วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์จีน




การกบถและความวุ่นวายต่างๆ เกิดมากขึ้นตามเมืองต่างๆของจีน ผู้ก่อการร้ายเกิดขึ้นทั่วไป ในปักกิ่งมีการรวมกลุ่มของคนงานบ้าง แต่ยังไม่หนาแน่น ทางด้านการศึกษามีการประชุมถกเถียงกันถึงสถานการณ์ และความเป็นไปต่างๆ ทั้งของจีนและประชาคมโลก ยิ่งนานวันทุกคนก็ยิ่งคิดถึงความมั่นคงของตน ระยะนี้ปัญญาชนจีนที่กลับจากต่างประเทศก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น การรวมตัวของกลุ่มนักศึกษาก็มีมากขึ้น
จนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1919 อันเป็นวันครบรอบปีที่ 4 ของการยอมรับข้อเรียกร้อง 21 ประการ ของญี่ปุ่น ซึ่งทุกคนถือว่าเป็นวันแห่งการสูญเสีย ในวันนั้นมีข่าวออกมาว่า ที่ประชุมพันธมิตรที่แวร์ซายส์ ได้ตกลงยกกรรมสิทธิ์เหนือซานตุง ซึ่งเป็นของจีนแต่ถูกเยอรมันยึดครองกรรมสิทธิ์ ไปให้แก่ญี่ปุ่น แทนที่จะคืนให้จีน ข่าวนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่คนทั่วไป เพราะเชื่อว่าเป็นแผนของญี่ปุ่นที่จะยึดครองจีน โดยมีมหาอำนาจหนุนหลัง ประกอบกับมีรัฐมนตรี 3 นายของจีนเป็นผู้เห็นด้วย และเซ็นรับข้อตกลงนี้ การประท้วงจึงเกิขึ้นในปีกกิ่งทันที
เฉินตู้สิว เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนการประท้วงครั้งนี้ เขาเรียกร้องให้นักศึกษารวมกลุ่มต่อสู้ โดยพูดว่า
"...สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะพูด และพูดด้วยน้ำตาก็คือความหวังที่ว่า นักศึกษาที่ยังหนุ่มแน่นจะมีความสำนึกในตนเอง และพร้อมที่จะต่อสู้ ความสำนึกในตนเองหมายความว่า จะต้องตระหนักถึงพลังและความรับผิดชอบกับเคารพในความเป็นหนุ่มของท่าน ทำไมท่านต้องต่อสู้ เพราะว่าท่านจำเป็นต้องใช้สติปัญญาที่มีอยู่กำจัดคนที่กำลังร่วงโรย ทั้งร่างกายและสติปัญญาให้หมดสิ้นไป จงถือเสมือนหนึ่งว่าพวกนี้เป็นศัตรูของท่าน อย่าติดต่อหรือยอมให้คนพวกนี้มีอิทธิพลใดๆ เหนือท่านอีกต่อไป....
โอ้ คนหนุ่มของจีน ท่านเข้าใจข้าพเจ้าหรือไม่ 5 ใน 10 คน ที่ข้าพเจ้าเห็นล้วนเป็นหนุ่มแต่อายุ ส่วนความคิดและจิตใจนั้นแก่ 9 ใน 10 คน เป็นคนหนุ่มแต่ร่างกาย แต่แก่ในจิตใจ เมื่อความแก่ปรากฎแก่ร่างกาย ร่างกายก็ร่วงโรย เมื่อความแก่ปรากฎแก่สังคม สังคมนั้นก็เสื่อมโทรม การรักษาจะกระทำได้ก็โดยการอาศัยคนที่ยังหนุ่ม และความกล้าหาญเท่านั้น ถ้าเราต้องการอยู่รอดต่อไป เราต้องมีแต่คนหนุ่ม ถ้าเราต้องการกำจัดคอรัปชั้น เราต้องมีคนหนุ่ม และนี่เองคือความหวังของสังคม.."
ขบวนการ 2 พฤษภา ได้เริ่มขึ้นแล้ว นักศึกษา 5000 คนจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ได้ร่วมกันตั้งคณะกรรมการ เรียกร้องให้นักศึกษาในที่ต่างๆ มาร่วมมือกัน ในที่สุดก็มีสภานักศึกษาสำหรับวางแผนและปฎิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบาย จุดหมายสำคัญคือโค่นรัฐบาล ซึ่งมีรัฐมนตรีที่นิยมญี่ปุ่นอยู่
นักศึกษาประมาณ 10000 คน ได้ไปชุมนุมกันที่ "ประตูสวรรค์สันติ" หน้าพระราชวังฤดูร้อน และตกลงเดินขบวนไปขอความช่วยเหลือจากทูตมหาอำนาจ ประเทศแรกที่นักศึกษาเดินไปหาคืออเมริกา แต่ถูกปฎิเสธ โดยอ้างว่าวันอาทิตย์ไม่ควรมาปรึกษากิจการงาน ความหวังในสันติวิธีดูจะไม่เป็นผล ขบวนนักศึกษาจึงเดินไปบ้านรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ด้วยรู้ว่า 3 รัฐมนตรีที่นิยมญี่ปุ่นหลบซ่อนอยู่ โดยมีกำลังทหารตำรวจสกัดกั้นอยู่หน้าประตู นักศึกษาจึงระดมขว้างปาด้วยก้อนหิน เมื่อตำรวจใช้ปืนยิง นักศึกษาจึงล่าถอยไปที่มหาวิทยาลัย ปรากฎว่ามีผู้ถูกจับไป 32 คน นักศึกษาได้เตรียมเดินขบวนบุกโรงพักตำรวจอีกถ้าไม่ปล่อยพวกที่ถูกจับไป ในที่สุดตำรวจก็ยอมปล่อย และนี่เองที่เป็นอาวุธสำคัญของนักศึกษา สำหรับใช้ต่อรองกับรัฐบาล
ต่อมาสภานักศึกษาได้ประกาศหยุดงาน ร้านค้าในปีกกิ่งปิดหมด คนงานรถไฟก็หยุดทำงาน และต่อมาคนงานในโรงงานต่างๆในปักกิ่ง ก็เริ่มหยุดงานบ้าง แล้วขยายไปเทียนสิน เซี่ยงไฮ้ นานกิง และฮันเค้า ในที่สุดรัฐบาลซึ่งประกาศจะใช้กำลังทหารเข้าจัดการกับนักศึกษาก็ยอมรับข้อเสนอ แต่ปรากฎว่ารัฐนมตรีทั้ง 3 คนได้หลบหนีไปญี่ปุ่นเสียก่อน
ขบวนการ 4 พฤษภา เป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือระหว่างปัญญาชนกับกรรมกร และแสดงให้เห็นถึงพลังของการรวมตัวในความเชื่อร่วมกัน การปฎิบัติงานอย่างมีแบบแผนเป็นความสำเร็จอันดับแรกของเฉินตู้สิว ก่อนที่เขาจะก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ ร่วมกับลีต้าเจา
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ความคิดและความเชื่อเดิมของเฉินก็เริ่มสั่นคลอน ประชาธิปไตยและวิทยาศาสตร์ดูจะห่างไกลความจริง เมื่อดิวอี้มาบรรยายเรื่อง "ปรัชญาสังคมและการเมือง" และแสดงโครงสร้างของปรัชญาประชาธิปไตย ดิวอี้ดูจะเข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของจีน เขาไม่พยายามยัดเยียดความเป็นตะวันตกให้ แต่กลับชี้ให้เห็นถึงเนื้อหาแท้จริงของตะวันตก ในจุดนี้เองเฉินจึงมองเห็นความแตกต่างของทฤษฎีประชาธิปไตยกับสภาพความเป็นจริงในสังคม บทความของเขาเรื่อง "พื้นฐานความเข้าใจประชาธิปไตย"


ที่ตีพิมพ์ในวารสารคนหนุ่มรุ่นใหม่ เดือนธันวาคม 1919 นั้น เป็นการยอมรับข้อคิดของดิวอี้โดยสิ้นเชิง เขากล่าวว่า ความล้มเหลวของประชาธิปไตยจีนอยู่ที่การเข้าใจผิด ว่าการบังคับใช้รัฐธรรมนูญจากเบื้องบน จะมีผลให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยได้ แต่กฎหมายไม่มีพลังที่จะสร้างความเป็นจริงได้ "...ความจริงมีพลังที่จะสร้างกฎหมายได้ แต่กฎหมายไม่มีพลังที่จะสร้างความเป็นจริงได้..." ประชาธิปไตยต้องเกิดขึ้นจากพื้นฐานของสังคมนั้นเอง และจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ทุกหมู่บ้านทุกเมือง การถกเถียงถึงระบบรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือแม้กระทั่งการรวมอำนาจหรือกระจายอำนาจ ล้วนเป็นสิ่งหลอกลวงทั้งสิ้น ตราบเท่าที่ประชาชนยังไม่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบประชาธิปไตย อย่าไปหวังอะไรจากพรรคการเมือง ซึ่งไม่มีแม้แต่ความเข้าใจในอธิปไตยของปวงชน หรือกระทั่งจากนายพล ซึ่งใช้ระบบคณาธิปไตยภายใต้ชื่อสาธารณรัฐ
เฉินตู้สิว เริ่มจับปัญหาทางเศรษฐกิจ เขาเริ่มให้ความสนใจความคิดของเลนินมากขึ้น "ทฤษฎีจักรวรรดินิยม" ของเลนิน อธิบายถึงปัญหาของประเทศด้อยพัฒนา การขูดรีดของประเทศนายทุนตะวันตก และนี่เองที่อธิบายภาพการประชุมที่แวร์ซายส์ให้เฉินเห็นว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่างญี่ปุ่นกับตะวันตก ขูดรีดผลประโยชน์จากจีน เฉินตู้สิวจับปัญหาได้และมองหาทางออก ดิวอี้เคยพูดว่าการแก้ปัญห่อยู่ที่ "การค้นหาวิธีที่มั่นคงเพื่อเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่หลวง โดยคำนึงถึงกาลเทศะ" เลนินเสนอว่า มีแต่การปฎิวัติเท่านั้น และต้องมีกลุ่มแนวหน้าภายใต้ระบบองค์การที่มีประสิทธิภาพ แล้วพร้อมกันเดินไปหามวลชน
ปี ค.ศ.1920 เฉินตู้สิวประกาศเป็นมาร์กซิสต์-เลนินซิสต์ จากนั้นเขากับลีต้าเจาได้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน การประชุมพรรคครั้งแรก มีขึ้นเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ.1921 โดยมีคณะกรรมการกลางพรรคเพียง 12 คน และหนึ่งในนั้นคือ เมาเซตุง
เมาเซตุง