระมหากษัตริย์ได้ให้พระบรมราชานุญาตในเรื่องสิทธิคุ้มครอง (immunity) จากการถูกจับกุมโดยปราศจากการยินยอมของพระองค์ก่อน ซึ่งกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์มีเอกสิทธิ์นี้เช่นกัน ในเวลาต่อมา เธอได้รู้จักกับสมาชิกชั้นนำของครอบครัวพระบรมวงศานุวงศ์และได้ถูกกล่าวถึงอย่างเป็นพิเศษจากเจ้าชายวรรณ (Prince Wan ) (อาจหมายถึง พระองค์เจ้า วรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์- Prince Wan Waithyakon. Kromamun Naradhip Bongsprabandh- ผู้แปล) และเจ้าชายรังสิต (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร) รวมไปถึงอีกหลายๆ พระองค์ด้วย เธอกล่าวว่า จากคำบอกเล่าของสมาชิกในพระบรมวงศานุวงศ์ท่านหนึ่ง เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเล่าของพวกเขาในเรื่องการเสด็จสวรรคตของกษัตริย์อานันทมหิดล เธอคาดการณ์ว่า แหล่งข้อมูลที่ให้ (ข้อเท็จจริง?) กับเธอนั้น มาจากพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ เป็นไปได้ว่า จากปากของสมาชิกในครอบครัวของพระองค์เอง เรื่องราวเริ่มที่อเมริกา เมื่อมารดาของ[เจ้าฟ้า]มหิดล พระพันวัสสา (เอาคำนี้ไปถามวินิตด้วย มันหมายถึงย่าของกษัตริย์ใช่หรือไม่) ส่งเด็กสาวผู้ติดตามท่านสองคนไปเรียน(หรือให้ดูเหมือนไปเรียน) แต่ที่จริงแล้วก็ส่งไปเป็นเมียน้อยให้เจ้าฟ้า[มหิดล]ด้วย. พระมารดา[สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า]นั้นมีหัวต่อต้านต่างชาติรุนแรงมาแต่ไหนแต่ไร และกลัวการต้องข้องเกี่ยวกับหญิงต่างชาติ เจ้าชายมหิดลตกหลุมรักกับนางสาวสังวาลย์และตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับเธอ เมื่อเจ้าชายมหิดลเขียนจดหมายให้ทราบถึงความประสงค์ของพระองค์ จดหมายของพระองค์ได้ถูกตีความหมายผิดพลาดไป พระราชมารดาของพระองค์คิดว่าพระองค์จะกลับบ้านเพื่อทำการอภิเษกสมรส และในเวลานั้น นางสาวสังวาลย์อยู่ในฐานะของ “เมียน้อย” สร้างความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งในหมู่ของพระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อทั้งสองได้เดินทางถึงกรุงเทพและจุดประสงค์อย่างแท้จริงได้ถูกเปิดเผยขึ้นมา ฉันเชื่อว่าพระราชินีผู้ชราภาพนั้นไม่สามารถยินยอมในเรื่องนี้ได้ และตัวพระมหากษัตริย์เองก็ยังปฎิเสธที่จะจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรส แต่เจ้าชายมหิดลเองได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (กรมหลวงนครสวรรค์) เป็นผู้ประกอบพิธีให้จนสำเร็จ พระราชวังของพระราชินีผู้สูงศักดิ์อยู่ที่ปทุมวัน และพระองค์ไม่เคยอนุญาตให้นางสังวาลย์เข้ามาในเขตพระราชฐานได้ หลังจากที่พระราชินีทรงเสด็จสวรรคตแล้ว กษัตริย์ภูมิพลได้มอบพระราชวังแห่งนี้ให้กับพระราชมารดาของพระองค์ เพื่อเป็นการตอบแทน แต่ความเกลียดชังต่อนางสังวาลย์ยังคงมีอยู่ในครอบครัวของพระบรมวงศานุวงศ์ รายละเอียดหลายเรื่องที่อยู่ในหนังสือ The Devil’s Discus (กงจักรปีศาจ) เป็นเรื่องที่ถูกต้อง สำนักงานบริการยุทธศาสตร์ (OSS) ได้มอบปืนกระบอกหนึ่งให้กับกษัตริย์อานันทมหิดล ซึ่งเป็นปืนกระบอกเดียวกับที่ทำให้พระองค์เสด็จสวรรคต พระองค์ไม่ค่อยสบายพระวรกายเท่าไรนักเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พี่น้องทั้งสองพระองค์ชอบปืน (เรื่องเล่าของเคนเนทดำเนินต่อไป) ในตอนเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน กษัตริย์อานันทมหิดลยังประชวรอยู่ พระองค์บรรทมอยู่บนเตียงพร้อมกับหยิบปืนขึ้นมาเล่น เจ้าฟ้าชายภูมิพลเสด็จเข้ามาข้างในห้องบรรทม กษัตริย์อานันทมหิดลจับปืนขึ้นจ่อไปที่พระเศียรของเจ้าฟ้าภูมิพลและกล่าวว่า “ฉันสามารถฆ่าเธอได้” จากนั้น เจ้าฟ้าภูมิพลก็แย่งปืนมาและยกมันจ่อที่พระเศียรของกษัตริย์อานันทมหิดล และกล่าวว่า “ฉันก็ฆ่าเธอได้เช่นกัน” กษัตริย์อานันทมหิดล กล่าวว่า “เหนี่ยวไกเลย! เหนี่ยวไกเลย!” เจ้าฟ้าภูมิพลก็ทำตามนั้นและปลงพระชนม์กษัตริย์อานันทมหิดล นางลิเดียเชื่อว่า การปลงพระชนม์เป็นอุบัติเหตุ นี่เป็นจุดที่ไม่เคยมีการสะสางข้อเท็จจริงกัน เจ้าฟ้าภูมิพลตกใจจนลนลานและหวาดกลัวไปหมด แผนที่ของพระบรมมหาราชวังอยู่ในหนังสือกงจักรปิศาจ และห้องบรรทมที่กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคต ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมมหาราชวังที่ใช้ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะระดับสูง (VIPs) นางลิเดียเคยมีโอกาสได้เห็นมัน เมื่อเข้าร่วมในงานปาร์ตี้ของคณะทูตานุทูตจากทวีปอเมริกาใต้ มัคคุเทศก์ที่อยู่ในงานได้เล่าเรื่องราวและนำกลุ่มอาคันตุกะเข้าชมห้องต่างๆ รวมทั้งตำแหน่งของเตียงที่กษัตริย์อานันทมหิดลเสด็จสวรรคต หลังจากนั้น มหาดเล็กสองคนได้ถูกประหารชีวิตเนื่องจาก “อาชญากรรม” ที่ได้เห็นการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า เนื่องจากว่า เมื่อองค์พระมหากษัตริย์ตื่นจากบรรทมเมื่อไร พวกเขาจะต้องเข้าไปถวายการรับใช้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า นางสังวาลย์ควรยืนยันที่จะเปิดเผยความจริงให้รับรู้กัน พวกเขาเชื่อว่าการเสด็จสวรรคตนั้นแท้จริงแล้วเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่การฆาตกรรม และประชาชนควรได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขากล่าวว่า หลังจากนั้น เจ้าฟ้าภูมิพลควรสละราชสมบัติไปเป็นพระภิกษุตลอดชีวิตและยินยอมให้ราชสมบัตินั้นผ่านไปยังสมาชิกของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นแทน วิธีการนี้จะเป็นวิถีทางที่น่ายกย่องซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุจริตใจ นางลิเดียคิดว่า ฝ่ายพระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า การสืบราชสมบัตินั้นจะถูกผ่านมายังพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ฉันยังเคลือบแคลงใจในเรื่องนี้เพราะว่า พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ได้ถูกกีดกันออกไปแล้วโดยกษัตริย์จุฬาลงกรณ์ (รัชกาลที่ 5) เนื่องจากว่า พระมารดาของพระองค์เป็นชาวรัสเซีย นอกจากนี้ พระองค์ยังได้สมรสกับสุภาพสตรีชาวอังกฤษและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน –เป็นผู้หญิง ใครไม่รู้ (?) กล่าวว่า ลูกคนนี้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพระองค์แต่เป็นลูกของพระสนมสาว (young protégé) อีกองค์หนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกันกับพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และต่อมา ได้ฆ่าตัวตายหลังจากให้กำเนิด “พระธิดา” ของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์นี่แหละ และ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ก็ทรงรับรู้ถึงประวัติของเด็กผู้นี้ด้วย มันเป็นเรื่องน่าแปลกเหมือนกัน เพราะบุคคลที่น่าจะได้รับการเลือกตามเหตุผล ควรจะเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร แต่มันก็เป็นแบบเดียวกันคือ พระองค์ไม่มีพระโอรส และมีแต่เพียงพระธิดา ซึ่งสมรสกับผู้ชายชาวฝรั่งเศส นางลิเดียกล่าวว่า ในขณะนี้ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) มีจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเขียนโดยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม อยู่ในความครอบครองของเขา ซึ่งได้เขียนขึ้น 1 ปีก่อนหน้าที่จอมพลแปลกจะถึงแก่อสัญกรรม โดยการยอมรับว่า ข้อกล่าวหาของการสมรู้ร่วมคิดกับนายปรีดี ซึ่งเกี่ยวโยงกับเรื่องการเสด็จสวรรคตของอดีตกษัติรยิ์นั้น เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น และตัวจอมพลแปลกเอง ก็รู้ดีอยู่เสมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่มา..http://www.zenjournalist.com